ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
อยากรู้ค่ะ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=27&t=44001 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | พระจันทร์ส่องแสง [ 06 ธ.ค. 2012, 02:06 ] |
หัวข้อกระทู้: | อยากรู้ค่ะ |
ดิฉันอยากรู้ว่าการที่เรามีแฟนหรือมีคนรักผ่านเข้ามาแล้วไม่เคยสมหวังในเรื่องของความรักเลยเป็นเพราะอะไรคะ(ส่วนตัวดิฉันคิดว่าเป็นเพราะกรรมเก่าแน่เลย เราอาจไปทำร้ายเขาไว้ในชาติก่อนก็ได้หรือแม้แต่ทำให้คนอื่นเสียใจในชาตินี้ก็ตาม)พยายามคิดหาเหตุผลว่าเป็นเพราะตัวเราหรืออะไรกันแน่ เพราะทุกคนที่เข้ามาจีบเราหรืออยู่ในฐานะแฟนก็ดี ตอนแรกเข้ามาดูดีมากแต่ผ่านไปสักพักต้องมีเหตุต้องให้เลิกกัน ดิฉันอยากรู้เรื่องนี้มานานแล้วค่ะเพราะดิฉันยังไม่ได้แต่งงานเพื่อนรุ่นเดียวกันเขามีลูกกันไปสองสามคนแล้ว เป็นโสดก็สบายแต่บางเวลาก็เหงาอยากมีครอบครัวเพราะใครๆก็บอกให้เรารีบมีอายุเยอะแล้วแก่ตัวไปไม่มีใครดูแล ขอวอนผู้รู้ทุกท่านช่วยตอบทีนะคะ ดิฉันยังโง่เขลานักไม่ใคร่รู้ |
เจ้าของ: | ปลีกวิเวก [ 10 ธ.ค. 2012, 14:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อยากรู้ค่ะ |
สวัสดีค่ะ คุณจขกท ต้องออกตัวว่ายังไม่ได้เป็นผู้รู้ ....เป็นเพียงผู้ที่กำลังศึกษาและเริ่มออกเดินทางยังไม่ถึงจุดหมายสูงสุดของพุทธศาสนา...... องค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า “กฺมมฺนา วตฺตติโลโก สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม” “เจตนา คือกรรม” กรรมจำแนกสัตว์ให้ประณีตดีเลวแตกต่างกัน คุณจขกท ลองอ่านดูที่เราเคยตอบเพื่อนๆ ไว้คัดลอกมาให้ใหม่อาจจะทำให้พอเข้าใจเรื่องกรรมได้บ้าง กรรมเป็นเรื่องของความเป็นไปตามเหตุปัจจัย หลักเหตุปัจจัยในพุทธศาสนาก็ คือหลักปฏิจจสมุปบาทและกรรมก็เป็นส่วนหนึ่งในหลักปฏิจจสมุปบาทนั้น ในทางพุทธศาสนา สอนว่า "กรรม" คือการกระทำ การกระทำที่มีเจตนาประกอบ สามารถกระทำผ่านทาง กาย วาจา และใจ กรรมดีเรียกว่ากุศลกรรม กรรมชั่วเรียกว่าอกุศลกรรม ดังนั้นผู้ใดทำเหตุเช่นไรย่อมได้รับผลเช่นนั้น ผลย่อมถูกตรงเช่น ปลูกมะม่วง ย่อมได้รับผลมะม่วงตอบแทน เรากินข้าว ผลที่ได้รับก็คือความอิ่ม ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนผลที่ได้รับก็คือจบการศึกษา การกระทำผ่านทาง กาย วาจา และใจ ของเราเกิดอยู่ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นนอน จนกระทั่งหลับ สิ่งที่เกิดเมื่อวานก็กลายเป็นอดีตไปแล้ว กรรมจึงแบ่ง ออกได้เป็น 3 กาลคือ 1.กรรมในอดีต คือการกระทำที่ผ่านมาแล้วไม่ว่าจะเป็นเมื่อ 5 ชั่วโมงที่ผ่านมา เมื่อวาน เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว....จนถึงชาติที่แล้ว การกระทำที่ทำไปแล้ว มันย่อมต้องมีผล มันเกิดขึ้นมาแล้วมันเป็นเหตุ เราปฏิเสธไม่ได้ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าเรา ควรได้ประโยชน์จากอดีตอย่างไร ให้มองในแง่ที่จะเป็นบทเรียนแก่ตนเอง และรู้จักการพิจารณาไตร่ตรองมองเห็นเหตุและผลที่เกิดกับตนเองเกี่ยวข้องกับการกระทำ ของตัวเราอย่างไร ไม่มัวโทษผู้อื่นอยู่เรื่อย และไม่มัวรอรับแต่ผลของกรรมเก่า ท้อแท้ใจและทอดธุระ 2.กรรมในปัจจุบัน คือการกระทำที่เป็นปัจจุบันขณะ เกิดขึ้นเป็นขณะ ๆ เพื่อตอบสนองต่อ เหตุปัจจัยที่เข้ามากระทบหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ดังนั้นพุทธศาสนาจึงเน้นที่ “กรรมในปัจจุบัน” ที่เราสามารถจะแก้ไข กรรม และพัฒนากรรมที่ดีให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เช่น สอบครั้งที่แล้ว ไม่ได้อ่านหนังสือผลก็คือสอบตก ดังนั้นสอบครั้งใหม่เราก็ต้องอ่านหนังสือ หรือเพื่อน ๆ ไม่ชอบคบหาสมาคมกับเราเป็นผลให้ต้องอยู่คนเดียวเป็นอาจิณ หรือมีแฟนกี่คน ๆ เป็นต้องเลิกรากันเสียทุกทีไป อันนี้ก็ต้องพิจารณาหาเหตุผลว่าเรา มีหลักในการเลือกคบคนอย่างไร แยกแยะออกหรือไม่ว่าคนดีเป็นอย่างไร คนพาลเป็นอย่างไร และตัวเราเองมีข้อบกพร่องอย่างไร เป็นต้น ซึ่งหลักนี้ถือเป็นการพัฒนาตนนั่นเอง ท่านสอนให้พัฒนาตนและแก้ไขที่ตนเอง ทำปัจจุบันให้ถูกตรง 3.กรรมในอนาคต ก็คือการกระทำที่เราทำในปัจจุบันก็จะไปกลายเป็นผลที่จะได้รับ ในอนาคตนั่นเองเมื่อทำปัจจุบันได้ถูกตรงผลที่จะได้รับในอนาคตก็ย่อมถูกตรงเช่นกัน ทัศนคติต่อกรรม 1.ทัศนคติต่อตนเอง คือเราจะต้องมีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตนเอง เมื่อยอมรับส่วนที่ผิดแล้วจะต้องคิดแก้ไขปรับปรุงตนเองให้ถูกต้องดีงามยิ่งขึ้นไปอีก 2.ทัศนคติต่อผู้อื่น คือการวางอุเบกขา(วางใจเป็นกลางเพื่อดำรงความเป็นธรรม และรักษาความยุติธรรมไว้) เพราะเขาได้รับผลจากการกระทำของเขา และที่ขาดไม่ได้ คือมีเมตตาและกรุณา เมื่อเขาได้รับทุกข์โทษตามควรแก่กรรมของเขาแล้วเราจะช่วยเหลือ เขาให้พ้นจากความทุกข์และพบความสุขความเจริญต่อไปได้อย่างไร ไม่ใช่สักแต่ว่า วางอุเบกขาอย่างเดียว มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกัน พึ่งพาอาศัยกัน พระพุทธองค์ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อบุคคลมายึดเอากรรมที่ทำไว้ในปางก่อนเป็นสาระ ฉันทะก็ดี ความพยายามก็ดีว่าสิ่งนี้ควรทำ สิ่งนี้ไม่ควรทำ ก็ย่อมไม่มี” ![]() อ้างอิง:เป็นโสดก็สบายแต่บางเวลาก็เหงาอยากมีครอบครัวเพราะใครๆก็บอกให้เรารีบมีอายุเยอะแล้วแก่ตัวไปไม่มีใครดูแล อันนี้ก็เป็นจริงอย่างที่เขาพูดกัน แต่จริงในแง่สมมุติ ตามสิ่งที่ชาวโลกเขาเห็นพ้องต้องกัน ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง..แต่เมื่อเวลาผ่านไปเหตุปัจจัยเปลี่ยนมันก็อาจไม่เป็นจริงอย่างนั้นก็ได้....ดังนั้นสิ่งสมมุติจึงไม่ใช่ความจริงแท้หรือสัจธรรม.... เห็นหลายๆ ครอบครัวมีบุตรก็เพราะคาดหวังว่าจะเอาไว้พึ่งพายามตนแก่เฒ่า แต่ในที่สุดผลก็ปรากฏว่าความจริงบุตรของตนพึ่งพาอาศัยไม่ได้มีแต่จะต้องเป็นภาระให้ตนเลี้ยงดูสร้างแต่ปัญหาให้ไม่รู้จักจบสิ้น...สร้างความผิดหวังและเสียใจแก่ผู้เป็นบิดา มารดาเป็นยิ่งนักเพราะเขาไม่ได้เป็นไปตามสิ่งสมมุติที่ชาวโลกเห็นพ้องว่าลูกมีหน้าที่ต้องเลี้ยงดูบิดามารดาตอบแทนยามแก่เฒ่า... แต่เขาเป็นไปตามเหตุปัจจัยเป็นไปตามกรรมสัมพันธ์ระหว่างบุตรและบิดามารดา... ดังนั้นเราจึงต้องมองความจริงของสิ่งสมมุติให้ทะลุเข้าไปถึงสัจธรรมคือความจริงแท้ของสรรพสิ่ง....จะทำให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้นและวางใจได้ถูกตรงตามธรรม....ชีวิตก็จะทุกข์น้อยลง องค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า การครองเรือน มีสุขน้อย มีทุกข์มาก...มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ความรักไม่เคยให้ความสมหวังกับผู้ใด...เพราะความไม่รู้จักคำว่า”พอ”ของมนุษย์นั่นเอง ![]() |
เจ้าของ: | Hanako [ 12 ธ.ค. 2012, 22:02 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อยากรู้ค่ะ |
ตาม คห. กรรมเก่าก็มีส่วนแต่เราสุดจะรู้ได้ ดังนั้นลองพิจารณาในปัจจุบันอาจให้คำตอบได้ชัดเจนแก่ตัวเราเองได้ ได้แก่ แนวคิดในเรื่องต่างๆ ลงรอยกันไหม, แนวทางดำเนินชีวิตใกล้เคียงกันหรือเปล่า, ความชอบ-ไม่ชอบ รสนิยม, ความเหมาะสมด้านอื่นๆ เช่น เขาและเราโสดแน่หรือไม่ เขาเป็นคนใฝ่ดีหรือเปล่า แล้วเราใฝ่ดีหรือเปล่า เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ก็บ่งชี้ได้ว่า ชีวิตคู่จะไปกันได้รอดหรือไม่ นำธรรมะของพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล มาฝากค่ะ คุณพระัจันทร์ส่องแสงลองเข้าไปศึกษาดู อาจมีสักหัวข้อที่ตรงใจ ช่วยให้เบาใจขึ้น http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=42477 สุดท้ายที่อยากฝาก คือ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ความสุขสงบนั้นไม่มีอะไรสุขไปกว่าความสงบในใจ และความสงบในใจไม่ได้มาจากใครๆ จะแฟนจะลูกก็ไม่ใช่ มาจากธรรมในตัวเราเอง |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |