วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 04:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 113 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2013, 14:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


ธรรมะกับชีวิตประจำวัน : ปีศาจกินความโกรธ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 พฤศจิกายน 2556 10:30 น.


ปัญหาของความโกรธอยู่ที่ว่า พวกเรามักพอใจที่จะโกรธ มันมีความเพลิดเพลินยินดีที่น่าหลงติด และมีอำนาจเกี่ยวข้องกับการแสดงอาการโกรธ แล้วเราก็ไม่อยากจะละสิ่งที่เราชอบนั้น

อย่างไรก็ตาม ความโกรธก็มีโทษด้วยเช่นกัน และผลที่ตามมาจะมีน้ำหนักมากกว่าความพอใจใดๆ เพียงถ้าเราตระหนักถึงผลพวงของความโกรธ ระลึกได้ถึงผลต่อเนื่องจากความโกรธ เมื่อนั้นแหละ เราจะรู้สึกเต็มใจที่จะละความโกรธเสีย

ครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ในอาณาจักรแห่งหนึ่ง มีปีศาจตนหนึ่งเดินเข้ามาในวังขณะที่พระราชาไม่อยู่ ปีศาจตนนี้น่าเกลียดมาก แถมยังเหม็นอย่างร้ายกาจ สิ่งที่มันสำรอกออกมาก็น่าขยะแขยง จนทหารยามและเจ้าหน้าที่ในวังทุกคนตัวแข็งทื่อด้วยความหวาดกลัว

นั่นทำให้ปีศาจเดินผ่านห้องต่างๆด้านนอก จนเข้าไปถึงท้องพระโรงชั้นในได้อย่างสบายๆ แถมยังนั่งลงบนบัลลังก์ของพระราชาอีกด้วย ทหารยามและคนอื่นๆพลันได้สติ เมื่อเห็นปีศาจบนบัลลังก์ของพระราชา

เขาตะโกนว่า “ออกไปจากที่นี่ซะ นี่ไม่ใช่ที่ของเจ้านะ! ถ้าเจ้าไม่ย้ายก้นของเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้ละก็ เราจะแล่เนื้อเจ้าเป็นชิ้นๆด้วยดาบของเรา”

ด้วยคำพูดอย่างโกรธๆไม่กี่คำนี้ ตัวเจ้าปีศาจก็โตขึ้นอีกสองสามนิ้ว หน้าตาก็น่าเกลียดขึ้น กลิ่นเหม็นๆก็รุนแรงขึ้น และคำพูดก็ลามกยิ่งขึ้น

ดาบถูกชักออกกวัดแกว่งไปมา กริชถูกดึงออกมา พร้อมกับเสียงข่มขู่ต่างๆ ทุกๆคำพูดที่ออกอาการโกรธ ทุกๆการกระทำด้วยความโกรธ หรือแม้แต่ทุกๆความคิดโกรธ ทำให้ตัวเจ้าปีศาจโตขึ้นทีละนิ้ว..ทีละนิ้ว.. น่าเกลียดยิ่งขึ้น เหม็นยิ่งขึ้น และใช้ภาษาสกปรกยิ่งขึ้น

การเผชิญหน้ากันยังคงดำเนินต่อไปสักพัก จนกระทั่งพระราชากลับมาถึงวัง ท่านเห็นเจ้าปีศาจร่างยักษ์บนบัลลังก์ของท่าน ท่านไม่เคยเห็นอะไรที่น่าเกลียดสุดๆอย่างนี้มาก่อนเลย แม้แต่ในหนังภาพยนตร์ก็เถอะ..

กลิ่นเหม็นฉุนที่ออกมาจากกายเจ้าปีศาจนั้น แม้แต่หนอนก็อาจจะคลื่นไส้ได้ ภาษาที่ใช้ก็น่าเกลียดเสียยิ่งกว่าจะได้ยินได้ฟังจากบาร์เถื่อนๆกลางเมืองที่เต็มไปด้วยคนเมาในคืนวันเสาร์

พระราชาทรงใช้สติปัญญา ก็ด้วยเหตุนี้แหละท่านจึงเป็นถึงพระราชา ท่านทรงทราบว่าจะทรงจัดการอย่างไร

ท่านกล่าวอย่างอบอุ่นว่า “ยินดีต้อนรับท่าน ยินดีต้อนรับสู่วังของข้าพเจ้า มีผู้ใดนำเครื่องดื่มและอาหารมาให้ท่านหรือยัง?”

ด้วยกิริยาท่าทางที่สุภาพเช่นนี้ ตัวของเจ้าปีศาจก็หดเล็กลงสักสองสามนิ้ว น่าเกลียดน้อยลง เหม็นน้อยลง และน่ารังเกียจน้อยลง...

เจ้าหน้าที่ประจำวังเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว คนหนึ่งถามปีศาจว่า “อยากดื่มชาสักถ้วยไหม เรามีชาดาร์จีลิง อิงลิชเบรกฟาสต์ หรือเอิร์ลเกรย์ หรือท่านจะชอบชาเป็ปเปอร์มินท์ที่แสนอร่อยและมีผลดีต่อสุขภาพ”

อีกคนโทรศัพท์สั่งพิซซ่าขนาดครอบครัว ซึ่งเหมาะสำหรับปีศาจร่างยักษ์เช่นนี้ ขณะที่อีกคนนวดเกล็ดที่คอของมัน เจ้าปีศาจคิดในใจว่า “อืม! สบายจัง”

ทุกๆคำพูดที่สุภาพ การกระทำที่เอื้อเฟื้อ ตลอดจนความคิดที่ดี ตัวเจ้าปีศาจก็ค่อยๆหดลง..หดลง.. น่าเกลียดน้อยลง เหม็นน้อยลง และน่ารังเกียจน้อยลง

ก่อนที่เด็กส่งพิซซ่าจะมาถึง ร่างของเจ้าปีศาจก็หดลงจนมีขนาดเท่ากับตอนที่มันนั่งลงบนบัลลังก์ในครั้งแรก แต่เขาก็ยังไม่หยุดที่จะทำดีต่อมัน ในไม่ช้าเจ้าปีศาจก็เล็กลง จนเกือบจะมองไม่เห็นอยู่แล้ว และหลังจากการแสดงน้ำใจอีกเพียงครั้งเดียว เจ้าปีศาจก็หายวับไปเลย...

เราเรียกเจ้าสัตว์ประหลาดนี้ว่า ‘ปีศาจกินความโกรธ’

บางเวลาคู่ชีวิตของเราอาจจะเป็น ‘ปีศาจกินความโกรธ’ ได้ ถ้าเราโกรธเขา เขาก็จะเลวลง น่าเกลียดขึ้น พูดจาน่ารำคาญยิ่งขึ้น ปัญหาจะบานปลายขึ้น ทุกครั้งที่เราโกรธเขา แม้แต่คิดโกรธในใจก็เถอะ บางทีตอนนี้ เราจะได้เห็นความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเรา และรู้เสียทีว่าเราจะทำอะไรต่อไป

ความเจ็บปวดเป็น ‘ปีศาจกินความโกรธ’ ตัวหนึ่ง เมื่อเราคิดโกรธ ‘เจ้าความเจ็บปวด จงไปให้พ้น! ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเจ้า!’ มันจะกลับรุนแรงขึ้น และเลวร้ายลงในหลายๆด้าน

มันยากนักที่จะใจดีต่อสิ่งที่ทั้งน่าเกลียดและน่ารังเกียจเช่นเจ้าความเจ็บปวดนี้ แต่หลายๆครั้งในชีวิตที่เราไม่มีทางเลือกอื่นใด อย่างเรื่องปวดฟันของอาตมา เมื่อเราสามารถทำใจยอมรับความเจ็บปวดอย่างจริงใจ มันกลับเจ็บน้อยลง ก่อปัญหาน้อยลง และบางครั้งก็หายวับไปเลย

มะเร็งบางชนิดก็เป็น ‘ปีศาจกินความโกรธ’ เป็นตัวร้ายที่ทั้งน่าเกลียดและน่ากลัวอยู่ในตัวเรา บน ’บัลลังก์’ ของเรา มันเป็นเรื่องธรรมดามากที่เราอยากจะสั่งมันว่า “เจ้าจงออกไปให้พ้น! ที่นี่ไม่ใช่ที่ของเจ้า!”

เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างล้มเหลวแล้ว หรืออาจจะก่อนหน้านั้นก็ได้ เราอาจจะบอกมันว่า “ยินดีต้อนรับ”

มะเร็งบางตัวได้รับการบำรุงเลี้ยงดูจากความเครียด ดังนั้น เราจึงเรียกมันว่า ‘ปีศาจกินความโกรธ’

มะเร็งพวกนั้นตอบสนองเป็นอย่างดีต่อ ‘พระราชาเจ้าของวัง’ ที่จะกล่าวกับมันอย่างกล้าหาญว่า “เจ้ามะเร็งเอ๋ย! ประตูใจของฉันเปิดรับเจ้าอย่างเต็มที่ ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรฉันก็ตาม เจ้าจงเข้ามาเถอะ!”

(จากหนังสือ ชวนม่วนชื่น)

• อะไรใหญ่ที่สุดในโลก

ลูกสาวของเพื่อนสมัยอาตมาเป็นนักศึกษา เรียนอยู่ชั้นประถมหนึ่ง ครูถามเด็กนักเรียนในชั้นซึ่งอายุประมาณห้าขวบว่า “อะไรใหญ่ที่สุดในโลก?”

เด็กหญิงเล็กๆคนหนึ่งตอบว่า “คุณพ่อของหนูค่ะ”

เด็กชายคนหนึ่งที่เพิ่งไปเที่ยวสวนสัตว์มาเมื่อไม่นานนี้ ตอบว่า “ช้าง”

เด็กอีกคนบอกว่า “ภูเขาค่ะ”

ลูกสาวของเพื่อนอาตมาตอบว่า “ตาของหนูใหญ่ที่สุดในโลกค่ะ”

ทั้งชั้นเงียบกริบ พยายามที่จะทำความเข้าใจกับคำตอบของเธอ ครูซึ่งก็งงพอๆกับเด็กคนอื่นๆ ถามว่า “หนูหมายความว่าอย่างไรจ๊ะ”

ก็อย่างนี้นะคะ” นักปรัชญารุ่นจิ๋วเริ่มอธิบาย "ตาของหนูเห็นพ่อของเพื่อน เห็นช้าง เห็นภูเขา แล้วก็เห็นอะไรๆอีกตั้งเยอะ ก็ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างมาอยู่ในตาของหนูได้ ตาของหนูก็ต้องใหญ่ที่สุดในโลกสิคะ”

ปัญญาไม่ใช่การเรียนรู้ แต่เป็นการรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งที่สอนกันไม่ได้

ลูกสาวเพื่อนตอบได้ดีมาก แต่อาตมาจะขอเสริมว่า จิตของเราใหญ่กว่าดวงตาเสียอีก ฉะนั้นสิ่งที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ จิต

จิตสามารถเห็นทุกสิ่งที่ดวงตาเราเห็นได้ แล้วยังเห็นมากไปกว่านั้นอีกโดยอาศัยจินตนาการของเรา มันสามารถรับรู้สัมผัสทั้งของจริงและสิ่งที่ฝันถึง

นอกจากนี้ จิตยังสามารถรับรู้สิ่งที่อยู่นอกเหนือสัมผัสทั้งห้า เพราะเหตุว่าจิตสามารถรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จะรู้จะเห็นได้ จิตจึงเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก จิตของเราครอบคลุมทุกสิ่ง

(จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 155 พฤศจิกายน 2556 พระวิสุทธิสังวรเถร (พรหมวังโสภิกฺขุ) วัดโพธิญาณ ประเทศออสเตรเลีย)

:b8: http://www.manager.co.th/Dhamma/viewnew ... 0000138285

รูปภาพ

สาธุ ปโกปิตสฺสาปิ มโนนายาติ วิกฺริยํ
น หิ ตาปยิตุ ํ สกฺกา สาครมฺโภ ติณุกฺกยา

สัตบุรุษแม้จะโกรธแค้นกัน ก็ไม่เปลี่ยนกิริยาให้วิกล
น้ำในสาครจะเอาฟางติดไฟสุมเท่าไร ก็หาทำให้น้ำเย็นกลายเป็นร้อนไม่


หิโตปเทศ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ก.พ. 2014, 17:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
:b44: :b44: :b44:

อรรถกถา เสนกชาดก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... =27&i=1014

ขึ้นชื่อว่าของที่ไม่รู้จักอิ่มมี ๑๖ อย่างคือ:-

๑. มหาสมุทรไม่อิ่มด้วยน้ำที่ไหลมาทุกทิศทุกทาง

๒. ไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ

๓. พระราชาไม่ทรงอิ่มด้วยราชสมบัติ.

๔. คนพาลไม่อิ่มด้วยบาป.

๕. หญิงไม่อิ่มด้วยของ ๓ อย่างเหล่านี้ คือ
เมถุนธรรม ๑
เครื่องประดับ ๑
การคลอดบุตร ๑.


๖. พราหมณ์ไม่อิ่มด้วยมนต์.
๗. ผู้ได้ฌานไม่อิ่มด้วยวิหารสมาบัติ คือการเข้าฌาน.
๘. พระเสขบุคคลไม่อิ่มด้วยการหมดเปลืองในการให้ทาน.
๙. ผู้มักน้อยไม่อิ่มด้วยธุดงค์คุณ.
๑๐. ผู้เริ่มความเพียรแล้วไม่อิ่มด้วยการปรารภความเพียร.
๑๑. ผู้แสดงธรรม คือนักเทศน์ไม่อิ่มด้วยการสนทนาธรรม.
๑๒. ผู้กล้าหาญไม่อิ่มด้วยบริษัท.
๑๓. ผู้มีศรัทธาไม่อิ่มด้วยการอุปัฏฐากพระสงฆ์.
๑๔. ทายกไม่อิ่มด้วยการบริจาค.
๑๕. บัณฑิตไม่อิ่มด้วยการฟังธรรม.
๑๖. บริษัท ๔ ไม่อิ่มในการเฝ้าพระพุทธเจ้า.

:b50: :b50: :b50: :b50: :b50: :b50: :b50:

วัดท่ามะโอ ( wattamaoh )

23 กรกฎาคม 2013

การอดทนต่อทุกข์

ตามปกติเมื่อเราพบกับโลกธรรมที่ไม่ น่าชอบใจ เช่น การเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา และความทุกข์ คนที่ขาดสติมักตีอกชกหัว โทษว่าตัวเองที่ทำผิดไป หรือโทษผู้อื่นที่มา่ล่วงเกิน หรือมิฉะนั้นก็โทษฟ้าดินลำเอียง

พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้เราอดทดต่อสิ่งเลวร้ายเหล่านั้น อย่าปล่อยให้ความเร่าร้อนกังวลใจมาทำร้ายใจของเรา อย่าพูดหรือทำสิ่งอะไรๆ ที่จะทำร้ายคนอื่น เพราะนั่นจะทำให้เราเป็นทุกข์มากขึ้น ไม่ทำให้เราสบายใจขึ้นได้เลย

เราควรพิจารณาว่าเป็นกรรมเก่าของเราที่ต้องชดใช้ แล้วอดทนทำสิ่งที่ควรทำต่อไป ไม่สร้างกรรมใหม่ที่จะก่อให้เกิดทุกข์แก่เราในภพต่อไป การอดทนเช่นนี้อาจทำได้ยาก เราต้องฝืนใจทำ แต่เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เราสบายใจได้

ให้คิดว่าอะไรจะเกิด ก็ต้องเกิด อะไรจะมา ก็ต้องมา เราหลีกเลี่ยงเวรกรรมไม่ได้ แต่เราจะพยายามทำกรรมในปัจจุบันให้ดีที่สุด เพื่อลดแรงของกรรมเก่าให้น้อยลง

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2014, 10:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
:b44: :b44: :b44:

:b51: การปล่อยวาง แบบง่ายๆ ด้วยการภาวนาด้วยการพูดบอกเข้าไปค่ะ
(นำมาจาก หนังสือ วิปัสสนาภาวนา โดย ท่านฐิตวณฺโณ ภิกขุ)

เราต้องเจริญวิปัสสนาโดยพิจารณาสังขารทั้งปวง โดยเฉพาะขันธ์๕ อันย่อเข้าเหลือแต่ นาม กับ รูป ว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
หรือไม่ว่าเราจะพบจะเห็นอะไรก็ให้สรุปลงในพระไตรลักษณ์ให้หมด แล้วก็ปล่อยวางความยึคมั่นในสิ่งทั้งปวงลงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ หรือถ้าให้ปรากฏชัดยิ่งขึ้น ก็ให้กำหนดภาวนาแต่เพียงคำว่า " ไม่เที่ยงๆๆ.." หรือ "จางคลายๆๆๆ.." หรือ "เกิดดับๆๆ.." หรือ "ปล่อยวางๆๆ.." อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือ ทั้ง ๔ อย่าง จนจิตเกิดเห็นชัด ยอมรับความจริงได้ เกิดการปล่อยวางลงได้ในที่สุด

( :b47: มีสติแล้วพูดบอกตนเองไปเรื่อยๆ ว่า "ไม่เที่ยงๆๆๆ.." จะใช้คำใดคำหนึ่ง หรือทุกคำก็ได้...แต่ในที่นี้ตรงกับเรื่องความรัก ดิฉันว่าก็มี ๒ คำนี้เหมาะสุดค่ะ คือ คำว่า "ไม่เที่ยง" กับคำว่า "ปล่อยวาง" ....เลือกคำว่า "ไม่เที่ยง" ตรงตัวกับพระไตรลักษณ์ ที่สุดค่ะ อาจารย์ที่สอนดิฉันท่านก็บอกว่าคำนี้ดีที่สุดค่ะ บอกให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลง บอกเตือนใจตนเองไว้ แต่ที่สุดนี้ ก็แล้วแต่คนด้วย บางคนอาจจะได้ผลดีกับคำอื่นก็ได้ค่ะ ก็ลองๆ ทำดูนะคะ คำไหนจะทำให้ใจเบาสบายขึ้นค่ะ)

เพราะเหตุใด สังขารทั้งปวงจึงควรปล่อยวางเสีย? เพราะสิ่งเหล่านี้มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันไม่มีอะไรเป็นของของเราที่แท้จริงเลย เพราะถ้ายึคไว้มากก็ทุกข์มาก เหมือนการแบกสัมภาระหรือแบกของ ถ้าแบกไว้มากก็หนักมาก ต้องวางลงเสียบ้าง ถ้าเราปล่อยวางได้มากเท่าใด ความสุข ความเบากายเบาใจก็มีมากเท่านั้น ไม่ว่าใครจะมาด่าเรา ดูหมิ่นเรา หรือโกรธเรา หรือเป็นอย่างอื่นไปจากเรา หรือลักของเราไป หรือเราจะพลัดพรากจากคนหรือสิ่งที่เรารักไป เมื่อเราไม่ยึคมั่นว่าเป็นของของเราแล้ว มันก็เบากายเบาใจขึ้นทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา ทั้งในด้านดีทั้งในด้านไม่ดี ก็ให้ใช้พระธรรมนี้เข้าชะโลมใจ โดยพิจารณาสรุปลงในพระไตรลักษณ์ให้หมดสิ้น

ถ้าจะภาวนา ประกอบกับลมหายใจ (อานาปานสติ) ก็สามารถยกจิตขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ได้เช่นกัน คือ
เมื่อหายใจเข้า ให้ภาวนาว่า "ไม่เที่ยง" หายใจออกก็ให้ภาวนาว่า "ไม่เที่ยง" อย่างนี้ก็ได้

:b8: :b8: :b8:

( :b47: ดิฉันก็มีอีกแบบหนึ่งค่ะคือ ให้พูดไปเรื่อยๆ ก็ได้ว่า ไม่เที่ยงๆๆๆๆๆ มีสติระลึกได้ ก็พูด ไม่เที่ยงๆๆๆๆ ว่าไปเรื่อยไม่ต้องเกี่ยวกับลมหายใจก็ได้ค่ะ มีสติเมื่อไรก็พูดไป ทำไปเรื่อยๆ นะคะ......... งานง่ายๆ แต่ทำให้ใจสงบได้ค่ะ

จิตใจ และร่างกายของเรานั้น ตกอยู่ภายใต้กฏของไตรลักษณ์ คือ
อนิจจัง = ไม่เที่ยงเพราะมีเกิดดับ ทั้งร่างกายและจิตใจ นั้นมีการเกิดดับอยู่เสมอ แต่เราไม่เคยไปรู้ความจริง
ทุกขัง = เป็นทุกข์เพราะถูกบีบคั้นด้วยการเกิดดับ เห็นง่ายๆ คนเกิดมาแล้วก็ต้องตาย เป็นทุกข์มั้ยคะ
อนัตตา = ไม่ใช่ตัวตนเพราะบังคับให้คงอยู่สภาพเดิมไม่ได้ บอกร่างกายของเราไม่ให้แก่ เราก็ไปบังคับบัญชาร่างกายของเราก็ไม่ได้ )

:b47: ในวงเล็บคือ ข้อความของผู้ทำกระทู้ค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ก.พ. 2014, 19:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
:b44: :b44: :b44:
วิปัลลาส การเห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง
(นำมาจาก หนังสือ วิปัสสนาภาวนา โดย ท่านฐิตวณฺโณ ภิกขุ)


การเห็นสิ่งที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง เช่นเห็นว่า "ร่างกายของเรานี้ต้องอยู่ได้ถึง ๑๐๐ ปี" จะถึง ๑๐๐ปีได้อย่างไร แม้ใครจะเกินไปบ้างก็ไม่มากนัก ต้องตายในที่สุด เพราะอวัยวะต่างๆ ในร่างกายนั้น เสื่อม ตาย หรือเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา คือ เซลล์ในร่างกายนั้นตายอยู่ตลอดเวลา และที่เปลี่ยนแปลงความไม่เที่ยงออกมาข้างนอกให้เห็นชัดก็คือ หนังเหี่ยวย่น ฟันหัก ตาฝ้าฟาง หูตึง หลังโกง เป็นต้น แต่บางคนเห็นว่าแม้กายจะไม่เที่ยง แต่จิตนั้นเที่ยง

ถ้าใครเห็นว่าจิตเที่ยงก็ยิ่งเห็นผิดมากขึ้น เพราะจิตนี้เกิดดับอยู่ตลอดเวลา จิตดวงหนึ่งดับไปแล้วจิตดวงใหม่เกิดขึ้นแทน ที่จะทรงตัวอยู่ให้เห็นเป็นวัน เป็นเืดือน เป็นปี เหมือนร่างกายนั้นไม่มีเลย มันไม่เที่ยงเห็นชัดๆ อยู่แล้ว และบางคนเห็นว่าโลกเที่ยง หรืออย่างโน้นเที่ยงอย่างนี้เที่ยง แท้จริง ไม่มีสังขารหรือนามรูปอันใดเลยที่เที่ยง ถ้าเห็นว่าเที่ยง นั้นคือวิปัลลาสเห็นผิดแล้ว มันจึงปิดบังตัวสัจจะ คือความไม่เที่ยงเอาไว้

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2014, 08:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
:b44: :b44: :b44:


ไฟหรือเพลิงที่เผารนสัตว์โลกให้เกิดความทุกข์
(นำมาจาก หนังสือ วิปัสสนาภาวนา โดย ท่านฐิตวณฺโณ ภิกขุ)


ไฟหรือเพลิงที่เผารนสัตว์โลกให้เกิดความทุกข์นั้น มีอยู่ ๒ ชนิดคือ
เพลิงทุกข์ และ เพลิงกิเลส

เพลิงทุกข์นั้นเผาผลาญรูป เพลิงกิเลสนั้นเผาผลาญจิต

เพลิงทุกข์นั้นคือ เพลิงที่เกิดจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บและความตาย เพลิงเหล่านี้เผาผลาญทุกรูปที่เกิดขึ้นแม้แต่พระอริยเจ้า(ก็ต้องเป็นไปดังนี้)

ส่วนเพลิงกิเลสนั้นเผาผลาญปุถุชน หรือเผาผลาญพระอริยบุคคลที่ยังไม่เข้าสู่ขั้นเป็นพระอรหันต์เพราะยังมีกิเลสบางชนิดเหลืออยู่ แต่ปุถุชนนั้นถูกเพลิงกิเลส คือ ราคะ โทสะ โมหะ เผาให้ร้อนรนอยู่ตลอดเวลา มากบ้างน้อยบ้าง แล้วแต่ว่าเพลิงเหล่านี้จะไหม้ขึ้นมากเพียงใด เผาเอานามรูปให้หม่นไหม้ นามรูปจึงเป็นตัวทุกข์เพราะถูกเพลิงทุกข์และเพลิงกิเลสเข้าเผาผลาญ

:b47: เมื่อผู้ปฏิบัติเห็นทุกข์ชัดขึ้น ในที่สุดผู้ปฏิบัติจะเข้าใจได้ว่า ธรรมดาของสังขารนั้นคือ ไม่เคยเกิดขึ้นก็เกิดขึ้น เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป และมิใช่ว่าจะเกิดใหม่อยู่เป็นนิจเท่านั้น แต่ตามปกติแล้วยังตั้งอยู่เพียงชั่วขณะเวลาอันสั้นอีกเล่า หมายความว่า สังขารนี้มิใช่จะเกิดดำรงอยู่ได้ตลอดไป

:b47: ชีวิตนี้เกิดขึ้นแล้วดับไปเป็นธรรมดา คือ เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ เมื่อเกิดขึ้นโดยกฏของธรรมชาติก็ดับไปโดยกฏของธรรมชาติ ชีวิตนี้เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป หาได้เที่ยงแท้แน่นอนอันใดไม่ สังขารทั้งหลายนั้นเกิดขึ้นและเสื่อมไป และดับไปเป็นธรรมดา ยอมรับความจริงของธรรมชาตินั้น

:b8: :b8: :b8:

:b47:นำมาบางส่วนค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2014, 10:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2013, 11:12
โพสต์: 421

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทามิ......สาธุ...สาธุ....สาธุ....
ได้แจ่มชัดมากขึ้นค่ะ.....


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มี.ค. 2014, 14:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ
:b44: :b44: :b44:

:b51: ต่อไปนี้เป็นข้อความบางตอนจากหนังสือ คำบรรยาย ปฏิบัติธรรมะตามพระไตรปิฎกฯ
อาจารย์พรชัย เจริญดำรงเกียรติ

ความเดือดร้อนใจ (กุกกุจจะ)


เพราะคำนึงถึงบาป อกุศลที่ตนเคยทำ ถ้าฟุ้งทั้งวัน จะไม่ค่อยรู้สึกสำนึกผิดอะไร แต่ขณะจิตสงบ เป็นกุศล
เริ่มรู้ว่าอะไรเป็นบุญเป็นบาป เมื่อย้อนนึกถึงการกระทำคำพูดที่ไม่ดีของตน ถ้านึกแล้วเกิดความเดือดร้อนใจ
เป็นโทสะ เรียกว่ากุกกุจจะ ก็กลับเป็นโทษอีกรอบหนึ่ง นึกถึงคราวใด ก็อาจจะเดือดร้อนใจทุกครั้ง จะเป็น
อกุศลอยู่เสมอ ดังเราจะสังเกตเห็นได้ว่า คนที่โกรธกัน คนที่มีความโกรธนั้น จะหงุดหงิด จะเดือดร้อนรำคาญใจ จะมีแต่ความทุกข์ในใจ ถ้าเราให้อภัยตัวเราเองได้หนึ่งคน แต่ที่เราไม่ดีนั้น เราต้องยอมรับว่าไม่ดี อย่าเลี่ยงอย่าเถียง อย่าบิดเบือน แต่ยอมรับด้วยศรัทธา แล้วตั้งต้นใหม่ เราจะไม่ทำอย่างนั้นอีก เมื่อนึกใหม่ เราจะไม่ติตัวเองแล้ว จิตเราจะพ้นไปได้ แต่ต้องเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง ไม่ใช่กลบเกลื่อน บิดเบือน ถ้าแบบนั้นจะยิ่งฝังใจ จะไปเดือดร้อนตอนใกล้ตาย ช้าเกินไป แก้ไม่ได้แล้ว คนเราต้องสำนึกตั้งแต่ตอนที่ยังดีๆ อยู่ จึงจะแก้ได้

ถ้าเราให้อภัยตัวเราได้ เราจะรู้สึกว่า การให้อภัยเป็นความถูกต้อง เป็นความดี สมควรทำ เราต้องให้อภัยตัวเราหนึ่งคน แล้วตั้งต้นใหม่ทำสิ่งที่ดี เมื่อเห็นคนอื่นทำไม่ดี เราก็จะให้อภัยเขาได้ เพราะเขาก็มีความทุกข์เหมือนกับเรา

คนที่ทำไม่ดีนั้น บางทีเขาก็รู้ว่าไม่ดี แต่ไม่รู้ว่าจะละอย่างไร
เราเองก็เช่นกัน ถ้าไม่ได้ฟังธรรมะ เราก็ยอมรับได้ว่าเราไม่ดี แต่ไม่รู้จะแก้อย่างไร เพราะเป็นนิสัยของเรา
แต่เมื่อได้ฟังธรรมะแล้ว เราจะไม่จำเรื่องนิสัย เราจะจำแต่ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี
อะไรดีเราจะทำ อะไรไม่ดีเราจะหยุด
.....จบเรื่องนิสัย
เราจะไม่เอาการยึคเรื่องนิสัย มาเป็นเหตุในการไม่ทำในสิ่งที่ควรทำ

คนอื่นที่ทำไม่ดี ก็อาจเป็นเช่นเดียวกับเรา คือรู้ว่าไม่ดี แต่ไม่รู้จะแก้อย่างไร
ดังนั้น เมื่อเห็นคนทำไม่ดี พูดไม่ดีต่อเรา หรือต่อคนอื่นก็ตาม เราต้องให้อภัย จิตเราจะคลายจากความจำ
ไม่ว่าเห็นใครๆ จิตเราก็จะมีความสุข มีความปลอดโปร่ง เพราะเราจะไม่จำ เรื่องที่เกิดความขุ่นแค้นในใจต่อเขา


เมื่อเราให้อภัยเป็น แม้เขาว่าเราต่อหน้า ก็ให้อภัยได้ทุกๆ คำ ให้อภัยด้วยจิต และเอื้อเฟื้อด้วยกาย ด้วยวาจา(ไม่เดินหนี ไม่โต้เถียง ไม่ประชดประชัน) ถ้าเราทำได้บ่อยๆ ภายหลังถ้าพบกัน แม้เขายังโกรธอยู่ เขาจะไม่พูดกับเรา ถ้าจะพูดกับเรา เขาจะพูดคำดีๆ เพราะเขาจับความรู้สึกของเราได้(ถึงจับไม่ได้ ก็ไม่ใช่ปัญหาของเราอีกต่อไปแล้ว)

อย่างนี้ เราจะละ จะพ้นจากความไม่ดีในใจเราได้ เราต้องจัดการให้ได้ก่อน สิ่งเหล่านี้ละได้ด้วยศีล
ไม่ได้ลึกซึ้งอะไรเลย แต่ที่ไม่ละ เพราะจะเอาชนะ เพราะทิฏฐิยึคว่าเป็นเอกลักษณ์เป็นนิสัยประจำตัวของเรา ถ้าเราศรัทธาในธรรมะอย่างแท้จริง เหมือนกับว่า ให้เราผุดขึ้นท่ามกลางธรรมะ สิ่งที่ดีเราจะพูด เราจะทำ จะคิด ถ้าสิ่งไม่ดี เราจะไม่พูด ไม่ทำ ไม่คิด ถ้าเป็นอย่างนี้บ่อยๆ จะไม่มีคำว่า "นิสัย" มีแต่คำว่า "สัมปชัญญะ" สิ่งใดเหมาะควร เราทำ ไม่เหมาะไม่ควร เราไม่ทำ อย่างนี้เป็นโวหารว่า "ส่งตนไปในธรรม" ไม่เหลือตน เหลือแต่ธรรม จะรอดแน่นอน

แต่ถ้า ตน ตน ตน อยู่ ไม่รอดแน่นอน เพราะแม้แต่ร่างกายตน ความจำว่าร่างกายตน ยังต้องละ นิสัยไม่ดีเป็นความเสื่อม(ยิ่งต้องละ) เรามีสิ่งใดก็ตามที่เราคิดว่าเรามี นึกว่าเรามี ยึคว่าเรามี หรือรู้สึกว่าเรามี เราจะต้องพลัดพรากจากสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด ไม่มีเหลือ เหลือแต่ธรรมะเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่ง นอกนั้น พึ่งไม่ได้เลย

:b8: :b8: :b8:
เชิญคลิ๊กเข้าไปอ่านค่ะ
:b50: หนังสือ คุณสมบัติพื้นฐานของชาวพุทธ[วศิน อินทสระ]
http://www.bookshour.com/index.php/home/ebook_detail/76

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2014, 17:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b50: ความผูกพันทางใจ คือความวิตกกังวลถึงกัน เหมือนถูกล่ามโซ่ไว้
มีแต่บ่วงคล่องต่อกันไว้ให้ห่วงใยโหยหากันไปจนกว่าจะตายจากกันไป
ผูกพันกันมาก เมื่อผลัดพรากจากกันย่อมหวั่นไหวรุนแรงเป็นธรรมดา
รักและเข้าใจ ไม่ผูกมัดใจให้มาก รู้ว่าพบกันเพื่อจากจริงๆ ในการเกิดมาพบใครแต่ละชาติค่ะ




.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2014, 13:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b48: นำมาจากเฟซบุ๊คหมอนิด

ในชีวิตของ หมอนิด ผ่านสิ่งต่างๆมามากต่อมากเช่นเรื่องเจ้าชู้...”ที่สุด”...ผมยอมรับว่าผม เลว ตั้งแต่เป็นวัยรุ่น ทั้งการพนัน กินเหล้า เสเพล จีบผู้หญิงไปทั่ว เจ้าชู้ตั้งแต่ยังไม่แต่งงาน แม้แต่งงานแล้วผมก็เจ้าชู้ ไม่ซื่อกับเมีย แต่ถึงผมจะเจ้าชู้อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่เคยไปนอนค้างคืนกับผู้หญิงคนไหน ทั้งก่อนแต่งและหลังแต่งงาน...พอผมแต่งงานแล้ว ผมจะบอกผู้หญิงทุกคน ก่อนมีอะไรกันว่า...”ผมมีเมียมีลูกแล้ว”...ถ้าจะให้ผมรับผิดชอบ หรือจะมาเป็นเมียน้อยผม ผมไม่เอา...แต่ถ้าคิดจะ “สนุกกัน” แล้วไม่มีอะไรผูกพันต่อกัน...อย่างนี้ถึงจะเอากันได้...ผู้หญิงหลายคนพูดว่า...”ตั้งแต่เคยรู้จักผู้ชายมา ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนพูดตรงๆแบบผม”...สุดท้ายเสร็จผมทุกราย นี่คือความเลว...”ที่สุด”...อย่างหนึ่งของผม ทุกวันนี้เมียผมเธอคือ...”ดวงใจ”...ของผม เพราะเธอทนกับผมมามาก เมื่อก่อนเพื่อนๆเมียผมหลายคน ถามเมียผมว่าทนอยู่กับผมได้อย่างไร ผู้ชายเลวๆอย่างผมเลิกมันไปเหอะ หน้าตาสวยๆอย่างนี้ เดี๋ยวจะหาคนดีๆให้ใหม่ เพื่อนเธอหลายคนบอกให้เมียผม เลิก กับผม (ในอดีตเมียผมสวยมาก) ผมไม่ใช่คนหล่อ ผมไม่ใช่คนรวย แต่อาศัย “คารม” ผมไม่เบา (ฮา)

:b41: :b46: :b41: :b46:

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2014, 14:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2013, 11:12
โพสต์: 421

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


โอโห.....เหมือนคนของฉันเลย แต่ข้อดีของเขาคือ เขาแอบทำ ปิดไว้ ไม่ให้ฉันรู้ ให้ฉันภาคภูมิใจ ยกย่องว่า สามีเป็นคนดี ไม่เจ้าชู้ มีศีลธรรม กตัญญ และทราบว่า เขาก็บอกกับหญิงที่เขาไปนอนด้วยว่ามีเมียแล้ว สนุกเฉยด้วยกันเฉยๆ ไม่รับผิดชอบ........ฉันก็เลย ไม่ทุกข์ ไม่หนักไม่ได้แบกเขา บนหัว5555

ชอบเพลงจังสนุกมากค่ะ......


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2014, 17:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


กล้วยไม้ม่วง เขียน:
โอโห.....เหมือนคนของฉันเลย แต่ข้อดีของเขาคือ เขาแอบทำ ปิดไว้ ไม่ให้ฉันรู้ ให้ฉันภาคภูมิใจ ยกย่องว่า สามีเป็นคนดี ไม่เจ้าชู้ มีศีลธรรม กตัญญ และทราบว่า เขาก็บอกกับหญิงที่เขาไปนอนด้วยว่ามีเมียแล้ว สนุกเฉยด้วยกันเฉยๆ ไม่รับผิดชอบ........ฉันก็เลย ไม่ทุกข์ ไม่หนักไม่ได้แบกเขา บนหัว5555

ชอบเพลงจังสนุกมากค่ะ......


:b3: อิๆ เจอเคสเดียวกันเลยค่ะ สมัยก่อนพี่สาวของดิฉัน ก็เตือนดิฉันให้เผื่อใจไว้บ้าง อย่าไปเชื่อมั่นสามีมากนัก ดิฉันก็ไม่เชื่อพี่สาวค่ะ พอถึงเวลาเรื่องแตกขึ้นมา หัวใจดิฉันติดลบค่ะ ในกรณีอย่างนี้มันหนักหนาสาหัสกว่าสามีประเภททำอะไรให้รู้ให้เห็นว่าเค้าเจ้าชู้อีกค่ะ

แต่ดิฉันพลิกใจขึ้นมาได้เร็ว สุดท้ายแล้วคนที่ต้องร้องไห้คือสามีค่ะ :b4:




.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2014, 17:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องการทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นด้วย ไม่ใช่ให้ทำประโยชน์ให้ตนเองอย่างเดียว ดังนั้นคนที่มีความเข้าใจก็จะสามารถสานประโยชน์ตนเองและประโยชน์ผู้อื่นไปพร้อมกันได้

ประโยชน์ของตนเองคือ รู้และเข้าใจว่าชีวิตนั้น มีทั้งความสุขและความทุกข์ ไม่มีใครจะเลือกรับเฉพาะแต่ความสุขได้อย่างเดียว แม้จะอยู่อย่างมหาเศรษฐี ความทุกข์ก็ตามไปย่ำยีได้ ไม่มีใครหรอกที่จะได้แต่ความสุขอย่างเดียว และอยู่กับสิ่งที่ตนปรารถนาได้ตลอดไป เมื่อพบความทุกข์หรือความสุข ก็อยู่ด้วยความไม่ประมาท รู้เท่าทันชีวิต เมื่อทุกข์ก็จะไม่ทุกข์มาก เมื่อสุขก็จะไม่หลงระเริงติดอยู่กับความสุข เร่งขวนขวายที่จะทำประโยชน์แก่ตนเองคือการทำกุศล และเข้าใจว่าสัตว์ทั้งหลายก็ต้องผจญกับความลำบากอีกมากมายในสังสารวัฏฏ์ รู้จักที่จะทำประโยชน์แก่ตนเองทั้งในโลกนี้และเพื่อโลกหน้า รู้จักประสานประโยชน์ที่ตนกำลังทำ แบ่งปันความเข้าใจเพื่อชี้นำแนวทาง เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นด้วย ไม่เป็นคนที่รกโลก ไม่เป็นคนที่มีชีวิตอยู่อย่างคนที่เป็นหนี้แก่โลกใบนี้



:b47: :b47: :b47: :b47: :b47:

เชิญ ฟังเพลงทางมนุษย์


.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มี.ค. 2014, 18:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2013, 11:12
โพสต์: 421

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
พระพุทธเจ้าตรัสสอนเรื่องการทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นด้วย ไม่ใช่ให้ทำประโยชน์ให้ตนเองอย่างเดียว ดังนั้นคนที่มีความเข้าใจก็จะสามารถสานประโยชน์ตนเองและประโยชน์ผู้อื่นไปพร้อมกันได้

ประโยชน์ของตนเองคือ รู้และเข้าใจว่าชีวิตนั้น มีทั้งความสุขและความทุกข์ ไม่มีใครจะเลือกรับเฉพาะแต่ความสุขได้อย่างเดียว แม้จะอยู่อย่างมหาเศรษฐี ความทุกข์ก็ตามไปย่ำยีได้ ไม่มีใครหรอกที่จะได้แต่ความสุขอย่างเดียว และอยู่กับสิ่งที่ตนปรารถนาได้ตลอดไป เมื่อพบความทุกข์หรือความสุข ก็อยู่ด้วยความไม่ประมาท รู้เท่าทันชีวิต เมื่อทุกข์ก็จะไม่ทุกข์มาก เมื่อสุขก็จะไม่หลงระเริงติดอยู่กับความสุข เร่งขวนขวายที่จะทำประโยชน์แก่ตนเองคือการทำกุศล และเข้าใจว่าสัตว์ทั้งหลายก็ต้องผจญกับความลำบากอีกมากมายในสังสารวัฏฏ์ รู้จักที่จะทำประโยชน์แก่ตนเองทั้งในโลกนี้และเพื่อโลกหน้า รู้จักประสานประโยชน์ที่ตนกำลังทำ แบ่งปันความเข้าใจเพื่อชี้นำแนวทาง เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นด้วย ไม่เป็นคนที่รกโลก ไม่เป็นคนที่มีชีวิตอยู่อย่างคนที่เป็นหนี้แก่โลกใบนี้



:b47: :b47: :b47: :b47: :b47:

เชิญ ฟังเพลงทางมนุษย์



สาธุ สาธุ สาธุ น้อมนำไปปฏิบัติค่ะ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 เม.ย. 2014, 14:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


เราต้องไปผจญภัยในสังสารวัฏฏ์กันอีกนานแสนนานนะ อย่าลืมว่าเราแต่เพียงลำพัง ไม่มีใคร แล้วถ้าวันนี้เราจะไม่มีใคร ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะอย่างไรเราก็ต้องเดินทางเพียงลำพังอยู่ดี จะหวังอะไรจากใจใคร ไม่ว่าจะเป็นความรัก ข้าวของเงินทองสักเท่าไหร่ ไม่มีสิ่งใดช่วยเราได้จริงๆ เลยสักอย่าง

สิ่งที่ช่วยเราได้คือกุศลเท่านั้น อย่ามองแค่วันนี้ วันพรุ่งนี้ เพียงแค่การมีชีวิตอยู่บนโลกในขณะนี้ เพราะมันเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวของวัฏฏสงสารที่ยืดยาว จะมาเอาแต่เรียกร้องหาความอิ่มเอมใจในความรัก จะวิ่งตามหาความรักมาเติมใจให้มีความสุข มันไม่ได้สุขจริง ที่ผ่านมาแม้ว่าสามีจะรักจะหลง แต่ถามว่าวันนั้นๆ มีความสุขจริงหรือ มันมีเรื่องอื่นๆ ที่เดือดร้อนวนเวียนเข้ามารบกวนจิตใจหรือไม่ เรื่องสุขภาพ เรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องญาติ เรื่องเพื่อน ฯ ใช่ว่ามีความรักแล้วเรื่องทุกข์อื่นจะไม่มี มันมีความรักปนอยู่กับความทุกข์ มันมีเรื่องเข้ามารบกวนจิตใจตลอด ถึงแม้ว่าไม่มีเรื่องอะไรในขณะที่ยังเป็นแฟนกันรักกันนักรักกันหนา ก็ยังกังวลใจว่าเราสองจะได้แต่งงานกันเมื่อไร จะต้องเร่งทำงานเก็บเงินแต่งงาน ดาวน์บ้าน ซื้อบ้าน เรื่องซื้อบ้านบางทีก็ทะเลาะกันจนถึงขนาดไม่ได้แต่งงานกันก็มี บางทีก็ไม่ลงตัวว่าจะอยู่บ้านใคร เย่อกันไปก็เย่อกันมากันทั้งสองฝ่าย พอแต่งงานแล้วก็มีปัญหาปรับตัวเข้ากับญาติของอีกฝ่าย อยากจะถามว่าความรักสมหวังแล้วสุขจริงหรือ มันเป็นการไล่ล่าหาความสุขของมนุษย์ต่างหาก ไม่จบไม่สิ้น

หากวันนี้เราขาดความรักจากคนรักไป ไม่ต้องไปวิ่งตามให้เหนื่อยหรอก เรามาทำความรักให้เกิดขึ้นใหม่ดีกว่าด้วยการทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตนเอง รักตนเอง ด้วยการทำจิตใจให้ไปสู่จุดหมายใหม่ ตั้งเป้าหมายไว้ทุกวันว่า วันหนึ่งๆ เราจะทำอะไรเพื่อตนเองบ้างในความดีที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ ดูสิ ความดีอะไรบ้างที่ต้องทำ ดูได้จากบุญกิริยาวัตถุ10 ใน10ข้อนี้วันๆ หนึ่งเราจะทำสักกี่ข้อ การมัวแต่นั่งปล่อยใจให้ฟุ้ง การไปค้นหาแต่เรื่องร้อนใจ ไม่ได้เกิดประโยชน์ ทำไปก็มีแต่ทุกข์ มาทำความดีดีกว่า เอาเวลาที่ฟุ้งมาเปลี่ยนเป็นเวลาที่ฟัง เปิดวิทยุหมุนหาคลื่นธรรมะ ฟังพระท่านเทศน์ ฟังฆราวาสสอนธรรม ดีกว่ามามัวปล่อยใจไปกับความคิดฟุ้งซ่านถึงคนโน้นคนนี้ คิดไปคิดมา คนคิดนั่นแหละทุกข์ แต่คนที่เราคิดถึงเค้าๆ ไม่ได้ทุกข์ไปด้วยเลย

หยุดทำร้ายตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าเถอะค่ะ เรื่องต่างๆ ถ้ามันแก้ไขไม่ได้ก็ไม่ต้องไปแก้ไข
แก้ไขไปก็มีแต่จะบานปลาย หันเหจิตใจหาเรื่องดีๆทำ ถ้าไม่หันเหจิตใจมาทางกุศล มันก็จะจมอยู่แต่ความเศร้า ยิ่งเสพความเศร้าเข้าไป ก็ยิ่งติดอยู่กับความเศร้า เหมือนคนติดยาเสพติดจะเลิกก็ต้องเลิกด้วยตัวเองต้องการจะเลิกเอง สมัครใจจะสู้เองค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 เม.ย. 2014, 16:02 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 เม.ย. 2013, 11:12
โพสต์: 421

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


SOAMUSA เขียน:
ตั้งเป้าหมายไว้ทุกวันว่า วันหนึ่งๆ เราจะทำอะไรเพื่อตนเองบ้างในความดีที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ ดูสิ ความดีอะไรบ้างที่ต้องทำ ดูได้จากบุญกิริยาวัตถุ10 ใน10ข้อนี้วันๆ หนึ่งเราจะทำสักกี่ข้อ การมัวแต่นั่งปล่อยใจให้ฟุ้ง การไปค้นหาแต่เรื่องร้อนใจ ไม่ได้เกิดประโยชน์ ทำไปก็มีแต่ทุกข์ มาทำความดีดีกว่า เอาเวลาที่ฟุ้งมาเปลี่ยนเป็นเวลาที่ฟัง เปิดวิทยุหมุนหาคลื่นธรรมะ ฟังพระท่านเทศน์ ฟังฆราวาสสอนธรรม ดีกว่ามามัวปล่อยใจไปกับความคิดฟุ้งซ่านถึงคนโน้นคนนี้ คิดไปคิดมา คนคิดนั่นแหละทุกข์ แต่คนที่เราคิดถึงเค้าๆ ไม่ได้ทุกข์ไปด้วยเลย


:b12:
.......แปลกแต่จริงๆๆในชีวิตช่วงนี้ค่ะ......สิ่งที่คุณโสม แนะนำ ให้ข้อคิดในกระทู้ คือสิ่งที่...เกิดขึ้นในชีวิตของฉันค๊า...และ ได้แลกเปลี่ยนกับเพื่อนร่วมงานและผู้ใช้บริการในประเด็น..ดังกล่าวนี้จริงๆๆ ค่ะ......
สาธุ สาธุ สาธุ..


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 113 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 18 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron