วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 06:49  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


- สถานที่ปฏิบัติธรรม
แนะนำรายชื่อสถานที่ปฏิบัติธรรมกรรมฐานทั่วประเทศ
http://www.dhammajak.net/forums/viewforum.php?f=9

- รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=30



กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2008, 11:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2008, 09:39
โพสต์: 219


 ข้อมูลส่วนตัว


บุคคลธรรมดากับปิยะชนและพระโพธิสัตว์ ท่านรักษาศีลต่างกันอย่างไร ?
เรียนถามท่านผู้รู้ ทุกท่านครับ..

:b8: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2008, 21:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 ก.ค. 2008, 14:47
โพสต์: 1562

อายุ: 0
ที่อยู่: หิมพานต์

 ข้อมูลส่วนตัว www


อ้างคำพูด:
บุคคลธรรมดากับปิยะชนและพระโพธิสัตว์ ท่านรักษาศีลต่างกันอย่างไร ?


ผมเดาเอานะครับ....ไม่ใช่ผู้รู้จริงอะครับ :b13: :b13: :b13:

บุคคลธรรมดา รักษาทรัพย์ ดีกว่ารักษาศีล

ปิยะชน ยอมสละทรัพย์ เพื่อรักษาศีล

พระโพธิสัตว์ ยอมสละอวัยวะและชีวิต เพื่อรักษาศีลเชียวนะครับ.....นะจะบอกให้

.....................................................
อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปะริจจะชามิฯ
ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าขอมอบกายถวายชีวิต แด่พระพุทธเจ้า แด่พระธรรม แด่พระสงฆ์ นับแต่บัดนี้ตราบจนเข้าสู่พระนิพพาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2008, 01:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เห็นด้วยกับคุณฌานนะครับ

อีกอันหนึ่งคือ เจอคำว่า ผู้รู้ แล้วก้ไม่กล้าตอบจริงๆ
แต่ตันหาอวดดีของผมมันชนะครับ
ผมจึงขอตอบ (ด้านจะตอบว่างั้นเถอะนะคับ)


ปุถุชน รู้จักศีลเพียงเล็กน้อย รักษาศีลแต่กาย วาจา
ปิยะชน รู้จักศีลดี รักษาศีลที่ใจด้วย อันเป็นเหตุให้กาย วาจา มีศีลไปด้วย
โลกุตรชน มีศีลบริบูรณ์ที่ใจ สืบเนื่องพร้อมทั่วตลอดเวลา

.....................................................
อาทิ สีลํ ปติฏฺฐา จ กลฺยาณานญฺจ มาตุกํ
ปมุขํ สพฺพธมฺมานํ ตสฺมา สีลํ วิโสธเย
ศีลเป็นที่พึ่งเบื้องต้น เป็นมารดาของกัลยาณธรรมทั้งหลาย
เป็นประมุขของธรรมทั้งปวง เพราะฉะนั้นควรชำระศีลให้บริสุทธิ์
....................................

"หากเป็นคนฉลาดก็มีแต่จะทำให้คนอื่นรักตนเท่านั้น-วาทะคุณกุหลาบสีชา"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2008, 08:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2008, 09:39
โพสต์: 219


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับ คุณฌาณ คุณคามินธรรม โดยเฉพาะคุณฌาณ หายไปนานนะครับ..

:b8: :b16:

เอาว่า ท่านใดมีความเห็นว่า ศีลและการรักษาศีลของสามท่านนี้แตกต่างกันอย่างไร ?
- ปุถุชนคนธรรมดา
- ปิยะชนผู้มีปัญญา
- พระโพธิสัตว์

ก็ขอความเห็นด้วยนะครับ (แหะ ๆ ไม่ต้องเป็นผู้รู้ก็ได้) คิดเสียว่าแบ่งปันความรู้คร้าบบ..


:b11: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2008, 16:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


กระผมคดว่าต่างกันแบบนี้ครับ...... :b6:

อ้างคำพูด:
- ปุถุชนคนธรรมดา

รักษาศีลแบบหยาบๆ
อ้างคำพูด:
- ปิยะชนผู้มีปัญญา

รักษาศีลแบบประณีต
อ้างคำพูด:
- พระโพธิสัตว์

รักษาศีลแบบอุกฤต
:b12: :b12:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2008, 18:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่ใช่ผู้รู้เหมือนกันค่ะ แต่ ด้านจะตอบด้วย หุ หุ

ปุถุชนคนธรรมดา รักษาศีลบ้าง ไม่รักษาศีลบ้าง ทำเหมือนมีศีลบ้างแหะ(อันนี้คิดเอง)รักษพร้อมทั้ง กาย วาจา ก็มี ทั้งกาย วาจา ใจ ก็มี(อย่างดิฮั้นก็ปุถุชนค่ะ)เอาแน่นอนตายตัวไม่ได้เลย

ปิยะชนก็เห็นด้วยตามที่ว่ามา และนอกจากรักษาอย่างถึงพร้อมแล้ว ยังประพฤติ ปฏิบัติเป็นแบบอย่างด้วย
พระโพธิสัตว์ ถึงขั้นสละทุกสิ่งแม้นชีวิตเพื่อรักษาศีลให้บริสุทธิ์

:b18: :b18: :b18:

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2008, 09:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2008, 09:39
โพสต์: 219


 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีครับ คุณ natdanai คุณแมวขาวมณี
ขอบคุณที่ร่วมแสดงความคิดเห็น
ที่เป็นความคิดเห็นของเราเองล้วน ๆ เลย
ถูกผิดไม่ว่ากัน ครับ..

:b8: :b4: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2008, 16:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2008, 09:39
โพสต์: 219


 ข้อมูลส่วนตัว


จะมาแสดงความคิดเห็นอาทิตย์หน้า
รอท่านอื่นอยู่นะครับ..

:b8: :b16:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ธ.ค. 2008, 17:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ส.ค. 2008, 21:29
โพสต์: 45


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ขออนุญาตร่วมแสดงความเห็นคร๊าบบบ

http://www.geocities.com/metharung/metha1.htm
web :b7: บอกว่าศีลแปลว่าอะไร (แต่ยังมะใช่คำตอบกัฟ)

หาให้ใหม่คับรอแปะหนึ่ง

http://www.larnbuddhism.com/grammathan/allsiil.html
web :b7: น่าจะเป็นคำตอบให้คุณมิตรตัวน้อยนะคับ (ผมคิดว่าแต่มะรู้ใช่เปล่าเพราะ..งง อยู่นิดหน่อยเหมือนกันคับ เพราะมันเหมือนใช่เหมือนไม่ใช่คับ แต่พยายามช่วย :b32: )

ขอโทษคับที่ช่วยได้แค่นี้อะ

เจริญในธรรมคับ

.....................................................
ว่างเปล่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2008, 16:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2008, 09:39
โพสต์: 219


 ข้อมูลส่วนตัว


“ศีล” คือ ความเป็นปกติ ความปกติกาย ปกติวาจา ปกติใจ โดยทั่วไปมักจะอธิบายกันแค่ ความปกติกาย ปกติวาจา แต่ก็ควรจะถึงใจด้วย หากเทียบกับกรรมบถ คือ ท่านก็แบ่งออกเป็น กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ทั้งฝ่ายอกุศลและทั้งฝ่ายกุศล

ศีล ๕ ข้อนั้น ศีลข้อ ๑,๒,๓ และข้อ ๕ ท่านเรียกปกติกาย คือการไม่ประพฤติผิดทางกาย ศีลข้อ ๔ ท่านเรียก ปกติวาจา คือการไม่ประพฤติผิดทางวาจา

ในกรรมบถ ๑๐ ท่านแยกศีลข้อ ๔ ออกได้เป็นสี่ข้อโดยละเอียด คือ

- มุสาวาท เว้นจากการพูดเท็จ ผิดไปจากความเป็นจริง
- ผรุสวาจา เว้นจากการพูดคำหยาบ ให้เขาสะเทือนใจ เจ็บช้ำน้ำใจ
- ปิสุณวาท เว้นจากการพูดส่อเสียด ให้เขาแตกสามัคคีกัน
- สัมผัปลาปะวาท เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ เหลวไหล ยกตนเอง ข่มคนอื่น

ข้อมุสาวาท ข้อนี้จะว่ายากก็ยาก สำหรับผู้ที่ไม่สำรวมวาจา
แต่ท่านให้พิจารณาอย่างนี้ว่า

“ความจริงวาจาที่เป็นมุสาวาทนี้ ต้องมีเจตนาทำลายประโยชน์เป็นสำคัญ ถ้าการกล่าววาจาที่ไม่ตรงความจริงนั้น เพื่อเป็นการรักษาประโชน์ องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า ไม่มีโทษตามนี้ : โดยพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อ ฤาษีลิงดำ)”

ในกรรมบถ ๑๐ นี้ ท่านแยกเป็น
ข้อ ๑-๗ ท่านเรียก ศีล (กายกรรม วจีกรรม)
ข้อ ๘-๑๐ ท่านเรียก ธรรม (มโนกรรม)

การรักษาศีลของสามท่าน คือ
- ปุถุชนคนธรรมดา
- ปิยะชนผู้มีปัญญา
- พระโพธิสัตว์

ต่างกันอย่างไร ?

- ปุถุชนคนธรรมดา อย่างเราๆ ท่านๆ การรักษาศีลของนั้น จะทำตามกันมาเป็นประเพณีบ้าง ตามตำรา ตามคัมภีร์บ้าง ครูบาอาจารย์บ้าง โดยมากจะยึดตามครูบาอาจารย์ ไม่ใช้ปัญญานำหน้า ส่วนใหญ่จะเอากิเลสนำ วันไหนแพ้กิเลสก็ขึ้นต้นใหม่ ขอศีลใหม่เป็นประจำ ลักษณะดังกล่าวเรียกว่า “ลูบคลำศีล” (สีลตปรามาส)

บางท่านหัวหมอ เมื่อทำไม่ได้ รักษาศีลไม่เป็น “ก็จับผิดศีล หาจุดอ่อนของศีล เพื่อแสดงให้คนอื่นเห็นว่าตนไม่ผิดศีล” เมื่อทำบ่อยๆ จับผิดบ่อยๆ คิดหาจุดอ่อนบ่อยๆ ก็เกิดความหลงผิดว่า จริงดังที่ตนคิด ตนนึก นำเอาศีลข้อนั้นมาประกาศให้คนอื่นรู้ ให้คนอื่นทราบ “ศีลข้อนี้ ทำอย่างนี้ (อย่างที่ตนทำ) ไม่ผิดศีลข้อนั้น ทำอย่างนั้นไม่ผิด” เป็นต้น

- ปิยะชนผู้มีปัญญา ท่านจะใช้ปัญญานำหน้า เอามาศึกษาศีลให้เข้าใจเสียก่อนว่า ศีลข้อนี้รักษาอย่างไร อย่างไรคือศีลขาด ศีลเป็นช่อง ศีลด่างพร้อย เมื่อเข้าใจแล้วการรักษาศีลก็ง่าย “ไม่ลูบคลำศีล”

อย่างศีลข้อที่ ๑ ปาณาติบาตินั้น
- ฆ่าสัตว์ตั้งต้นแต่มีอกุศลเจตนาที่จะฆ่า แล้วก็ทำการฆ่า แล้วสัตว์นั้นตายด้วยอกุศลเจตนานั้น แปลว่าครบองค์ เรียกว่าศีลขาด
- หากสัตว์นั้นไม่ตาย เรียกว่าศีลเป็นช่อง
- หากคิดงุ่นง่านอยู่ในใจ เรียกว่าศีลด่างศีลพร้อย
- ไม่ถึงคิดว่าจะฆ่า แต่จิตเดือดร้อนคิดที่จะทำร้าย เรียกว่าไม่บริสุทธิ์
อย่างนี้ ท่านผู้มีปัญญา ท่านไม่ทำ แม้แต่ “ใจ” ท่านก็ไม่คิดเบียดเบียน

มีหลายท่านกล่าวว่า รักษาศีล “รักษาที่ใจ” ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ คำพูดประโยคนี้เป็นของ “พระอริยะ” เพราะศีลของพระอริยเจ้า "เป็นไปโดยอัตโนมัติ (สมุจเฉทวิรัติ )" พวกเราทั้งหลาย จำกันได้ พูดกันได้ ซึ่งก็ไม่มีผลอะไร กิเลสมีเท่าไรก็มีอยู่เท่าเดิม

- พระโพธิสัตว์ เพื่อพระโพธิญาณ การรักษาศีลของพระโพธิสัตว์ ท่านเรียก “การบำเพ็ญบารมี” การบำเพ็ญบารมีอันเป็นเครื่องบ่มพระโพธิญาณเหล่านี้ จัดแบ่งเป็น บารมี ๑๐ อุปบารมี ๑๐ ปรมัตถบารมี ๑๐ เรียก “บารมี ๓๐ ทัศ”

ศีลก็เช่นกัน
สีลบารมีนี้ยังแบ่งออกไปเป็น ๓ ชั้น คือ

- สีลบารมี ได้แก่ ศีลที่บำเพ็ญ “ด้วยรักศีลยิ่งกว่าบุคคลที่รักทรัพย์สิน”
ดังภาษิตว่า “ผู้รักษาศีลพึงรักศีล เคารพในศีล เหมือนนกต้อยตีวิดรักษาไข่
เหมือนจามรีรักษาขนหางเหมือนมารดารักษาลูกที่รัก
หรือเหมือนคนตาบอดข้างหนึ่งรักษานัยต์ตาอีกข้างหนึ่งที่เหลืออยู่”

- สีลอุปบารมี ได้แก่ ศีลที่บำเพ็ญ “ด้วยรักศีลยิ่งกว่าอวัยวะร่างกายของตน”
ดังคำของจัมเปยยกนาคว่า “ร่างกายของเราจงแตกกระจัดกระจายอยู่ในที่นี้
เหมือนแกลบที่เขาโปรยกระจัดกระจายอยู่ก็ตามที เราจะไม่ทำลายศีล”

- สีลปรมัตถบารมี ได้แก่ ศีลที่บำพ็ญ “ด้วยรักศีลยิ่งกว่าชีวืตของตน”
ดังคำของภูริทัตว่า “ความสละชีวิตของตนเบายิ่งกว่าหญ้าในเรา ความละเมิดศีลสำหรับเราเหมือนพลิกแผ่นดิน”
และดังภาษิตว่า “นรชนพึงสละทรัพย์เพราะเหตุแห่งอวัยวะเมื่อจะรักษาชีวิตพึงสละอวัยวะ
เมื่อระลึกถึงธรรม พึงสละทุกอย่างทั้งอวัยวะ ทรัพย์ และแม้ชีวิต”

พระโพธิสัตว์และท่านผู้ทรงปัญญา ท่านจึงรักษาศีลอย่างยิ่งยวดเอาชีวิตเข้าแลก เพียงเพราะไม่ให้ศีลเศร้าหมอง ศีลด่างพร้อยหรือศีลไม่บริสุทธิ์ “แต่ปุถุชนผู้มีปัญญา (น้อย) นั้น หาเหตุเพื่อละเมิดศีลได้ทุกเรื่อง ทุกโอกาส”

ดังนี้ การรักษาศีลของแต่ละท่านแต่ละบุคคลจึงแตกต่างกันไปตามปัญญา ความรู้ ความสามารถและวัตถุประสงค์เป็นสำคัญ

ศีลนั้น ท่านว่าเป็นเลิศในโลก “ท่านผู้มีปัญญา (มาก)จึงสามารถรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์อยู่ได้” ฉะนี้แล....

ขอบคุณทุกท่าน และสวัสดีครับ คุณบัวสวรรค์ที่กรุณาหา Link ดีๆ มาฝาก
สาธุ กับทุกท่าน ทุกความเห็นครับ...

เจริญธรรม

:b8: :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2008, 17:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ดังคำของภูริทัตว่า “ความสละชีวิตของตนเบายิ่งกว่าหญ้าในเรา ความละเมิดศีลสำหรับเราเหมือนพลิกแผ่นดิน”



ภาษิต ของ พระโพธิสัตว์ภูริทัตนาคราช


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2008, 13:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 ก.ค. 2006, 20:52
โพสต์: 1210

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

ศีล สมาธิ ปัญญา
สาธุ
อนุโมทนา ค่ะ

.....................................................
สัพเพ สังขารา อนิจจา
สัพเพ ธรรมา อนัตตา...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ธ.ค. 2008, 14:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 พ.ค. 2008, 09:39
โพสต์: 219


 ข้อมูลส่วนตัว


“ศาสนาพุทธ คือ ศาสนาแห่งปัญญาสูงสุด
"ผู้มีปัญญา" จึงคงพระศาสนาได้

"ผู้ไร้ปัญญา" มีแต่จะบ่อนแซะและทำลายศาสนาเท่านั้น”

เจริญธรรม

:b8: :b12:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร