ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
...แต่ไม่ตายหรอกเพราะอดเสน่หา (ท่าน ว.วชิรเมธี) http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=27&t=35302 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลูกโป่ง [ 27 ต.ค. 2010, 13:22 ] |
หัวข้อกระทู้: | ...แต่ไม่ตายหรอกเพราะอดเสน่หา (ท่าน ว.วชิรเมธี) |
![]() อดข้าวดอกนะเจ้าชีวิตวาย แต่ไม่ตายหรอกเพราะอดเสน่หา ท่าน ว.วชิรเมธี ![]() พฤติกรรมแบบ free s e x ได้รับความนิยมมากขึ้นในประเทศไทย ทั้งนี้เพราะพลังของความเชื่อมั่นในระบบศีลธรรมแบบไตรภูมิพระร่วง (กฎแห่งกรรม) ลดลง และพลังของเสรีนิยมประชาธิปไตยสูงขึ้น ซึ่งพลังของฝ่ายหลังนี้เอง ที่เปิดทางสะดวกให้กับสัญชาตญาณของมนุษย์ที่มีกิเลสคอยหล่อเลี้ยงเบ่งบาน กฎแห่งกรรมที่เคยกำกับเส้นศีลธรรมในสังคมไทยอ่อนพลังลง “กฎแห่งกาม” ก็เลยเฟื่องฟู กฎแห่งกามนั้นมีหลักอยู่ว่า ยิ่งตามใจกฎนี้มากเท่าไหร่ ยิ่งไม่มีจุดจบ ทั้งนี้ กล่าวตามนัยพระพุทธวัจนะที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่า “เราอาจอาศัยความอยากละความอยาก (ตัณหา) เราอาจอาศัยความทะนงตน (มานะ) ละความทะนงตน แต่เราไม่อาจอาศัยกาม (s e x) ละกามได้เลย ในกรณีของกามนั้นมีอยู่ทางเดียวที่จะละได้คือ ต้องชักบันใดเสีย” คำว่า “ชักบันใด” คือ ต้องเลิกหมกมุ่น รู้จักพอ และถึงที่สุดคือต้องหันหลังให้โดยสถานเดียว การหมกมุ่นในกามไม่ว่าจะเป็นลักษณะ free s e x เรื้อรัง คือ เป็นคู่นอนกันนับครั้งไม่ถ้วน ซึ่งมีโอกาสพัฒนาไปไกลถึงขั้นเสพติดในกามรส พึงใจเมื่อไหร่ก็โทรหาแล้วมีอะไรกันเรื่อยๆ หรือในลักษณะ one night stand ที่พอต้องการเมื่อไหร่ ก็ไปสอยมาจากแหล่งเริงรมย์ยามราตรี ก็ถือว่าเป็นบาปด้วยกันทั้งสิ้น บาป ในที่นี้มีความหมายเท่ากับคำว่า ทุกข์ แม้ว่ากิจกรรมนั้น จะเกิดขึ้นจากความพึงใจของทั้งสองฝ่ายก็ตาม ต้องไม่ลืมว่า ความพึงใจ ไม่ใช่ศีลธรรม ถ้าเราทำอะไรตามความพอใจ แล้วบอกว่า สิ่งนั้นไม่เดือดร้อนใคร ไม่น่าจะผิดศีลธรรม ความเข้าใจแบบนี้ นับว่าอันตรายมาก เพราะเป็นวิธีคิดในลักษณะคิดเองเออเองทั้งเพ ความสุขจากกามนั้นเป็นความสุขที่มีความทุกข์เคลือบแฝง การลิ้มรสกามนั้นไม่ต่างอะไรกับการเลียน้ำผึ้งแสนหวานบนปลายมีดโกน กล่าวคือ มีความสุข แต่ก็มีความเสี่ยง ในเบื้องต้นกว่าจะมีความสัมพันธ์กัน ก็ต้องหลบซ่อน ระหว่างมีความสัมพันธ์นั้น ก็ต้องปกปิดไม่ให้ใครรู้ และหลังมีความสัมพันธ์แล้ว ก็ต้องคอยปกปิดซ่อนเร้นต่อไป ทันทีที่มีอะไรกันและเดินหันหลังให้กันแล้ว ดูเหมือนทุกอย่างจะจบลง แต่บางทีไม่เป็นเช่นนั้น ในบางกรณีอาจมีโรคที่เนื่องในกามเป็นของสมนาคุณ หรือในบางคู่อาจมีความถวิลหา ผูกพันฝังลึก กลายเป็นความปรารถนาที่ยืดเยื้อเรื้อรังออกไปไม่รู้จบ หรือบางคราวก็ต้องเสียเงินเสียทองมหาศาลเพื่อการได้มา ซึ่งกามกีฬาที่สุขสมที่ร้ายกว่านั้นก็ทำให้ชีวิตคู่พังครืน เวลาของกามนั้นสั้นนิดเดียว แต่โมงยามของทุกข์นั้นขยายตัวไม่มีกำหนด แม้กามรสซึ่งเกิดจากความพึงใจของทั้งสองฝ่าย อาจไม่ทำให้ใครเดือดร้อนในทันทีทันใด แต่ก็อยากเตือนไว้ว่า แท้จริงแล้วที่เราบอกว่ามันทำให้มีความสุขนั้น เจ้าความสุขที่ว่านี้ ก็คือรูปแบบหนึ่งของความทุกข์ที่รอเวลาอยู่เท่านั้นเอง มองในแง่กรรม ณ ปัจจุบัน คนที่หมกมุ่นในกาม จะทำให้คุณภาพจิตตกต่ำลงมาก ศักยภาพการใช้ปัญญาก็ไม่เฉียบแหลม สุขภาพกายก็โรยแรง ซ้ำยังต้องคอยปกปิดพฤติกรรมของตนไว้เป็นความลับ ส่วนกรรมในระยะยาวนั้น ก็อาจเป็นไปได้ว่าถ้าคู่นอนของตนเป็นผู้ที่มีเจ้าของแล้ว ถึงแม้สองฝ่ายจะพอใจในเพศสัมพันธ์ แต่ก็นับว่าผิดศีลข้อสามอยู่ดี (กาเมสุมิจฉาจาร) ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผู้ที่ผิดศีลข้อสามจะไม่ถูกกรรมตามรังควาน กรรมสำหรับคนละเมิดศีลข้อที่สาม ก็คือ จะทำให้เขาไม่มีความสุขที่เกิดจากชีวิตสมรส มีพฤติกรรมทางเพศเบี่ยงเบน มีจิตใจไม่ตรงกับเพศสภาพภายนอก ตัวเป็นชายใจเป็นหญิง ตัวเป็นหญิงใจเป็นชาย หรือชายไม่ใช่หญิงไม่เชิง ต้องอับอายอันเนื่องมาจากสาเหตุทางเพศของตน หรืออาจถูกกระทำการประทุษร้ายโดยมีเรื่องทางเพศเป็นสาเหตุ มีชีวิตคู่ที่ล้มเหลว เป็นต้น ก็อย่างที่บอกไว้แล้วว่า ความพอใจไม่ใช่ศีลธรรม แม้กิจกรรมหลายอย่างในชีวิตของเรา เกิดจากความพอใจของตนและคนที่อยู่เคียงข้าง แต่เราต้องไม่ลืมว่า ความพอใจในกามนั้นมีรากฐานมาจากกิเลส ไม่ใช่จากคุณธรรมที่ชื่อปัญญา กิจกรรมใดก็ตามที่เกิดจากกิเลส กิจกรรมนั้นมักมีทุกข์เป็นผล กิจกรรมใดก็ตามที่เกิดจากปัญญา กิจกรรมนั้นมักมีสุขเป็นผล ถ้าเราหว่านเมล็ดพันธ์ที่เป็นพิษ จะหวังให้เกิดผลที่สมบูรณ์นั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ ความสัมพันธ์ทางเพศที่เกิดจากทัศนคติที่ผิดก็เช่นกัน ที่ว่ากันว่า เป็นความสุขนั้น ขอย้ำอีกครั้งว่า แท้ที่จริง มันคือความทุกข์ที่รอเวลาอยู่เท่านั้นเอง อย่างไรก็ตาม แม้กามเหมือนผลไม้อร่อยที่มีพิษ แต่พุทธศาสนาก็ไม่ได้ปฏิเสธคุณของกาม ดังนั้น ท่านจึงสอนว่า เมื่อจะบริโภคกาม ก็พึงทำเหมือนบริโภคอาหาร กล่าวคือ ต้องรู้จักเลือก รู้จักอิ่ม รู้จักพอ ทางสายกลาง ยังคงเป็นคำตอบที่ใช้ได้เสมอ แม้ในเรื่องกาม ที่มา....นิตยสาร Secret http://www.dhammatoday.com/attachments/ ... witWai.pdf |
เจ้าของ: | ploypet [ 27 ต.ค. 2010, 14:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อดข้าวดอกนะเจ้าชีวิตวาย แต่ไม่ตาย... |
สาธุ ![]() นอกจากเรา.............ไม่สามารถละราคะ.........................ด้วยราคะแล้ว แต่คุณยายมีอุบายวิธีในการละนะคะ อย่างแรกคือฮิฮิ ......ละที่สังขารคะ(เหมือนคุณยายทำอยู่) อย่างที่สองคือ....ละด้วยตัดทิ้งคะ(อันนี้เด็กๆอ่านควรใช้วิจารญาณนะคะ) อย่างที่สาม.......คือเห็นกายของทุกคนเป็นของเน่าเปื่อย ทีนี้ก้เหมือนกองเลือด น้ำหนองเดินได้ มองว่างั้น อาจละได้คะ 555555 |
เจ้าของ: | ทักทาย [ 28 ต.ค. 2010, 04:44 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อดข้าวดอกนะเจ้าชีวิตวาย แต่ไม่ตาย... |
อนุโมทนาค่ะ ![]() |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 28 ต.ค. 2010, 06:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ...แต่ไม่ตายหรอกเพราะอดเสน่หา |
วิสัชนาของท่าน ว.วชิรเมธี ในเรื่องนี้ แจ่มชัดจริงๆ ค่ะ ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | starfish [ 28 ต.ค. 2010, 09:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ...แต่ไม่ตายหรอกเพราะอดเสน่หา |
ขออนุโมทนาด้วยค่ะ ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |