วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 07:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=28



กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 มิ.ย. 2010, 15:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b12:
เกริ่นนำรายการ
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=355
จิตนี้ไม่มีสรีระ
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=356
จิตนี้มีคูหาเป็นที่อาศัย
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=357
จิตนี้เกิดแล้วดับไปไม่เหลือ
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=358
จิตนี้ท่องเที่ยวไปไกล ท่องเที่ยวแต่ผู้เดียว
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=359
จิตนี้ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏฏ์
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=360
อินทรีย์
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=361
อินทรีย์๕
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=362
ท่องเที่ยวไปใน๖ทวาร
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=363
สรุปประเด็นธรรม
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=364
:b20:
:b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2010, 13:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b12:
:b44:
ฟังเรื่องจิตเพื่อเข้าใจจิต
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=1104

:b44: :b44:
ฟังเรื่องจิตที่มีจริง จะเข้าใจคน หรือ จะเข้าใจจิต
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=1105

:b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2010, 20:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
หากจะพูดเรื่องจิต..กันจริง ๆ จัง ๆ ..แล้วนี้..มันเหนื่อยนะ..

ดู้..แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว

:b22: :b22: :b22:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2010, 20:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


....................................
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต (พ.ศ. ๒๔๑๓ - ๒๔๙๒)
มุตโตทัย
โดย หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
การปฏิบัติเป็นเครื่องยังพระสัทธรรมให้บริสุทธิ์


สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าธรรมของพระตถาคตเมื่อเข้าไปประดิษฐานในสันดานของปุถุชนแล้ว ย่อมกลายเป็นของปลอม (สัทธรรมปฏิรูป) ไป แต่ถ้าเข้าไปประดิษฐาน ในจิตสันดานของพระอริยเจ้าแล้วไซร้ย่อมเป็นของบริสุทธิ์แท้จริง และเป็นของไม่ลบเลือนด้วย
เพราะฉะนั้น เมื่อยังเพียรแต่เรียนพระปริยัติธรรมถ่ายเดียว จึงยังใช้การไม่ได้ดี ต่อเมื่อมาฝึกหัดปฏิบัติจิตใจ กำจัดเหล่ากะปอมก่า คือ อุปกิเลสแล้วนั่นแหละ จึงจะยังประโยชน์ให้สำเร็จเต็มที่ และทำให้พระสัทธรรมบริสุทธิ์ไม่วิปลาสคลาดเคลื่อนจากหลักเดิมด้วย
ฝึกตนดีแล้วจึงฝึกผู้อื่น ชื่อว่าทำตามพระพุทธเจ้า
ปุริสทัมมสารถิ สัตถา เทวมนุสสานํ พุทโธ ภควา สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงทรมานฝึกหัด พระองค์จนได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็น พุทโธ ผู้รู้ก่อนแล้วจึงเป็น ภควา ผู้ทรงจำแนกแจกธรรมสั่งสอนเวไนยสัตว์ สัตถา จึงเป็นครูของเทวดาและมนุษย์ เป็นผู้ฝึกบุรุษผู้มีอุปนิสัยบารมีควรแก่การทรมานในภายหลัง จึงทรงพระคุณปรากฏว่า กัลยาโณ กิตติสัทโท อัพภุคคโต เสียงเกียรติศัพท์อันดีงามของพระองค์ ย่อมฟุ้งเฟื่องไปในจาตุรทิศจนตราบเท่าทุกวันนี้
แม้พระอริยสงฆ์สาวกเจ้าทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้วก็เช่นเดียวกันปรากฏว่าท่านฝึกฝนทรมานตนได้ดีแล้ว จึงช่วยพระบรมศาสดาจำแนกแจกธรรมสั่งสอนประชุมชนในภายหลัง ท่านจึงมีเกียรติคุณปรากฏเช่นเดียวกันกับพระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าบุคคลไม่ทรมานตนให้ดีก่อนแล้วและทำการจำแนกแจกธรรมสั่งสอนไซร้ ก็จักเป็นผู้มีโทษปรากฏว่า ปาปโก สทโท โหติ คือเป็นผู้มีชื่อเสียงชั่วฟุ้งไปในจาตุรทิศ เพราะโทษที่ไม่ทำตามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์สาวกเจ้าในกาลก่อนทั้งหลาย ฯลฯ

มูลการของสังสารวัฏฏ์
ฐีติภูตํ อวิชชาปัจจยา สังขารา อุปาทานัง ภโว ชาติ คนเราทุกรูปทุกนามที่ได้กำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์ล้วนแล้วแต่มีที่เกิดทั้งสิ้นกล่าวคือ มีบิดามารดาเป็นแดนเกิด ก็แลเหตุใดท่านจึงบัญญัติ ปัจจยาการแต่เพียงว่า อวิชชาปัจจยา ฯลฯ เท่านั้น อวิชชา เกิดมาจากอะไร? ท่านหาได้บัญญัติไว้ไม่พวกเราก็ยังมีบิดามารดา อวิชชาก็ต้องมีพ่อแม่เหมือนกัน ได้ความตามบาทพระคาถาเบื้องต้นว่า ฐีติภูตํ นั่นเอง เป็นพ่อแม่ของอวิชชา
ฐีติภูตํ ได้แก่จิตดั่งเดิม เมื่อ ฐีติภูตํ ประกอบไปด้วยความหลง จึงมีเครื่องต่อ กล่าวคือ อาการของอวิชชาเกิดขึ้น เมื่อมีอวิชชาแล้วจึงเป็นปัจจัยให้ปรุงแต่งเป็นสังขารพร้อมกับความเข้าไปยึดถือ จึงเป็นภพชาติคือต้องเกิดก่อต่อกันไป ท่านเรียก ปัจจยาการ เพราะเป็นอาการสืบต่อกัน วิชชาและอวิชชาก็ต้องมาจาก ฐีติภูตํ เช่นเดียวกัน เพราะเมื่อ ฐีติภูตํ กอปรด้วยอวิชชา จึงไม่รู้เท่าอาการทั้งหลาย แต่เมื่อ ฐีติภูตํ กอปรด้วยวิชชาจึงรู้เท่าอาการทั้งหลายตามความเป็นจริงนี่พิจารณาด้วย วุฏฐานคามินีวิปัสสนา รวมใจความว่า ฐีติภูตํเป็นตัวการดั้งเดิมของสังสารวัฏ (การเวียนว่ายตายเกิด) ท่านจึงเรียกชื่อว่ามูลตันไตร
เพราะฉะนั้นเมื่อจะตัดสังสารวัฏให้ขาดสูญจึงต้องอบรมบ่มตัวการดั้งเดิมให้มีวิชชา รู้เท่าทันอาการทั้งหลายตามความเป็นจริงก็จะหายหลงแล้วไม่ก่อการทั้งหลายใดๆ อีก ฐีติภูตํ อันเป็นมูลการก็หยุดหมุน หมดการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏด้วยประการฉะนี้


อรรคฐาน เป็นที่ตั้งแห่งมรรคผลนิพพาน

อคคํ ฐานํ มนุสเสสุ มัคคํ สัตตวิสุทธิยา ฐานะอันเลิศมีอยู่ในมนุษย์ฐานะอันเลิศนั้นเป็นทางดำเนินไปเพื่อความบริสุทธิ์ของสัตว์ อธิบายว่าเราได้รับมรดกมาแล้วจาก นโม คือ บิดา มารดา กล่าวคือ ตัวของเรานี้แลอันได้กำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์ซึ่งเป็นชาติสูงสุดเป็นผู้เลิศ ตั้งอยู่ในฐานะอันเลิศด้วยดีคือ มีกายสมบัติ วจีสมบัติ และมโนสมบัติบริบูรณ์จะสร้างสมเอาสมบัติภายนอก คือ ทรัพย์สินเงินทองอย่างไรก็ได้ จะสร้างสมเอาสมบัติภายในคือมรรค ผล นิพพาน ธรรมวิเศษ ก็ได้
พระพุทธองค์ทรงบัญญัติพระธรรมวินัย ก็ทรงบัญญัติแก่มนุษย์เรานี้เอง มิได้ทรงบัญญัติแก่ช้างม้าโคกระบือ ฯลฯ ที่ไหนเลย มนุษย์นี้เองจะเป็นผู้ปฏิบัติถึงซึ่งความบริสุทธิ์ได้ ฉะนั้นจึงไม่ควรน้อยเนื้อต่ำใจว่า ตนมีบุญวาสนาน้อย เพราะมนุษย์ทำได้ เมื่อไม่มี ทำให้มีได้ เมื่อมีแล้ว ทำให้ยิ่งได้ สมด้วยเทศนานัย อันมาในเวสสันดรชาดกว่า ทานํ เทติ สีลํ รักขติ ภาวนํ ภาเวตวาเอกัจโจ สัคคํ คัจฉติ เอกัจโจ โมกขํ คัจฉติ นิสํสยํ เมื่อได้ทำกองการกุศล คือให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาตามคำสอนของพระบรมศาสดาจารย์เจ้าแล้วบางพวกทำน้อยก็ต้องไปสู่สวรรค์ บางพวกแลขยันทำจริงพร้อมทั้งวาสนาบารมีแต่หนหลัง ประกอบกันก็สามารถเข้าสู่พระนิพพาน โดยไม่ต้องสงสัยเลยพวกสัตว์ดิรัจฉานทานไม่ได้กล่าวว่าเลิศ เพราะจะมาทำเหมือนพวกมนุษย์ไม่ได้จึงสมกับคำว่า มนุษย์นี้ตั้งอยู่ในฐานะอันเลิศด้วยดี สามารถนำตนเข้าสู่มรรคผลเข้าสู่พระนิพพานอันบริสุทธิ์ได้แล


http://thai.mindcyber.com/buddha/why2/1123.php
..................................................
จากที่ได้เห็น ๆ มา..รู้สึกว่าจะหาคนเข้าใจ..ธรรมะข้างต้นนี้ยาก..เต็มที

ทั้งนี้เพราะ..ศึกษาและ เข้าใจปฏิจจสมุปบาท..ยังไม่ดีพอ

อย่างที่บอก..มันเหนื่อย..นะ..ถ้าจะคุยเรื่องจิตนี้นะ
:b22: :b22:
..เรื่องมันยาว

:b32: :b32:


แก้ไขล่าสุดโดย กบนอกกะลา เมื่อ 25 มิ.ย. 2010, 20:44, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 มิ.ย. 2010, 12:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b12:
ประเด็นธรรมก่อน
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=1178
:b17:
ความเข้าใจเรื่องของวิญญาณหรือจิต
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=1179
:b27:
ชีวิตเป็นอัตตา หรือ ชีวิตเป็นอนัตตา
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=1180
:b1:
สรุปประเด็นธรรมหลัง
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=1181
:b20:
:b55: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ค. 2010, 10:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ต.ค. 2009, 15:06
โพสต์: 7502

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue
:b12:
...คำถามเกี่ยวกับจิต...
http://www.dhammahome.com/front/videoclip/show.php?tof=pl&id=1214
:b8:
:b44: :b44:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ต.ค. 2010, 09:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ต.ค. 2010, 22:07
โพสต์: 1


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: สติปัฏฐาน ๔ ในชีวิตประจำวันที่เป็น ปรมัตถธรรม
เกิดในเดือนที่ ๗ หลังจากแปลกใจว่า "อาจารย์ท่านนี้บรรยายอะไร ที่ไม่เคยรู้มาก่อนมากมาย"
และพยายามมีสติ ปฏิบัตตาม และช่วงเวลานั้นก็เป็นขณะที่เริ่มเข้ามาสนใจธรรมะพอดี

เมื่อสติปัฏฐาน ๔ เกิดแล้วที่พบคือ "มันไม่มีบัญญัติ" เป็นอารมณ์เลย

ปัจจุบันสติปัฏฐาน ๔ เกิดเกือบอยู่ตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน
หากเมื่อใดหลงลืมสติไป เพียงน้อมจิตไป สติปัฏฐาน ๔ ก็จะเกิดได้ง่ายมาก

ที่พบอีกอย่างคือ

"วิปัสสนาภาวนา เกื้อกูล สมถะภาวนา"

"สมถะภาวนา เกื้อกูล วิปัสสนาภาวนา"

หรือ

"สติ" เกื้อกูล "สมาธิ" และ "สมาธิ" เกื้อกูล "สติ"

เพราะ ปัญญาที่เกิดพร้อม "จิต" ที่ละเอียดปราณีตขึ้นเป็นลำดับ

จิตก็จะ "เห็น " สิ่งที่ละเอียดปราณึตได้ละเอียดขึ้นเป็นตามลำดับ

และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ที่พบจากการปฏิบัตจนปัจจุบันเป็น "ปกติ" ในชีวิตประจำวัน

เราจะต้องแยกลักษณะของ
"สติ" ที่เป็นปัจจัยให้เกิด "ปัญญา" และ "สมาธิ" ที่ทำให้เกิด"ความสงบ"ของจิตได้
แล้วจะทราบว่า
"ปัญญา"ที่เกิดขึ้นตาม"ความสงบตั่งมั่นของจิตของแต่ละระดับ" ต่างกันอย่างไร

ปัจจุบันจึงมี "สติปัฏฐาน ๔" เป็นปกติในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเดิน นั่ง นอนหรือทำงานอยู่
และสวดมนต์เช้า สวดมนต์เย็น เดินจงกรมหรือเดินวิปัสสนาในห้องตนเอง และก็นั่งสมาธิ
ฟังบรรยายธรรม ศึกษาธรรมของทุกอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นเพศคฤหัสถ์ หรือบรรพชิต
มีโอกาสก็ไปอบรมธรรมเป็นช่วงเวลา แต่ไปด้วย "ปัญญา" มีหลัก "กาลามสูตร" ในทุกขณะ

ในบุคคลที่ "ปฏิบัติ" ได้แล้วตามแต่ละระดับ ทุกสิ่งที่ปรากฎระลึกได้ จะไม่มีอะไรต่างกันเลย
แม้อาจารย์แต่ละท่าน หรืออริยสงฆ์แต่ละท่านจะพูดไว้ หรือแสดงไว้อย่างไร
เพราะ ธรรมะนั้นเป็นหนึ่งเดียวไม่มีสอง เพียงแต่ละท่านก็อาจแสดงไว้ต่างระดับกัน
และจริตของแต่ละท่านหรือแต่ละองค์ ก็ต่างกัน แม้แต่ตัวเราเองก็ต่างกัน เลียนแบบใครก็ไม่ได้

ต้องค้นพบตัวเอง

บางคนไปเร็ว บางคนไปช้า ก็ขึ้นอยู่กับการสะสมมาด้วย และที่กำลังสะสมขณะนี้ด้วย


แต่ที่สำคัญคือต้อง "ฟังธรรม"

นอกจากบางองค์ บางท่านนั้นในอดึตนั้น วิมุติหลุดพ้นไปแล้ว
เพราะ แต่ละท่านมี "ปัญญา" ฉลาดหลักแหลม สะสมมาในภพภูมิก่อนๆ มากมาย
จึงวิมุติหลุดพ้นได้ด้วย "ปัญญา" ของตนเอง
แต่ "เรา" นั้นไม่ใช่ มิฉะนั้น จะไม่ต้องวนเวียนอยู่ใน "สังสารวัฏ" จนทุกวันนี้

เมื่อฟังแล้วเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ต้องไม่หลง "ปรามาส" ไม่ว่าอาจารย์ใด ท่านผู้ใด อริยสงฆ์องค์ไหน
เพราะทุกคนมี "กรรม" เป็นที่พึ่ง เป็นที่พาไป จะทำให้เราเนิ่นช้า เพราะ "กรรม" แสดงผล

ที่สำคัญให้มี "เมตตา" อยู่ทุกขณะจิต โดยเฉพาะเมตตาต่อ "ตนเอง"

ที่เห็น "จิต"ตนเองอยู่ทุกขณะว่าติดข้องทางโลก
ความเมตตา ก็จะแผ่ไปยังทุกทิศรอบขอบจักรวาลแด่ทุกสิ่งที่เราติดข้องอยู่
ความสงบ จะไหลเข้ามาแทนที่ ความเย็น จะเข้าครอบคลุมจิตใจ สติจะไม่หลงลืม สมาธิจะเกิด

อนุสติ ๑๐ ต้องมี ศีลต้องไม่ละเมิด บารมี ๑๐ ต้องสะสม

จะมีได้ทั้งหมดก็ต้องไม่หลงลืม "สติ" โดย "สมาธิ" เข้ามาเกื้อกูล
จะมีได้ก็ต้องเป็น "ผู้ฟัง" ก่อน จนเกิด "ศรัทธา" เป็น "อาหารของปัญญา" ตามระดับไป
เมื่อเกิดศรัทธา มีความเชื่อเรื่อง "กฏแห่งกรรม" อย่างเหนียวแน่น
เราจะไม่ทิ้ง "พระธรรม" เราจะไม่ละเมิดศึล แม้ว่า ปัจจุบันจะต้องทุกข์ทรมานเพราะกรรมส่งผลเพียงใด
เราจะเป็นผู้มี "ความเพียร" ในจิตอยู่ทุกขณะจิต ที่จะละอกุศลธรรมทั้งหลาย
เป็นผู้มองจิต เห็นจิตตนเอง อยู่ทุกขณะ เป็นผู้อยู่กับ "ปัจจุบันขณะจิต"อยู่ทุกขณะ

เมื่อ"ปัจจัย"พร้อมแล้ว ปัญญา ที่มองเห็นธรรมะก็จะเกิด บังคับบัญชาไม่ได้
และนั่น "เรายื่นใบสมัคร" เข้าลู่ทางธรรมแล้ว ไม่หลงวิ่งวน อยู่นอกลู่เหมือนอดีตที่ผ่านมา...


:b45: :b45: :b45: ขออนุโมทนา...ทุกท่าน :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย CatLetter เมื่อ 09 ต.ค. 2010, 10:04, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 7 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 34 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร