วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 08:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2010, 19:55 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2010, 19:08
โพสต์: 3


 ข้อมูลส่วนตัว


ถึงพี่ๆเพื่อนๆทุกๆท่าน

ดิฉันเพิ่งได้เข้ามาอ่านเวปบอร์ดนี้ตามคำแนะนำของเพื่อนที่ดีมากคนหนึ่ง ก็รู้สึกว่าทุกๆท่านหลายๆคนมีความทุกมากมายเหลือเกิน บางครั้งอ่านเรื่องราวของบางท่านก็รู้สึกเห็นใจว่าปัญหาของเขายังหนักกว่าเราหนักหนา ก็รู้สึกละอายที่ ความทุกข์ของเราเมื่อเปรียบเทียบกับคนอื่นมันช่างเล็กน้อย แต่อย่างไรมันก็ไม่หายทุกข์ในตัวเองซักที ก็ขออนุญาติแชร์เรื่องราวของตัวเอง เผื่อจะมีบางท่านให้คำแนะนำแนวคิดที่ควรจะปรับใหม่ ให้ตัวเองได้มีโอกาสเรียนรู้ที่จะสร้างความสุขให้กับตัวเองด้วยตัวเองบ้าง

ดิฉันเป็นคนที่รักแม่มากค่ะ แม่เป็นคนมีความฝันที่ยิ่งใหญ่ในเรื่องการงานมาก ดิฉันก็ตัดสินใจมาช่วยที่บ้านทำงาน ซึ่งงานก็ลำบากและท้าทายมาก ทำงานตลอดไม่มีวันหยุด แทบไม่เจอใคร แม่ก็ลำบากมาก ตัวดิฉันก็ลำบากมาก เราทำกันสองแม่ลูก เพื่อฝันอันยิ่งใหญ่ ตลอดเวลาดิฉันก็คิดว่าวันหนึ่งธุรกิจจะต้องประสบความสำเร็จ เพราะแม่เป็นคนมีความมุ่งมั่นมาก และเค้าคือผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับตัวดิฉัน แต่บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าทำไมเราจะต้องกระเสือกกระสนกับชีวิตขนาดนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับคนรุ่นเดียวกัน ที่ยังสนุกสนานกับชีวิต ตามประสาวัยรุ่น วัยทำงาน เงินเดือนก็สูง ซึ่งหากเราทำงานปกติก็คงจะเป็นเช่นเดียวกัน ไม่ต้องแบกรับภาระหนักหนาขนาดนี้ ก็คิดกลับไปกลับมาค่ะ จนเมื่อ 2 เดือนก่อน พาแม่ไปตรวจสุขภาพ ปรากฏว่าท่านเป็นมะเร็ง ระยะเริ่มลุกลาม ซึ่งก็น่าจะมาจากความเครียดเรื่องเงิน และการหักโหมสุขภาพในช่วงหลายปีมานี้ ตอนนี้ดิฉันกลัวมาก ว่าแกจะจากไป ซึ่งหากแกไป ก็นึกไม่ออกว่าตัวเราเองจะมีชีวิตต่อเพื่อใคร ไม่รู้ว่าที่พยายามมาทั้งหมดเพื่ออะไร แต่แม่เข้มแข็งมาก มีกำลังใจดี ดูแลตัวเองมากขึ้น แล้วก็มีจิตใจตั้งมั่นไม่ยอมแพ้ต่อโรคร้าย และยืนกรานว่าความสำเร็จเรื่องธุรกิจจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนซักวันนึง ตัวดิฉันเองก็ดีใจ และมีกำลังใจมากขึ้น คิดว่าเป็นโชคชะตาที่พยายามทดสอบดูความเพียรของเราสองแม่ลูก ก็สวดมนต์ตั้งปณิธาน ว่าอย่างไรก็จะทำให้แม่จนถึงที่สุด ในบางครั้งก็จะอดคิดว่าหากเค้าต้องตายจริงๆ ก็อยากจะภาวนาให้เราได้ตามเค้าไปด้วย ตอนนี้ดิฉันก็มีแฟน แต่ก็ทะเลาะกันด้วยความที่นิสัยต่างกัน ประกอบกับช่วงนี้รู้สึกกลัวที่จะต้องอยู่คนเดียวในโลกนี้ ก็ยิ่งหวังพึ่งแฟน ให้เค้าเข้าใจ คาดคั้นให้เค้าแต่งงาน เหตุเพราะกลัวที่จะต้องอยู่คนเดียว กลัวไม่เหลือใคร ยิ่งทำก็รู้สึกว่ายิ่งกดดันเค้า ซึ่งบางครั้งเราก็โกรธว่า คบกันมานานขนาดนี้ทำไมยังให้คำตอบเราไม่ได้ ซึ่งพอได้คุยกันก็ไม่ใช่เพราะเค้าไม่พร้อม แต่เค้าไม่แน่ใจในตัวเรามากกว่า ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกแย่ว่าเรามันไม่ดีตรงไหน เพราะเรามีหนี้สินเยอะ ไม่สนุกสนานเหมือนผู้หญิงคนอื่นเหรอ ตอนนี้ก็เหมือนกับเลิกกัน เค้าเลือกที่จะห่างกันมากกว่าที่จะต้องมาตอบคำถามเรื่องแต่งงาน รู้ค่ะว่าไม่มีใครอยากอยู่กับคนที่จมอยู่ในความทุกข์เหมือนดิฉัน แต่ทำอย่างไรตัวเองก็ไม่หายทุกข์หายกลัว อ่านหนังสือธรรมะเกี่ยวกับเรื่องทุกข์ตรงไหนก็ให้เอาจิตไปจับดู ก็รู้สึกปล่อยได้เป็นบางช่วง บางครั้งใช้ใจจับความทุกข์ รู้แล้วว่ามันอยู่นั่น แต่มันก็ยังอยู่ ก็ยังทุกข์อยู่ อยากทำให้ตัวเองมีความสุขด้วยตัวเอง แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ความสุขที่เกิดขึ้นทุกครั้งจะเกิดเมื่อดิฉันได้ทำให้คนที่ตัวเองรักมีความสุข เราคาดหวังให้เค้ามีความสุขเมื่ออยู่กับเรา แต่ยิ่งทำก็ยิ่งแย่ เหมือนตอนนี้เค้าเบื่อ ระอา เหมือนเรายิ่งตามเค้าก็ยิ่งหนี
1. อยากทำให้ตัวเองมีความสุข โดยไม่ต้องพึ่งใคร ทำอย่างไรคะ
2. ตอนนี้กับแฟนคนนี้ ก็ยังคบอยู่ เพราะดิฉันง้อให้กลับมา คืนดีกันเที่ยวนี้ดิฉันต้องปรับตัวใหม่ทุกอย่าง กลายเป็นว่าที่เราเข้ากันไม่ได้เพราะเค้าบอกว่าเค้าปรับตัวเองมาตลอด แต่ไม่เวิร์ค ตอนนี้เค้าไม่ค่อยแคร์แล้วว่าจะปรับได้หรือไม่ได้ บอกว่าปรับได้ก็ดี ปรับไม่ได้ก็เลิกเถอะ แต่เค้าจะไม่ปรับแล้ว เรื่องแต่งงานก็เลิกพูดไปได้เลย ไม่มีคำตอบบอกว่าถ้าอยากได้ตอนนี้ก็เลิกเถอะ อย่างนี้เราควรจะอดทนลองปรับตัวเอง ตามใจเค้าทุกอย่างไหม หรือควรจะตัดใจ
3. มีวิธีคิดให้กำลังใจตัวเองอย่างไร เกือบทุกวันพอเลิกงานแล้วอยู่คนเดียว มันหดหู่ เหงา เศร้า กลัว ไปหมด ทั้งเครียดเรื่องงาน กลัวแม่จะเป็นไรไป แล้วถ้าเค้าเป็นไรขึ้นมา เราทำมาทั้งหมดนี้เพื่ออะไร เหงาเหมือนอยู่คนเดียวในโลก ไม่อยากมีชีวิตต่อ (แต่อย่างไรก็ไม่เคยคิดจะฆ่าตัวตายค่ะ เป็นคนพุทธ กลัวบาป) แต่มันทรมานมาก

ลองวิเคราะห์ตัวเองดู ปัญหาจริงๆน่าจะเกิดในตัวเองมากกว่า อาจจะมาจากปัญหาวัยเด็ก ที่ครอบครัวไม่อบอุ่น ต้องอยู่คนเดียวมาตั้งแต่เด็ก (แม่ทำงานตลอด หนักมาก ส่วนพ่อมีบ้านเล็กบ้านน้อยแล้วเสียไปก่อน) เหมือนตัวเองไขว่คว้ามีความฝันฝังใจมาตลอดว่าอยากจะสร้างครอบครัวตัวเองที่อบอุ่น แต่ยิ่งตั้งความหวัง แล้วดูแล้วชีวิตยากจะเป็นเหมือนฝันก็ทุกข์ อย่างไรก็ขอคำชี้แนะด้วยค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2010, 20:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ธ.ค. 2010, 14:56
โพสต์: 122

โฮมเพจ: chanachai20102553@gmail.com
แนวปฏิบัติ: ค้นหาธรรมของพุทธเจ้า
งานอดิเรก: มองธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทุกเล่ม
ชื่อเล่น: แค่นามสมมุติ
อายุ: 32

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: ดูก่อนท่านเอ๋ย................................

ท่านมิได้อยู่ตัวคนเดียว ยังมีกัลยามิตร สหายแห่งธรรม มีอุบาสก มีอุบาสิกา มีผู้เจริญในธรรม ล้วนเป็นผู้ที่จะช่วยท่าน ให้กำลังใจ ให้น้ำทิพย์ชโลมใจ ในโลกเรานี้ล้วนประสบพบเจอทุกข์กันต่างๆนานาอันมากมายล้วนแต่ต้อง สู้ ต้องยืนหยัด ด้วยกันทั้งสิ้น.
ทุกข์ของท่านเอ๋ย......มารดาอันเป็นที่รักของท่านนั้น พึงเจอทุกข์มากกว่านี้นัก
ทนต่อการอุ้มท้อง กว่าจะครบ 9 เดือน นี่คือ ทุกข์ 1
ทนต่อการเกิดมาของท่าน ต้องเบ่ง ต้องปวดท้อง แทบขาดใจ 1
ทนต่อการที่ท่านจะเติบใหญ่ กว่า 15-20 ปี อันยาวนาน 1
ทนต่อการที่ลูกเสียใจ 1

ท่านดูแลแม่เทอญฯ ทำให้ท่านมีความสุขมากกว่านี้ เงินทอง ล้วนเป็นของนอกกายทั้งสิ้น เมื่อใดที่ท่านได้...........เราจะไม่มีโอกาสที่ได้พึงกระทำ
ส่วนหนี้สิ้นนั้น ลองเจรจากับ เจ้าหนี้ดูหาหนทางที่ดีทั้งสองฝ่าย


ข้าพเจ้าขออำนาจแห่งบุญบารมี 30 ทัศ ที่ข้าพเจ้าได้สั่งสมมาหลายภพหลายชาติ จงส่งผลให้ท่าน ได้ผ่านพ้นสิ่งอันเป็นทุกข์ และ ให้ท่านได้เจริญ ยิ่งๆขึ้นไป ณ. บัดนี่ด้วยเทอญฯ....สาธุ

.....................................................
เราจักขออำนาจบุญกุศลที่ตัวเราได้กระทำไว้ในอดีต ปัจจุบัน และ อนาคต
จงแผ่อำนาจแห่งบุญกุศลทั้งหลายไปสู่ทั่วทั้งสากลโลก ทั้ง16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน วิญญาณที่มีรูป และ ไม่มีรูป ทั่วทั้งทุกอณูใน 3 โลกจงได้รับแห่งบุญกุศลที่เราได้จักกระทำไว้ด้วยเทอญ สาธุ.................................


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2010, 22:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำตอบข้อ 1. โดยใช้ตัวอย่างของคนๆหนึ่ง ตัดแต่ใจความสำคัญมา เจตนาให้ดูที่ขีดเส้นใต้ ซึ่งเขาทำให้เกิดความสุขได้โดยไม่ต้องพึ่งใครๆ ดังนี้ครับ

...ท่านว่าให้กำหนดรู้ลมหายใจเสมือนว่าลมหายใจเป็นกัลยาณมิตร ให้เรายึดกัลยาณมิตรนี้ไว้ หลังจากนั้นผมก็พยายามกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก

หลังจากนั้นมีวันหนึ่ง ผมเกิดนึกอยากนั่งสมาธิขึ้นมา ก็เลยนั่งสมาธิกำหนดลมหายใจ

ในการนั่งสมาธิครั้งนี้ สามารถรับรู้ลมหายใจได้ตลอดสายเป็นเวลานาน แต่ผมก็คิดว่าเวลาจิตเราสงบมากแล้ว แต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้ายังไงเราลองเปลี่ยนวิธีกำหนดดูดีกว่าผมเลยเปลี่ยนวิธีกำหนดในใจเป็นอัปปมัญญา ๔ แล้วกำหนดคำบริกรรมในใจแผ่เมตตาให้สัตว์ทั้งหลายไม่มีประมาณในทิศเบื้องหน้า จากนั้นก็เบื้องหลัง จากนั้นก็เบื้องบน เบื้องล่าง เบื้องซ้าย แล้วก็เบื้องขวา พอครบทุกทิศแล้ว ก็กำหนดแผ่ไปในทุกทิศพร้อมกันไม่มีประมาณ

กำหนดแค่ครั้งเดียวเท่านั้น จากนั้นก็รู้สึกเหมือนกายขยายตามที่กำหนดแผ่เมตตาไปด้วย รู้สึกว่ากายขยายไปทุกทิศ ความรู้สึกนี้มันเกิดในเวลาแค่แปปเดียว
กายขยายไปทุกทิศ จนรู้สึกว่ากายหายไป คือไม่มีกาย ความรู้สึกของเราเหมือนจุ่มอยู่ในปีติ มีแต่ความสุขไปหมด

จากนั้นผมก็คิดขึ้นมาว่า "มีความสุขขนาดนี้ในโลกด้วยหรือ ความสุขนี้ดีกว่า ความสุขในโลกที่เราเคยพบมาทั้งหมด โอ... ความสุขนี้ แค่นั่งก็ได้แล้ว คนทั้งโลก มัวแต่วุ่นวายทำอะไรกันอยู่ บางคนทำทุจริตต่างๆเพื่อหาเงินมาสนองความสุขตน ทำไปทำไมนะ มันเทียบกับความสุขที่เกิดจากความสงบนี้ไม่ได้เลย ความสุขนี้ไม่ต้องไขว่คว้ามาก อยู่กับตัวเองแท้ๆ คนในโลกกลับไม่รู้"

จากนั้นสังเกตลมหายใจ ก็รู้สึกว่าลมหายใจมันละเอียดมาก ถึงค่อยเข้าใจคำว่า ลมหายใจหยาบลมหายใจละเอียดว่าเป็นยังไง ซึ่งก่อนหน้าเข้าใจว่า คือลมหายใจแรงๆเบาๆซะอีก

ความรู้สึกจากการเกิดสมาธิครั้งแรกนี้ เหมือนจุ่มปีติค้างอยู่ แต่ไม่เห็นนิมิตอะไรทั้งสิ้น แต่รู้สึกจิตเวลานี้ไม่มีนิวรณ์เลย
จากนั้น ก็รู้สึกยินดีกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วคิดไปเรื่อยว่า "นี่คือปฐมฌานหรือเปล่านี่ ปฐมฌานเกิดกับเราหรือ" จนจิตเริ่มไม่เป็นสมาธิปั่นป่วน หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงห้องข้างๆตะโกนเสียงดัง ก็เลยหลุดออกมาจากสภาวะนั้น


2. ปรับบ้างตามสมควร แต่มิใช่ว่าอะไรๆก็ปรับๆๆ ตามใจเขาไปทุกเรื่องทุกอย่าง จนเราเองขาดความมั่นใจคือไม่เป็นตัวของตัวเองขาดความสุขไปอีก

3. (ดูคำตอบข้อ 1 ประกอบ คือ ตอนนี้พึงใช้ความอยู่ผู้เดียวให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเอง เผื่อวันข้างหน้าได้อยู่กันหลายคนขึ้นมาจะไม่มีโอกาสดีดีอย่างนี้อีก) มนุษย์ไม่ว่าชาติใดภาษาใดที่อุบัติขึ้นมาบนโลกใบนี้ ไม่มีใครสักคนที่มีความสมบูรณ์ไปทุกเรื่องทุกอย่าง มีสิ่งหนึ่งแต่ก็ขาดสิ่งหนึ่ง มองดูรอบๆตัวเถอะครับ จะเห็นผู้คนที่ยังดิ้นรนอยู่ร้อนนอนทุกข์ยิ่งกว่าเราอีกมากมาย (แม้พระพุทธเจ้าเองนอนอยู่ในวังแท้ๆ ยังดิ้นรนไปนอนในป่า) คิดแง่บวกเพื่อให้เกิดกำลังใจที่จะอยู่ต่อ อยู่สู้ชีวิตอย่างมีสติรู้เท่ารู้ทันความจริงของโลกและชีวิตต่อไปจนกว่ามันจะตายเอง :b16:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2010, 01:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.พ. 2009, 01:02
โพสต์: 337


 ข้อมูลส่วนตัว


cool


1. อยากทำให้ตัวเองมีความสุข โดยไม่ต้องพึ่งใคร ทำอย่างไรคะ
2. ตอนนี้กับแฟนคนนี้ ก็ยังคบอยู่ เพราะดิฉันง้อให้กลับมา คืนดีกันเที่ยวนี้ดิฉันต้องปรับตัวใหม่ทุกอย่าง กลายเป็นว่าที่เราเข้ากันไม่ได้เพราะเค้าบอกว่าเค้าปรับตัวเองมาตลอด แต่ไม่เวิร์ค ตอนนี้เค้าไม่ค่อยแคร์แล้วว่าจะปรับได้หรือไม่ได้ บอกว่าปรับได้ก็ดี ปรับไม่ได้ก็เลิกเถอะ แต่เค้าจะไม่ปรับแล้ว เรื่องแต่งงานก็เลิกพูดไปได้เลย ไม่มีคำตอบบอกว่าถ้าอยากได้ตอนนี้ก็เลิกเถอะ อย่างนี้เราควรจะอดทนลองปรับตัวเอง ตามใจเค้าทุกอย่างไหม หรือควรจะตัดใจ
3. มีวิธีคิดให้กำลังใจตัวเองอย่างไร เกือบทุกวันพอเลิกงานแล้วอยู่คนเดียว มันหดหู่ เหงา เศร้า กลัว ไปหมด ทั้งเครียดเรื่องงาน กลัวแม่จะเป็นไรไป แล้วถ้าเค้าเป็นไรขึ้นมา เราทำมาทั้งหมดนี้เพื่ออะไร เหงาเหมือนอยู่คนเดียวในโลก ไม่อยากมีชีวิตต่อ (แต่อย่างไรก็ไม่เคยคิดจะฆ่าตัวตายค่ะ เป็นคนพุทธ กลัวบาป) แต่มันทรมานมาก


ข้อ ๑ ขอยกบทความมาให้ครับ

เพื่อความสุขใจ (อาจารย์วศิน อินทสระ)

ความสุขใจเป็นพรอันประเสริฐของชีวิต เพราะทำให้ชีวิตสดชื่นรื่นรมย์ รู้สึกว่าชีวิตนี้มีความหมาย ความสุขกายมีระยะกาลสั้นกว่าความสุขทางใจ และสุขแล้วก็แล้วไปไม่หวนกลับมาอีก ส่วนความสุขทางใจมีระยะยาวนานกว่ามาก และหวนกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า ความสุขใดที่เกิดขึ้นแก่ใจแล้ว จะสถิตอยู่ยั่งยืนนานในส่วนลึกของใจ พร้อมที่จะขึ้นมาให้ความรื่นรมย์แก่เราอีกเมื่อระลึกถึง ความสุขทางใจจึงเป็นของทิพย์ ระหว่างสุขกายกับสุขใจนั้น ความสุขใจมีคุณค่าสูงกว่า ปลอดภัยกว่า หาได้ง่ายกว่า (สำหรับคนรู้จักหาและทำใจเป็น)

ทำอย่างไรจึงจะมีความสุขใจ ? คำตอบก็คือ ต้องรู้จักวิธีผ่อนคลายความทุกข์และเสริมสร้างความสุขทางใจให้เกิดขึ้น อันที่จริง ถ้าเราสามารถผ่อนคลายความทุกข์หรือทำลายความทุกข์ได้ ความสุขใจก็จะเกิดขึ้นเอง ดังพุทธภาษิตที่ว่า “การละทุกข์เสียได้เป็นสุขในที่ทั้งปวง (สพฺพตฺถ ทุกฺขสฺส สุขํ ปหานํ)...ธรรมบท ขุททกนิกาย ๒๕/๕๙)" กล่าวคือในที่ใด ในขณะใด เราสามารถละทุกข์ได้ความสุขก็เกิดขึ้นในที่นั้นในขณะนั้น ความสุขก็คือความทุกข์ที่ลดลงหรือเสื่อมสลายไป สุขทุกข์อยู่ใกล้ชิดกันมาก ขณะใดทุกข์ดับไปหรือสงบไป สุขก็เกิดขึ้น และความสุขจะเพิ่มทวีขึ้นตามอัตราส่วนแห่งความทุกข์ที่สงบไปดับไป ความขวนขวายพยายามของมนุษย์ที่เรียกกันว่าแสวงหาความสุขนั้น ที่แท้ก็คือ การพยายามดับทุกข์ที่เกิดติดต่อกันอยู่ไม่ขาดสายนั่นเอง ช่วงที่สามารถดับทุกข์ได้นั่นเอง คือช่องว่างสำหรับความสุข สำหรับท่านที่มีความสามารถสูงหรือสุขภาพจิตดี ช่องว่างสำหรับความสุขก็ยาวออกไป เหมือนคนที่สุขภาพกายดี ช่วงสำหรับความสุขกายก็ยาวออกไปเช่น ๖ ชั่วโมง ๑๐ ชั่วโมง เป็นต้น แต่ถ้าท่านมีสุขภาพกายไม่ดีความถี่ของความทุกข์มีมาก การต้องบำบัดทุกข์ก็ถี่เข้าเช่นกัน บำบัดทุกข์ได้ครั้งหนึ่ง ก็สมมติเรียกว่า “สุข” เสียครั้งหนึ่ง

เพื่อผ่อนคลายความทุกข์ และเพื่อเสริมสร้างความสุขทางใจ ขอเสนอวิธีการดังต่อไปนี้

๑. ทำงานอยู่เสมอ
๒. อย่าเอาเรื่องกับสิ่งเล็กน้อย
๓. อย่าเป็นทุกข์ล่วงหน้า
๔. ต้อนรับสิ่งที่หนีไม่พ้นด้วยความสงบ
๕. อย่ายอมเป็นทาสของอดีต
๖. หัดวิเคราะห์ทุกข์
๗. ค้นหาต้นเหตุของทุกข์แล้วกำจัดเสีย
๘. ทำจิตให้เป็นอิสระไม่ตกเป็นทาสของมายาธรรม
๙. ตระหนักแน่ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นไปตามเหตุปัจจัย
๑๐. ความเป็นผู้มีเหตุผล
๑๑. การเล็งเห็นคุณและโทษของสิ่งที่เราเข้าไปเกี่ยวข้อง
๑๒.พยายามมองบุคคลและเหตุการณ์ต่าง ๆ ในแง่ดีตามสมควร
๑๓.การทำจิตให้สงบโดยวิธีสมาธิหรือสมถภาวนา
๑๔.การทำจิตให้สงบโดยวิธีวิปัสสนา

... .. . ให้พยายามสร้างนิสัยนักศึกษาขึ้นในตน คือมองสิ่งต่าง ๆ ในแง่ของการศึกษาว่า สิ่งนี้ให้ความรู้และประสบการณ์อะไรแก่เราบ้าง ชีวิตจะต้องเดินทางผ่านประสบการณ์เป็นอันมาก ความรู้ความเข้าใจในชีวิตนั้น เป็นวิทยาการอันสูงเยี่ยมยิ่งกว่าวิทยาการใด ๆ เมื่อเข้าใจชีวิตดีแล้ว จะเป็นผู้มีชีวิตอย่างมีทุกข์น้อยที่สุด หรือไม่มีทุกข์ทางใจเลย . .. ...


ข้อ ๒ ขอยกบทความมาให้อีกครับ

เมื่ออกหัก

เมื่อไม่มีใครรัก แม้แต่ตัวเองก็ยังเกลียดชังตัวเอง ถึงขั้นอยากฆ่าตัวตาย ควรจะทำอย่างไร

๑. หาที่สงบสติอารมณ์ ให้เวลากับตัวเอง ทำความเข้าใจกับตัวเราเองให้ถ่องแท้
๒. พึงเข้าใจว่าการทำร้ายตัวเอง การฆ่าตัวตาย ไม่ใช่การแก้ปัญหา ไม่ใช่วิธีหนีพ้นจากทุกข์ กลับเป็นการเพิ่มปัญหายิ่งขึ้น ร้อยเท่าทวีคูณ เพราะการฆ่าคนเป็นบาปหนัก ต้องชดใช้กรรมอีกไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ
๓. ทำใจให้ได้ว่าเขาไม่ได้เป็นเนื้อคู่ของเรา ถึงจะอยู่ด้วยกัน ก็จะมีปัญหาในอนาคตแน่นอน อกหักตั้งแต่ตอนนี้ก็ดีแล้ว น่าดีใจที่เรารู้ความจริงเสียแต่บัดนี้
๔. ให้ระลึกถึงพุทธภาษิตที่ว่า “ความรักเสมอด้วยความรักตนไม่มี” หมายถึงความรักตนเป็นความรักอันสูงสุด
๕. เรากำลังผิดหวัง หลงอยู่ในอารมณ์อกหัก จึงคิดว่าไม่มีใครรักเรา พ่อแม่ก็ไม่รักเรา คนนี้คนนั้นไม่ดี ไม่รักเรา เรากำลังผิดหวังจากความรู้สึกที่ว่าไม่มีใครรักเราเลย พิจารณาดูให้ดีว่าเรารักตัวเองไหม ก็คงจะไม่ ถ้าแม้แต่เรายังคิดที่จะทำลายตัวเอง ทั้งทางกาย วาจา ใจ แสดงว่าเราก็ไม่ได้รักตัวเองเลย แล้วจะให้คนอื่นมารักได้อย่างไร
๖. พยายามตั้งสติ ระลึกถึงอารมณ์ปกติที่เราก็มีอยู่ ที่เราเคยมีชีวิตอยู่ตามปกติของเราตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก ๆ อารมณ์ยามอกหักก็เปรียบเหมือนถูกน้ำเน่ากระเด็นใส่ตัว เปื้อนเสื้อผ้าเลอะเทอะเต็มไปหมด เรารู้สึกตัวเหม็นเน่า น่ารังเกียจ แต่นั่นไม่ใช่ของจริงอะไร นั่นไม่ใช่ชีวิตจริงของเรา เมื่อเราชำระล้าง เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นปกติตามเดิม อารมณ์เมื่อเราอกหักก็เหมือนกัน มันเพียงแต่ผ่านเข้ามากระทบใจเราเท่านั้น
๗. พระพุทธองค์ตรัสว่า จิตของเรานี่ประภัสสร บริสุทธิ์ ผ่องใส โดยธรรมชาติ จิตเศร้าหมองเพราะอุปกิเลสครอบงำจิต โอปนายิโก น้อมเข้ามาหาตน ค้นหาธรรมชาติของตนที่บริสุทธิ์ ผ่องใส เบิกบานใจ สบายใจ

(บางส่วนจากหนังสือ สาระแห่งชีวิต คือรักและเมตตา...พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก)


ข้อ ๓ อืมมม.. ขอยกบทความมาให้อีกครับ

“ผมเป็นคนเดินช้า แต่ผมไม่เคยเดินถอยหลัง”
I am a slow walker, but I never walk backwards
(อับราฮัม ลินคอล์น)



ชีวิตไม่สิ้น..ต้องดิ้น ต้องเดินต่อไป

มนุษย์ทุกคนต่างก็มีความใฝ่ฝันและมีอุดมการณ์ของตนทั้งนั้น ฉะนั้น จึงควรใช้อุดมการณ์และความใฝ่ฝัน กรุยทางไปสู่ความสำเร็จในชีวิต โดยวางแผนอนาคตให้กับตนเอง พร้อมก้าวไปข้างหน้าอย่างมานะ บากบั่น พยายามทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ให้เป็นรูปเป็นร่าง แม้จะต้องพบอุปสรรค ล้มลุกคลุกคลานบ้าง ล้มเหลวบ้าง ก็ขอให้เดินหน้าต่อไป อย่าท้อแท้สิ้นหวัง อย่าหมดกำลังใจ และอย่าคิดว่าตนเองนั้นพ่ายแพ้ แต่จงคิดว่า หากชีวิตของเรายังไม่สิ้นก็ต้องดิ้นรนเพื่อนำชัยชนะมาให้ได้

เฮมิงเวย์ กล่าวเอาไว้ว่า “มนุษย์อาจล้มเพราะถูกทำลาย แต่ไม่อาจล้มได้เพราะความพ่ายแพ้” จริง ๆ แล้ว ความสำเร็จถูกลิขิตขึ้นจากความพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้ที่เคยพ่ายแพ้อาจกลายเป็นผู้ชนะได้ หากพยายามค้นหาสาเหตุให้พบ และใช้เป็นบทเรียนเพื่อเปลี่ยนทางเดินชีวิตใหม่ ไม่เดินซ้ำเส้นทางที่เคยทำให้พ่ายแพ้และล้มเหลว ในขณะเดียวกันจะต้องมองหาทางเดินใหม่ที่มั่นคงและปลอดภัยกว่าเดิม เพื่อเริ่มต้นทำความใฝ่ฝันและอุดมการณ์ให้เป็นความจริงขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่ประมาท อีกทั้งมีความรอบคอบยิ่งกว่าเดิม

ดังนั้น... เมื่อมีชีวิตก็ต้องมีความหวัง ตราบใดที่ยังคงเดินอยู่บนเส้นทางชีวิตย่อมต้องพบกับอุปสรรคอย่างแน่นอน จะน้อยบ้าง มากบ้าง จะสะดุดหกล้มเหยียบบนหินก้อนเล็กแหลมคม หรือสะดุดหกล้มหินก้อนใหญ่มันไม่สำคัญหรอก สำคัญที่ว่า จะรีบลุกขึ้นและก้าวเดินต่อไปหรือไม่เท่านั้น



ไม่กล้า...ไม่มีวันเดินหน้า

ผู้ที่ต้องการความสุขในการดำเนินชีวิต และได้ทำในสิ่งที่ตนเองรักนั้น จะต้องกล้าที่จะเดินไปบนเส้นทางที่ตนเองใฝ่ฝันและเห็นว่าถูกต้องเหมาะสม ถึงแม้ว่าคนรอบข้างจะคัดค้านและไม่เห็นด้วยก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น การเลือกทำงานที่ตนเองรักและใฝ่ฝัน หรือการเลือกเรียนในสาขาวิชาที่ตนเองชอบและมีความถนัด

ผู้ที่ได้ทำในสิ่งที่ตนเองรัก จะมีความสุข มีความภาคภูมิใจ และสามารถทำสิ่งที่ตนเองปรารถนาให้ประสบความสำเร็จได้ โดยมีแรงกระตุ้นจากจิตใต้สำนึกภายในของตนเอง ให้พยายามทำในสิ่งนั้นให้ดีที่สุด

ฉะนั้นจึงต้องค้นหาตัวเองให้พบ หาให้ได้ว่าตัวของเราเองมีความชอบหรือมีความถนัดทางด้านใดเป็นพิเศษ จากนั้นนำพรสวรรค์ที่ซ่อนอยู่มาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด มีความมั่นใจ และกล้าที่จะเดินในเส้นทางของตนเอง กล้าที่จะมุ่งหน้าฟันฝ่าอุปสรรค เพื่อก้าวสู่จุดหมายปลายทางของความสำเร็จในแบบฉบับของตนเองให้ได้



ล้มแล้วลุก...รุกไปข้างหน้า

มีคำเปรียบเทียบที่น่าสนใจว่า “ท้องทะเลมิได้เต็มไปด้วยคลื่นลมรุนแรงตลอดเวลา บางคราก็ราบเรียบสวยงาม หรือแม้ท้องฟ้าก็มิได้มีเพียงเมฆฝนพายุร้ายอยู่เสมอ บ่อยครั้งที่แสงแดดสาดส่องประกายเจิดจรัส เช่นเดียวกับชีวิตที่มิใช่จะมีแต่อุปสรรคและความผิดหวังอยู่ร่ำไป จริง ๆ แล้วชีวิตย่อมมีวันที่จะสดใสได้เช่นกัน”

ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตที่เกิดขึ้นนั้นมีมากมายไม่รู้จบ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาจากการทำงาน ปัญหาการไม่มีงานทำ ปัญหาครอบครัว หรือปัญหาอื่น ๆ ที่ส่งผลให้เกิดความเครียด ความท้อแท้ แก่ตนเองนั้น หากพิจารณาให้ถ่องแท้จะพบว่า เป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะชีวิตที่แท้จริงมีหลายเหลี่ยมหลายมุม บางครั้งแม้จะมืดมนซึมเซา แต่ก็มีโอกาสที่จะสดใสได้เช่นกัน

ฉะนั้น จึงไม่ควรวิตกกังวลหรือท้อแท้สิ้นหวัง เมื่อมีปัญหาควรหาทางออกอย่างถูกต้อง หาทางแก้ไขอย่างมีสติ ดูแลร่างกายและจิตใจให้พร้อมต่อสู้ฟันฝ่าปัญหาต่าง ๆ อย่างมีความหวังเสมอ จงให้กำลังใจตนเอง และคิดเสมอว่า วันนี้ต้องดีกว่าเมื่อวานนี้ และพรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้ เมื่อล้มแล้วต้องลุกขึ้นให้ได้ ...เพื่อที่จะรุกก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไป

บางส่วนจากหนังสือ “ขอให้เปี่ยมล้นกำลังใจ” ...โดย เบญญาวัธน์


:b16: :b16: :b16: :b16: :b16: :b16: :b16: :b16: :b16:

เจริญในธรรมครับ :b8: :b8: :b8:

:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b42: :b42: :b42: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: smiley

.....................................................
ราตรีของผู้ตื่นอยู่นาน...โยชน์ของผู้ล้าแล้วไกล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2010, 01:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


kanlayanamitr เขียน:
ถึงพี่ๆเพื่อนๆทุกๆท่าน


1. อยากทำให้ตัวเองมีความสุข โดยไม่ต้องพึ่งใคร ทำอย่างไรคะ
2. ตอนนี้กับแฟนคนนี้ ก็ยังคบอยู่ เพราะดิฉันง้อให้กลับมา คืนดีกันเที่ยวนี้ดิฉันต้องปรับตัวใหม่ทุกอย่าง กลายเป็นว่าที่เราเข้ากันไม่ได้เพราะเค้าบอกว่าเค้าปรับตัวเองมาตลอด แต่ไม่เวิร์ค ตอนนี้เค้าไม่ค่อยแคร์แล้วว่าจะปรับได้หรือไม่ได้ บอกว่าปรับได้ก็ดี ปรับไม่ได้ก็เลิกเถอะ แต่เค้าจะไม่ปรับแล้ว เรื่องแต่งงานก็เลิกพูดไปได้เลย ไม่มีคำตอบบอกว่าถ้าอยากได้ตอนนี้ก็เลิกเถอะ อย่างนี้เราควรจะอดทนลองปรับตัวเอง ตามใจเค้าทุกอย่างไหม หรือควรจะตัดใจ
3. มีวิธีคิดให้กำลังใจตัวเองอย่างไร เกือบทุกวันพอเลิกงานแล้วอยู่คนเดียว มันหดหู่ เหงา เศร้า กลัว ไปหมด ทั้งเครียดเรื่องงาน กลัวแม่จะเป็นไรไป แล้วถ้าเค้าเป็นไรขึ้นมา เราทำมาทั้งหมดนี้เพื่ออะไร เหงาเหมือนอยู่คนเดียวในโลก ไม่อยากมีชีวิตต่อ (แต่อย่างไรก็ไม่เคยคิดจะฆ่าตัวตายค่ะ เป็นคนพุทธ กลัวบาป) แต่มันทรมานมาก

ลองวิเคราะห์ตัวเองดู ปัญหาจริงๆน่าจะเกิดในตัวเองมากกว่า อาจจะมาจากปัญหาวัยเด็ก ที่ครอบครัวไม่อบอุ่น ต้องอยู่คนเดียวมาตั้งแต่เด็ก (แม่ทำงานตลอด หนักมาก ส่วนพ่อมีบ้านเล็กบ้านน้อยแล้วเสียไปก่อน) เหมือนตัวเองไขว่คว้ามีความฝันฝังใจมาตลอดว่าอยากจะสร้างครอบครัวตัวเองที่อบอุ่น แต่ยิ่งตั้งความหวัง แล้วดูแล้วชีวิตยากจะเป็นเหมือนฝันก็ทุกข์ อย่างไรก็ขอคำชี้แนะด้วยค่ะ


ลองพิจารณาแล้วตอบคำถามในใจตัวเองดูนะโยม สมมติว่าเราได้แต่งงานกับคนนี่แหละ ที่คุณรักเขานักรักเขาหนาเขาไม่มีความยุติธรรมแม้แต่กับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่สนใจว่าจะอยู่หรือจะไป เรามีค่ากับเขาแค่เวลาเหงา ผ่านไปอีกสักสิบปีถึงยี่สิบปี ไม่ได้แต่งแต่อยู่ด้วยกัน เขามีบ้านเล็กบ้านน้อย เราอยู่ตัวคนเดียวและสมมติให้ มีลูกสาวคนหนึ่งเรียนจบแต่ไม่ยอมไปไหนเพราะรักคุณมาก

ช่วยคุณทำงานทุกอย่างไม่ไปใช้ชีวิตตามลำพัง วันหนึ่งความแก่ความเจ็บไข้ได้ป่วยมาเยือน พบโรคร้าย แน่นอนคุณจะไม่แสดงความอ่อนแอให้ลูกสาวคุณเห็น ที่นี้คุณมามองดูปัญหาของลูกสาวคุณ เธอทุกข์ใจมากที่จะเสียคุณไป แต่เธอโชคดีกว่าที่เธอจัดลำดับความสำคัญในชีวิตเป็น ลูกสาวคุณเก่งมาก เธอรู้ว่า ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจ และกรรมดีกรรมชั่วพร้อมผลของกรรมนั้น ๆ ที่ตนกระทำ เป็นสิ่งที่ต้องปรากฏแก่ชีวิตของเธอ แก่คุณซึ่งเป็นแม่เธอ แก่คนที่เธอรัก ถึงจะเสียใจอยู่แต่ก็ยอมรับความจริงเป็น

เธอจึงให้ความสำคัญกับผู้ให้กำเนิดเธอก่อน เธอไม่พายเรือสองลำในคราวเดียวข้ามแม่น้ำ ข้ามมรสุมชีวิต เธอโชคดีอีกที่ไม่มีปัญหาเรื่องผู้ชายมารบกวนจิตใจ เธอต่อสู้หาความรู้ อดทนทำทุกอย่างในเวลาที่คุณ ยังอยู่ แม้บางคราวคุณเริ่มทรุดหนัก คุณเริ่มไม่รับรู้ คุณเริ่มไม่สามารถประคองตนได้แล้ว

คุณเองตกอยู่ในสภาพที่เจ็บป่วยและทุกข์ทรมานทั้งกายทั้งใจลงไปทุก ๆ วัน คุณคือความหวังเดียวของลูกสาวคุณ มีคำถามระหว่างที่คุณจะจากไปในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ถ้าลูกสาวคุณไม่ยอมรับความจริงขึ้นมาในกระทันหันลืมว่า แม้แต่ตัวเธอเองที่เกิดมาแล้วนี้เพราะกรรมมีกรรมเป็นของตัวเอง ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายไปเช่นเดียวกันกับแม่ของเธอก็คือคุณ เธอควบคุมอารมณ์จิตใจตัวเองไม่ได้ ไม่ให้เศร้าโศกเสียใจ หดหู่ท้อแท้อาลัยอาวรณ์ สิ้นหวัง และไม่รู้จะอยู่ไปทำไมเพื่อตัวเองอีก เชื่อแน่ว่าคุณเองคงไมยินดีต่อ ความทุกข์ทรมานของลูกสาวของคุณอย่างแน่นอน พิจารณาดูเรื่องสมมตินี้แล้ว ได้คำตอบอะไรบ้างไหมโยม

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@


เรื่องสมมติที่สอง คุณจากโลกนี้ไปแล้วผ่านไปได้สักสองสามปี ตามพระท่านว่าไว้ว่า ทุกชีวิตมีกรรม มีความเกิด แก่ เจ็บตาย ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่ชอบใจ เป็นจริง! หลีกเลี่ยงไม่ได้ทุกประการ แต่ก่อนจากโลกนี้ไป คุณก็แสดงความจริงที่ยากยอมรับ และเจ็บปวดสำหรับลูกคุณเอาไว้ ตามพระท่านว่า

ลูกคุณเกิดเบื่อหน่าย เห็นชีวิตเป็นของไม่ยังยืน ความตายเป็นของยังยืน ไม่ใช่เศร้าใจเสียใจ ไม่ได้ทุกข์เพราะการจากไปของคุณอีก มีบ้างที่คิดถึง แต่ลูกคุณฉลาด เธอคิดถึงความสุขที่ได้เกิดมาเป็นลูกขอแม่ เธอฉลาดที่ทำบุญ ทำทานเต็มกำลังความสามารถ ให้ทานด้วยความเคารพเอื้อเฟื้อไม่ว่าต่อ พระภิกษุสงฆ์ ต่อคนอื่นที่ตกทุกข์ได้ยาก ต่อสัตว์เล็กสัตว์น้อย ด้วยความเคารพ แล้วอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลทั้งหมดนั้นให้กับตัวเธอเอง และคุณผู้ล่วงลับไปแล้ว ((ตรงนี้เรื่องจริง เธอเคยคิดจะอยู่ไม่ได้ อยากตาย แต่หากทำอย่างนั้นแล้ว ใครคนไหนอีกละจะอุทิศส่วนบุญกุศล ในเวลาที่ท่านจากโลกนี้ไป ตั้งสติวันนี้ร่างกายจิตใจคนที่คุณรักยังอยู่ ทำให้เต็มที่)) ให้ไม่ต้องได้รับความลำบากเดือดร้อน เสมือนหนึ่งมีคุณ เป็นพรหม เป็นเทวตานุสติ เป็นเครื่องระลึก เป็นกำลังใจให้ลูกคุณทำความดี สร้างบุญกุศล ฟังเทศน์ ฟังธรรม อธิษฐานขอส่วนบุญส่วนกุศลทุก ๆ ครั้งมอบให้คุณ

เธอฉลาดขึ้นอีก รู้และทราบแล้วว่า ความแก่ ความเจ็บ และความตายไม่ได้น่ากลัวเลย ความต้องเกิดอีก แบกทุกข์ แบกสังขารร่างกายนี้ต่างหาก กิเลสตัณหา อุปาทานต่างหาก ที่ทำให้ยังต้องเวียนว่ายตายเกิด นำมาเกิดอีกคือความทุกข์ เมื่อชาติปรากฏแล้ว ความแก่และความตายก็จะตามมาอีก ความโศกเศร้า ความรำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ความหวังสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น ความประสบกับสิ่งที่ไม่เป็นที่รักที่พอใจ ความคับแค้นใจทั้งหมดนั้น เกิดจากความยึดถือ ในสิ่งต่าง ๆ ในร่างกายในจิตใจนี้ นี่เองคือตัวก่อทุกข์ คืออุปาทานความยึดมั่นถือมั่น

@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@


เมื่อค่อย ๆ ยอมรับความจริง คุณโยมไม่จำเป็นต้องแกล้งทำเป็นเข้มแข็ง ความยึดถือความคาดหวัง ฝันที่จะมีชีวิตครอบครัวที่อบอุ่น เป็นเรื่องงดงาม แต่ความอบอุ่นของชีวิตคนเรา เกิดจากการที่ คนเรารู้กตัญญูในบุพการีที่ท่านได้เลี้ยงดูอุ้มชูเราให้ชีวิตเรา การตอบแทนบุญคุณท่านดูแลรักษาท่านคือบุญอันสูงสุด ไม่ว่าจะเผชิญโรคภัยไข้เจ็บอย่างไร ผลกรรมที่คุณแม่ของคุณโยม มีลูกสาวที่ดีที่น่าเคารพยกย่องอย่างคุณโยมนั่นแหละ เป็นสิ่งที่อบอุ่นที่หาอะไรเปรียบไม่ได้อีกแล้ว ยังจะมีอะไรทำให้ชีวิตหวั่นไหวได้อีก อะไรจะทำให้หนาวได้อีก เมื่อคุณโยมยังรักและกตัญญู ตราบคุณโยมเองนั่นแหละสิ้นลมหายใจ...

ความกตัญญูที่คุณโยมมีอยู่แล้วนี้แหละ คือการสร้างความอบอุ่นที่แท้จริง เป็นความมั่นคงอบอุ่นในครอบครัว หากครอบครัวคือสายใยรักระหว่างคนต่อคน อย่างนั้นไม่จำเป็นเลยที่ครอบครัวจะต้องมีคำว่าพร้อมหน้าพร้อมตา เพราะทุกชีวิตต่างก็มาทำมาสร้างความดีให้แก่ตนเองและคนที่เรารัก หากใครไม่ได้ปรารถนาที่จะรักแต่กลับทำร้าย อยู่หรืออยู่ก็สร้างแต่ความทุกข์และเบียดเบียนซึ่งกันและกัน การจากกันด้วยดีคงดีที่สุด เคยเห็นไหมบ้านใหญ่โต มีทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ไม่มีคนรักและกตัญญู ไม่ต้องรอความหวังจากใครที่ไหน เติมเต็ม สร้างบุญกุศลความดีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ไม่ว่าวันนี้(ที่ท่านยังอยู่)หรือวันหน้า เพราะไม่ว่าอย่างไร คนที่เรารักก็จะยังอยู่ในใจของเราเสมอเจริญพร


ป.ล. ความเห็นคุณโยม อโศกะในลานธรรมเสวนาเกี่ยวกับมะเร็งครับ http://larndham.org/index.php?/topic/40 ... _p__745364

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


แก้ไขล่าสุดโดย นายฏีกาน้อย เมื่อ 29 ธ.ค. 2010, 02:12, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2010, 01:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ส.ค. 2010, 13:31
โพสต์: 12

ชื่อเล่น: เบสท์
อายุ: 0
ที่อยู่: เจริญนคร

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาสาธุในคำตอบของท่านพุทธฎีกาครับ
:b8: :b8: :b8:

เป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้ครับ :b53: :b53:
ทุกเรื่องผ่านมาแล้วก็ผ่านไปครับ :b41: :b41:
เกิดมาแล้วก็ต้องตาย มีแต่กรรมเท่านั้นครับที่จะติดตามตัวเราไป :b39:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2010, 06:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ส.ค. 2010, 22:40
โพสต์: 2


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุค่ะ ท่านพุทธฎีกา :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2010, 07:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ก.ค. 2010, 07:19
โพสต์: 89


 ข้อมูลส่วนตัว


:b48:


แก้ไขล่าสุดโดย อานาปานา เมื่อ 24 เม.ย. 2011, 07:38, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2010, 10:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


เกิดมาทำไม... :b1: :b8:

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=9412

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2010, 22:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ธ.ค. 2010, 19:08
โพสต์: 3


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบพระคุณพี่เพื่อนๆทุกท่านค่ะ ที่ช่วยเข้ามาตอบและให้กำลังใจ

ตอนนี้ความรู้สึกดีขึ้นมาแล้วค่ะ ถึงแม้ว่าจะมีบ้างที่แอบเศร้า แต่ก็พยายามคิดว่าความรู้สึกมันไม่จีรัง ประเดี๋ยวมันก็หายไป


ทั้งข้อคิดต่างๆนี้ดีมากเลยค่ะ จะนำไปปรับใช้ดูค่ะ ก็คิดได้นะคะว่าหลังจากที่พบว่าคุณแม่ป่วย เรากับแม่ก็เปลี่ยนไป จากที่เคยพูดคุยกันแต่เรื่องงาน ไม่เคยคุยถามไถ่สารทุกสุขดิบเพราะเขินอาย ก็กล้าพูดตรงๆว่าเป็นห่วง แต่ก่อนอะไรนิดหน่อยเราก็โกรธ แต่ตอนนี้ก็ให้อภัย หวังแค่ว่าอยากให้เค้าเห็นผลสำเร็จของงาน และได้มีชีวิตอยู่ต่อเพื่อสะสมบุญเพิ่มขึ้น รักแม่มากค่ะ

จะพยายามไม่คิดทุกข์ล่วงหน้าตามคำแนะนำ หรือย้อนมองแต่อดีตแล้วคร่ำครวญแล้วค่ะ ถ้าเริ่มคิดเมื่อไหร่ก็จะบอกให้ตัวเองมาอ่านคำแนะนำของพี่ๆที่ช่วยเขียนมา

ขอบคุณท่านพุทธฏีกาที่ช่วยให้ดิฉันมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่มองผ่านตัวเองนะคะ จะดูแลแม่อย่างดีที่สุดค่ะ

จะลองหาเวลาไปฝึกนั่งสมาธิค่ะ ฟังคุณกรัชกายเล่าแล้วก็ รู้สึกอยากสัมผัสความสุขอย่างที่ว่านี่บ้าง

ขอบคุณทุกๆท่านอีกครั้งค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2010, 00:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 มิ.ย. 2010, 22:30
โพสต์: 104

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอเป็นกำลังใจให้คุณกัลยาณมิตรด้วยนะค่ะ ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนี้ สู้ๆนะค่ะ :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2010, 00:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ส.ค. 2010, 13:31
โพสต์: 12

ชื่อเล่น: เบสท์
อายุ: 0
ที่อยู่: เจริญนคร

 ข้อมูลส่วนตัว


โลกนี้มีทั้งเพื่อนเกิด เพื่อนแก่ เพื่อนเจ็บ เพื่อนตาย
มีทั้งกัลยาณมิตรที่ดีๆที่คอยให้กำลังใจและให้คำแนะนำนะครับ
เป็นกำลังใจให้นะครับ พ่อแม่ก็เหมือนพระอรหันของลูก
ดูแลท่านให้ดีที่สุดครับ ทำมันด้วยใจ เหมือนที่ท่านเคยเลี้ยงดูเรามา
เป็นกำลังใจให้เสมอนะครับ
ทุกคนพร้อมที่จะให้กำลังใจคุณ kanlayanamitr ครับ
:b4: :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2010, 10:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


kanlayanamitr เขียน:

จะลองหาเวลาไปฝึกนั่งสมาธิค่ะ ฟังคุณกรัชกายเล่าแล้วก็ รู้สึกอยากสัมผัสความสุขอย่างที่ว่านี่บ้าง


ขออีกนิดนะครับ เพื่อจะบอกว่า "เวลา" ไม่ต้องหาครับ มันมีของมันอยู่เองแล้ว :b12: :b32:

แต่ จขกท. คงคิดว่า การทำสมาธิเจริญสติปัญญา ฯลฯ เนี่ยจะต้องปลีกตัวหยุดงานประจำไปที่ไหนสักแห่งหนึ่งเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ไม่ใช่ครับ

การทำฝึกสมาธิหรือจะเรียกในชื่ออื่นๆทำนองนี้ เราทำควบคู่ไปกับงานประจำวันได้ ทำงานอะไรก็ใช้งานนั้นแหละเจริญธรรมได้เลย

หลักอิทธิบาท 4 ก็ใช้งานประจำนี่เองฝึก

ดูแบบก็ได้ถ้าไม่เชื่อ

viewtopic.php?f=2&t=20241

แต่หลังเลิกงานประจำวันซึ่งเป็นอาชีพของเรา จะฝึกสมาธิทำกรรมฐานตามรูปแบบก็ย่อมได้ ไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ :b16:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2010, 11:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
...การเรียนรู้และเข้าใจชีวิตตามหลักพระธรรมคำสอนในพุทธศาสนา...
...เริ่มที่การศึกษาเข้าใจความจริงที่กำลังเผชิญอยู่อย่างกล้าหาญ...
...ใช้ความอดทนและสร้างกำลังจิตใจที่เข้มแข็งให้ตนเองก่อน...
...เพราะทุกข์จากการพึ่งตนเองและผู้อื่นไม่ได้ตามที่ตนเองคาดหวัง...
...เพราะยึดใจตนเองเป็นศูนย์กลางให้ทุกสิ่งเป็นไปตามที่ใจตนต้องการ...
...เป็นการสร้างทุกข์ไว้แล้ว...พอผลออกดีน่าพอใจก็คิดว่าสุข...
...แต่จริงๆแล้วทุกข์ที่ตนเองคาดหมายไปล่วงหน้ามันลดลงเท่านั้น...
...แล้วก็สร้างทุกข์อันใหม่เพิ่มขึ้นไปเรื่อยตามความอยากของกิเลสในใจตน...
...เช่นมีเงินหมื่นก็อยากมีเงินแสน...มีเงินแสนก็อยากมีเงินล้าน...ไม่หยุด...
...อยากมีรถ...อยากมีบ้าน...อยากมีแต่สิ่งดีๆในชีวิต...อยากไม่หยุดไม่ถอย...
...ก็เพิ่มทุกข์จากการเห็นก่อน...เห็นรถรุ่นใหม่ก็อยากเปลี่ยนไปเรื่อยๆ...
...เพราะใช้ชีวิตไปกับการพึ่งวัตถุ เงินทอง ข้าวของ คิดว่าหามาแล้วจะสุข...
...มันไม่สุขแหละเพราะหาแต่ที่พึ่งทางกายที่อาจหามาสมหวังบ้างไม่สมหวังบ้าง...
...แต่จิตใจไม่ได้รับการเหลียวแลจากเจ้าของ...ละเลยการฝึกจิตให้ยอมรับ...
...ถึงสภาพธรรมชาติของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย...ความไม่เทียงของทุกสิ่งที่ปรากฎ...
...สมบัติเงินทอง..ข้าวของที่หามาได้เป็นสมบัติผลัดกันชม...พอกายตายลง...
...แม้แต่กายที่ตายลงนั้นก็ทิ้งเอาไว้บนโลก...ไม่ได้ติดตามไปชาติต่อๆไปได้...
...จิตเวียนว่ายตายเกิดสูงๆต่ำๆลุ่มๆดอนๆแตกต่างตามความคิดของแต่ละคน...
...ไม่มีใครรู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อไหร่...จึงต้องฝึกใจให้พร้อมในการต่อสู้ชีวิต...
...ศึกษาพระธรรมคำสอนอย่างจริงจัง...แล้วจะรู้ว่าศาสนาเท่านั้นที่ช่วยแก้ทุกข์...
...ความสุขหาได้ที่ตัวเราสร้าง...อ่านดูในเว็บนี้...และมีเวลาฝึกฟังธรรมจากเว็บนี้ดูค่ะ...
...www.dhammahome.com...คลิกคลิปวิดีโอสนทนาธรรม...
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ม.ค. 2011, 12:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2010, 14:41
โพสต์: 154

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุคะท่านพุทธฎีกา และขออนุโมทนากับทุกท่านคะ
ขอเป็นกำลังใจให้กับคุณจขกท. ขอให้มีความสุขกับการปรนนิบัติคุณแม่ทุกๆวัน
คุณแม่ของคุณก็จะมีความสุขจากการดูแลของคุณ
พี่ทักทายเคยบอกว่าความกตัญญูเป็นกุศลที่เห็นผลเร็วที่สุด
สิ่งดีๆก็จะตามมานะคะ
โชคดีค่า


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 41 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร