ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

ฟังธรรมเพื่ออะไร?
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=28&t=35253
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ชีวิตนี้น้อยนัก [ 26 ต.ค. 2010, 01:30 ]
หัวข้อกระทู้:  ฟังธรรมเพื่ออะไร?

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระธรรมที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ทรงแสดงนั้น ไม่มีความแตกต่างกันเลย

เหมือนกันทั้งหมด และเป็นพระธรรมที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษา และมี

ความเข้าใจ อย่างแท้จริง เพราะเป็นไปเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เป็นไปเพื่อละ

อกุศล เป็นไปเพื่อดับทุกข์โดยประการทั้งปวง เป็นไปเพื่อการไม่เกิดอีกในสังสารวัฏฏ์

แม้แต่ในเรื่องของการไม่ทำบาปทั้งสิ้น(ละชั่ว) การยังกุศลให้ถึงพร้อม(ทำความดี)

และ การยังจิตของตนให้ผ่องใส ซึ่งเป็นโอวาทปาติโมกข์(สำสอนที่เป็นหลักสำคัญ)

นั้น ก็มีอรรถที่ลึกซึ้งตั้งแต่เบื้องต้นจนกระทั่งสูงสุด คือ บรรลุถึงความเป็นพระอรหันต์

เลยทีเดียว โดยที่ไม่มีตัวตนที่จะละชั่ว ไม่มีตัวตนที่จะทำความดี และไม่มีตัวตนที่จะ

ยังจิตให้ผ่องใส แต่เกิดจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม มีความเข้าใจพระธรรม

และธรรมนั้นเอง จะทำหน้าที่ละชั่ว ทำความดี และยังจิตของตนให้ผ่องใส เพราะ

ทุกอย่างเป็นธรรมและเป็นอนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา

ของใครทั้งสิ้น

ดังนั้น จึงต้องเริ่มที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาด้วยตนเอง

เป็นปกติในชีวิตประจำวัน โดยเป็นผู้เห็นประโยชน์สูงสุดของปัญญา(ความเข้าใจถูก

เห็นถูก) สะสมปัญญาไปตามลำดับ ครับ

ไฟล์แนป:
post-14950-1154144858.jpg
post-14950-1154144858.jpg [ 41.56 KiB | เปิดดู 4523 ครั้ง ]

เจ้าของ:  สุดปลายฟ้า [ 03 มี.ค. 2011, 23:00 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ฟังธรรมเพื่ออะไร?

:b8: :b8: :b8: อนุโมทนาสาธุการค่ะ :b46: :b46:

ไฟล์แนป:
06-140.jpeg
06-140.jpeg [ 24.56 KiB | เปิดดู 4360 ครั้ง ]

เจ้าของ:  Supareak Mulpong [ 03 มี.ค. 2011, 23:32 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ฟังธรรมเพื่ออะไร?

ก่อนจะถามว่า ฟังธรรมไปเพื่ออะไร ควรจะตอบให้ได้ก่อนนะครับว่า ธรรม คืออะไร? พอรู้ว่าธรรมคืออะไร คำตอบจะตามมาเองว่า ฟังไปทำไม

ธรรม คือ ธรรมชาติ ธรรมชาติทั้งหมด มีลักษณะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป หรือแปรปรวนอยู่ตลอดเวลาไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่ ที่มันเป็นเช่นนั้น เพราะธรรมทุกอย่างล้วนเกิดมากจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันเพียงขั่วคราว พร้อมด้วยเหตุปัจจัยให้ตั้งอยู่ก็ตั้งอยู่ พร้อมด้วยเหตุปัจจัยให้แตกสลายก็ต้องแตกสลาย ไม่สามารถควบคุมเหรือบังคับบัญชาได้ ... สรุปเป็นเพียงคำๆ เดียวง่ายๆ ว่า มันไม่เที่ยงฯ ... ซึ่งก็คือกฏธรรมชาติ ๒ กฏที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ได้แก่ กฏไตรลักษณ์ และกฏอิทัปปัจนยตาปกิจจสมุปาท

ความจริงของธรรมชาติก็มีเพียงเท่านี้ นอกเหนือจากนี้ เป็นความเห็น ไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่ธรรม

ความตายมันก็ต้องมีเหตุปัจจัย อยู่ดีๆ คนจะตาย มันก็ผิดกฏธรรมชาติ ... เหตุของความตายคือความเกิด ถ้าไม่เกิดก็ไม่ตาย เพราะฉะนั้นถ้าจะดับความตาย ก็ต้องดับความเกิด ... แล้วอะไรเป็นเหตุของความเกิด? เหตุของความเกิดก็คือกองทุกข์ที่เราสร้างขึ้นมาเองผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทุกๆ วัน เพราะฉะนั้น ถ้าจะดับความเกิด ก็ต้องดับทุกข์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้ง ๖ ทางให้ได้ ถ้าดับทุกข์ได้ ก็ดับความเกิด ดับความตาย ดับชาติ ดับภพได้

แล้วจะเอาอะไรมาดับ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ทุกข์เป็นความเห็น เกิดมาจากความพอใจไม่พอใจและความหลงประกอบเมื่อเตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายสัมผัส และใจคิดนึก ความพอใจ ก็คือ โลภะ ความไม่พอใจ ก็คือ โทสะ หลงไปกับความพอใจไม่พอใจ ก็คือ โมหะ หรือทุกข์เกิดเพราะมีอวิชชาประกอบกับการรับรู้ปกติของเรานั่นเอง

เพราะฉะนั้น ให้เอาความจริง หรือ คำว่า ธรรมชาติทั้งปวงไม่เที่ยงฯ ไปไล่ดับ ทันที่ที่ตาเห็นรูป ให้พิจารณารูปที่เห็นว่า มันเป็นเพียงธรรมชาติที่ไม่เที่ยงฯ เสียงก็ไม่เที่ยง ฯ กลิ่นไม่เที่ยง ฯ รสก็ไม่เที่ยง ฯ สัมผัสไม่เที่ยง ฯ ทันทีที่ใจคิดนึกไปต่างๆ นาๆ ก็ให้พิจารณาความคิดว่า ความคิดไม่เที่ยงฯ ถ้าพิจารณาได้ทัน ความพอใจไม่พอใจและความหลง จะไม่เกิดขึ้นกับจิตปัจจุบัน ถ้าไม่ทัน หรือ ประมาท ความพอใจไม่พอใจก็ยังเกิดขึ้นได้

ถ้าทำติดต่อกัน ต่อเนื่องเป็นระยะเวลาหนึ่ง ความทรงจำที่เกิดขึ้นเมื่อเราพิจารณาธรรมชาติตามความเป็นจริง จะสะสมในจิตใจเราอย่างแน่นหนา เริ่มมีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของเราเป็นอัตโนมัติว่า อะไรๆ ก็ไม่เที่ยง เมื่อความพอใจไม่พอใจไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้เป็นปกติ ก็คือ ทุกข์เกิดไม่ได้ หรือ ทุกข์ดับ

ชาตินี้เราเกิดมาแล้ว ต้องตายแน่ๆ หนีไม่พ้น ถ้าเราหมั่นสะสม อนิจสัญญา ทุขสัญญา อนัตตะสัญญา สัญญาทั้ง ๓ นี้ เป็นฐานของปัญญา หรือ เป็นข้อมูลความจริง ที่เกิดมาจากความรู้ที่ดับทุกข์ได้ คือรู้ว่าธรรมชาติไม่เที่ยงฯ มันจะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราสามารถดับความเกิดในชาติต่อๆ ไปได้

เจ้าของ:  ฟ้าใสใส [ 03 เม.ย. 2011, 20:28 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ฟังธรรมเพื่ออะไร?

*** เราฟังธรรมเพื่ออะไร ***

การฟังธรรม ศึกษาธรรม เพื่อที่จะให้เข้าใจธรรมที่ละเอียด จำเป็น

ที่จะต้องมีความรู้ความเข้าใจตั้งแต่เบื้องต้น เพราะว่าถ้าพูดถึงเรื่องวิปัสสนา

เป็นปัญญาขั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา อันทำให้บุคคลผู้รู้แจ้งสภาพธรรม

สามารถที่จะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท ซึ่งกิเลสมีมากเหลือเกิน เพราะ

ฉะนั้น ถ้าไม่มีปัญญาจริง ๆ ก็ไม่สามารถที่จะดับกิเลสได้ การฟังธรรมทุก

ครั้ง ก็เพื่อให้เกิดความเห็นถูก ซึ่งเป็นปัญญา และจะต้องเป็นไปตามลำดับ

ขั้นด้วย


กราบอนุโมทนาบุญกับท่านผู้เจริญในธรรมและกัลยาณมิตรทุกท่านเจ้าค่ะ :b8: :b8: :b8: :b20:


พุทธัง...ทำดี...ธัมมัง...ทำดี...สัฆัง...ทำดี

ไฟล์แนป:
พวงมาลัย6.jpg
พวงมาลัย6.jpg [ 5.59 KiB | เปิดดู 4364 ครั้ง ]

เจ้าของ:  อนัตตาธรรม [ 03 เม.ย. 2011, 20:56 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ฟังธรรมเพื่ออะไร?

tongue
ฟังธรรม เพื่อให้รู้ว่าพระพุทธเจ้าทรงค้นพบอะไร แล้วนำอะไรมาสอน

ฝากข้อสังเกตถึงคุณ ศุภฤกษ์ นิดหนึ่งครับ
จากข้อความที่คัดมานี้
ธรรม คือ ธรรมชาติ
ธรรมชาติทั้งหมด มีลักษณะ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป หรือแปรปรวนอยู่ตลอดเวลาไม่เคยหยุดนิ่งอยู่กับที่ ที่มันเป็นเช่นนั้น เพราะธรรมทุกอย่างล้วนเกิดมากจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันเพียงขั่วคราว พร้อมด้วยเหตุปัจจัยให้ตั้งอยู่ก็ตั้งอยู่ พร้อมด้วยเหตุปัจจัยให้แตกสลายก็ต้องแตกสลาย ไม่สามารถควบคุมเหรือบังคับบัญชาได้ ... สรุปเป็นเพียงคำๆ เดียวง่ายๆ ว่า มันไม่เที่ยงฯ ... ซึ่งก็คือกฏธรรมชาติ ๒ กฏที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ได้แก่ กฏไตรลักษณ์ และกฏอิทัปปัจนยตาปกิจจสมุปาท

ความจริงของธรรมชาติก็มีเพียงเท่านี้ นอกเหนือจากนี้ เป็นความเห็น ไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่ธรรม


การแปลว่า ธรรม คือธรรมชาตินั้น เปรียบเหมือนการพยายามไปอธิบายและสอนเรื่องขงใบไม้ในป่าทั้งหมด

แต่ธรรมมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนนั้น เป็นเพียงใบไม้ในกำมือ

ควรจะถามโดยชี้ชัดว่า "ธรรมมะที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบและนำมาสอน คืออะไร?"

แล้วก็พากันตอบให้ได้ ให้ถูกต้อง หลังจากนั้นก็จงศึกษาสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบนี้ให้ดี ให้ละเอียด ถี่ถ้วน ลึกซึ้ง
เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบนี้เป็นประดุจหัวใจของพระพุทธเจ้า และเป็นสาระสำคัญหรือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา

ความรู้ทั้งภาคทฤษฏีและภาคปฏิบัติจะสรุปรวมไว้ในนั้นทั้งหมด

:b11: :b1: :b12: :b16:

ไฟล์แนป:
GEDC1777_resize.JPG
GEDC1777_resize.JPG [ 67.46 KiB | เปิดดู 4360 ครั้ง ]

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/