ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

สีลานุสติ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=30&t=34691
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ลูกโป่ง [ 27 ก.ย. 2010, 00:05 ]
หัวข้อกระทู้:  สีลานุสติ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)

รูปภาพ

สีลานุสติ

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย



เมื่อเราระลึกตามศีลที่เรารักษาว่า ข้อนั้น ๆ เรางดเว้นไปแล้ว
มันเป็นการระลึกถึงความดีของเรานั่นแหละ


สีลานุสติ ก็ระลึกถึงความดีของศีลที่มีอยู่ในตัวของเรานั่นเอง
ระลึกถึงศีลในที่นี้ไม่ได้หมายถึงศีลทีอยู่ภายนอก
หมายถึง ศีลที่อยู่ในตัวของเรา รักษาตัวของเราให้เป็นคนดีขึ้นมา


ผู้นับถือพุทธศาสนาต้องมีศีล ๕ เป็นฐาน
ศาสนาจะตั้งอยู่ได้มั่นคงเพราะคนปฏิบัติตามหลักของศีล
ถ้าเราไม่มีศีล ๕ เสียแล้ว จะเอาอะไรมารักษาพุทธศาสนา
เราต้องรักษาศีล ๕ นี้เป็นพื้นเสียก่อน


พื้นฐานจริง ๆ ของพุทธศาสนานั้นมี ๕ ประการ คือ

๑. นับถือพระพุทธเจ้า

๒. นับถือพระธรรม

๓. นับถือพระสงฆ์

๔. ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่ถือโชคลาภเครื่องรางของขลัง
คือ เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม เชื่อว่าทำดีได้ดีกับตนเอง

๕. ไม่นับถือศาสนาอื่น ลัทธิอื่น
ไม่ถืออะไรทั้งหมดนอกจากพุทธศาสนา

อุบาสก อุบาสิกา ต้องมี ๕ ประการนี้เป็นเครื่องอยู่เสียก่อน
แล้วจึงค่อยมีศีล ๕ เป็นนิตย์ เป็นข้อที่ ๖



ถ้าหากถือศีล ๕ ประจำเป็นนิตย์ไม่ขาดตกบกพร่องเลย
ท่านให้เกียรติยศชื่อว่า โสดาบันบุคคล อีกด้วยแน่นอนทีเดียว
เมื่อเชื่อกรรม เชื่อผลของกรรมแล้ว ที่จะไม่รักษาศีล ๕ ไม่มี
เพราะความชั่วที่ทำผิดในศีลนั้น ๆ ก็เป็นกรรมอยู่โดยตรง


เมื่อเราเชื่อกรรมอย่างลึกซึ้ง เข้าถึงจิตเข้าถึงใจจริง ๆ แล้ว
การรักษาศีล ๕ ย่อมทำได้ง่าย จะรู้สึกว่าศีล ๕ ไม่ใช่ของยาก
เป็นของรักษาง่ายนิดเดียว และศีลย่อมตามรักษาตัวเราอีกด้วย
เลยไม่ต้องรักษาศีล ศีลกลับมาคุ้มครองรักษาตัวเราเอง
ให้อยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากอุปัทวอันตรายทั้งปวง



ศีล ๕ ข้อนั้นจะจาระไนก็ยืดยาว คงเข้าใจกันดีแล้วทุกคน
เรื่องศีลท่านพูดไว้มีอรรถ ๔ คือ



:b42: สีลนฏโฐ แปลว่า ปกติ
ผู้รักษาศีลมีปกติ กาย วาจา ใจ
ไม่ให้กำเริบ คือไม่ทำ กาย วาจา ใจ ให้ผิดปกตธรรมดา
คนเราเกิดมามิใช่เกิดเพื่อมาฆ่า เพื่อจะขโมยของ กันและกัน
เพื่อประพฤติผิดประเพณี เพื่อพูดเท็จหลอกลวง
หรือเพื่อดื่มสุราเมรัย ของเหล่านี้ล้วนแต่มาฝึกหัดเอาใหม่ทั้งนั้น


:b42: สีลฏโฐ แปลว่า หินแข็ง
หินแข็งเป็นหินปกติ ไม่หวั่นไหว
ผู้รักษาศีลก็เช่นนั้นเหมือนกัน
คือมีใจกล้าแข็งไม่ยอมทำตามอำนาจความชั่วให้ผิดจากศีล


:b42: สีตลฏโฐ แปลว่า เย็น
ผู้รักษาศีลให้บริสุทธิ์แล้ว
ย่อมได้รับความเยือกเย็น ไม่มีวิปฏิสาร
คือ ความเดือดร้อนใจในการติเตียนเราเองด้วยศีลข้อนั้น ๆ ไม่บริสุทธิ์


:b42: สีสฏโฐ แปลว่า ยิ่ง
เป็นของสูง ศีลนี้เป็นของสูง ยากที่จะมีผู้รักษาได้
เมื่อผู้ใดรักษาได้แล้ว
ผู้นั้นก็เป็นผู้สูงด้วยคุณธรรม
คือ ศีลนั้น ศีลเป็นของเลิศประเสริฐในโลกนอกจากศีลแล้วไม่มีอะไร


:b42: สิรฏโฐ แปลว่า วิเศษ หรือยอด (เหมือนสีสฏโฐ)


ศีลเป็นของวิเศษอยู่ในตัว
ถ้ามารักษาศีล คือมีศีลอยู่ในตัวเข้าก็วิเศษไปด้วย
วิเศษจนสามารถกระทำให้พ้นจากความชั่วช้าได้เป็นขั้น ๆ
นอกจากศีลแล้วมีสิ่งใดที่จะขจัดความชั่วในตัวคนเราได้



ชนชั้นต่ำคือคนมีความเลวทรามอยู่ในตัว
ไม่สามารถจะจับเอาศีลนี้ไว้ในตัวได้
คนไม่ศรัทธา ไม่กอปรด้วยปัญญาจะรักษาศีล ๕ ไม่ได้
ถึงรักษาก็ไม่อยู่ในตัวของเรา
บางคนบอกว่ารักษาศีล ๕ เป็นของยาก
ขอบอกไว้เลยว่า
ถ้าเรามีศรัทธาแล้วเป็นของไม่ยากเลย
เจตนา “งดเว้น” ตัวเดียวเท่านั้นแลเป็นศีลแล้ว
เหมือนกฎหมายบ้านเมือง
ถ้าคนไม่ทำผิดอย่างเดียวตำรวจ ทหาร และตุลาการก็ไม่ต้องมี
นี่ก็เหมือนกัน เพราะมีคนประพฤติผิดนั่นแหละ
พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้รักษาศีล
อย่างเด็กเกิดมาใหม่ ๆ มันไม่รู้ภาษาอะไร มันไม่ทำอะไร
นอนอยู่บนผ้าอ้อมดิ้นแด่ว ๆ อยู่อย่างนั้น
มันจะมีศีลอะไร ศีลอยู่ที่เจตนา เจตนางดอันนั้นแหละเป็นศีล



เรางดเว้นจากฆ่าสัตว์ เราระลึกถึงว่าเราเคยฆ่าสัตว์
เดี๋ยวนี้เรางดเว้นได้แล้วจิตใจมันก็เบิกบานแช่มชื่น
เราเคยเป็นขโมยลักฉกสิ่งของเขาต่าง ๆ
เวลานี้เรางดเว้นการลักขโมยได้แล้วจิตใจก็แช่มชื่นเบิกบาน
แต่ก่อนเราเคยประพฤติผิดในมิจฉาจารกล่าวมุสาวาท
ดื่มสุราเมรัย เราเคยประพฤติผิดเป็นอาจิณ
หรือประพฤติเป็นบางครั้งบางคราวโดยเราไม่กลัวโทษ
เห็นว่าเป็นการสนุกเฮฮา เมื่อมีสติครอบงำคุ้มครองจิตได้แล้ว
มันเลยไม่กล้าทำความสนุกอันนั้น
เมื่อไม่กล้าทำก็เกิดความละอาย
งดเว้นจากโทษอันนั้น จิตใจมันก็เบิกบาน


เราเกิดขึ้นมาได้ชื่อว่ามาสร้างคุณงามความดี
ถ้าไม่มีศีลแล้วจะไปสร้างอะไร
ชีวิตวันหนึ่ง ๆ ก็หมดไปเปล่า ๆ
อย่างน้อยที่สุดมีศีลสักข้อหนึ่งก็ยังดี
ถึงแม้ไม่เต็มไม่สมบูรณ์
เปรียบเหมือนกับคนพิการขาหักไปข้างหนึ่ง
แขนด้วนไปข้างหนึ่ง มันไม่สมบูรณ์ แต่ยังดีกว่าไม่มีศีลเลย


การรักษาศีลนี้ ขอให้พากันตั้งใจรักษาจริงๆ เถิดไม่ใช่ของยาก
รักษาข้อหนึ่งให้ได้จริงๆ เมื่อมันสมบูรณ์จริง ๆ จัง ๆ
แล้ว ข้อต่อ ๆ ไปก็เป็นของง่ายนิดเดียว
บางคนเกิดขึ้นมาตั้ง ๔๐-๕๐ ปี หรือจนเฒ่าตายไปเสียเปล่า ๆ
ศีลไม่เคยสมบูรณ์เลยสักที จะต้องขาดไป ๑ ข้อ ๒ ข้อ ๓ ข้อ
หรือข้อใดข้อหนึ่งให้ได้ เข้าวัดเข้าวาก็พากันสมาทานศีล
พอกลับไปยังไม่ทันพ้นเขตวัด
ศีลก็กลับคืนมาหาพระเสียแล้ว ให้เข้าใจว่าศีลไม่ใช่ข้อรักษา
เป็นข้องดเว้น เป็นข้องดเว้นต่างหาก



ผู้มีศีล ๕ ประการได้ชื่อว่าเป็นอุบาสก อุบาสิกา ที่สมบูรณ์แล้ว
ถือพุทธศาสนาสมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว



ถ้าไม่ปฏิบัติก็ไม่มี ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดขึ้นที่ตัวของเรา
ถ้าปฏิบัติแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา ก็จะเกิดขึ้นที่ตัวของเรา
ท่านสอนให้ระลึกถึงศีล จะเป็นศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๒๒๗ ก็แล้วแต่
ตามฐานะของตน
เมื่อมีศีลแล้วพึงระลึกถึงศีลของตนให้แน่วแน่เป็นอันหนึ่งอันเดียว
นั่นแหละเรียกว่า สีลานุสติ



จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 40 มีนาคม 2547

:b48: :b8: :b48:

เจ้าของ:  Hanako [ 09 พ.ย. 2015, 15:07 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สีลานุสติ : หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

สาธุ สาธุ สาธุ :b8: :b46:

เจ้าของ:  Duangtip [ 29 เม.ย. 2016, 08:58 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สีลานุสติ : หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  น้องพลอย [ 09 ต.ค. 2019, 08:34 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สีลานุสติ : หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

:b8: :b8: :b8:
Kiss

เจ้าของ:  ดาราวรรณ [ 22 พ.ย. 2019, 12:05 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สีลานุสติ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)

onion

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/