วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 01:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ต.ค. 2010, 17:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 13:34
โพสต์: 1654

งานอดิเรก: ฟังเพลง และฟังธรรมตามกาลเวลา
สิ่งที่ชื่นชอบ: อภัยทาน
อายุ: 39
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว




Lotus350.jpg
Lotus350.jpg [ 2.82 KiB | เปิดดู 2092 ครั้ง ]
ความรักและความเมตตาในทางพระพุทธศาสนา :
ความขัดแย้งในครอบครัวและการเยียวยาด้วยความรัก
โดย ท่าน ว.วชิรเมธี

ความรัก และ ความเมตตาในทางพระพุทธศาสนา

>> ท่าน ว.วชิรเมธี <<

ในทรรศนะของพระพุทธศาสนา ความรักเป็นเรื่องของอารมณ์ เป็นเรื่องในระดับโลกียวิสัย ความเมตตาก็เป็นเรื่องของอารมณ์และเป็นเรื่องในระดับโลกียวิสัยเช่นกัน แต่ความรักมีปริมณฑลแคบกว่าความเมตตา เพราะความรักนั้นมักเกิดขึ้นจำเพาะเจาะจงกับคนที่เรามีความเสน่หาเท่านั้น ส่วนความเมตตาสามารถขยายปริมณฑลจากคนที่เรารักไปจนถึงคนที่เราเกี่ยวข้อง ไปจนถึงคนที่ร่วมชาติ ร่วมศาสนา ร่วมโลก ร่วมสกลจักรวาลก็ได้ ฉะนั้นความรักและความเมตตาจึงต่างกันในด้านคุณภาพ และปริมาณ ที่สำคัญอย่างหนึ่งคือ ความเมตตาสามารถพัฒนาได้อย่างไม่มีขีดจำกัด แต่ความรักนั้นเมื่อเรารักใครสักคนหนึ่ง เรามักหยุดอยู่ที่คนๆนั้น จนกระทั้งบางครั้งเราคิดว่าถ้าขาดคนที่เรารัก เราก็พร้อมจบชีวิตลงไป ความรักในเชิงชู้สาวมาพร้อมกับความคับแคบ คือรักปุ๊บ หวงปั๊บ ใครมายุ่งปุ๊บ พร้อมจะฆ่าพร้อมจะปกป้อง

" ส่วนเมตตานั้น พอมีเมตตา และยิ่งฝึกเมตตาให้มากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งขยายอาณาบริเวณแห่งเมตตากว้างขวางออกไป จนถึงขนาดที่ว่า สามารถเมตตาได้กระทั่งตัวเองไปจนถึงขอบปากของจักรวาลก็ยังได้" ฉะนั้นในทางพระพุทธศาสนาจึงมีลักษณะจิตของพระอรหันต์อยู่อย่างหนึ่งว่า พระอรหันต์เป็นผู้ที่มี " วิมริยาทิกตจิต " แปลว่ามีจิตใจได้พรมแดน เพราะท่านได้พัฒนาเมตตาให้สมบูรณ์ถึงที่สุดแล้ว จึงกลายเป็นผู้มีจิตใจไร้พรมแดน เมตตาจึงกว้างขวางกว่าความรักอย่างไม่มีทางที่จะเทียบได้

ความขัดแย้งในครอบครัวและการเยียวยาด้วยความรัก

>> ท่าน ว.วชิรเมธี <<
อาตมาคิดว่าสถาบันครอบครัวเป็นสถาบันที่อ่อนไหว พร้อมกันนั้นก็เป็นสถาบันที่เป็นจุดตั้งต้นของความดีงามในชีวิตของคนมากกว่าสถาบันอื่นใดทั้งหมดทั้งสิ้น ที่บอกว่าเป็นสถาบันที่อ่อนไหวก็เพราะว่า ถ้าคนสองคนซึ่งเป็นผู้ก่อร่างสร้างสถาบันครอบครัวนั้นขาดธรรมะ ครอบครัวก็จะพังลงมาในพริบตา และที่บอกว่าเป็นจุดตั้งต้นของความเข้มแข็งก็เพราะว่า ถ้าผู้ที่สร้างสถาบันครอบครัวขึ้นมาเป็นคนที่มีธรรมะ ในสถาบันครอบครั้วนั้นอาจจะเป็นสถานที่อุบัติของมหาบุรุษก็ได้ นักปราชญ์ ราชบัณฑิตก็ได้ คนของโลกอย่าง อัลเบิร์ด ไอน์สไตน์ หรือ มหาตมะ คานธี ก็ได้ แต่ถ้าในสถาบันครอบครัวนั้นมีปัญหา แน่นอนที่สุด สถาบันครอบครัวจะเป็นที่มาของมหาโจรที่เกิดมาเพื่อล้างผลาญมนุษย์ชาติก็ได้ หรืออาจจะเป็นที่อุบัติของคนที่เกิดมาปล้นชาติปล้นแผ่นดินก็ได้ หรืออาจจะเป็นที่อุบัติของสัตว์นรกในนามของคนๆหนึ่งก็ได้ เห็นไหม สถาบันครอบครัวจึงเป็นทั้งจุดที่ละเอียดอ่อนหรืออ่อนไหว และเป็นทั้งจุดที่เข้มแข็งของมนุษย์ชาติของเรา ถ้าหากคนซึ่งอยู่ในสถาบันครอบครัวมีปัญหากัน อาตมาภาพขอแนะนำว่า

1. ให้ระลึกถึงคุณงามความดีเก่าๆ ซึ่งกว่าที่เราจะคบกัน กว่าจะแต่งงานกัน กว่าจะร่วมสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยกันมานั้น เราต่างก็เคยประทับใจในคุณงามความดีของกันและกันมาก่อน ทุกครั้งที่เราโกรธเราเกลียดกัน นึกถึงคุณงามความดีเก่าๆ ก็จะทำให้จิตใจนั้นอ่อนโยนลง

2. ให้คำนึงถึงตัวเองและภรรยาว่าหากเราทำให้เขาทุกข์ เราก็ทุกข์ด้วย ฉะนั้นเราไม่ควรทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทุกข์ เพราะถ้าเราทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทุกข์ มันก็สะท้อนกลับมาอยู่ดีว่าตัวเราก็ต้องทุกข์ด้วย ถ้าเราเป็นคนที่มีความสุข คนที่อยู่ใกล้เขาก็ต้องสุข ใช่ไหมล่ะ ตรงกันข้าม ถ้าเราเห็นคนที่อยู่ข้างเราเป็นทุกข์ แสดงว่าเราก็ต้องทุกข์แล้ว ฉะนั้นควรบอกตัวเองว่า เราควรเป็นหน่วยความสุขเคลื่อนที่ อย่าเป็นหน่วยความทุกเคลื่อนที่ในครอบครัวเลย

3. ให้เรียนรู้ที่จะถอยไปข้างหน้า เวลามีปัญหาให้ "ทิ้งพยศ ลดมานะ ละทิฐิ" บอกตัวเองว่าบางครั้งก็ต้องถอยหลังกันคนละก้าว เหมือนที่พระนางเจ้าวิกตอเรียกับเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดทะเลาะกัน แล้วเจ้าชายเอ็ดเวิร์ดไปขังตัวเองอยู่ในห้อง พระนางเจ้าวิกตอเรียตามไปเคาะประตู เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดถามว่าใครเคาะ พระนางเจ้าวิกตอเรียก็บอก " ฉันราชินีแห่งเกาะอังกฤษ " เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดโกรธมากที่ถูกศรีภรรยากดขี่ข่มเหงศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ ด้วยการเอายศศักดิ์อัครฐานมาข่มสามีซึ่งเป็นสามัญชน สามชั่วโมงต่อมา พระนางเจ้าวิกตอเรียทนเหงาไม่ได้ ไปเคาะประตูใหม่ เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดถามว่าใครเคาะ พระนางเจ้าวิกตอเรียบอกว่า "ดิฉันฉันเองที่รัก ภรรยาของคุณไงคะ" พอได้ยินภาษาที่อ่อนหวาน และตอบด้วยศักดิ์ที่เสมอกันอย่างนั้น เจ้าชายเอ็ดเวิร์ดจึงเปิดประตูมาสวมกอดกัน นี้คือศิลปะแห่งการถอยไปข้างหน้า นั้นคือพระนางเจ้าวิกตอเรียยอมทิ้งยศศักดิ์อัครฐานวางอีโก้ของพระนางลง แล้วมาคุยกับพระสวามีในฐานะคนสามัญ เรื่องก็เลยจบลงแบบแฮปปี้เอนดิ้ง

สำหรับคู่สามีภรรยาทั้งหลายที่มีปัญหาครอบครัว หลังจากทดลองใช้วิธีต่างๆ แล้วไม่ได้ผลขอแนะนำให้เรียนรู้ที่จะถอยไปข้างหน้าดู แล้วก็จะเห็นว่า มันคุ้มค่ากับการถอยจริงๆ บางทีเวลามีปัญหาในสถาบันครอบครัวแล้วแก้ไม่ตก จะไปข้างหน้าก็ไม่ได้ จะถอยหลังก็ไม่ได้ ก็เลยมีการโยนชุดความคิดชุดหนึ่งเข้ามากลางวงแล้วบอกว่า เราคงเกาะกันมาแต่ชาติปางก่อน เป็นผีแห้งกับโลงผุ เป็นคู่เวรคู่กรรม แท้ที่จริงคู่ไหนก็ตามที่เริ่มสรุปอย่างนี้ สะท้อนแล้วว่าคุณยอมจำนนต่อปัญหา ปัญหาทั้งปวงมีไว้ให้แก้ไข แต่คนส่วนใหญ่ชอบแก้เคล็ดและยอมจำนน

ดังนั้นเวลามีปัญหา ให้เราทั้งหลายเปิดใจ เปิดตา เปิดหูให้กว้างบอกตัวเองว่า เราต้องเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาให้ดีที่สุด อย่าเพิ่งลงบทสรุปว่า เธอและฉันเป็นคู่เวรคู่กรรม เพราะพระพุทธเจ้าตรัสถึงคู่ของชีวิตคู่ไว้ถึง 7 แบบ ไม่ได้มีแต่คู่เวรคู่กรรมเท่านั้น มีทั้งคู่สร้าง-คู่สม คู่ชื่นชม-คู่ระกำ คู่ภรรยาแก้ว-คู่สามีแก้ว แล้วก็คู่กัลยาณมิตร นี่มันตั้งหลายคู่ ทำไมมาสรุปเสียแล้วว่าคู่ของคุณนี่เป็นคู่เวรคู่กรรมในเชิงลบ ทำไมไม่เป็นคู่สร้างคู่สม ทำไมไม่เป็นคู่กัลยาณมิตร ทำไมไม่เป็นคู่อารยชนที่เกิดมาแต่งงานด้วยกัน เพื่อเป็นเพื่อนเรียนรู้บนเส้นทางธรรมด้วยกัน พัฒนาชีวิตไปให้ดีที่สุด จนกว่าที่สติปัญญามนุษย์จะวิวัฒนาการไปถึงเปิดตาและเปิดใจเรียนรู้คู่ชีวิตหลายๆรูปแบบ ก่อนจะลงข้อสรุปด้วยการดูถูกตัวเองว่า เราเป็นคู่เวรคู่กรรม ให้เรียนรู้ชีวิตคู่ในรูปแบบอื่น ในมิติอื่นๆ ให้ทั่วถึงก่อน ถ้าเราเรียนรู้ให้ทั่วถึงแล้วจะเห็นว่า เราไม่จำเป็นต้องยอมรับข้อหาคู่เวรคู่กรรมที่เรามอบให้ตัวเอง เพราะบางทีทางออกมันมีมากกว่าหนึ่งก็ได้

ขอบคุณหนังสือ รักแท้คือกรุณา, ว.วชิรเมธี
โปรดติดตามตอน สติ กับ ความโกรธ

ที่มา :: Oknation

กราบอนุโมทนาบุญกับผู้เจริญในธรรมและกัลยาณมิตรทุกท่านอย่างสูงค่ะ tongue tongue tongue

.....................................................
ธรรมอำนวยพร
ขอให้.....มีจิตที่รู้ ที่ตื่น ที่เบิกบาน (พุทธะ)
ขอให้.....ทำการงานด้วยความสุข (อิทธิบาทสี่)
ขอให้.....ขจัดทุกข์ได้ด้วยปัญญา (อริยสัจสี่)
ขอให้.....มีดวงตาที่เห็นความจริง (ไตรลักษณ์)
ขอให้.....เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยไตรสิกขา (ศีล, สมาธิ, ปัญญา)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2010, 05:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2010, 21:51
โพสต์: 48

โฮมเพจ: http://pimclick.hi5.com
แนวปฏิบัติ: พุทโธ
ชื่อเล่น: PiM
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b48: ขอเป็นกำลังใจให้นะคะ บางทีเวลาเราทุกข์ใจได้ระบายออกมาบ้างถึงจะไม่ได้ช่วยอะไรอย่างน้อยก็คงสบายใจขึ้นบ้าง กับปัญหาที่เกิดขึ้นคิดว่าคุณพ่อคุณแม่ของคุณที่ทำเช่นนั้นอาจเพราะไม่ได้รู้ไม่ได้เห็นทุกอย่างที่คุณเป็นและได้รับหรือประสบอยู่ หากมีเวลาอยู่กับท่านก็พูดให้ท่านเข้าใจเราบ้างก้น่าจะดี
ส่วนเรื่องสามีนั้นขึ้นอยุ่กับการตัดสินใจของคุณว่าจะทนหรือจะจาก หากจะอยู่ด้วยกันก็คงต้องพยายามปรับตัวและยอมรับเพื่อที่จะได้ไม่ทุกข์ ส่วนเรื่องของพอแม่สามีคิดว่าคงจะไม่สมควรหาะจะโต้ตอบรุนแรงเพราะอย่างไรก็พ่อแม่สามี ถึงพูดอะไรไปสามีคงคิดเหมือนที่เราคิดว่าอย่างไรก็พ่อแม่ของเขา ทางที่ดีควรจะพยายามให้สามีได้เห็นว่าพ่อแม่เขากระทำกับเราเช่นไรเผื่อว่าจะได้เข้าใจกัน

ทุกครอบครัวต่างก็มีปัญหาขอให้คุณสามารถผ่านพ้นอุปสรรคต่างๆๆนี้ไปได้ด้วยดีนะคะ
หากกระวนกระวายจะลองปฏิบัติธรรมบ้างก็ไม่เสียหายอะไรคะ

ขอให้เป็นกำลังใจให้นะคะ :b4:

.....................................................
สุขทุกข์อยู่ที่ใจมิใช่หรือ ถ้าใจถือก็เป็นทุกข์ไม่สุกใส
ถ้าไม่ถือก็เป็นสุขไม่ทุกข์ใจ เราอยากได้ความสุขหรือทุกข์นา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2010, 16:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ต.ค. 2009, 17:14
โพสต์: 84

แนวปฏิบัติ: ตามดูจิต
งานอดิเรก: เลี้ยงแมว/ดูหนัง/เล่นเนต
สิ่งที่ชื่นชอบ: ธรรมะ
อายุ: 27

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านแล้วก็เข้าใจคุณนะคะ
ถ้าเป็นเมื่อสมัยก่อน ดิฉันคงร่วมผสมโรง ยุส่ง
แต่ทว่า...วันนี้ ดิฉันได้เรียนรู้แล้วว่า ต้นไม้จะเติบโตสวยงามได้นั้น จะต้องผ่านลมฝน ลมแดดมาอย่างมากมาย

คุณนังมารร้าย..จริงๆแล้วคุณไม่ได้ร้ายหรอกค่ะ คุณเป็นคนที่น่าจะกตัญญูเสียด้วยซ้ำ ดิฉันอ่านแล้วก็สัมผัสได้ในจุดนี้...แต่ว่า คุณอาจจะยังขาดความเข้าใจ หรือ ประสบการณ์ชีวิตในบางอย่างไป มันก็เลยทำให้คุณต้องพบเจอปัญหาอย่างที่เป็ฯอยู่นี้

จริงๆแล้วเรื่องนี้ ดิฉันคิดว่า คุณควรจะต้องแยกออกจากกันคนเรื่องนะคะ
ระหว่าง ครอบครัวของสามี กับ คุณ
และ คุณ กับ สามี

ตอนนี้ คุณกำลังตีคลุมปัญหา ขมวดควบผสมโรงไปแล้ว มันก็เลยเร้าอารมณ์คุณให้โมโหโกรธาเข้าไปใหญ่

ลองนั่งนิ่งๆ ดูสักนิด แล้วพิเคราะดูนะคะ แล้วคุณจะเห็นความจริงว่า เรื่องมันแยกจากกัน
พ่อผัว แม่ผัว น้องผัว นั้นก็อีกชีวิต
สามี ก็อีกชีวิต
แต่พวกเขา เกี่ยวข้องกันในรูปวงศาคณาญาติ
มันก็เลยผูกพัวพัน พอฝั่งบ้านสามีทำคุณ ลองแวะถามใจคุณสิว่า มีหรือจะไม่ไปหัวฟัดัวเหวี่ยงที่ สามี
แม้ว่าคุณจะไม่ได้แสดงออก แต่อาการเก็บกด ที่เป็นอยู่มันก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก จะต่างก็ต่างแค่ รอเวลาระเบิดออกมา...และก็เชื่อว่า เริ่มจะระเบิดแล้ว


ต้องชื่นชมพ่อแม่คุณ ที่ทั่นเป็นผู้ใหญ่ที่สุขุม เยือกเย็น การที่พ่อแม่คุณ เขาแสดงออกว่า "เหมือนไม่ได้เข้าข้างคุณนั้น" ไม่ได้แปลว่า ทั่นไม่ได้รู้อะไรที่เกิด..คุณเคยได้ยินไหม คำว่า "อาบน้ำร้อนมาก่อน" นะ
ทั่นรู้ ทั่นเห็น...แต่พ่อแม่คุณกลับเลือกที่จะมองผ่าน...เพราะเขาได้ให้ความสำคัญกับพวกคุณมากกว่าไงคะ..พวกทั่นทั้งคู่ไม่อยากให้คุณต้องเจอกับคำว่า ครอบครัวแตกแยก ร้าวฉาน เพราะในสายตาของผู้ใหญ่ ที่ผ่านโลกมามากเขามักไม่ให้ความสำคัญกับคำพูด ติฉิน นินทา กาเล อันไม่เกิดประโยชน์หรอกค่ะ...พ่อแม่คุณ เขามองสถาบันครอบครัวของพวกคุณเป็นน้ำหนักมากกว่า พวกทั่นก็คงคิดแบบคนหัวโบราณ ว่าอยากให้ลูกสาวไม่เป็นหม้าย...แต่กลายเป็นว่า ตัวคุณดูจะดิ้นรนที่จะสละครอบครัวเสียเหลือเกินนะคะ...แล้วยิ่งมีหลาน ดีไม่ดี พ่อแม่คุณอาจจะมองข้ามหัวคุณเลยไปแล้วก็ได้...จริงๆแล้วทั่นคงอยากจะพูดว่า เป็นพ่อแม่คนแล้วนะ ต้องอดทน...


เอาเป็นว่า...ดิฉันอยากจะขออนุญาติแนะนำแบบนี้นะคะ ว่า เวลาคุณจะคิดการกระทำอะไรขึ้นมาหุนหัน หรือ กำลังจะตัดสินใจทำอะไรก็ตาม ให้คุณมองไปที่คนข้างคุณก่อน คือ สามี ว่าเขาเลวสมให้ไปหรือเปล่านะคะ ถามตัวเองเลย มันกินเหล้า เมายา ตบตีลูกเมียไหม มันเจ้าชู้ สารเลวจับใจสุดขั้วแดดิ้นเลยไหม..ถ้ามันใช่ ก็จัดไปเลยค่ะ อย่าให้เสีย ไม่ต้องไปมองที่คนอื่นไกล เอาแค่นี้พอ

แล้วก็มีอะไรก็แนะนำให้ เจรจาพาที อย่างเปิดอก บางครั้งการจะพูดอะไรออกไปบางเรื่องก็พูดได้เลย บางเรื่องต้องค่อยๆพูด นะคะ แนะนำได้ประมาณนี้

เพราะดิฉันเชื่อว่า ปัญหาทุกอย่างมันมีทางออกเสมอ ไม่ว่าจะจบแบบไหนก็ตาม แต่ขอให้จบอย่างมี "สติ" ดีกว่า จบแบบ "เลือดร้อน" เพราะเมื่อถึงเวลาแล้ว เราจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลังนะคะ


โชคดีค่ะ

.....................................................
จงขอบคุณเมื่อความทุกข์เกิด เพราะมันคือบทเรียนให้เราก้าวหน้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ต.ค. 2010, 13:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ต.ค. 2010, 10:51
โพสต์: 7

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แล้ววันนี้ก็เป็นวันที่ต้องเสียน้ำตาและเสียใจอีกแล้ว
เรากับแฟนทะเลาะกัน เหมือนมันแกล้ง เหมือนมันรู้งาน
ลากเราไปที่ห้องพ่อกับแม่เหมือนจงใจจะให้พ่อกับแม่รับรู้ และเราต้องเป็นฝ่ายผิด
วันนี้พ่อลงมือทำร้ายเรา ตบตีว่าเราสารพัด ทั้ง ๆ ที่อายุ ยี่สิบแปดแล้ว
จะโดนตีตั้งแต่เด็กจนโตหรือยังไง ยี่สิบแปดแล้วยังไม่หยุดตีเลย ทำไม
แล้วสุดท้ายก็เหมือนเดิม ไม่เคยเข้าข้างเรา ดุด่าว่าแต่เรา เอ่ยปากไล่เราออกจากบ้าน
หาว่าเราอยู่ก้อกาลีบ้าน ใจเราไม่มีใครคิดถึงเลยเหรอ คิดถึงแต่ใจมัน
พอเราถามพ่อเคยฟังเหตุผลอะไรบ้างไหม อะไรก็ต้องด่าหนูก่อน
เขาก็บอกว่าเพราะมึงเป็นลูกกู ถ้ามึงไม่ใช่ลูกกูกูจะไม่ยุ่งกับมึงเลย
อยากหนี อยากไปให้พ้น เขาเอ่ยปากไล่ก็อยากจะไป แต่ก้ไม่รู้จะไปไหน ไม่มีที่ไป
แต่ไม่เคยโกรธไม่เกลียดพ่อ ที่เขาตีเลย แต่น้อยใจก็มีบ้าง
แต่โกรธ และเกลียดมันที่สุด โยนเสื้อผ้ามันออกไปหน้าบ้าน ก็ดนพ่อด่าไล่ให้ไปเก็บมา
เราก็บอกไม่ต้องยุ่งแล้ว จะไม่อยู่กับมันแล้ว กลายเป็นยิ่งทำให้พ่อโมโหหนักซัดเราเต็มที่
ทำไมเขาไม่เคยมอง สอบถามบ้างว่าเหตุและผลมันอยู่ตรงไหน
ทำไมเวลาคนอื่นยังมองคนอื่นอย่างเข้าใจหัวอกคนอื่นได้ แต่ทำไมกับลูกทำไม่ได้


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron