วันเวลาปัจจุบัน 27 เม.ย. 2024, 02:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 251 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 17  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2010, 16:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาสำหรับพูดคุยเรื่อง ความรักในอุดมคติโดยเฉพาะครับ
และนำเสนอเรื่องราวความรักในอุดมคติของตัวเอง(อาจออกแนวชู้สาวเล็กน้อย)
บางท่านอาจจะได้ข้อคิดบ้างไม่มากก็น้อย
ใครมีอุดมคติเรื่องความรักกันอย่างไรก็นำมาพูดคุยกันบ้างนะครับ

พอดีเจอเพื่อนร่วมอุดมการณ์อย่างคุณทักทาย ก่อนนี้คิดว่าคงต้องมีคนแบบนี้อยู่บ้าง
(คนที่คิดที่จะรักโดยไม่หวังผล เบาบางจากความทุกข์ ความร้อนรุ่มในจิตใจ)
แต่ไม่คิดว่าจะได้เจอได้สนทนา พอมาเจอจึงรู้สึกสะกิดใจ ปิ๊งไอเดียว่า
แนวทางความรักแบบนี้ก็เป็นหนทางไปสู่ความหลุดพ้นได้นี่นา

แต่ต้องใช้วิจารณญาณในการสนทนานะครับ
เพราะแต่ละคนมีปัจจัยที่แตกต่างกัน บุญกรรมที่ทำมาไม่เหมือนกัน
ย่อมจะทำให้ชีวิตหรือเรื่องราวความรักไม่เหมือนกันอย่างแน่นอน


นิยามความรักหรือความรักในอุดมคติของผมนั้น
ต้องเป็นรักที่ใกล้เคียงพรหมวิหาร ๔ ที่สุด จึงจะถือว่านั่นคือ "ความรัก"

เมื่อตอนที่กิเลสหนา บังตา บังใจ ก็คิดไปว่า
ความรู้สึก อยากได้ใคร่มีจากอีกฝ่ายหนึ่ง
ความเจ็บปวดที่เกิดจากความสัมพันธ์หรือผูกพันกับใครคนหนึ่ง เป็นผลจากความรักที่เรามีต่อเขา
ยิ่งรักยิ่งเจ็บ ยิ่งห่วงยิ่งทุกข์ทรมาณ :b2:
เราทำสิ่งดีๆในชีวิตมาตลอด ทำไมถึงต้องมาได้รับผลกรรมเช่นนี้ :b2: :b2: :b2:
ยิ่งถามว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้ ความเจ็บปวด ทุกข์ทรมาณยิ่งทวีความรุนแรงเป็นทวีคูณ :b2:
คิดว่าความรู้สึกเหล่านี้มันคงจะใกล้เคียงคำว่านรกมากที่สุดแล้ว :b2:
แต่ก็ไม่ยอมออกมาจากชีวิตเขา ทนอยู่กับความรู้สึกเหล่านั้นเพียงเพื่อจะมีเขาอยู่ในชีวิต :b2:

สิ่งที่เราคิดว่าความรักแบบนี้เจ็บปวดอย่างยิ่ง ไม่ควรแนะนำใครให้เจริญรอยตามเรา
อันที่จริงแล้ว เราสามารถเห็นความเบิกบานของความรักเช่นนี้ได้
ทั้งๆที่ต้องทนทุกข์ระทมอย่างหนักกับการไม่ยอมจากคนเพียงคนเดียวไป
ที่พูดอย่างนี้ได้อย่างเต็มปาก
ก็เพราะตัวเองเห็นและสัมผัสได้ถึงความบริสุทธิ์ ความอ่อนโยนของรูปแบบความรักเช่นนี้
หลังจากที่พิจารณาความทุกข์ทรมาณในความรักมานาน

การที่ได้พิจารณาตามแนวทางคำสอนของพระพุทธเจ้า
จึงรู้สัจธรรมความรักที่เราปารถนาที่จะรู้เป็นอย่างมากในตอนแรก
และได้รู้สัจธรรมของธรรมชาติทั้งปวงที่ถือว่าเป็นผลพลอยได้ที่ยิ่งใหญ่เหลือประมาณ
จนเรื่องความรักของเราไม่ใกล้เคียงเศษเสี้ยวผงธุลีของผลพลอยได้ที่เราได้รับนี้เสียอีก

ถึงตอนนี้ ความรักในรูปแบบเดิมๆ คนเดิมๆ สถานการณ์เดิมๆ ที่เราคิดว่าทนทุกข์กับมันมาตลอด
กลับกลายเป็นรูปแบบความรักที่เราสามารถเบิกบานใจได้ อิ่มเอมใจได้ :b16:
รู้สึกดีอย่างอธิบายออกมาเป็นคำพูดแทบไม่ได้ :b16: :b16:
มันไม่ใช่ความสุข
แต่มันเป็นความรัก ความผูกพัน และสิ่งดีๆที่มอบให้เสมอ โดยปราศจากตัวเราของเรา :b16:
จะเป็นความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับอุดมคติความรักของเราที่ตั้งไว้แล้วหรือเปล่านะ :b16:

คำแนะนำสำหรับความรักไม่ว่าจะในรูปแบบใดก็แล้วแต่ครับ
การวิ่งหนีความทุกข์เพื่อจะหาความสุขใหม่ๆของชีวิตไม่ใช่หนทางที่พ้นทุกข์ได้อย่างแน่
แต่ยังจะเป็นการเริ่มต้นความทุกข์ตัวใหม่ๆทั้งสิ้น
การดำเนินการเจริญสติและวิปัสสนาตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ต่างหาก
จึงจะสามารถไปสู่ความพ้นทุกข์ เห็นนิโรธตามหลักอริยสัจ๔ ได้อย่างแท้จริง

การไขว้คว้าหาความสุขจากความรักหรือสิ่งใดๆ ไม่ใช่เป้าหมายสูงสุดหรือจุดหมายปลายทางของชีวิต
แต่เป็นการที่จะสามารถพ้นทุกข์ คือพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสังสารนี้ต่างหาก

สุดท้ายมาจบด้วยธรรมะได้ยังไงก็ไม่ทราบ :b12: :b12: :b12:


:b16: :b16: :b16: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 05:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ความจริงแล้ว...ไม่ใช่อุดมคติหรอกค่ะคุณพงพัน
เพราะไม่ได้ตั้งใจ ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็เรียกว่าเหตุการณ์พาไปมากกว่า
แล้วก็ได้ทราบว่า "มาถูกทาง" จึงอยากแบ่งปันความรู้สึก
"รัก" แบบนี้ให้เพื่อนๆได้ทดลองปฏิบัติ...เพื่อความทุกข์จาก
รักจะได้น้อยลงไปบ้าง....... :b5:

จริงๆแล้วที่ว่า รักจึงทำให้ทุกข์ หรือมีรักก็มีทุกข์นั้น ตามความเห็น
ของทักทายแล้ว มันไม่ใช่...ความรักไม่ได้ทำให้ทุกข์เลย ตรงกันข้าม
ความรักกลับทำให้เรามีความสุข สดใส เบิกบาน มีกำลังใจ
มีความอ่อนโยน มีพลังสร้างสรรค์สิ่งดีๆได้ตั้งมากมาย :b27:

คิดดูว่าที่เราทุกข์กันนั้นเพราะอะไร? เพราะรักเขาหรือเปล่า?
ก็ได้คำตอบให้กับตัวเองว่า ที่เรา "รัก"เขา ไม่ได้ทำให้เราทุกข์
แต่ที่เราทุกข์เพราะ เขาไม่ได้เป็นตามที่เรา"อยาก"ให้เป็น

คำตอบก็คือเรา "อยากเกี่ยวพัน" กับพยายาม "ยึดเหนี่ยว" ต่างหาก
แต่มักจะแยกกันไม่ออกมันเหมือนแฝดพี่แฝดน้อง พอเราเห็นพี่ก็คิดว่าเป็นน้อง
พอเห็นน้องเราก็คิดว่าเป็นพี่ พอพี่ทำให้เจ็บเราก็เหมาเอาว่า ทั้งคู่นั่นแหละ
แต่จริงๆคนละส่วนกัน ความรักไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยกับใครเลย ถ้าเรารู้จัก
"รัก" แยกระหว่างความรัก "ความผูกพัน" ออกจากการเกี่ยวพัน
และความพยายามที่จะยึดเหนี่ยวออกให้ได้ :b23:

เรามักคาดหวัง ว่าเรารักใครสักคน เขาจะต้องเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น
เป็นอย่างที่เราคิดจินตนาการไว้ทุกอย่าง พอไม่ได้ตามที่คาดหวังไว้
ก็ไม่พอใจ ขัดข้องใจ ก็เกิดรักเป็นพิษ แล้วก็โทษว่ารักทำให้เจ็บปวด
รักทำให้เป็นอย่างนี้ จริงๆแล้วก็ใจเราเอง ตัวเราเองต่างหาก..ที่เป็น
ที่ทำให้เป็น นี่คืออยากเกี่ยวพัน ไม่ใช่ความรัก :b14:

แล้วความรู้สึกที่ว่า เขาเป็นของเรา เขาเป็นแฟนเรา
หรือแม้กระทั่ง เขาเป็นคนของเรา เป็นของของเรา แล้วก็หลงสร้าง
กฎเกณฑ์ต่างๆ ขึ้นในใจโดยไม่รุู้ตัว..ว่าเขาต้องรักเราคนเดียว
เขาจะต้องไม่รักคนอื่น เขาเป็นแฟนเรา เขาต้องไม่มีคนอื่น
ชีวิตของเราทั้งชีวิตเป็นของเขา (ทั้งๆที่เขาก็ไม่ได้ร้องขอ) เพราะฉะนั้น
ชีวิตของเขาทั้งชีวิตก็ต้องเป็นของเรา จะไปจากเราไม่ได้ และจะต้อง
ไม่มีวันจาก ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง จะต้องเป็นอย่างนี้ตลอดชั่วนิจนิรันดร์
นี่ก็คือการยึดเหนี่ยวเกี่ยวรั้ง ไม่ใช่ความรักอีกเช่นกัน :b7:

ถ้าเรารู้จัก เอาสองตัวหลังออกจาก"รัก" ให้ได้ ความทุกข์
มันก็จะไม่เกิดขึ้นในใจ เขาจะมีคนอื่น เขาจะรักคนอื่นมันก็เรื่องของเขา
ไม่เกี่ยวกับเรา เพราะตัวที่ว่า "ของเรา" มันไม่มี เขาจะไปมีใครอีกสักกี่คน
เราก็จะไม่เจ็บไม่ปวด เขาจะรักใครอีก? เขาจะทำอะไรกับใครอื่น?..
เราก็ยังมีความรู้สึกเดิมๆให้เขาได้ ไม่คาดหวัง ไม่ต้องการอะไรตอบแทน
เขามีปัญหา...ถ้าช่วยได้ก็เต็มใจที่จะช่วย...ถ้าช่วยไม่ได้มีแค่กำลังใจ
ก็ให้กำลังใจ....พอเขามีความสุข....ลืมเราไปบ้างก็ไม่เป็นไร....
ไม่ได้น้อยใจ...หรือเสียใจ....ว่างก็มาหามาคุย....ไม่ว่างก็ต่างคน
ต่างอยู่ไป.....ขึดเส้นของความรักไว้แค่ "ความรู้สึก" ทางใจ
ไม่เกี่ยวพันกันเรื่องอื่นๆ..... :b23:

อาจจะคิดว่าทำไม่ได้ หรือทำได้ยาก...แต่จริงๆแล้วมันไม่ได้ยากเลย
เหมือนดูภาพสามมิติ พอรู้วิธีดูแล้ว จะกี่ภาพ จะกี่หน ยากแค่ไหน?
พอดูปุ๊ป....ก็จะเห็นเป็นภาพทันที :b11:

ที่กล่าวมานี้รวมถึงความรักทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นรักลูก หรือญาติ
จะใช้หลักการเดียวกันหมด คนที่เรารัก เขามีชีวิตของเขา เขาอาจจะไม่
ได้อยากเป็น..ในสิ่งที่เราอยากให้เขาเป็น ถ้าจะให้เขามีความสุข..ก็ควรให้เขาเป็น
ให้เขาทำในสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ใช่คาดหวังทั้งพยายามและบังคับให้เป็น..
และทำในสิ่งที่เราต้องการ....เมื่อคนที่เรารัก.....ได้มีชิวิตตามที่เขาปรารถนา...
เขาก็มีความสุข...เมื่อเห็นคนที่เรารักมีความสุข....เราก็สุข.........
ผลมันก็มีมาตามเหตุอยู่แล้ว...... :b16:


นี่คือความรักของทักทายค่ะ

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


แก้ไขล่าสุดโดย ทักทาย เมื่อ 27 ก.พ. 2010, 07:10, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2010, 16:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


taktay เขียน:
ความจริงแล้ว...ไม่ใช่อุดมคติหรอกค่ะคุณพงพัน
เพราะไม่ได้ตั้งใจ ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็เรียกว่าเหตุการณ์พาไปมากกว่า
แล้วก็ได้ทราบว่า "มาถูกทาง" จึงอยากแบ่งปันความรู้สึก
"รัก" แบบนี้ให้เพื่อนๆได้ทดลองปฏิบัติ...เพื่อความทุกข์จาก
รักจะได้น้อยลงไปบ้าง....... :b5:

อ้อ ต่างจากผมครับ ที่ตั้งเป้าหมายไว้
ระหว่างทาง ถอดใจบ่อยมาก คิดว่าทำไม่ได้แน่ๆแล้ว
มันยากเกินกำลังของปุถุชนคนนึงจะทนไหว
มันเป็นความรู้สึกของตัวตนอย่างแท้จริง
สุดท้ายแล้ว ผลกรรมยึดเหนี่ยวและเหตุการณ์พามาเหมือนกัน
มารู้ตัวอีกทีก็ "อ้าว เราทำได้นี่นา" :b10:



taktay เขียน:
จริงๆแล้วที่ว่า รักจึงทำให้ทุกข์ หรือมีรักก็มีทุกข์นั้น ตามความเห็น
ของทักทายแล้ว มันไม่ใช่...ความรักไม่ได้ทำให้ทุกข์เลย ตรงกันข้าม
ความรักกลับทำให้เรามีความสุข สดใส เบิกบาน มีกำลังใจ
มีความอ่อนโยน มีพลังสร้างสรรค์สิ่งดีๆได้ตั้งมากมาย :b27:

ถ้ามาจุดที่ถูกทางแล้ว เป็นพลังอย่างมากครับ
แต่กว่าจะมาถึงก็บั่นทอนพลังไปเยอะเหมือนกัน :b32:



taktay เขียน:
คิดดูว่าที่เราทุกข์กันนั้นเพราะอะไร? เพราะรักเขาหรือเปล่า?
ก็ได้คำตอบให้กับตัวเองว่า ที่เรา "รัก"เขา ไม่ได้ทำให้เราทุกข์
แต่ที่เราทุกข์เพราะ เขาไม่ได้เป็นตามที่เรา"อยาก"ให้เป็น

รักที่ทุกข์ คือรักที่ปนไปด้วยกิเลส ตัณหา
รักที่ไม่ทำให้ทุกข์คือรักที่ปราศจากกิเลส ตัณหา :b6:


taktay เขียน:
คำตอบก็คือเรา "อยากเกี่ยวพัน" กับพยายาม "ยึดเหนี่ยว" ต่างหาก
แต่มักจะแยกกันไม่ออกมันเหมือนแฝดพี่แฝดน้อง พอเราเห็นพี่ก็คิดว่าเป็นน้อง
พอเห็นน้องเราก็คิดว่าเป็นพี่ พอพี่ทำให้เจ็บเราก็เหมาเอาว่า ทั้งคู่นั่นแหละ
แต่จริงๆคนละส่วนกัน ความรักไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยกับใครเลย ถ้าเรารู้จัก
"รัก" แยกระหว่างความรัก "ความผูกพัน" ออกจากการเกี่ยวพัน
และความพยายามที่จะยึดเหนี่ยวออกให้ได้ :b23:

ผู้ที่แยกออกได้แบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นความสามารถของผู้ที่วิปัสสนามานาน
ผมจึงมักจะแนะนำหลายๆคนให้ฝึกวิปัสสนาเพื่อจะได้มีความสามารถพิเศษเช่นนี้
ถ้าคุณทักทายแยกออกได้แสดงว่าคงได้ฝึกวิปัสสนาอาจจะแบบไม่รู้ตัวก็ได้ :b11:



taktay เขียน:
เรามักคาดหวัง ว่าเรารักใครสักคน เขาจะต้องเป็นอย่างที่เราอยากให้เป็น
เป็นอย่างที่เราคิดจินตนาการไว้ทุกอย่าง พอไม่ได้ตามที่คาดหวังไว้
ก็ไม่พอใจ ขัดข้องใจ ก็เกิดรักเป็นพิษ แล้วก็โทษว่ารักทำให้เจ็บปวด
รักทำให้เป็นอย่างนี้ จริงๆแล้วก็ใจเราเอง ตัวเราเองต่างหาก..ที่เป็น
ที่ทำให้เป็น นี่คืออยากเกี่ยวพัน ไม่ใช่ความรัก :b14:

ภาษาพระก็คงจะเป็น ภวตัณหา และ วิภวตัณหา
การจะทำลายตัณหานั้นให้สิ้นก็ต้องอาศัยวิปัสสนาอีกนั่นแหละ



taktay เขียน:
แล้วความรู้สึกที่ว่า เขาเป็นของเรา เขาเป็นแฟนเรา
หรือแม้กระทั่ง เขาเป็นคนของเรา เป็นของของเรา แล้วก็หลงสร้าง
กฎเกณฑ์ต่างๆ ขึ้นในใจโดยไม่รุู้ตัว..ว่าเขาต้องรักเราคนเดียว
เขาจะต้องไม่รักคนอื่น เขาเป็นแฟนเรา เขาต้องไม่มีคนอื่น
ชีวิตของเราทั้งชีวิตเป็นของเขา (ทั้งๆที่เขาก็ไม่ได้ร้องขอ) เพราะฉะนั้น
ชีวิตของเขาทั้งชีวิตก็ต้องเป็นของเรา จะไปจากเราไม่ได้ และจะต้อง
ไม่มีวันจาก ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง จะต้องเป็นอย่างนี้ตลอดชั่วนิจนิรันดร์
นี่ก็คือการยึดเหนี่ยวเกี่ยวรั้ง ไม่ใช่ความรักอีกเช่นกัน :b7:

ตัวเราของเราทั้งนั้น :b6:

taktay เขียน:
ถ้าเรารู้จัก เอาสองตัวหลังออกจาก"รัก" ให้ได้ ความทุกข์
มันก็จะไม่เกิดขึ้นในใจ เขาจะมีคนอื่น เขาจะรักคนอื่นมันก็เรื่องของเขา
ไม่เกี่ยวกับเรา เพราะตัวที่ว่า "ของเรา" มันไม่มี เขาจะไปมีใครอีกสักกี่คน
เราก็จะไม่เจ็บไม่ปวด เขาจะรักใครอีก? เขาจะทำอะไรกับใครอื่น?..
เราก็ยังมีความรู้สึกเดิมๆให้เขาได้ ไม่คาดหวัง ไม่ต้องการอะไรตอบแทน
เขามีปัญหา...ถ้าช่วยได้ก็เต็มใจที่จะช่วย...ถ้าช่วยไม่ได้มีแค่กำลังใจ
ก็ให้กำลังใจ....พอเขามีความสุข....ลืมเราไปบ้างก็ไม่เป็นไร....
ไม่ได้น้อยใจ...หรือเสียใจ....ว่างก็มาหามาคุย....ไม่ว่างก็ต่างคน
ต่างอยู่ไป.....ขึดเส้นของความรักไว้แค่ "ความรู้สึก" ทางใจ
ไม่เกี่ยวพันกันเรื่องอื่นๆ..... :b23:

สุดยอดเลยครับ เยี่ยมจริงๆ :b17:
แต่ "ความรู้สึก ทางใจ" นั้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ ยึดไว้ไม่ได้เช่นกัน
ทุกสภาวะล้วนลงสู่กฏไตรลักษณ์ทั้งสิ้น



taktay เขียน:
อาจจะคิดว่าทำไม่ได้ หรือทำได้ยาก...แต่จริงๆแล้วมันไม่ได้ยากเลย
เหมือนดูภาพสามมิติ พอรู้วิธีดูแล้ว จะกี่ภาพ จะกี่หน ยากแค่ไหน?
พอดูปุ๊ป....ก็จะเห็นเป็นภาพทันที :b11:

แหม แต่อย่าลืมสิครับว่า กว่าจะได้ขนาดนี้คุณทักทายต้องผ่านอะไรมาบ้าง มันยากตรงนั้นแหละครับ
แต่ถ้าใครมาถึงจุดที่ทำได้แล้วก็จะรู้สึกว่า ที่จริงแล้วมันก็ไม่เห็นยากเลย
เพราะกุศล บารมี ที่เราอดทนใช้ความดีสู้กับความเจ็บปวดนั่นแหละครับ
มันส่งผลให้เกิดเป็นใจที่สดใส อ่อนโยนกับความรักขนาดนี้ได้ :b16:



taktay เขียน:
ที่กล่าวมานี้รวมถึงความรักทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นรักลูก หรือญาติ
จะใช้หลักการเดียวกันหมด คนที่เรารัก เขามีชีวิตของเขา เขาอาจจะไม่
ได้อยากเป็น..ในสิ่งที่เราอยากให้เขาเป็น ถ้าจะให้เขามีความสุข..ก็ควรให้เขาเป็น
ให้เขาทำในสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ใช่คาดหวังทั้งพยายามและบังคับให้เป็น..
และทำในสิ่งที่เราต้องการ....เมื่อคนที่เรารัก.....ได้มีชิวิตตามที่เขาปรารถนา...
เขาก็มีความสุข...เมื่อเห็นคนที่เรารักมีความสุข....เราก็สุข.........
ผลมันก็มีมาตามเหตุอยู่แล้ว...... :b16:

ก็อย่างว่าแหละครับว่าแต่ละคนสร้างปัจจัยมาไม่เหมือนกัน
ไม่งั้นคนที่ฝ่าฟันความทุกข์ทนในความรักจนได้พบกับความรู้สึกที่อิ่มเอมเช่นนี้อย่างคุณทักทาย
คงจะมีให้เห็นเต็มบ้านเต็มเมืองแล้ว
แต่ในปัจจุบันเท่าที่เห็นนี่ก็ พอกิเลสไม่สมดุลกันก็เลิกกันไปทั้งนั้น
หายากที่จะมีใครทนทุกข์ใจอย่างหนักได้เพื่อที่จะรักใครสักคน

ผมยังไม่คิดเลยครับว่าที่ผ่านมาตัวเองจะรักใครสักคนบนความเจ็บปวดของตัวเองขนาดนั้นได้
แต่กุศลและความดีที่ทำ ก็นำมาสู่ความสงบทางใจได้ รักได้อย่างสบายใจ
แต่อย่างว่าอีกล่ะครับ แล้วแต่กรรม แล้วแต่เหตุที่แต่ละคนสร้างมาอีกนั่นแหละ

ก็ไม่ทราบว่าจะต้องสร้างบารมีมาขนาดไหน
จึงจะสามารถใช้ความทุกข์เป็นบันไดให้เกิดปัญญาอย่างคุณทักทายได้

แต่ขณะนี้ ปัจจุบันนี้ ถึงจะทราบหรือไม่ทราบอย่างไร เมื่อเกิดปัญหาใดๆขึ้นมาแล้ว
ผู้ที่รักตัวเองอย่างแท้จริง อย่างถูกทางจริงๆ ก็ควรที่จะนำพาตนเองเข้ามาสู่เส้นทางธรรม
ตามที่พระพุทธเจ้าได้นำทางไว้แล้ว แล้วจะรู้ว่าสิ่งประเสริฐที่สุดในสรรพสิ่งทั้งปวง
ก็อยู่ตรงนี้ อยู่ตรงหน้าเรานี่เอง
วกเข้าธรรมะอีกแล้ว :b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2010, 07:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
ผู้ที่แยกออกได้แบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นความสามารถของผู้ที่วิปัสสนามานาน
ผมจึงมักจะแนะนำหลายๆคนให้ฝึกวิปัสสนาเพื่อจะได้มีความสามารถพิเศษเช่นนี้
ถ้าคุณทักทายแยกออกได้แสดงว่าคงได้ฝึกวิปัสสนาอาจจะแบบไม่รู้ตัวก็ได้


อนุโมทนาค่ะคุณพงพัน ที่แนะนำให้เพื่อนๆหนึทุกข์
ด้วยวิธีนี้ เป็นวิธีที่วิเศษที่สุด ให้ผลระยะยาวด้วยค่ะ :b8:

เริ่มเข้าปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องเป็นราวประมาณปี 37
ราวกับจะรู้ว่า...ในอนาคตอันไม่ไกลนี้...จะเป็นยารักษา
ที่จะต้องได้ใช้แน่นอน.. หลังจากนั้นก็กระท่อนกระแท่นมาเรื่อยๆ
แต่ก็ไม่ได้ทิ้ง...ยิ่งมีทุกข์มากก็ยิ่งเข้าหาธรรมะ...ถึงจะไม่มี
สติพอที่จะปฏิบัติกรรมฐาน...ก็จะฟังเทศน์บ้าง หาหนังสือ
เกี่ยวกับธรรมะมาอ่าน หรือสวดมนต์บ้าง ทำบุญถวาย
สังฆทานบ้าง ตามแต่โอกาส :b55:

แล้วก็เริ่มรู้จักว่าตอนนี้เราทุกข์นะ...เราทุกข์เพราะอะไร?....
อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้เราเป็นแบบนี้?.....เราควรจะ
ทำอย่างไร?...ให้ทุกข์ที่เราเป็นอยุ่นี้มันทุเลาเบาบางลง
ก็พอจะแยกออกได้...พอมีปัญหา..จะค่อยๆแยกได้
เป็นส่วนๆ...แบบอัตโนมัติเลย...จะทุกข์ก็ไม่กลัว
ถึงไม่ทำอะไร?...เดี๋ยวมันก็จากเราไปเอง...ถ้าสุข
ก็ไม่ดีใจมาก...เพราะเดี๋ยวมันก็ไปอีกเหมือนกัน.... :b48:

ปัจจุบันก็ยังไม่ไปถึงไหน? สภาวะยังวนเวียนอยู่ที่เดิม
เพราะเวลาและสถานที่ไม่ค่อยเอื้อสักเท่าไหร่?....แต่ก็ไม่ทิ้งค่ะ
พยายามทำเท่าที่จะมีโอกาส....ขอยืนยันเลยว่า...ยาใดๆในโลกนี้
ไม่มีดีวิเศษเท่ากับ "ธรรมโอสถ" รักษาได้ทุกโรค ไม่ต้องเสียเงินซี้อ
ไม่ต้องเสียเวลาไปหาหมอ ไม่ต้องผ่าตัด ให้เจ็บตัว
เรารักษาได้ด้วยตัวของเราเอง....... :b43:


อ้างคำพูด:
แต่ "ความรู้สึก ทางใจ" นั้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้
ยึดไว้ไม่ได้เช่นกันทุกสภาวะล้วนลงสู่กฏไตรลักษณ์ทั้งสิ้น


คือรู้อยู่ที่ใจ รู้ว่าเรา "รัก" นะ
เพราะเรายังเป็นคนอยู่.....จะไม่ให้รู้สึกรัก ชอบ พอใจ
ใครเลย...คงเป็นไปได้ยาก....เมื่อยังตัดไม่ได้ก็ไมฝืน
ปล่อยไปตามธรรมชาติ...เพียงแต่ดู และรู้อยู่ที่ใจ
ไม่ไขว่คว้า.....เพราะทุกอย่างมันไม่เที่ยงทั้งนั้นแหละค่ะ
ไม่ว่าจะรู้สึก หรือไม่รู้สึก :b1:


อ้างคำพูด:
แหม แต่อย่าลืมสิครับว่า กว่าจะได้ขนาดนี้คุณทักทายต้องผ่านอะไรมาบ้าง
มันยากตรงนั้นแหละครับแต่ถ้าใครมาถึงจุดที่ทำได้แล้วก็จะรู้สึกว่า ที่จริงแล้วมันก็ไม่เห็นยากเลย
เพราะกุศล บารมี ที่เราอดทนใช้ความดีสู้กับความเจ็บปวดนั่นแหละครับ
มันส่งผลให้เกิดเป็นใจที่สดใส อ่อนโยนกับความรักขนาดนี้ได้


ไม่ว่าทุกข์หรือสุข...ไม่มีใครมากกว่า หรือน้อยกว่ากัน
หรอกค่ะ....อยู่ที่ใจเรายอมรับมันแค่ไหน?....เหมือนมีดบาดนิ้วมือ...คนหนึ่งอาจ
รู้สึกเจ็บมากๆ....เห็นแผลแล้วจะเป็นลมให้ได้....แต่บาดแผลเท่ากันที่เกิดกับอีกคนหนึ่ง
กลับรู้สึกเล็กน้อย....แป๊ปเดียวก็หายเจ็บแล้ว :b11:

ยามใดที่เกิดทุกข์ แค่ใช้ความอดทนรอเวลา..แล้วมันก็จะดับไปเอง
แทบจะไม่ต้องต่อสู้เลย...ขอเพียงอย่าซ้ำเติม...ด้วยการปรุงแต่งเพื่อ
เพิ่มบาดแผล...ความเจ็บปวดให้กับตัวเอง....แค่ยอมรับว่าเขาเป็นส่วนหนึ่ง
ของชีวิตเราเป็นฝาแฝดของเรา...มาตั้งแต่เกิด :b20:


อ้างคำพูด:
หายากที่จะมีใครทนทุกข์ใจอย่างหนักได้เพื่อที่จะรักใครสักคน
ผมยังไม่คิดเลยครับว่าที่ผ่านมาตัวเองจะรักใครสักคนบนความเจ็บปวดของตัวเองขนาดนั้นได้
แต่กุศลและความดีที่ทำ ก็นำมาสู่ความสงบทางใจได้ รักได้อย่างสบายใจ
แต่อย่างว่าอีกล่ะครับ แล้วแต่กรรม แล้วแต่เหตุที่แต่ละคนสร้างมาอีกนั่นแหละ


พอเราวางทุกอย่างลงได้...แยกแยะความรัก
กับความต้องการออกจากกันได้แล้ว...ความเจ็บปวด..หรือทุกข์ใจต่างๆ
มันก็มลายหายไปหมด...เหลือแต่ "รัก" และปรารถนาดีแบบอัตโนมัติ
จะไม่มีคำว่าเจ็บปวดเจือปนอยู่กับความรัก..และไม่ต้องทนทุกข์ด้วย :b53:

กุศลผลบุญเก่าคงมีอยู่บ้างจึงเหวี่ยงให้ทักทายเข้ามาในกระแสทางนี้..
และสิ่งที่แน่นอนที่สุดคือการแผ่เมตตาทำใจอโหสิกรรม...
ยอมรับทำใจ"อภัย"..ปลดปล่อยความโกรธ..แค้น..อาฆาต...
พยาบาทออกจากใจ...อานิสงส์นี้ส่งผลเร็วจริงๆค่ะ :b8:

สาธุ...เจริญในธรรม :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.พ. 2010, 08:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.พ. 2010, 08:13
โพสต์: 2

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b32: เข้าใจทุกสิ่งดีขึ้น สาธุบุญด้วยนะคะ

.....................................................
กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นต้องตามสนอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 มี.ค. 2010, 15:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


taktay เขียน:

ปัจจุบันก็ยังไม่ไปถึงไหน? สภาวะยังวนเวียนอยู่ที่เดิม
เพราะเวลาและสถานที่ไม่ค่อยเอื้อสักเท่าไหร่?....แต่ก็ไม่ทิ้งค่ะ
พยายามทำเท่าที่จะมีโอกาส....ขอยืนยันเลยว่า...ยาใดๆในโลกนี้
ไม่มีดีวิเศษเท่ากับ "ธรรมโอสถ" รักษาได้ทุกโรค ไม่ต้องเสียเงินซี้อ
ไม่ต้องเสียเวลาไปหาหมอ ไม่ต้องผ่าตัด ให้เจ็บตัว
เรารักษาได้ด้วยตัวของเราเอง....... :b43:


ที่ว่าคงไม่ไปถึงไหนคงไม่ใช่หรอกครับ
สภาวะที่คุณทักทายมีอยู่ สัมผัสอยู่นั้นไม่ใช่สภาวะที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆกับคนทุกคน
ถ้าไม่ได้ฝึกวิปัสสนามาบ้าง จะไม่มีทางคิดหรือรู้สึกเช่นนี้ได้
ไม่ไกลแล้วล่ะครับคุณทักทาย ถ้าคุณทักทายปารถนาการหลุดพ้นจากการเกิดอีก
ถ้าให้ผมแนะนำต่อไป ก็ควรพิจารณาขันธ์๕ของเราให้ละเอียด
น้อมสู่ไตรลักษณ์ และถามตัวเองว่าควรจะยึดมั่นถือมั่นอีกหรือ
ขันธ์๕นี้เป็นของใคร เมื่อมันเป็นเพียงสภาวะที่เกิดดับ ไม่มีตัวเราของเรา
แล้วเรายึดอะไร และผู้ที่ถามว่าเรายึดอะไร ก็เกิดดับเช่นกัน ควรยึดไว้หรือไม่

สถานที่ปฏิบัติ โอกาสและเวลาในการปฏิบัติ อยู่กับเราตลอดเวลาครับ
สถานที่ที่เหมาะที่สุด ที่ดีที่สุดก็คือกายและใจของเรานี่แหละครับ
ทุกข์ก็ทุกข์ที่กายและใจ จะพ้นทุกข์ได้ก็ที่กายและใจเรานี่แหละครับ ไม่ใช่ที่ไหนเลย



taktay เขียน:
คือรู้อยู่ที่ใจ รู้ว่าเรา "รัก" นะ
เพราะเรายังเป็นคนอยู่.....จะไม่ให้รู้สึกรัก ชอบ พอใจ
ใครเลย...คงเป็นไปได้ยาก....เมื่อยังตัดไม่ได้ก็ไมฝืน
ปล่อยไปตามธรรมชาติ...เพียงแต่ดู และรู้อยู่ที่ใจ
ไม่ไขว่คว้า.....เพราะทุกอย่างมันไม่เที่ยงทั้งนั้นแหละค่ะ
ไม่ว่าจะรู้สึก หรือไม่รู้สึก :b1:


ถูกแล้วล่ะครับที่ปล่อยไปตามธรรมชาติ
ลองศึกษาขันธ์๕ ของเราให้ละเอียดอีกนิด
แล้วถามตัวเองว่า ใครเป็นผู้ดู ใครเป็นผู้รู้(มันคือวิญญาณขันธ์ ในขันธ์๕)
ผู้ดูผู้รู้นี้มันก็ไม่เที่ยงไม่ใช่หรือ ควรยึดมั่นถือมั่นไว้หรือไม่


taktay เขียน:
ไม่ว่าทุกข์หรือสุข...ไม่มีใครมากกว่า หรือน้อยกว่ากัน
หรอกค่ะ....อยู่ที่ใจเรายอมรับมันแค่ไหน?....เหมือนมีดบาดนิ้วมือ...คนหนึ่งอาจ
รู้สึกเจ็บมากๆ....เห็นแผลแล้วจะเป็นลมให้ได้....แต่บาดแผลเท่ากันที่เกิดกับอีกคนหนึ่ง
กลับรู้สึกเล็กน้อย....แป๊ปเดียวก็หายเจ็บแล้ว :b11:

ยามใดที่เกิดทุกข์ แค่ใช้ความอดทนรอเวลา..แล้วมันก็จะดับไปเอง
แทบจะไม่ต้องต่อสู้เลย...ขอเพียงอย่าซ้ำเติม...ด้วยการปรุงแต่งเพื่อ
เพิ่มบาดแผล...ความเจ็บปวดให้กับตัวเอง....แค่ยอมรับว่าเขาเป็นส่วนหนึ่ง
ของชีวิตเราเป็นฝาแฝดของเรา...มาตั้งแต่เกิด :b20:


เหตุการณ์เหมือนกันแต่ทุกข์มากน้อยต่างกัน
มันเป็นความแรงของผลกรรมแต่ละคนที่ทำกรรมมาหนักเบาไม่เท่ากันครับ
จึงไม่สามารถจะตัดสินให้กันได้เลยว่าควรทุกข์มากน้อยแค่ไหน
แต่สิ่งที่ทุกคนสามารถทำเหมือนกันได้คือพิจารณาความเป็นธรรมชาติของทุกข์และไม่ทุกข์ไปกับทุกข์

ฝาแฝดของเรามันไม่เที่ยง ตัวเรามันก็ไม่เที่ยง
เพราะที่จริงแล้วมันก็ไม่มีเรา ตัวเราหรือฝาแฝดของเราจึงเป็นสภาวะเหมือนๆกัน
ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นเหมือนกัน

taktay เขียน:
พอเราวางทุกอย่างลงได้...แยกแยะความรัก
กับความต้องการออกจากกันได้แล้ว...ความเจ็บปวด..หรือทุกข์ใจต่างๆ
มันก็มลายหายไปหมด...เหลือแต่ "รัก" และปรารถนาดีแบบอัตโนมัติ
จะไม่มีคำว่าเจ็บปวดเจือปนอยู่กับความรัก..และไม่ต้องทนทุกข์ด้วย :b53:

กุศลผลบุญเก่าคงมีอยู่บ้างจึงเหวี่ยงให้ทักทายเข้ามาในกระแสทางนี้..
และสิ่งที่แน่นอนที่สุดคือการแผ่เมตตาทำใจอโหสิกรรม...
ยอมรับทำใจ"อภัย"..ปลดปล่อยความโกรธ..แค้น..อาฆาต...
พยาบาทออกจากใจ...อานิสงส์นี้ส่งผลเร็วจริงๆค่ะ :b8:

สาธุ...เจริญในธรรม :b8:


การที่คุณทักทายสามารถแยกสภาวะต่างๆออกจากกันได้
ก็เป็นผลจากการวิปัสสนานั่นแหละครับ
ความเจ็บปวดก็ไม่เที่ยง ความรักก็ไม่เที่ยง
แม้แต่ตัวผู้เจ็บปวด ตัวผู้รัก ก็ไม่เที่ยง คือตัวเราก็ไม่เที่ยงเช่นกัน
แล้วยังจะมีอะไรน่ายึดมั่นถือมั่นอีกล่ะครับ

หวังว่าคุณทักทายจะเห็นบางสิ่งบางอย่าง
จากการพิจารณาตามที่ผมบอก
ติดตรงไหน สงสัยตรงไหน ถามได้ครับ
ผมยินดีให้คำแนะนำตามความรู้เท่าที่ผมมีอยู่ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 10:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


พงพัน เขียน:
การที่คุณทักทายสามารถแยกสภาวะต่างๆออกจากกันได้
ก็เป็นผลจากการวิปัสสนานั่นแหละครับ
ความเจ็บปวดก็ไม่เที่ยง ความรักก็ไม่เที่ยง
แม้แต่ตัวผู้เจ็บปวด ตัวผู้รัก ก็ไม่เที่ยง คือตัวเราก็ไม่เที่ยงเช่นกัน
แล้วยังจะมีอะไรน่ายึดมั่นถือมั่นอีกล่ะครับ

หวังว่าคุณทักทายจะเห็นบางสิ่งบางอย่าง
จากการพิจารณาตามที่ผมบอก
ติดตรงไหน สงสัยตรงไหน ถามได้ครับ
ผมยินดีให้คำแนะนำตามความรู้เท่าที่ผมมีอยู่ครับ


อนุโมทนา สาธุ กับคำแนะนำค่ะ
จะพยายามพิจารณาตามนี้..ให้ได้นะค่ะ
บางครั้งก็ดูเหมือนจะเข้าใจจะรู้...แต่บางทีมันก็
เหมือนไม่เข้าใจเอาเสียเลย...รู้สึกพอจวนเจียน
จะสว่าง...มันก็กลับมืด...ไปอีกต้องมาเริ่มต้นใหม่
แล้วก็ค่อยๆก้าวใหม่...ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าติดอะไรอยู่?
ตอนนี้ก็ได้แต่ประคับประคองสภาวะเดิมๆไปก่อน
หากมีข้อสงสัย....คงต้องรบกวนขอคำแนะนำ
จากคุณพงพันในโอกาสต่อไปนะค่ะ.....
ขออนุโมทนาสาธุอีกครั้งค่ะ :b8:

เจริญในธรรม :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มี.ค. 2010, 12:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ความรักนั้น... สุดท้าย ท้ายที่สุด ก็เหลือเพียงแค่ตัวเรา....

ความรัก สามารถเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด และก็สามารถ ที่จะโบยบินจากไปโดยที่เราไม่ทันตั้งตัวได้เช่นกัน

ดังนั้นสุดท้ายคนที่เหลืออยุ่ของความรัก ก็คือตัวเรา นั้นเอง

ต่อให้เรารักเขามากแค่ไหน หากถึงเวลาต้องจากกัน ไม่ว่าใครก็คงรั้งเอาไว้ไม่ได้

มีพบ มีพราก มีลาจากกันในบั้นปลาย

คงเหลือได้เพียงแค่ความทรงจำดีๆที่เก็บไว้ พอตายจากกันก็หายไป... เริ่มภพชาติใหม่กับคนอื่น....

สุดท้ายแล้วคงไม่พ้น ที่เราจะต้อง

"รักตัวเอง"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มี.ค. 2010, 21:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออภัยนะครับที่ตอบรับช้า
อ่านดูแล้ว ขออนุญาตแนะนำคุณทักทายเท่าความรู้ที่ผมมีนะครับ

taktay เขียน:

บางครั้งก็ดูเหมือนจะเข้าใจจะรู้...แต่บางทีมันก็
เหมือนไม่เข้าใจเอาเสียเลย...รู้สึกพอจวนเจียน
จะสว่าง...มันก็กลับมืด...ไปอีกต้องมาเริ่มต้นใหม่
แล้วก็ค่อยๆก้าวใหม่...ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าติดอะไรอยู่?


ผมจะย้ำเสมอว่า การพิจารณา อย่าหนีไปจากขันธ์๕
จะรู้ก็ควรรู้อยู่ในขันธ์๕ของเรา จะเข้าใจก็ควรเข้าใจอยู่ในขันธ์๕ของเรา
การก้าวใหม่ก็ควรเริ่มที่ขันธ์๕ของเรา และที่ติดอยู่ก็ติดในขันธ์๕ของเรานี่แหละครับ

เข้าใจก็ไม่เที่ยง ไม่เข้าใจก็ไม่เที่ยง รู้ก็ไม่เที่ยง ไม่รู้ก็ไม่เที่ยง
สว่างก็ไม่เที่ยง มืดก็ไม่เที่ยง ทุกอย่างล้วนเป็นความไม่เที่ยง
(คุณทักทายพิจารณามานานพอสมควรถ้าพูดแบบนี้อาจจะพอเข้าใจในไตรลักษณ์มากขึ้น)
การจะหลุดออกจากความไม่เที่ยงนี้ ก็ต้องพิจารณาในขันธ์๕ของเราดูว่า
ใครเป็นผู้เข้าใจ ใครเป็นผู้ไม่เข้าใจ ใครเป็นผู้รู้ ใครเป็นผู้ไม่รู้
ใครเป็นผู้สว่าง ใครเป็นผู้มืด ลองถามตัวเองและหาดูว่ามันเป็นใคร
และใครที่เราหาอยู่นี้มันเที่ยงหรือไม่ แล้วผู้ที่เข้าไปหามันเที่ยงหรือไม่
ไม่ต้องเร่งนะครับ ค่อยๆพิจารณาไปก็ได้
แต่ข้อเน้นว่า ให้ดูสภาวะในกายใจของคุณทักทาย
ว่าสภาวะนั้นๆมันเกิดจากการทำงานของตัวใดในขันธ์๕
ดูให้เห็นการทำงานของขันธ์๕แต่ละตัวให้ชัด มันก็จะไม่หลง
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในกายใจเรามันจะไม่พ้นไปจากขันธ์๕แน่นอน

เมื่อพิจารณาครอบคลุมขันธ์๕แล้วจะรู้อย่างไม่หลง ไม่นานก็จะรู้ว่าติดอะไรอยู่ครับ

taktay เขียน:
ตอนนี้ก็ได้แต่ประคับประคองสภาวะเดิมๆไปก่อนหากมีข้อสงสัย....คงต้องรบกวนขอคำแนะนำ
จากคุณพงพันในโอกาสต่อไปนะค่ะ.....
ขออนุโมทนาสาธุอีกครั้งค่ะ :b8:

เจริญในธรรม :b8:


อนุโมทนาบุญด้วยครับ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 00:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
แต่ข้อเน้นว่า ให้ดูสภาวะในกายใจของคุณทักทาย
ว่าสภาวะนั้นๆมันเกิดจากการทำงานของตัวใดในขันธ์๕
ดูให้เห็นการทำงานของขันธ์๕แต่ละตัวให้ชัด มันก็จะไม่หลง
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในกายใจเรามันจะไม่พ้นไปจากขันธ์๕แน่นอน
เมื่อพิจารณาครอบคลุมขันธ์๕แล้วจะรู้อย่างไม่หลง ไม่นานก็จะรู้ว่าติดอะไรอยู่ครับ


พอจะเข้าใจบ้างแล้ว...
จะทำตามคำแนะนำนะค่ะ

อนุโมทนา สาธุค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ย. 2009, 16:20
โพสต์: 537

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


taktay เขียน:
อ้างคำพูด:
แต่ข้อเน้นว่า ให้ดูสภาวะในกายใจของคุณทักทาย
ว่าสภาวะนั้นๆมันเกิดจากการทำงานของตัวใดในขันธ์๕
ดูให้เห็นการทำงานของขันธ์๕แต่ละตัวให้ชัด มันก็จะไม่หลง
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในกายใจเรามันจะไม่พ้นไปจากขันธ์๕แน่นอน
เมื่อพิจารณาครอบคลุมขันธ์๕แล้วจะรู้อย่างไม่หลง ไม่นานก็จะรู้ว่าติดอะไรอยู่ครับ


พอจะเข้าใจบ้างแล้ว...
จะทำตามคำแนะนำนะค่ะ

อนุโมทนา สาธุค่ะ :b8:


สาธุ สาธุ สาธุ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอให้ทุกคนโชคดีในความรัก :b4:

มีลูกตามคิด ชีวิตมีสูข จาก ไบรวู๊ด มากาเร้ต

:b32:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


อปฺปสฺสาทา ทุกฺขา กามา นตฺถิ กามา ปรํ ทุกฺขํ
เย กาเม ปฏิเสวนฺติ นิรยนฺเต อุปปชฺชเร.


กามทั้งหลายมีความยินดีน้อย มีทุกข์มาก ทุกข์อันยิ่งกว่ากามไม่มี
ผู้ใดส้องเสพกาม ผู้นั้นย่อมเข้าถึงนรก.

(โพธิสตฺต) ขุ. ชา. เอกาทสก. ๒๗/๓๑๕.
:b42: :b42: :b42:


:b44: :b44: :b44: :b39: :b44: :b44: :b44: :b39: :b44: :b44: :b44: :b39:


แก้ไขล่าสุดโดย หลับอยุ่ เมื่อ 07 มี.ค. 2010, 23:26, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


อิตฺถี มลํ พฺรหฺมจริยสฺส เอตฺถายํ สชฺชเต ปชา
ตโป จ พฺรหฺมจริยญฺจ ตํ สินานมโนทกํ.

หญิงเป็นมลทินของพรหมจรรย์ ประชาชนนี้ข้องอยู่ในหญิงนี้ ตบะและพรหมจรรย์เป็นเครื่องอาบ ไม่ใช่น้ำ.

(พุทฺธ) สํ. ส. ๑๕/๕๒.
:b42: :b42: :b42: :b43: :b43: :b43: :b44: :b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มี.ค. 2010, 23:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2009, 10:41
โพสต์: 4463

อายุ: 0
ที่อยู่: วัฏสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว


ปิยานํ อทสฺสนํ ทุกขํ อปฺปิยานญฺจ ทสฺสนํ
ตสฺมา ปิยํ น กยิราถ ปิยาปาโย หิ ปาปโก.

การไม่เห็นสิ่งที่รักเป็นทุกข์ และการเห็นสิ่งที่ไม่รักก็เป็นทุกข์ เหตุนั้น จึงไม่ควรทำอะไรให้เป็นที่รัก
เพราะความพรากจากสิ่งที่รัก เป็นการทราม.

(พุทฺธ) ขุ. ธ. ๒๕/๔๓.
:b42: :b43: :b44: :b42: :b43: :b44: :b42: :b43: :b44:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 251 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5 ... 17  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 77 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร