| ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
| ความรักที่ไม่เป็นทุกข์ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=27&t=33906 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
| เจ้าของ: | บัวลอยไข่หวาน [ 17 ส.ค. 2010, 21:21 ] |
| หัวข้อกระทู้: | ความรักที่ไม่เป็นทุกข์ |
ผู้คนทั้งหลายเกือบจะทั้งหมดในโลกนี้ ล้วนอยากมีหรือแสวงหาความรักด้วยกันทั้งนั้น เพราะเขาเหล่านั้นคิดว่าความรักจะนำมาซึ่งความสุข แต่จะมีสักกี่คนที่มีความสุขจากความรักได้อย่างแท้จริง โดยไม่มีความทุกข์มาเจือปนด้วยเลย ทั้งในขณะเริ่มต้น ท่ามกลาง และที่สุด (ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการจากเป็นคือทั้งสองฝ่ายล้วนยังมีชีวิตอยู่ หรือจากตายคือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายต้องตายจากกันไป) ความรักนั้นมีหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบก็ทำให้มีความสุข ความทุกข์ที่แตกต่างกันออกไป ความรักที่ทำให้เป็นทุกข์คือความรักที่ประกอบไปด้วยความยึดมั่นถือมั่น ยึดมั่นว่าเป็นของๆ เรา เป็นคนรักของเรา เขาจะต้องมีเราคนเดียวตลอดไป อย่าได้ไปชายตามองคนอื่นเลย เขาจะต้องรักเราและอยู่กับเราตลอดไป จะต้องเป็นไปตามที่ใจเราปรารถนา ฯลฯ ถ้าไม่อยากเป็นทุกข์ก็ต้องรักโดยไม่มีความยึดมั่นถือมั่น มีแต่ความเมตตา ปรารถนาดีต่อเขาด้วยใจจริง แต่ไม่ยึดมั่นว่าเขาจะต้องเป็นอย่างที่เราปรารถนา หรือคาดหวังจะให้เป็น ต้องรักในส่วนที่ดีของเขา ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับหรือทำใจในส่วนที่ไม่ดีของเขาด้วย อย่าคาดหวังว่าจะได้พบกับคนที่สมบูรณ์ เพียบพร้อมไปทุกกระเบียดนิ้ว และต้องยอมรับความจริงว่าสิ่งต่างๆ ล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย แม้ร่างกายและจิตใจของเราเองยังเอาแน่อะไรไม่ได้เลย แล้วจะไปหวังอะไรกับคนอื่นเล่า วันนี้ ตอนนี้ดี ใครจะรับรองได้ว่าอีก 1 นาทีข้างหน้าจะยังดีอยู่เหมือนเดิม การไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ไม่อยู่ในอำนาจ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ก็มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่หวังได้ ถ้ายอมรับความจริงเหล่านี้ และทำใจได้อย่างแท้จริง สามารถรักได้โดยปราศจากความยึดมั่นถือมั่น มีจิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเมตตาที่บริสุทธิ์ รักเพื่อจะให้โดยไม่หวังอะไรตอบแทน ไม่ใช่รักเพื่อจะรับ รักเพื่อจะให้คนที่เรารักมีความสุข ก็จะไม่ต้องเป็นทุกข์ใจเพราะความรักนั้น (ความรู้สึกเช่นนี้มักจะไม่เรียกกันว่าความรัก แต่จะเรียกว่าความเมตตา เพราะโดยทั่วไปแล้วความรักมักจะประกอบไปด้วยความยึดมั่นถือมั่น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า "โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัสและอุปายาส* ย่อมเกิดแต่ของที่รัก เป็นมาแต่ของที่รัก") แต่ถ้าทำใจเช่นนั้นไม่ได้ การอยู่คนเดียวก็น่าจะมีความสุขมากกว่า ดังคำที่ว่า: [๒๙๖] ..... ความเยื่อใยย่อมมีแก่บุคคลผู้เกี่ยวข้องกัน ทุกข์นี้ย่อมเกิดขึ้นตามความเยื่อใย บุคคลเล็งเห็นโทษอันเกิดแต่ความเยื่อใย พึงเที่ยวไปผู้เดียว เหมือนนอแรด ฉะนั้น ..... (ขัคควิสาณสูตรที่ ๓ พระไตรปิฎก พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ - ธรรมบท - อุทาน) โสกะ - ความโศก ปริเทวะ - ความร่ำไรรำพัน, ความคร่ำครวญ, ความรำพันด้วยเสียใจ, ความบ่นเพ้อ โทมนัส - ความเสียใจ, ความเป็นทุกข์ใจ อุปายาส - ความคับแค้นใจ, ความสิ้นหวัง |
|
| เจ้าของ: | วิสุทธิปาละ [ 17 ส.ค. 2010, 22:40 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักที่ไม่เป็นทุกข์ |
ขออนุญาตใช้ post เดิมที่ post ในกระทู้ 21317.ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ .. เพราะเหตุใด? มา reuse นะครับ (เพื่อเป็นการอนุรักษ์พลังงานในการพิมพ์) ขอลองอธิบายเพื่อประโยชน์ในการปฏิบัตินะครับ ผิดถูกอย่างไร น้อมรับคำแนะนำที่มีพื้นฐานบนความกรุณาครับ โดยขอจำกัดวงแค่ความรักระหว่างชีวิตกับชีวิต (สังขารมีใจครอง) ที่มีความผูกพันกัน เช่น หนุ่มสาวที่เป็นแฟนกัน, สามีภรรยา, พ่อแม่กับลูก, เพื่อนกับเพื่อน, ญาติกับญาติ, คนกับสัตว์เลี้ยง ฯลฯ ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ ต้องมีเหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) นะครับ ที่นั่นถึงมีทุกข์ แล้วทำไมความรักถึงเป็นเหตุแห่งทุกข์ ? เหตุแห่งทุกข์ (สมุทัย) ได้แก่ ตัณหาทั้ง ๓ ๑) กามตัณหา ความทะยานอยากในกาม อยากได้อารมณ์อันน่ารักใคร่ ๒) ภวตัณหา ความทะยากอยากในภพ อยากเป็นนั่นเป็นนี่ หรืออยากเกิดอยากมีอยู่คงอยู่ตลอดไป, ความทะยานอยากที่ประกอบด้วยภวทิฏฐิหรือสัสสตทิฏฐิ ๓) วิภวตัณหา ความอยากในวิภพ คือความทะยานอยากในความไม่มีไม่เป็น อยากไม่เป็นนั่นไม่เป็นนี่ อยากตายเสีย อยากขาดสูญ อยากพรากพ้นไปจากภาวะที่ตนเกลียดชังไม่ปรารถนา, ความทะยานที่ประกอบด้วยวิภวทิฏฐิ หรืออุจเฉททิฏฐิ ข้อแรก ถ้าความรักมีแรงขับดันมาจากความอยากในกาม ความอยากได้อารมณ์อันน่าใคร่ เช่น หนุ่มรักสาว สาวรักหนุ่ม เพราะสามารถให้อารมณ์อันน่าใคร่ทางตา-หู-จมูก-กายได้, เจ้าของรักแมวหมาเพราะขี้เล่นประจบเอาใจ (อารมณ์อันน่าใคร่) ฯลฯ ถ้าตราบใดยังสนองอารมณ์อันน่าใคร่ได้ ก็แล้วไป (แต่จะทำให้ติดใจและทะยานอยากเสพมากขึ้น (อุปปาทาน)) แต่ความเป็นจริงแล้วไม่เคยมีกามอันใดที่ยั่งยืนถาวร(นิจจัง) จึงต้องมีอีกด้านคือ การไม่ตอบสนองอารมณ์อันน่าใคร่ ซ้ำยังยัดเยียดอารมณ์อันไม่น่าใคร่ให้ เช่น เป็นแฟนกันอยู่ดีๆ มีงอนใส่ พฤติกรรมเปลี่ยนไปให้น่าสงสัย หรือแม้กระทั่งหมาแมวไม่มาคลอเคลียแถมยังข่วนเราอีก ฯลฯ ซึ่งความผิดไปจากที่หวังในอารมณ์อันน่ารักใคร่นั้นคือเหตุแห่งทุกข์ ที่ทำให้เกิดความทุกข์คือความผิดหวัง กังวล เสียใจ (โทสะ) ส่วนความรักที่มีแรงขับดันมาจากภวะและวิภวตัณหา ดูเหมือนจะเป็นความรักที่ดี เช่น แม่รักลูก แต่จริงๆแล้วก็ยังคงเป็นรักที่มาจากตัณหาอย่างละเอียด ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ได้พอๆกันกับความรักที่มาจากกามครับ (ภว+วิภวตัณหาที่อยู่เบื้องหลังความรักของแม่ต่อลูก หรือของลูกต่อบุพการี ฯลฯ เป็นตัณหาอย่างละเอียด เห็นได้ยาก และดูผู้ดีนะครับ เหมือนเช่นภวตัณหาของพระอนาคามี ได้แก่ ความพอใจติดใคร่ในรูปฌาน และอรูปฌาน ซึ่งดูเหมือนจะดี แต่ก็ยังเป็นตัณหาละเอียดที่ผลักดันให้เกิดภพ ไม่หลุดไปจากภพได้ ในระดับชั้นของพระอนาคามี) ถ้าความรักมีแรงขับดันมาจากความอยากให้ไม่มีไม่เป็น เช่น อยากให้ลูกไม่ลำบาก หรือมีแรงขับดันมาจากความอยากเป็นนั่นเป็นนี่ หรืออยากเกิดอยากมีอยู่คงอยู่ตลอดไป เช่น อยากให้ลูกเป็นคนดี อยากให้ลูกอยู่กับเราตลอดไป หรืออยากให้พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย หรือคู่ชีวิตของเรา อยู่กับเราตลอดไป ซึ่งเป็นความอยากที่ไปฝืนขวางกระแสของธรรมชาติ นั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์จากความรักได้อย่างสาหัส เวลาที่มันไม่เป็นไปอย่างที่เราต้องการนะครับ เช่น คนที่เรารักเราผูกพันลำบากเป็นทุกข์ ลูกสอบตก พ่อแม่ป่วยไข้ หรือพลัดพรากจากเราไป เป็นต้นครับ (มีต่อ) |
|
| เจ้าของ: | วิสุทธิปาละ [ 17 ส.ค. 2010, 22:41 ] |
| หัวข้อกระทู้: | Re: ความรักที่ไม่เป็นทุกข์ |
มาต่อกันครับ สรุปแล้ว ถ้าเป็นความรักที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความอยาก ความคาดหวัง คือตัณหา ไม่ว่าจะอยากในอารมณ์อันน่าใคร่ หรืออยากในการไม่ให้มี หรืออยากให้มีอยู่ตลอดไป ก็เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ทั้งนั้นครับ เพราะความอยาก ความคาดหวังทั้งหมดนั้นมันฝืนขวางกระแสของธรรม ซึ่งเป็นลักษณะสามัญอันได้แก่ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา และเพราะความอยากเหล่านั้นเป็นปัจจัย จึงทำให้เกิดความยึดทะยานอยากเพิ่มขึ้นเมื่อได้เสพแล้ว (อุปปาทาน) ส่งผลให้เกิดภพ เกิดชาติ เกิดชรามรณะอันเป็นลักษณะสามัญ จนกระทั่งเกิด “ความโศก ความคร่ำครวญ ทุกข์ โทมนัส และความคับแค้นใจ ก็มีพร้อม ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนี้ จึงมี” ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ทุกประการ ลองสังเกตดูจากของจริงลงในปัจจุบันนะครับ ว่าเห็นสภาวะตามนี้หรือไม่ (ภาวนามยปัญญา)ดังนั้น ในภาคปัญญาที่เกิดจากความคิด (จินตามยปัญญา) แล้ว ถ้าเราแปรความรักที่มีบนพื้นฐานของความอยากหรือไม่อยาก เป็นความรักที่อยู่บนพื้นฐานของเหตุผล (คือเหนือความอยากไม่อยากขึ้นไปอีกขั้น) ก็จะเป็นความรักที่ไม่ก่อให้เกิดทุกข์ได้ครับ แล้วรักอย่างไร ? ธรรมะของพระพุทธเจ้า คล้องจองไร้ช่องโหว่นะครับ ตรงนี้ พรหมวิหาร ๔ เข้ามาต่อจิกซอว์ได้อย่างสนิททีเดียว นั่นคือ ความรักที่อยู่บนพื้นฐานของ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา รักแบบไม่อยากไม่หวัง รักแบบมีเหตุมีผล ได้หรือไม่ได้ก็รู้ว่ามาจากเหตุและปัจจัยโดยไม่คาดหวัง หรืออยากไว้ล่วงหน้าขยายความด้วยตัวอย่างเช่น ๑) เดิม แม่รักลูก อยากให้ลูกเรียนเก่ง จึงเคี่ยวเข็ญสั่งสอนลูกด้วยความอยาก เมื่ออธิบาย ๑๐ เที่ยวแล้วลูกก็ยังไม่เข้าใจ ก็หงุดหงิดปี๊ดขึ้นสมอง คุมสติไม่อยู่ฟาดลูกไป ๑ ที พัฒนาเป็น แม่รักลูก ด้วยเหตุและผลที่เห็นว่า ลูกเรียนเก่งจะมีผลดีกว่าเรียนไม่เก่ง จึงสร้างเหตุและปัจจัยคือหมั่นสั่งสอนลูกด้วยความเมตตา ทำให้เต็มที่โดยไม่อยากและหวังในผลที่จะได้ไว้ล่วงหน้า แต่เมื่ออธิบาย ๑๐ เที่ยวแล้วลูกก็ยังไม่เข้าใจ ก็วางอุเบกขา (ทำใจได้เพราะไม่หวังตั้งแต่แรก) และ (ด้วยความรักความกรุณาที่มีอยู่ในใจ) ใช้ความคิดหาเหตุผลและวิธีการต่อไปเพื่อให้ลูกเข้าใจ ๒) เดิม ลูกรักแม่ที่กำลังป่วยหนักอยู่ห้องไอซียู ไม่อยากให้แม่พลัดพรากจากไป เลยทำทุกวิถีทางที่จะยื้อชีวิตของแม่ไว้ แต่สุดท้ายต้องประสบกับการสูญเสียพัดพราก ทำใจไม่ได้จึงเสียใจเป็นทุกข์ ร้องไห้คร่ำครวญ พัฒนาเป็น ลูกรักแม่ที่กำลังป่วยหนักอยู่ห้องไอซียู ด้วยเหตุและผลที่เห็นว่า การรักษาแม่จะทำให้แม่ทรมานน้อยลง ถ้าหายได้จะยิ่งดี จึงทำทุกวิถีทางตามเหตุและปัจจัยบนพื้นฐานของความกรุณาที่จะรักษาชีวิตแม่ไว้ แต่สุดท้ายต้องประสบกับการสูญเสียพัดพราก จึงวางอุเบกขา (ทำใจ) เสียได้เพราะเข้าใจในเหตุและผลของธรรมชาติ ถึงจะทุกข์ก็ทุกข์ไม่มากถึงกับคร่ำครวญผิดหวัง ตีอกชกหัว (เพราะไม่ได้หวังว่าแม่จะไม่พัดพรากจากกันไปวันใดก็วันหนึ่ง) ๓) เดิม ภรรยารักสามี อยากให้มีความสุขจึงเข้าครัวปรุงอาหารอย่างสุดฝีมือ แต่พ่อเจ้าประคุณไม่ชมซักคำ ภรรยาเลยงอนตุบป่องๆ พัฒนาเป็น ภรรยารักสามี ด้วยเหตุและผลที่เห็นว่า คุณสามีได้ทานอาหารอร่อยจากฝีมือเราจะดีกว่ากินกับข้าวถุงน่าเบื่อ จึงทำเหตุปัจจัยให้เหมาะสมคือเข้าครัวปรุงอาหารอย่างสุดฝีมือด้วยความเมตตา แต่พ่อเจ้าประคุณไม่ชมซักคำ แต่ภรรยาวางอุเบกขา (ทำใจ) เสียได้เพราะไม่ได้หวังหรืออยากตั้งแต่แรก เข้าใจในธรรมว่า เหตุและปัจจัยอาจจะยังไม่เอื้ออำนวยอย่างเหมาะสม พ่อเจ้าประคุณอาจจะคิดถึงแต่เรื่องสุดสัปดาห์นี้ไปตีกอล์ฟที่ไหนดี จึงไม่ทุกข์และเพียรต่อไปเมื่อมีโอกาสด้วยความเมตตา เขียนได้ แต่ดูเหมือนจะทำใจตามได้ยากนะครับ คงเพราะจิตเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้กระมังครับ ผิดถูกอย่างไร น้อมรับคำแนะนำที่มีพื้นฐานบนความกรุณาครับ เจริญในธรรมครับ
|
|
| หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
| Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |
|