วันเวลาปัจจุบัน 23 เม.ย. 2024, 16:57  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=28



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2010, 05:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ม.ค. 2010, 02:43
โพสต์: 4467

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คาถา พาหุงบทที่ ๘-๙

คาถา พาหุง คาถาแห่งชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธองค์

ศาตราจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก /ราชบัณฑิต



บทที่ ๘ นี้เป็นบทสุดท้าย ของคาถาพาหุง ส่วนบทที่ ๙ เป็นคำสรุปตบท้าย คาถามีดังนี้



ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง

พรหมัง วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง

ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท

ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

เอตาปิ ชะยะมังคะละอัฏฐะคาถา โย

วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที

หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททวานิ

โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญ



พรหมชื่อพกะ ถือตัวว่ามีความบริสุทธิ์ รุ่งเรืองและมีฤทธิ์

ยึดมั่นในความเห็นผิด ดุจมีมือถูกอสรพิษขบเอา

พระจอมมุนี ทรงเอาชนะได้ด้วยใช้ยาวิเศษ คือญาณรักษา

ด้วยเดชแห่งชัยชนะนั้น ขอชัยมงคลจงมีแก่ท่าน

คนมีปัญญาสวดพุทธชัยมงคลคาถาทั้ง ๘ นี้ ประจำ

โดยไม่เกียจคร้าน พึงขจัดอุปัทวันตรายทั้งหลายได้

บรรลุถึงซึ่งพระนิพพานอันเป็นสุข


คำแปลอาจฟังยากไปนิด ความหมายเป็นการเปรียบเทียบ คือเปรียบเทียบความเห็นผิดเหมือนอสรพิษร้าย พกะพรหมแกยึดมั่นในความเห็นผิด เรียกว่าเป็นคนอยู่ในภาวะอันตราย ดุจจับงูพิษ แล้วถูกมันขบเอา ไม่ตายก็คางเหลืองอะไรทำนองนั้น

พระพุทธองค์ทรงรักษาพิษงู (ความเห็นผิด) ด้วยใช้ยาวิเศษ (คือญาณ, ความหยั่งรู้ความจริง) แล้วในที่สุดพกะพรหมแกก็รอดตาย แปลให้ฟังง่ายๆ ดังนี้ก็แล้วกัน ภาษาพระมันยากอย่างนี้แหละท่านสารวัตร อีกอย่างหนึ่งท่านประพันธ์เป็นบทกวีด้วย ก็ต้องถอดความกันหลายชั้นหน่อย

ดุจดังบทกวีว่า "สามวันจากนารีเป็นอื่น" ไม่รู้ว่านารีเป็นอื่นหรือชายเป็นอื่น เที่ยวโทษกันให้วุ่น

เรื่องมีอยู่ว่า พรหมชื่อ พกะ อยู่ในพรหมโลกเป็นเวลานาน นานเสียจนแกเกิดความเข้าใจผิดว่า สรรพสิ่งเที่ยงแท้ไม่แปรผัน เป็นมาอย่างไรก็เป็นอยู่อย่างนั้นชั่วนิรันดร ที่แกคิดเช่นนี้เพราะแกก็อยู่มานานมาก ไม่เห็นเป็นอย่างอื่นเลย ความเข้าใจผิดอย่างนี้เรียกว่า "สัสตทิฐิ" (เห็นว่าสรรพสิ่งเป็นนิรันดร)

ไม่ต้องอธิบายในเชิงปรัชญาให้เข้าใจยาก เอาใกล้ๆ ตัวเรานี่แหละ นักการเมืองที่อยู่ในตำแหน่งใหญ่โตมานานจนนึกว่าประเทศชาติเป็นของตนคนเดียว ไม่มีตนแล้วประเทศชาติคงอยู่ไม่ได้ จึงพยายามทุกวิถีทางจะให้ตนอยู่ในตำแหน่งนั้นนานๆ เกาะเก้าอี้แน่นยิ่งกว่าตุ๊กแกเพราะแกคิดว่า สิ้นแกแล้วประเทศจะสลาย หารู้ไม่ว่า ยิ่งแกอยู่นานประเทศยิ่งล่มจมเร็วขึ้น

คนที่คิดเห็นอย่างนี้ ย่อมยากจะเข้าใจหลักไตรลักษณ์ ยากจะบรรลุสัจธรรม เพราะฉะนั้น พระคาถาจึงเปรียบเทียบพกะพรหมผู้มีมิจฉาทิฐิชนิดนี้เหมือนคนถูกงูพิษกัดที่ มือไม่รีบรักษาอาจถึงแก่ชีวิตทันที

พระพุทธเจ้า เสด็จไปเทศน์โปรดพกะพรหม ให้คลายความเห็นผิดนี้เสีย แต่กว่าจะเอาแกอยู่ก็ต้องออกกำลังพอสมควร พกะพรหมท้าพระพุทธเจ้าแสดงฤทธิ์หายตัว พระพุทธองค์ทรงรับคำท้า และแล้วการประลองฤทธิ์ก็เกิดขึ้น (แน่ะ พูดยังกับหนังกำลังภายใน)

ไม่ว่าพกะพรหมจะหายไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน พระพุทธองค์ก็ทรงตามพบทุกแห่ง พอพระพุทธองค์ทรงหายพระองค์บ้าง พกะพรหมก็หมดปัญญาค้นหา ท้ายสุดเมื่อแกยอมแพ้ พระพุทธองค์ก็เสด็จออกมาจากมวยผมแก

เรื่องก็จบแค่นี้ แต่ที่ยังไม่จบก็คือ ผู้อ่านอาจตีความตามตัวอักษรก็ได้ พรหมก็พรหมจริงๆ อยู่โน่น บนพรหมโลกโน่น เชื่ออย่างนี้ไม่ผิดดอก เพราะมีหลักฐานยืนยันในพระคัมภีร์ว่า พรหมมีจริง ใครไม่เชื่อก็ฟังเอาไว้ อย่าลบหลู่ (วลีนี้กำลังฮิตในปัจจุบัน)

แต่ถ้าจะตีความตามภาษาธรรมก็ได้ พกะพรหมเป็นสัญลักษณ์ของคนโง่ คนที่มีความเห็นผิดไม่เข้าใจหลักไตรลักษณ์ คนที่โง่แล้วยังหยิ่งน่าหยิกอีกต่างหาก คนประเภทนี้ยากจะสอนให้สละความเห็นผิดได้ และการที่สามารถสอนคนโง่แกมหยิ่งให้คลายความเห็นผิดนั้น มิใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องใหญ่ พอๆ กับเอาชนะ "พรหม" ซึ่งชาวโลกสมัยนั้นเชื่อกันว่าเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่

การหายตัวแล้วยังพบอยู่ (แบบพกะพรหม) แสดงว่า ตราบใดที่ยังละตัณหา มานะ ทิฐิ ไม่หมด ละได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็ยังไม่เข้าถึงที่สุดแห่งทุกข์ ส่วนการหายตัวแล้วหาอย่างไรก็ไม่พบ (แบบพระพุทธเจ้า) นั่นแหละคือการถึงที่สุดแห่งทุกข์โดยสิ้นเชิง

และการที่พระพุทธเจ้าเสด็จออกมาจากมวยผมพกะพรหมเท่ากับเป็นสัญลักษณ์ให้รู้ ว่า พระองค์ทรงเอาชนะได้ในทางปัญญา ทรงสอนให้คนโง่แกมหยิ่งหัดใช้ "สมอง" คิดให้เข้าใจธรรมดาของสังขารทั้งหลายเสียบ้างแล้วจะเข้าถึงสัจธรรมอันสูงสุด

แล้วแต่ท่านจะตีความเอาเถอะครับ อย่างไรก็ได้ ขอเพียงอย่าให้ขัดกับหลักการของพระพุทธศาสนาเป็นใช้ได้

คาถาสรุปนั้นท่านย้ำว่าใครก็ตามที่สวดคาถาพาหุงเป็นประจำจะพ้นจากภยันตราย ทั้งปวง และบรรลุพระนิพพานได้ (นี่ย่อมหมายถึงสวดแล้วดำเนินตามรอยยุคลบาทของพระศาสดา ในเรื่องการเอาชนะความชั่วร้ายทั้งปวงด้วย)

ท้ายนี้ขอเล่าเกร็ดเกี่ยวกับคาถาพาหุงสักเรื่อง ท่านศาสตราจารย์เสฐียร พันธรังษี สมัยยังเป็นนักหนังสือพิมพ์ ท่านได้รับเชิญจากรัฐบาลนัสเซอร์แห่งอียิปต์ ทำอย่างไรไม่ทราบ ท่านทำหนังสือเดินทางหาย ท่านนั่งสวดคาถาพาหุงกลับไปกลับมาไม่ทราบกี่เที่ยว จนเครื่องบินลงสนามบินประเทศอียิปต์

ท่านรอให้คนอื่นเดินออกไปก่อน ตนเองยืนอยู่ท้ายเขา พลางสวดคาถาและภาวนาขอให้เข้าเมืองได้ เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองก็ประทับตราคนนั้นคนนี้จนเหนื่อย พอมาถึงท่าน ท่านร้องดังๆ ว่า "ฉันเป็นแขกนัสเซอร์" เขาตอบว่า แขกท่านนัสเซอร์เรอะ เชิญเลย ตกลงไม่ต้องดูพาสปอร์ตกันเลย ท่านว่านี้คือความมหัศจรรย์ของคาถาพาหุง ความข้างต้นนี้ผมได้รับฟังมาจากท่านอาจารย์เสฐียรโดยตรง เลยนำมาเล่าให้ฟังไม่ใช่เพื่อเชื่อ แต่เพื่อฟังไว้เป็นข้อพิจารณา

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เขาเตือนกันอย่างนี้มิใช่หรือครับ

ที่มา..ข่าวสดออนไลน์

.....................................................
แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ก.ค. 2010, 08:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


แล้วความหมายและคำแปล
ของพระคาถาบทที่ 1-7
ไม่นำมากล่าวถึงหรือค่ะท่านธรรมบุตร

อนุโมทนาค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร