วันเวลาปัจจุบัน 03 พ.ค. 2024, 02:04  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2012, 11:03 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ย. 2012, 21:29
โพสต์: 10


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะ ดิฉันมีเรื่องอยากจะปรึกษาขอคำแนะนำ

เรื่องมีอยู่ว่าดิฉันมีแฟนเป็นผู้หญิงที่อายุมากว่าดิฉันสิบกว่าปี อยู่กินด้วยกันมาหลายปี ที่บ้านดิฉันรับรู้แต่ที่บ้านแฟนไม่รู้ แฟนบอกกับที่บ้านว่าดิฉันเป็นเพื่อนรุ่นน้อง ดิฉันปล่อยวางแล้วเรื่องที่จะให้ที่บ้านแฟนรับรู้ คำถามข้อแรกคือ ตอนนี้ดิฉันรักษาศีล 5 อยู่ อยากถามว่าถ้าอยากให้ศีลบริสุทธิ์ทุกข้อ ในข้อ 3 จะถือว่าศีลดิฉันขาดหรือไม่ เพราะจากที่เคยอ่านๆมาศีลข้อ 3 ไม่ใช่แต่การผิดเมียผู้อื่น แต่คือการที่อยู่กินด้วยกันโดยเรายังอยู่ในปกครองของผู้ใหญ่ เราไม่ได้แต่งงานกันก็เรียกว่าผิดลูก โดยเฉพาะที่บ้านแฟนดิฉันไม่รับรู้ด้วยจะกลายเป็นดิฉันผิดฝ่ายเดียวหรือเปล่าคะ ? ถ้าเป็นเช่นนั้นดิฉันควรจะทำอย่างไร ? แล้วถ้าในกรณีทั้งสองฝ่ายเป็นผู้หญิงที่บ้านรับรู้ คบหากันแบบแฟน แต่ไม่แต่งงาน แบบนี้ถือว่าผิดศีลข้อ 3 หรือไม่ ?

อีกคำถาม คำถามนี้สำคัญมาก คือดิฉันพบกัลยาณมิตรแล้วคนหนึ่ง แต่เค้าก็คืออดีตรักแรกของดิฉันเอง เป็นผู้หญิงเหมือนกันอายุมากกว่าแฟนดิฉัน ซึ่งเพิ่งมารู้ไม่นานมานี้ว่าพี่เค้าสนใจมาทางธรรม รวมถึงดิฉันเพิ่งมาทางนี้ด้วยคือศึกษา ปฏิบัติอย่างจริงจัง เราทั้งสองจึงชอบสนทนาธรรมะ รู้สึกศีลเสมอกัน ชวนกันสร้างบุญ คุยกันเรื่องนี้แล้วสบายใจ แต่เหมือนเรายังมีสัญญากรรมต่อกัน เวลาเจอกันถึงทำให้ต่างฝ่ายยังมีกิเลสทางกายทางใจอยู่บ้าง วันก่อนเรานั่งปุจฉาวิสัชนากันแล้วแต่ยังหาคำตอบในเรื่องนี้ให้กันไม่ได้แน่ชัดในเรื่องของศีลข้อ 3 รวมถึงยังมาชอบเพศเดียวกันอีก คือเราอยากมาคบกัน แต่เป็นไปไม่ได้ค่ะ เนื่องจากต่างฝ่ายต่างมีแฟนแล้ว พี่เค้าก็มีแฟนเป็นผู้หญิง อยู่กินด้วยกัน เราไม่อยากจะสร้างบาปโดยทำให้คู่ของเราต้องเสียใจ อยากจะถามว่าถ้าเรายังอยากจะเจอกัน คุยกันแบบนี้ไปอีกนานๆเราควรวางตัวต่อกันอย่างไรดีคะ ?

ขอบคุณทุกคำตอบค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2012, 11:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 12:26
โพสต์: 53

งานอดิเรก: อ่านหนังสือธรรมะ
สิ่งที่ชื่นชอบ: ทางแห่งความดี อ.วศิน อินทสระ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นครับ(อาจจะไม่ถูกใจสักหน่อย)
ที่เราเกิดมาชาตินี้แล้วชอบเพศเดียวกัน
เพราะเป็นเศษกรรมจากการผิดศีลข้อที่ ๓ จากอดีตชาติ
การรักษาศีลข้อที่ ๓ อย่างเคร่งรัดน่าจะทำให้เรา
หลุดพ้นจากการรักเพศเดียวกันในอนาคตครับ(อาจจะเป็นชาตินี้หรือชาติต่อๆไป)
เป็นกำลังใจให้ครับ
:b4: :b4: :b4: :b4: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.ย. 2012, 12:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ย. 2012, 21:29
โพสต์: 10


 ข้อมูลส่วนตัว


MANA_BHUN เขียน:
ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นครับ(อาจจะไม่ถูกใจสักหน่อย)
ที่เราเกิดมาชาตินี้แล้วชอบเพศเดียวกัน
เพราะเป็นเศษกรรมจากการผิดศีลข้อที่ ๓ จากอดีตชาติ
การรักษาศีลข้อที่ ๓ อย่างเคร่งรัดน่าจะทำให้เรา
หลุดพ้นจากการรักเพศเดียวกันในอนาคตครับ(อาจจะเป็นชาตินี้หรือชาติต่อๆไป)
เป็นกำลังใจให้ครับ
:b4: :b4: :b4: :b4: :b4:




น้อมรับฟังความคิดเห็นค่ะ สาธุ......


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ก.ย. 2012, 19:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ส.ค. 2010, 18:54
โพสต์: 615

สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฏก อรรถกถา
ชื่อเล่น: พุทธฏีกา
อายุ: 0
ที่อยู่: ดอยสัพพัญญู

 ข้อมูลส่วนตัว www


ยากพอสมควรครับที่อยากรักษาศีล ๕ ให้สมบูรณ์ มันไม่มีทางเกิดขึ้น
หรือไม่อยู่ในฐานะที่จะเป็นไปได้เลยทีเดียว โดยเฉพาะข้อ ๓ นั่นเพราะ
แท้จริงแล้ว ศีลที่เป็นบาทฐานพอจะนำความสุขมาให้ การไม่ประพฤติปฏิบัติ
ที่ผิดลู่ผิดทาง ผิดหรือขัดต่อหลักขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นพื้นฐานที่
สำคัญแต่แรกเริ่ม แล้วค่อยตั้งเป้าหมายจะรักษาความบริสุทธิ์

ในการมีคู่ครองคนรักตามค่านิยมเดิมของสังคม รู้จักสันโดษและพอใจ
ในคู่ครองคนรักของตน รู้จักกรุณา มีความสงสารต่อตนเองรวมทั้งคนเก่า
และคนใหม่ หรือคนใหม่ในอดีตกับคนเก่าในปัจจุบัน กรณีรักสามเศร้า!

ควรสำรวมกายวาจาใจ ไม่ข้องเกี่ยว ไม่เอาธรรมะมาบังหน้า แต่ซ่อนเนื้อหา
ของความรักความผูกพัน สายใยที่ตัดไม่ขาด จนนำแต่ความเศร้าหมอง
และความมืดมนมาสู่ใจเราเอง เพราะอ้างเลศด้วยธรรม

แม้เราจะยืนอยู่บนค่านิยมใหม่ หรือนอกกรอบของประเพณี แต่สุดท้าย
เราก็ไม่ได้อยู่นอกกรอบแนวทางของความเสื่อม ความทุกข์ ที่มาจากกิเลส
ตัณหา จากความรักความผูกพันอยู่ดี ศีล คือความปกติ คือความสำรวม
คือความสันโดษ คือความพอใจรู้จักหักห้ามใจ จึงไม่มีผลมีคุณต่อการ
รักษาหรือมีเจตนาจะรักษาให้สมบูรณ์

เพราะเราสามารถวัดศีล ที่รักษาออกมาเป็นผลลัพธ์ทางความรู้สึก
ว่าเราได้รับความสุขสงบใจสบายใจ จากการคบหา จากการกลับมามอง
หรือทบทวนกับอดีตคนเก่าที่วันนี้เป็นคนใหม่ หรือคนใหม่ในปัจจุบัน
ที่มีเงื่อนไขของ ค่านิยมและการยอมรับ จากญาติผู้ใหญ่พ่อแม่ของเขา
การอยู่กินกันของเรานั้นเกิดจากความพอใจ วางความแตกต่างระหว่าง
หญิงกับชาย ชายหรือหญิง หญิงกับหญิง หรือชายกับชายลงให้หมด
มองดูผลลัพธ์ จากความรู้สึก ความนึกคิด คำพูด การกระทำ ผลลัพธ์
ที่เราได้รับ มันส่องแสดงถึง ความผาสุข ความสงบเรียบร้อยในจิตใจ
หรือนำพาแต่ความโกลาหล ความเศร้าหมอง สับสน เมื่อเราวัดออกมา
เป็นผลลัพธ์ ว่าสุข หรือทุกข์ สุขหรือทุกข์ก็จะเป็นคำตอบว่าศีลที่เรา
รักษาอยู่นั้น บริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์!

เพราะคุณประโยชน์ของศีล ไม่ใช่ตรรกหรือคำตอบคณิตศาสตร์หา
จริงหรือเท็จ ถูกหรือผิด แท้จริง ศีล ให้ความสุขน้อยเมื่อเรา มีความตั้งใจน้อย
มีความพยายามน้อย มีความระลึกได้น้อย มีปัญญาน้อย มีความคิดอ่าน
ไตร่ตรองน้อย มีค่านิยมที่ไม่เหมาะสม(ผิดกับค่านิยมส่วนใหญ่)

ศีล ให้ความสุขปานกลาง ให้ความสุขมาก ก็ต่อเมื่อเรามีความตั้งใจมากขึ้น
ตามลำดับ มีความพยายามมากขึ้นตามลำัดับ มีความระลึกได้มากขึ้นตาม
ลำดับ มีปัญญามากขึ้นตามลำดับ มีความคิดอ่านไตร่ตรองมากขึ้นตามลำดับ
มีค่านิยมที่เหมาะสมฯลฯ

ดังนั้นลองตั้งจิตตั้งใจไตร่ตรองคิดอ่านให้รอบครอบ พิจารณาโดยแยบคายมากๆ
เราต้องการแก่นสารอะไรในชีวิต ถ้าศีล จะนำประโยชน์คือ ความสุขความสงบ
แล้วนำความปราโมทย์ปิติมาให้ ตลอดจนความสุขจากความสงบ เพื่อพัฒนา
สติปัญญา อบรมขัดเกลาจิตใจอย่างแท้จริง แปลว่าหนทางนั้นยังอีกยาวไกล
เลยทีเดียว ถ้ายังจับที่น้อย ละเลยที่มาก เลือกเอาโทษ ไม่เลือกเอาประโยชน์

ความข้องเกี่ยวกันไม่ว่า จะเป็นญาติพ่อแม่พี่น้อง ยิ่งมีความรักความผูกพัน
เมื่อความพลัดพราก จากภัยในความแก่ ความเจ็บ ความตายมาเยือน
ต่อให้เป็น คนที่เคยเป็นอดีตแต่ใหม่วันนี้ หรือคนใหม่ที่เก่าในปัจจุบัน
จะเป็นชายกับชาย หญิงกับหญิง หญิงกับชาย จะอ่อนแก่ ต่างก็มีความ
พลัดพรากจากกันในที่สุดเป็นธรรมดา ถ้าทั้งสองฝ่าย ก้มหน้า้ค้นหาคำตอบ
แต่ไม่รู้ถึงต้นสายปลายเหตุที่แท้ ของมูลเหตุของกิเลสตัณหาราคะที่ชื่อว่า
ความรักความพูกพัน ทำลืม หรือขาดสติปัญญาที่รู้แจ้งตามความเป็นจริง
ถึงความไม่เที่ยงแท้ ไม่แน่นอน ถึงความทุกข์ ถึงความที่ใจเราใจเขา
เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน บังคับบงการอะไรไม่ได้ ล้วนเปลี่ยนแปลงไปตาม
เหตุตามปัจจัย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย มีทุกข์มากกว่าสุข

ศีล เป็นเพียงเครื่องมือ ในการอุปการะให้ คนสองคน หรือคนในสังคม
อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่เบียดเบียนกระทบกระทั้ง กันและกัน
ด้วยความประมาท ความไม่รู้จักพอ ความอยากได้อยากมีอยากเป็น
ความทะยานอยากใน ตัณหาราคะ ความปรารถนาความต้องการ
ทำให้เรา รู้จักสำรวมกายวาจา ไม่ทำไม่ดี พูดไม่ดีจนเบียดเบียนต่อ
ทุกๆ คนรอบข้างคู่ครองคนรัก พ่อแม่ครอบครัว ต่อบุคคลอื่นๆ

บรรเทาความเดือนร้อน รักษาป้องกัน ความสับสนวุ่นวายในเบื้องต้น
ความกำหนัด ความข้องเี่กี่ยว ความยินดีพอใจ ความรักความพูกพัน
เมื่อบุคคล ชายหรือหญิง หนุ่มหรือแก่ เมื่อประมาทพลาดพลั้งไม่มี
หลักของใจ ไม่มีสติ จึงมีใจไหลไป หลงไป อย่างไม่รู้ตัว ศีลจึงอ่อน
ความสำรวมจึงน้อย ความข้องเกี่ยวจึงมาก ความคิดอ่านไตร่ตรอง
ถดถอย ความระลึกได้สูญหาย ความพยายามในความสำรวมหมดสิ้น
ความมีสติปัญญาตกอยู่ใต้อำนาจของ ความกำหนัด ความข้องเกี่ยว
ความยินดีพอใจ ความรักความพูกพัน

ดังนั้นมีแต่การอบรมขัดเกลาจิตใจ อย่างยิ่งยวด และการหันกลับมา
เลือกประโยชน์ เลือกทางที่ถูก ละทางที่เป็นโทษ ทิ้งทางแคบทางน้อย
ศีลจึงจะสามารถกลับมาให้ผลลัพธ์ เป็นความสงบสุข มีสมาธิ และปัญญา
ในการรู้เท่ารู้ทัน ต่อกิเลสตัณหาราคะในจิตใจ สางออก หักล้างทำลาย
ซึ่งความสับสน ความหลง ให้ปราศจากไป หมดไป คลายออก ซึ่งความ
กำหนัดยึดถือ ความยินดีพอใจ ความรักความพูกพัน เพราะรู้แจ้งตาม
ความเป็นจริง ในสิ่งทั้งหลาย รู้ทุกข์ เหตุของทุกข์ ความดับทุกข์
และข้อปฏิับัติเพื่อให้ถึงความดับทุกข์ ขอให้ตั้งใจ ทบทวน ไม่ประมาท
ในชีวิต ว่าเป็นของยืนยาว อย่าหลงในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่ไม่จริงแท้
อย่าเมาในความมีความเป็น อย่าประมาทใน สิ่งทั้งหลายที่มันไม่เที่ยง


ขอเจริญพร^^

.....................................................
39777.กฎกติกา มารยาท และบทลงโทษ ในการใช้บอร์ด

42529.สีลัพพตปรามาส - สีลัพพตุปาทาน (สมเด็จพระญาณสังวรฯ)
44772.e-Book สัมมาทิฏฐิ ตามพระเถราธิบายของท่านพระสารีบุตรเถระ
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 1 (ลานธรรมเสวนา)
พระไตรปิฎกมาแล้ว อรรถกถาอยู่ตรงไหน ตอนที่ 2 (ลานธรรมเสวนา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ก.ย. 2012, 13:34 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ย. 2012, 21:29
โพสต์: 10


 ข้อมูลส่วนตัว


พุทธฏีกา เขียน:
ยากพอสมควรครับที่อยากรักษาศีล ๕ ให้สมบูรณ์ มันไม่มีทางเกิดขึ้น
หรือไม่อยู่ในฐานะที่จะเป็นไปได้เลยทีเดียว โดยเฉพาะข้อ ๓ นั่นเพราะ
แท้จริงแล้ว ศีลที่เป็นบาทฐานพอจะนำความสุขมาให้ การไม่ประพฤติปฏิบัติ
ที่ผิดลู่ผิดทาง ผิดหรือขัดต่อหลักขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นพื้นฐานที่
สำคัญแต่แรกเริ่ม แล้วค่อยตั้งเป้าหมายจะรักษาความบริสุทธิ์

ในการมีคู่ครองคนรักตามค่านิยมเดิมของสังคม รู้จักสันโดษและพอใจ
ในคู่ครองคนรักของตน รู้จักกรุณา มีความสงสารต่อตนเองรวมทั้งคนเก่า
และคนใหม่ หรือคนใหม่ในอดีตกับคนเก่าในปัจจุบัน กรณีรักสามเศร้า!

ควรสำรวมกายวาจาใจ ไม่ข้องเกี่ยว ไม่เอาธรรมะมาบังหน้า แต่ซ่อนเนื้อหา
ของความรักความผูกพัน สายใยที่ตัดไม่ขาด จนนำแต่ความเศร้าหมอง
และความมืดมนมาสู่ใจเราเอง เพราะอ้างเลศด้วยธรรม

แม้เราจะยืนอยู่บนค่านิยมใหม่ หรือนอกกรอบของประเพณี แต่สุดท้าย
เราก็ไม่ได้อยู่นอกกรอบแนวทางของความเสื่อม ความทุกข์ ที่มาจากกิเลส
ตัณหา จากความรักความผูกพันอยู่ดี ศีล คือความปกติ คือความสำรวม
คือความสันโดษ คือความพอใจรู้จักหักห้ามใจ จึงไม่มีผลมีคุณต่อการ
รักษาหรือมีเจตนาจะรักษาให้สมบูรณ์

เพราะเราสามารถวัดศีล ที่รักษาออกมาเป็นผลลัพธ์ทางความรู้สึก
ว่าเราได้รับความสุขสงบใจสบายใจ จากการคบหา จากการกลับมามอง
หรือทบทวนกับอดีตคนเก่าที่วันนี้เป็นคนใหม่ หรือคนใหม่ในปัจจุบัน
ที่มีเงื่อนไขของ ค่านิยมและการยอมรับ จากญาติผู้ใหญ่พ่อแม่ของเขา
การอยู่กินกันของเรานั้นเกิดจากความพอใจ วางความแตกต่างระหว่าง
หญิงกับชาย ชายหรือหญิง หญิงกับหญิง หรือชายกับชายลงให้หมด
มองดูผลลัพธ์ จากความรู้สึก ความนึกคิด คำพูด การกระทำ ผลลัพธ์
ที่เราได้รับ มันส่องแสดงถึง ความผาสุข ความสงบเรียบร้อยในจิตใจ
หรือนำพาแต่ความโกลาหล ความเศร้าหมอง สับสน เมื่อเราวัดออกมา
เป็นผลลัพธ์ ว่าสุข หรือทุกข์ สุขหรือทุกข์ก็จะเป็นคำตอบว่าศีลที่เรา
รักษาอยู่นั้น บริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์!

เพราะคุณประโยชน์ของศีล ไม่ใช่ตรรกหรือคำตอบคณิตศาสตร์หา
จริงหรือเท็จ ถูกหรือผิด แท้จริง ศีล ให้ความสุขน้อยเมื่อเรา มีความตั้งใจน้อย
มีความพยายามน้อย มีความระลึกได้น้อย มีปัญญาน้อย มีความคิดอ่าน
ไตร่ตรองน้อย มีค่านิยมที่ไม่เหมาะสม(ผิดกับค่านิยมส่วนใหญ่)

ศีล ให้ความสุขปานกลาง ให้ความสุขมาก ก็ต่อเมื่อเรามีความตั้งใจมากขึ้น
ตามลำดับ มีความพยายามมากขึ้นตามลำัดับ มีความระลึกได้มากขึ้นตาม
ลำดับ มีปัญญามากขึ้นตามลำดับ มีความคิดอ่านไตร่ตรองมากขึ้นตามลำดับ
มีค่านิยมที่เหมาะสมฯลฯ

ดังนั้นลองตั้งจิตตั้งใจไตร่ตรองคิดอ่านให้รอบครอบ พิจารณาโดยแยบคายมากๆ
เราต้องการแก่นสารอะไรในชีวิต ถ้าศีล จะนำประโยชน์คือ ความสุขความสงบ
แล้วนำความปราโมทย์ปิติมาให้ ตลอดจนความสุขจากความสงบ เพื่อพัฒนา
สติปัญญา อบรมขัดเกลาจิตใจอย่างแท้จริง แปลว่าหนทางนั้นยังอีกยาวไกล
เลยทีเดียว ถ้ายังจับที่น้อย ละเลยที่มาก เลือกเอาโทษ ไม่เลือกเอาประโยชน์

ความข้องเกี่ยวกันไม่ว่า จะเป็นญาติพ่อแม่พี่น้อง ยิ่งมีความรักความผูกพัน
เมื่อความพลัดพราก จากภัยในความแก่ ความเจ็บ ความตายมาเยือน
ต่อให้เป็น คนที่เคยเป็นอดีตแต่ใหม่วันนี้ หรือคนใหม่ที่เก่าในปัจจุบัน
จะเป็นชายกับชาย หญิงกับหญิง หญิงกับชาย จะอ่อนแก่ ต่างก็มีความ
พลัดพรากจากกันในที่สุดเป็นธรรมดา ถ้าทั้งสองฝ่าย ก้มหน้า้ค้นหาคำตอบ
แต่ไม่รู้ถึงต้นสายปลายเหตุที่แท้ ของมูลเหตุของกิเลสตัณหาราคะที่ชื่อว่า
ความรักความพูกพัน ทำลืม หรือขาดสติปัญญาที่รู้แจ้งตามความเป็นจริง
ถึงความไม่เที่ยงแท้ ไม่แน่นอน ถึงความทุกข์ ถึงความที่ใจเราใจเขา
เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน บังคับบงการอะไรไม่ได้ ล้วนเปลี่ยนแปลงไปตาม
เหตุตามปัจจัย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย มีทุกข์มากกว่าสุข

ศีล เป็นเพียงเครื่องมือ ในการอุปการะให้ คนสองคน หรือคนในสังคม
อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่เบียดเบียนกระทบกระทั้ง กันและกัน
ด้วยความประมาท ความไม่รู้จักพอ ความอยากได้อยากมีอยากเป็น
ความทะยานอยากใน ตัณหาราคะ ความปรารถนาความต้องการ
ทำให้เรา รู้จักสำรวมกายวาจา ไม่ทำไม่ดี พูดไม่ดีจนเบียดเบียนต่อ
ทุกๆ คนรอบข้างคู่ครองคนรัก พ่อแม่ครอบครัว ต่อบุคคลอื่นๆ

บรรเทาความเดือนร้อน รักษาป้องกัน ความสับสนวุ่นวายในเบื้องต้น
ความกำหนัด ความข้องเี่กี่ยว ความยินดีพอใจ ความรักความพูกพัน
เมื่อบุคคล ชายหรือหญิง หนุ่มหรือแก่ เมื่อประมาทพลาดพลั้งไม่มี
หลักของใจ ไม่มีสติ จึงมีใจไหลไป หลงไป อย่างไม่รู้ตัว ศีลจึงอ่อน
ความสำรวมจึงน้อย ความข้องเกี่ยวจึงมาก ความคิดอ่านไตร่ตรอง
ถดถอย ความระลึกได้สูญหาย ความพยายามในความสำรวมหมดสิ้น
ความมีสติปัญญาตกอยู่ใต้อำนาจของ ความกำหนัด ความข้องเกี่ยว
ความยินดีพอใจ ความรักความพูกพัน

ดังนั้นมีแต่การอบรมขัดเกลาจิตใจ อย่างยิ่งยวด และการหันกลับมา
เลือกประโยชน์ เลือกทางที่ถูก ละทางที่เป็นโทษ ทิ้งทางแคบทางน้อย
ศีลจึงจะสามารถกลับมาให้ผลลัพธ์ เป็นความสงบสุข มีสมาธิ และปัญญา
ในการรู้เท่ารู้ทัน ต่อกิเลสตัณหาราคะในจิตใจ สางออก หักล้างทำลาย
ซึ่งความสับสน ความหลง ให้ปราศจากไป หมดไป คลายออก ซึ่งความ
กำหนัดยึดถือ ความยินดีพอใจ ความรักความพูกพัน เพราะรู้แจ้งตาม
ความเป็นจริง ในสิ่งทั้งหลาย รู้ทุกข์ เหตุของทุกข์ ความดับทุกข์
และข้อปฏิับัติเพื่อให้ถึงความดับทุกข์ ขอให้ตั้งใจ ทบทวน ไม่ประมาท
ในชีวิต ว่าเป็นของยืนยาว อย่าหลงในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่ไม่จริงแท้
อย่าเมาในความมีความเป็น อย่าประมาทใน สิ่งทั้งหลายที่มันไม่เที่ยง


ขอเจริญพร^^




อ่านแล้วได้ข้อคิดที่ดีมากมายค่ะ สาธุ......


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 15 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร