วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 20:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ธ.ค. 2012, 02:06 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 ต.ค. 2012, 01:00
โพสต์: 13


 ข้อมูลส่วนตัว


ดิฉันอยากรู้ว่าการที่เรามีแฟนหรือมีคนรักผ่านเข้ามาแล้วไม่เคยสมหวังในเรื่องของความรักเลยเป็นเพราะอะไรคะ(ส่วนตัวดิฉันคิดว่าเป็นเพราะกรรมเก่าแน่เลย เราอาจไปทำร้ายเขาไว้ในชาติก่อนก็ได้หรือแม้แต่ทำให้คนอื่นเสียใจในชาตินี้ก็ตาม)พยายามคิดหาเหตุผลว่าเป็นเพราะตัวเราหรืออะไรกันแน่ เพราะทุกคนที่เข้ามาจีบเราหรืออยู่ในฐานะแฟนก็ดี ตอนแรกเข้ามาดูดีมากแต่ผ่านไปสักพักต้องมีเหตุต้องให้เลิกกัน ดิฉันอยากรู้เรื่องนี้มานานแล้วค่ะเพราะดิฉันยังไม่ได้แต่งงานเพื่อนรุ่นเดียวกันเขามีลูกกันไปสองสามคนแล้ว เป็นโสดก็สบายแต่บางเวลาก็เหงาอยากมีครอบครัวเพราะใครๆก็บอกให้เรารีบมีอายุเยอะแล้วแก่ตัวไปไม่มีใครดูแล ขอวอนผู้รู้ทุกท่านช่วยตอบทีนะคะ ดิฉันยังโง่เขลานักไม่ใคร่รู้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2012, 14:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะ คุณจขกท
ต้องออกตัวว่ายังไม่ได้เป็นผู้รู้ ....เป็นเพียงผู้ที่กำลังศึกษาและเริ่มออกเดินทางยังไม่ถึงจุดหมายสูงสุดของพุทธศาสนา......
องค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า “กฺมมฺนา วตฺตติโลโก สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม”
“เจตนา คือกรรม” กรรมจำแนกสัตว์ให้ประณีตดีเลวแตกต่างกัน
คุณจขกท ลองอ่านดูที่เราเคยตอบเพื่อนๆ ไว้คัดลอกมาให้ใหม่อาจจะทำให้พอเข้าใจเรื่องกรรมได้บ้าง
กรรมเป็นเรื่องของความเป็นไปตามเหตุปัจจัย หลักเหตุปัจจัยในพุทธศาสนาก็
คือหลักปฏิจจสมุปบาทและกรรมก็เป็นส่วนหนึ่งในหลักปฏิจจสมุปบาทนั้น
ในทางพุทธศาสนา สอนว่า "กรรม" คือการกระทำ การกระทำที่มีเจตนาประกอบ
สามารถกระทำผ่านทาง กาย วาจา และใจ กรรมดีเรียกว่ากุศลกรรม
กรรมชั่วเรียกว่าอกุศลกรรม ดังนั้นผู้ใดทำเหตุเช่นไรย่อมได้รับผลเช่นนั้น
ผลย่อมถูกตรงเช่น ปลูกมะม่วง ย่อมได้รับผลมะม่วงตอบแทน
เรากินข้าว ผลที่ได้รับก็คือความอิ่ม ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนผลที่ได้รับก็คือจบการศึกษา
การกระทำผ่านทาง กาย วาจา และใจ ของเราเกิดอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอน
จนกระทั่งหลับ สิ่งที่เกิดเมื่อวานก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว กรรมจึงแบ่ง
ออกได้เป็น 3 กาลคือ
1.กรรมในอดีต คือการกระทำที่ผ่านมาแล้วไม่ว่าจะเป็นเมื่อ 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา เมื่อวาน
เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว....จนถึงชาติที่แล้ว การกระทำที่ทำไปแล้ว
มันย่อมต้องมีผล มันเกิดขึ้นมาแล้วมันเป็นเหตุ เราปฏิเสธไม่ได้ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าเรา
ควรได้ประโยชน์จากอดีตอย่างไร ให้มองในแง่ที่จะเป็นบทเรียนแก่ตนเอง
และรู้จักการพิจารณาไตร่ตรองมองเห็นเหตุและผลที่เกิดกับตนเองเกี่ยวข้องกับการกระทำ
ของตัวเราอย่างไร ไม่มัวโทษผู้อื่นอยู่เรื่อย และไม่มัวรอรับแต่ผลของกรรมเก่า ท้อแท้ใจและทอดธุระ

2.กรรมในปัจจุบัน คือการกระทำที่เป็นปัจจุบันขณะ เกิดขึ้นเป็นขณะ ๆ เพื่อตอบสนองต่อ
เหตุปัจจัยที่เข้ามากระทบหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ดังนั้นพุทธศาสนาจึงเน้นที่ “กรรมในปัจจุบัน”
ที่เราสามารถจะแก้ไข กรรม และพัฒนากรรมที่ดีให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เช่น สอบครั้งที่แล้ว
ไม่ได้อ่านหนังสือผลก็คือสอบตก ดังนั้นสอบครั้งใหม่เราก็ต้องอ่านหนังสือ
หรือเพื่อน ๆ ไม่ชอบคบหาสมาคมกับเราเป็นผลให้ต้องอยู่คนเดียวเป็นอาจิณ
หรือมีแฟนกี่คน ๆ เป็นต้องเลิกรากันเสียทุกทีไป อันนี้ก็ต้องพิจารณาหาเหตุผลว่าเรา
มีหลักในการเลือกคบคนอย่างไร แยกแยะออกหรือไม่ว่าคนดีเป็นอย่างไร คนพาลเป็นอย่างไร
และตัวเราเองมีข้อบกพร่องอย่างไร เป็นต้น
ซึ่งหลักนี้ถือเป็นการพัฒนาตนนั่นเอง ท่านสอนให้พัฒนาตนและแก้ไขที่ตนเอง ทำปัจจุบันให้ถูกตรง

3.กรรมในอนาคต ก็คือการกระทำที่เราทำในปัจจุบันก็จะไปกลายเป็นผลที่จะได้รับ
ในอนาคตนั่นเองเมื่อทำปัจจุบันได้ถูกตรงผลที่จะได้รับในอนาคตก็ย่อมถูกตรงเช่นกัน
ทัศนคติต่อกรรม
1.ทัศนคติต่อตนเอง คือเราจะต้องมีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง
เมื่อยอมรับส่วนที่ผิดแล้วจะต้องคิดแก้ไขปรับปรุงตนเองให้ถูกต้องดีงามยิ่งขึ้นไปอีก
2.ทัศนคติต่อผู้อื่น คือการวางอุเบกขา(วางใจเป็นกลางเพื่อดำรงความเป็นธรรม
และรักษาความยุติธรรมไว้) เพราะเขาได้รับผลจากการกระทำของเขา และที่ขาดไม่ได้
คือมีเมตตาและกรุณา เมื่อเขาได้รับทุกข์โทษตามควรแก่กรรมของเขาแล้วเราจะช่วยเหลือ
เขาให้พ้นจากความทุกข์และพบความสุขความเจริญต่อไปได้อย่างไร ไม่ใช่สักแต่ว่า
วางอุเบกขาอย่างเดียว มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน พึ่งพาอาศัยกัน

พระพุทธองค์ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลมายึดเอากรรมที่ทำไว้ในปางก่อนเป็นสาระ
ฉันทะก็ดี ความพยายามก็ดีว่าสิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ ก็ย่อมไม่มี” :b8:

อ้างอิง:เป็นโสดก็สบายแต่บางเวลาก็เหงาอยากมีครอบครัวเพราะใครๆก็บอกให้เรารีบมีอายุเยอะแล้วแก่ตัวไปไม่มีใครดูแล

อันนี้ก็เป็นจริงอย่างที่เขาพูดกัน แต่จริงในแง่สมมุติ ตามสิ่งที่ชาวโลกเขาเห็นพ้องต้องกัน ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง..แต่เมื่อเวลาผ่านไปเหตุปัจจัยเปลี่ยนมันก็อาจไม่เป็นจริงอย่างนั้นก็ได้....ดังนั้นสิ่งสมมุติจึงไม่ใช่ความจริงแท้หรือสัจธรรม....
เห็นหลายๆ ครอบครัวมีบุตรก็เพราะคาดหวังว่าจะเอาไว้พึ่งพายามตนแก่เฒ่า แต่ในที่สุดผลก็ปรากฏว่าความจริงบุตรของตนพึ่งพาอาศัยไม่ได้มีแต่จะต้องเป็นภาระให้ตนเลี้ยงดูสร้างแต่ปัญหาให้ไม่รู้จักจบสิ้น...สร้างความผิดหวังและเสียใจแก่ผู้เป็นบิดา
มารดาเป็นยิ่งนักเพราะเขาไม่ได้เป็นไปตามสิ่งสมมุติที่ชาวโลกเห็นพ้องว่าลูกมีหน้าที่ต้องเลี้ยงดูบิดามารดาตอบแทนยามแก่เฒ่า...
แต่เขาเป็นไปตามเหตุปัจจัยเป็นไปตามกรรมสัมพันธ์ระหว่างบุตรและบิดามารดา...
ดังนั้นเราจึงต้องมองความจริงของสิ่งสมมุติให้ทะลุเข้าไปถึงสัจธรรมคือความจริงแท้ของสรรพสิ่ง....จะทำให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้นและวางใจได้ถูกตรงตามธรรม....ชีวิตก็จะทุกข์น้อยลง
องค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า การครองเรือน มีสุขน้อย มีทุกข์มาก...มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ความรักไม่เคยให้ความสมหวังกับผู้ใด...เพราะความไม่รู้จักคำว่า”พอ”ของมนุษย์นั่นเอง :b41:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2012, 22:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


ตาม คห. กรรมเก่าก็มีส่วนแต่เราสุดจะรู้ได้ ดังนั้นลองพิจารณาในปัจจุบันอาจให้คำตอบได้ชัดเจนแก่ตัวเราเองได้ ได้แก่ แนวคิดในเรื่องต่างๆ ลงรอยกันไหม, แนวทางดำเนินชีวิตใกล้เคียงกันหรือเปล่า, ความชอบ-ไม่ชอบ รสนิยม, ความเหมาะสมด้านอื่นๆ เช่น เขาและเราโสดแน่หรือไม่ เขาเป็นคนใฝ่ดีหรือเปล่า แล้วเราใฝ่ดีหรือเปล่า เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ก็บ่งชี้ได้ว่า ชีวิตคู่จะไปกันได้รอดหรือไม่

นำธรรมะของพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล มาฝากค่ะ
คุณพระัจันทร์ส่องแสงลองเข้าไปศึกษาดู
อาจมีสักหัวข้อที่ตรงใจ ช่วยให้เบาใจขึ้น

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=42477

สุดท้ายที่อยากฝาก คือ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
ความสุขสงบนั้นไม่มีอะไรสุขไปกว่าความสงบในใจ
และความสงบในใจไม่ได้มาจากใครๆ จะแฟนจะลูกก็ไม่ใช่
มาจากธรรมในตัวเราเอง

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 21 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร