วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 11:38  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


- สถานที่ปฏิบัติธรรม
แนะนำรายชื่อสถานที่ปฏิบัติธรรมกรรมฐานทั่วประเทศ
http://www.dhammajak.net/forums/viewforum.php?f=9

- รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=30



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2015, 21:32 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อมีปัญหาขึ้นมาว่า การบวชคืออะไร ? ดังนี้แล้ว ทางที่ดีที่สุดควรจะถือเอาใจความตัวพยัญชนะคำว่า “บวช” นั่นเอง คำว่า “บวช” เป็นภาษาไทย ซึ่งถอดรูปมาจากคำในภาษาบาลีว่า ปพฺพชฺชา คำว่า “ปพฺพชฺชา” นี้ มีรากศัพท์ คือ ป + วช : ป แปลว่า ทั่วหรือสิ้นเชิง วช แปลว่า ไป หรือเว้น คำว่า ป + วช จึงแปลว่า ไปโดยสิ้นเชิง หรือ เว้นโดยสิ้นเชิง

ที่ว่า “ไปโดยสิ้นเชิง” นั้นหมายถึง ไปจากความเป็นฆราวาส คือจากการครองเรือนไปสู่ความเป็นบรรพชิต คือ ผู้ไม่ครองเรือนโดยสิ้นเชิง โวหารที่สูงไปกว่านั้นท่านเรียกว่า ไปจากโลกโดยสิ้นเชิง ซึ่งหมายความว่า ละเสียจากวิสัยที่ชาวโลกเขามีกัน เป็นกันโดยสิ้นเชิง นั่นเอง

คำว่า “ไปจากความเป็นฆราวาส” นี้หมายความว่า ไปจากบ้านเรือน ซึ่งหมายถึงการสละความมีทรัพย์สมบัติ การสละวงศ์ญาติทั้งหลาย การเลิกละการนุ่งห่มอย่างฆราวาส เลิกละการกินอยู่อย่างฆราวาส เลิกละการใช้สอยอย่างฆราวาส เลิกละอาการกิริยาวาจาอย่างฆราวาส เลิกละความรู้สึกนึกคิดอย่างฆราวาสสิ้นเชิง ดังนี้ จึงจะเรียกว่า ไปหมดจากความเป็นฆราวาสโดยสิ้นเชิง หรือไปจากโลกโดยสิ้นเชิง

ข้อที่ว่า “สละความมีทรัพย์สมบัติ” นั้นหมายถึง การยอมรับดำเนินชีวิตชนิดที่ไม่ต้องมีทรัพย์สมบัติ ไปมีชีวิตอยู่ด้วยเครื่องอาศัยเลี้ยงชีวิต ตามแต่จะมีผู้ศรัทธาหรือตามแต่จะหาได้มาบริโภค ด้วยสิทธิอันชอบธรรมของนักบวชอันจะได้กล่าวถึงข้างหน้า ทรัพย์สมบัติทั้งหลายเหล่าโน้น เป็นของที่ฆราวาสผู้ไม่มีสิทธิอันชอบธรรมในอันที่จะบริโภคสิ่งของอันเขาถวายด้วยศรัทธา จึงไม่มีความจำเป็นอันใดสำหรับบรรพชิต ผู้ตั้งหน้าแสวงหาคุณอันสูงโดยแท้จริง

ข้อที่ว่า “สละวงศ์ญาติทั้งหลาย” นั้นหมายถึงไม่มีความอาลัยในหมู่ญาติอันเป็นเหตุให้ต้องเกี่ยวข้อง หรือสงเคราะห์กันอย่างชาวโลกเขาทำกัน บางคนยังต้องติดกับหมู่ญาติเพราะเห็นแก่ปากท้อง ในเรื่องอาหารการกินและอื่นๆ จนไม่มีโอกาสได้รับความเป็นอิสระโปร่งโล่งของบรรพชา ในบาลีที่กล่าวถึงการบวช มีการย้ำถึงการสละวงศ์ญาติอยู่ทั่วๆ ไป และอยู่ในรูปพระพุทธภาษิตโดยตรง นักบวชบางประเภทในสมัยพุทธกาล สมาทานการไม่ไปเยี่ยมบ้านของตนจนตลอดชีวิตก็ยังมี แต่ในพุทธศาสนา เรามุ่งเอาแต่เพียงการสละความอาลัยในหมู่ญาติ ชนิดที่เป็นความรู้สึกของฆราวาสทั่วไปนั่นเอง

ข้อที่ว่า “เว้นการนุ่งห่มอย่างฆราวาส” นั้น ย่อมๆ เห็นกันอยู่แล้วว่า หมายความถึงอะไร แต่ขอให้ถือเอาใจความสำคัญให้ได้ว่า ไม่ใช้เครื่องนุ่งห่มด้วยความมัวเมาในความงาม หรือความนิ่มนวลทางสัมผัสของสิ่งที่ใช้นุ่งห่ม ซึ่งหมายความว่า แม้จะใช้จีวรอย่างบรรพชิตแล้ว แต่ถ้ามุ่งไปในทางสวยงาม หรือความนิ่มนวลทางสัมผัสเป็นต้นแล้ว ก็ยังมีความหมายว่า ใช้เครื่องนุ่งห่มอย่างฆราวาสทั้งที่กำลังห่มจีวรอยู่นั่นเอง

ข้อที่ว่า “เว้นจากการกินอยู่อย่างฆราวาส” นั้น มิได้หมายแต่เพียงว่าเว้นการฉันในเวลาวิกาล หรือเว้นอาหารบางชนิดที่พระเณรไม่ควรฉันเป็นต้น เพียงเท่านี้ก็หามิได้ใจความสำคัญนั้น อยู่ที่ว่าพวกฆราวาสกินเพื่อความเอร็ดอร่อย กินเพื่อความสนุกสนานเฮฮา กินจุบกินจิบ พิถีพิถันตามวิสัยของฆราวาส ผู้เอาแต่การตามใจตัวเองเป็นที่ตั้ง ผู้บวชแล้วจะต้องเว้นจากการกินอย่างฆราวาสนี้โดยเด็ดขาด จะฉันด้วยความรู้สึกเพียงแต่ว่า นี้เป็นอาหารที่ฉันเพียงเพื่อยังอัตตภาพนี้ให้เป็นไปได้ พอสะดวกสบาย พอเหมาะสมแก่การที่จะปฏิบัติธรรมวินัย อันเป็นไป เพื่อออกจากทุกข์โดยประการทั้งปวง

โดยสรุปแล้ว ฉันอยู่ด้วยการระลึกถึงพระพุทธภาษิตของพระพุทธองค์ ซึ่งเราถือว่าเป็นพระพุทธบิดา อันได้ตรัสไว้ว่า “พวกเธอจงฉันบิณฑบาตสักว่าเหมือนกับน้ำมันสำหรับหยอดเพลาเกวียน หรือเหมือนกับมารดาบิดาซึ่งหลงทางกลางทะเลทราย ต้องจำใจกินเนื้อบุตรของตน ที่ตายแล้วในกลางทะเลทราย เพื่อประทังชีวิตของตนเองฉันนั้น” กิริยาดังกล่าวนี้ คือ การเลิกละจากการกินอยู่อย่างฆราวาสโดยสิ้นเชิง

ข้อที่ว่า “เลิกละการใช้สอยอย่างฆราวาส” นั้นหมายถึง ไม่ใช้สอยที่อยู่อาศัยและเครื่องใช้สอยมีภาชนะเป็นต้น โดยทำนองที่ฆราวาสเขาใช้กัน คือเพื่ออยู่อย่างสำรวย เพื่ออยู่อย่างสนุกสนานในทางตามใจตัวเอง หรือเพื่อโอ้อวดกันในทางสวยงามและมีมากเป็นต้น นี้เรียกว่า ไปจากฆราวาสโดยสิ้นเชิง ในด้านการใช้สอยเครื่องใช้สอย

ข้อที่ว่า “ละขาดจากกิริยาวาจาอย่างฆราวาส” นั้นหมายถึง ฆราวาสย่อมมีกิริยาวาจาอันเป็นไปตามใจกิเลสตัณหา ตามความสะดวกสบาย โดยปราศจากการควบคุม เพราะมุ่งแสวงแต่ความสนุกสนาน เพลิดเพลินจากการตามใจตัวเองอย่างเดียว ผู้บวชแล้วจะต้องมีกิริยาวาจาอย่างสมณะ ในบทว่า “กิริยาวาจาใดๆ เป็นของแห่งสมณะ เราจักประพฤติตนให้เป็นไปด้วยกิริยาวาจาอาการนั้นๆ” ผู้บวชแล้วลืมตัว ในเรื่องนี้ย่อมมีกิริยาวาจาที่คล้ายฆราวาสอยู่ทุกอิริยาบถ เมื่อมีมิตรสหายที่เป็นฆราวาสมาหา ย่อมทำการต้อนรับเหมือนอย่างที่เคยกระทำต่อกันในครั้งเป็นฆราวาส ในบางรายถึงกับกอดคอกันก็มี หรือนั่งเข่าทับก่ายกันก็มี กิริยาทางกายและวาจาเหล่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงถือว่าเป็นอาการของสมณะเลย แม้กิริยาวาจาอื่นๆ ซึ่งเป็นของฆราวาสซึ่งมีอยู่มากมายนั้น ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผู้บวชแล้วจะต้องละขาดด้วยสติสัมปชัญญะอย่างยิ่ง

ข้อที่ว่า “เว้นจากความรู้สึกคิดนึกอย่างฆราวาสโดยสิ้นเชิง” หมายความว่า พวกฆราวาสตามปรกติ มี
ความรู้สึกคิดนึกไปในทางเหย้าเรือน คิดนึกไปในทางกามคุณ ชอบปล่อยจิตให้ไหลไปในความคิดนึกทางกามารมณ์อยู่เป็นประจำ เมื่อความรู้สึกคิดนึกทางกามคุณเกิดขึ้น ย่อมไม่ประสงค์ที่จักหักห้าม แต่กลับจะพอใจ ปล่อยให้จิตใจไหลไปตามแนวนั้นๆ ให้มากยิ่งขึ้นไปเสียอีก เพราะเป็นความเพลิดเพลิน นี้เรียกว่า ความรู้สึกคิดนึกอย่างฆราวาส ผู้บวชแล้วจะต้องละความรู้สึกคิดนึกชนิดนั้นโดยเด็ดขาด ด้วยสติสัมปชัญญะอย่างยิ่ง คอยควบคุมกระแสแห่งความคิดนึกให้ไหลไปในทางของบรรพชิตโดยส่วนเดียว นี้เรียกว่า ละความรู้สึกคิดนึกอย่างฆราวาสโดยสิ้นเชิง การละทรัพย์สมบัติ การละวงศ์ญาติ การละการนุ่งห่มอย่างฆราวาส การละการกินอยู่อย่างฆราวาส การละการใช้สอยอย่างฆราวาส การละกิริยาอาการทางกายวาจาอย่างฆราวาส และการละความรู้สึกคิดนึกอย่างฆราวาส ทั้งหมดรวมกันแล้วได้ในคำสรุปสั้นๆ ว่า “ไปหมดจากความเป็นฆราวาส” เต็มตามความหมายของพยัญชนะที่ว่า “ป+วช” หรือเป็นภาษาบาลีอย่างเต็มรูปว่า “ปพฺพชฺชา” นั่นเอง นี้คือความหมายของคำว่า “บวช” ในส่วนที่ว่า “ไปหมด” คือไปหมดจากความเป็นผู้ครองเรือน หรือเพศฆราวาสนั่นเอง

ส่วนความหมายของคำว่า “บวช” ที่ว่า “เว้นหมด” นั้น อธิบายว่าเมื่อบวชเป็นบรรพชิตแล้ว จักต้องเว้นสิ่งซึ่งควรเว้น ตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้อย่างไรนั้นโดยสิ้นเชิง ข้อนี้ผู้บวชแล้วย่อมจะได้รับการศึกษาธรรมวินัย จนรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งควรเว้นหรือควรละ ทั้งในส่วนวินัยและทั้งในส่วนธรรมะ แล้วตนก็จะพยายามเว้นสิ่งที่ควรเว้นนั้นโดยสิ้นเชิง โดยอาศัยกำลังใจที่ได้รับมาจากการระลึกถึงอยู่เสมอว่า บวชนี้เราบวชเอง การปฏิญาณในการบวชนี้ ได้ทำในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ และโอกาสอันศักดิ์สิทธิ์ และการบวชที่มีอานิสงส์อันสมบูรณ์นั้น เป็นความหวังอย่างยิ่งของมารดาบิดา และเราผู้มีความเป็นมนุษย์อันถูกต้องนั้น จักต้องประพฤติปฏิบัติตนให้เจริญงอกงามก้าวหน้าขึ้นไปสู่ความสูง หรือยอดสุดของความเป็นมนุษย์อยู่เสมอไป จึงจะสมกัน เมื่อระลึกได้ดังนี้ก็มีกำลังใจที่จะละเว้นสิ่งที่ควรละเว้นได้โดยหมดจดสิ้นเชิง ตามระเบียบวินัยอย่างครบถ้วนนี้คือความหมายของคำว่า “บวช” ในส่วนที่ว่า “เว้นหมด” เมื่อรวมความหมายของคำว่า “ไปหมด” และคำว่า “เว้นหมด” เข้าด้วยกัน ก็เป็นความหมายที่แสดงอยู่ในตัวเองอย่างครบถ้วนแล้วว่า ตัวลักษณะแห่งการบวชที่จริงนั้นคืออะไร ?

อานิสงส์ของการบวช คืออะไร ?

เมื่อกล่าวถึงผลหรืออานิสงส์ของการบวชแล้ว ผู้บวชควรจะทำในใจ
ถึงผลของการบวชให้กว้างออกไปเป็น 3 ประการ
เป็นอย่างน้อย อานิสงส์ของการบวชนั้น
ย่อมมีมากมายกว้างขวาง เหลือที่จะกล่าว
ให้ครบถ้วนเป็นรายละเอียดได้ แต่เราอาจ
จะประมวลเข้าด้วยกัน แล้วจำแนกออกเป็นประเภท
ใหญ่ ๆ ได้ 3 ประเภท กล่าวคือ
อานิสงส์ที่จะพึงได้แก่ ตัวผู้บวชเอง
อานิสงส์ที่จะพึงได้แก่ ผู้อื่น มีมารดา
บิดาที่เป็นประธาน
อานิสงส์ที่จะพึงได้แก่ พระศาสนา
รวมเป็น 3 ประการด้วยกัน ดังนี้
สำหรับ อานิสงส์ที่จะพึงได้แก่ตัว
ผู้บวชเ องนั้น โดยส่วนใหญ่ ย่อมหมายถึงการพ้นไป
จากการเผาผลาญของไฟกิเลสและไฟทุกข์
หรือที่เรียกว่า “นิพพาน” นี้เป็นที่ตั้ง หากไม่ได้ถึงนั้น
ก็ย่อมได้รองลงมาในอันดับที่รองลงมา คือ มีไฟกิเลส
และไฟทุกข์เผาผลาญแต่เพียงเบาบาง
แล้วแต่ว่าตนจะสามารถประพฤติปฏิบัติธรรมวินัย
ได้ดีเพียงไร นี้กล่าวสำหรับผู้บวชตลอดไป
ส่วนผู้ที่บวชเฉพาะกาลชั่วคราว
ตามขนบธรรมเนียมประเพณีของบางประเทศนั้น ย่อม
ได้ผลโดยสรุปคือ จักได้เรียนรู้ศาสนาที่ตนนับถือ
ได้อย่างใกล้ชิด จักได้ลองชิมการปฏิบัติธรรมะ
เป็นเครื่องพ้นทุกข์ดู เท่าที่ตนจะปฏิบัติได้ และ
ในที่สุดจักได้กลับออกมาเป็นคนที่ดีกว่าเก่า
เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำในครอบครัว
ทั้งหมดนี้เรียกว่า อานิสงส์ที่ผู้นั้นจะพึง
ได้รับ เฉพาะตนและตนจะต้องทำให้ได้รับจริง ๆ
อย่าให้เสียทีที่ได้บวชเลย
สำหรับ อานิสงส์ที่ได้พึงได้แก่ผู้อื่น
มีมารดาบิดาเป็นต้นนั้น ข้อนี้ย่อมหมาย
ถึงการมุ่งตอบแทนบุญคุณของผู้มีบุญคุณ เป็นที่ตั้ง
มีมารดาบิดาเป็นประธานของบุคคลเหล่านั้น ๆ
คนเราพอสักว่าเกิดมาในขณะนั้น ยังไม่ทัน
จะลืมตาดูโลกได้ก็เป็นหนี้บุญคุณแก่คนทั้งหลาย
อย่างมากมายเหลือที่จะกล่าวได้เสียแล้ว
สำหรับมารดาบิดานั้นไม่ต้องกล่าว
เพราะว่าท่านมีบุญคุณเหนือเศียรเกล้าของบุตรเพียงไร
นั้น ย่อมเป็นที่ประจักษ์กันดีแล้ว
ส่วนที่ว่า “เป็นหนี้บุญคุณผู้
อื่นอีกมากมายเสียตั้งแต่ยังไม่ทันลืมตาดูโลก” นั้น
ข้อนี้หมายความว่า พอเด็กคลอดออกมาก็
ต้องอาศัยสติปัญญาวิชาความรู้ของผู้ที่เป็นแพทย์
เป็นหมอ ของผู้ที่รู้จักคิดรู้จักทำเครื่องนุ่งห่มขึ้นในโลก
และของผู้ที่ทำการ
ช่วยเหลือแวดล้อมทุกอย่างทุกประการโดยไม่รู้สึกตัว
จนอาจจะสรุปได้ว่า พอเกิดมาก็เป็นหนี้บุญคุณคน
ทั้งโลกทีเดียว
เพราะฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคนดี ที่จะ
ต้องตอบแทนบุญคุณของผู้มีบุญคุณทั้งหลาย
ซึ่งมีมารดาบิดาเป็นประธาน
ในการตอบแทนบุญคุณนั้น บัณฑิต
ทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ได้กล่าวไว้ว่า
ไม่มีอะไรที่จะตอบแทนดียิ่งไปกว่าการทำให้
ผู้มีบุญคุณนั้น ๆ ได้รับความดี ความงามอันสูงสุด
สำหรับความดีความงามอันสูงสุดนั้น ก็
ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่า การได้พ้นไปจากความทุกข์
หรือพ้นไปจากการถูกเผาผลาญของไฟกิเลส
และไฟทุกข์
เพราะเหตุฉะนี้แหละ บุตรที่จะ
ต้องตอบแทนมารดาบิดาจักต้องสำนึกถึงการทำ
ให้มารดาบิดาเป็นต้นนั้น ได้รับความดีความงาม
เป็นความพ้นทุกข์ก่อนสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น ท่านผู้รู้
ได้กล่าวเปรียบความข้อนี้ไว้ว่า แม้หากจะทำได้ถึง
กับว่าให้มารดาบิดาทั้งสองอยู่บนบ่าของบุตร
แล้วฟูมฟักรักษามารดาบิดานั้น ไม่
ให้อนาทรร้อนใจด้วยการกินอยู่เป็นต้น บนบ่าโดยไม่
ต้องลงสู่พื้นดินเลย เป็นเวลาตลอดกัปป์ตลอดกัลป์ ก็
ยังหาจัดว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณมารดาบิดา
ได้เพียงพอหรือเหมาะสมกันไม่ แต่ท่านได้กล่าว
ไว้สืบไปว่า ถ้าหากบุตรคนใดได้ทำมารดาบิดา
ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ หรือว่าทำมารดาบิดาที่
เป็นสัมมาทิฏฐิ ให้เป็นสัมมาทิฏฐิยิ่งขึ้น จนถึงกับออก
จากทุกข์ได้หมดจนสิ้นเชิง นี้แหละ
ก็คือการตอบแทนบุญคุณของมารดาบิดา
ได้อย่างสมกัน
เราจึงเห็นได้ชัดว่า
โอกาสแห่งการตอบแทนบุญคุณของมารดาบิดา
นั้น นับว่ามีมากที่สุดในการบวช คือว่าด้วยการบวช
นั้น จักทำให้มารดาบิดาเป็นต้นนั้น มีศรัทธามั่นคง
ในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น ได้เป็นผู้ใกล้ชิด หรือ
เป็นญาติในพระศาสนายิ่งขึ้น ได้
ใกล้ชิดการประพฤติปฏิบัติธรรมวินัยยิ่งขึ้น ได้มี
ความรู้ความเข้าใจในธรรมอันลึกซึ้งยิ่งขึ้น
หรืออย่างน้อยที่สุด ก็เป็นผู้มั่นคงไม่หวั่นไหว
ในพระรัตนตรัย จนเป็นที่รับประกันได้ว่า ไม่มีทางที่
จะตกไปสู่อบายได้เลย ดังนี้เป็นต้น
จึงนับว่า การบวชที่ถูกต้องนี้
เป็นโอกาสที่จะตอบแทนบุญคุณมารดาบิดาได้จริง
ๆ แต่ทั้งนี้ ย่อมหมายถึงว่า ผู้นั้นจะต้องบวชจริง
ศึกษาเล่าเรียนจริง ประพฤติปฏิบัติจริง ๆ
ได้รับผลแห่งพรหมจรรย์นี้จริง ๆ
แล้วตั้งหน้าตั้งตาสอนผู้อื่นจริง ๆ ล้วนแต่
เป็นการทำจริงไปทั้งหมดดังนี้ จึงจะมีผล
เป็นการตอบแทนบุญคุณมารดาบิดาเป็นต้น อัน
เป็นที่รักที่เคารพจริงอย่างเหมาะสมกันได้
ขอให้ผู้บวชแล้วทั้งหลาย
จงอ้างเอาคุณมารดาบิดาเป็นที่ตั้ง โดยมี
ความสำนึกว่า ท่านเหล่านั้น
ได้มีบุญคุณแก่เรามาก่อนแล้ว
เป็นฝ่ายที่ทำแก่เราก่อน เรากำลัง
เป็นหนี้บุญคุณของท่านอยู่แล้ว
แล้วตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมวินัย
ด้วยการทำจริง ดังกล่าวมา ให้
เป็นการตอบแทนบุญคุณมารดาบิดาอย่างเหมาะสม
กัน อย่าให้เป็นขบถหรือหลอกลวงต่อ
ความหวังของมารดาบิดาแต่ประการใดเลย
อันนี้แลเรียกว่า อานิสงส์ของการบวชที่จะพึงได้แก่
ผู้มีบุญคุณทั้งหลาย มีมารดาบิดาเป็นต้น
สำหรับ อานิสงส์อันจะพึง
ได้แก่พระศาสนาเอง เป็นประการสุดท้ายนั้น
ข้อนี้หมายความว่า แม้พระศาสนาก็
เป็นสิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่ง อาจจะเสื่อมสูญไปได้
ถ้าหากไม่มีการปรุงแต่งสืบต่ออายุเอาไว้
เพราะฉะนั้น การบวชของพวกเรา จึงมี
ความมุ่งหมายให้เป็นการสืบอายุพระศาสนาไป
ด้วยอีกส่วนหนึ่ง เราที่ได้บวชนี้ก็
เพราะมีพระพุทธศาสนา ถ้าหากไม่มีพระศาสนา
เราจะบวชได้อย่างไร เป็นสิ่งที่เข้าใจกันได้อยู่ดีแล้ว
บุญคุณของพระศาสนานั้นเองที่ทำให้เราได้บวช
เพราะฉะนั้นเราจักตอบแทนคุณของพระศาสนา
ถ้ากล่าวให้ยืดออกไปกว่านี้อีก คือ
เราต้องรำลึกถึงคุณอุปัชฌาย์อาจารย์ ที่
ได้สืบอายุพระศาสนากันมาเป็นลำดับ ๆ
นับตั้งแต่สมัยพุทธกาลมาจนถึงบัดนี้ จนทำให้เรา
ได้บวช เราต้องสำนึก
ถึงบุญคุณของอุปัชฌาย์อาจารย์เหล่านั้น
ซึ่งแต่ละท่านล้วนแต่หวังว่า เราผู้เป็นลูกศิษย์ชั้นหลัง
ๆ จักช่วยกันสืบอายุพระศาสนาให้เป็นช่วง ๆ รับมอบ
กันไปอย่าให้ขาดสายได้ นี้เป็นเหตุให้เรา
ต้องคิดตอบแทนคุณอุปัชฌาย์อาจารย์เหล่านั้น
ด้วยการสืบอายุพระศาสนาไว้ให้ได้จริง ๆ ถ้า
จะกล่าวให้ยืดออกไปกว่านั้นอีก เราจะต้องรำลึก
ถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้
เป็นต้นกำเนิดของพระศาสนา ในข้อที่พระองค์
ได้ทรงเสียสละ ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบาก
ในการประดิษฐานพระศาสนา ซึ่งเมื่อเรา
ได้ศึกษาประวัติอันประเสริฐของพระองค์แล้ว เรา
จะเห็นได้ว่า พระองค์ทรงบากบั่นในการประดิษฐาน
และเผยแพร่พระศาสนานี้ จนถ้าจะกล่าว
โดยโวหารธรรมดาก็กล่าวได้ว่า “
ตายคาที่บนแผ่นดินกลางทางเดิน
ที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง” ไม่
ได้ตายบนกุฏิเหมือนเราท่านทั้งหลายโดยมาก
สรุปข้อความนี้ว่า พระองค์ทรงมี
ความพยายามและความหวังอย่างยิ่ง ที่
จะประดิษฐานพระศาสนาของพระองค์ ให้มั่นคงอยู่
ในโลกนี้ เพื่อเป็นประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายรวม
ทั้งพวกเราด้วย เพราะเหตุฉะนั้นแหละเราจะ
ต้องบากบั่นในการสืบอายุพระศาสนา ให้สม
กับตัวอย่างที่พระองค์ได้ทรงกระทำไว้ และให้สม
กับบุญคุณอันใหญ่หลวง ที่พระองค์ทรงกระทำ
ไว้แก่สัตว์ทั้งหลาย รวมทั้งพวกเราด้วย เพื่อจะให้
เป็นการสืบอายุพระศาสนาได้สมจริงนั้น ย่อมมี
อยู่แต่ทางเดียวเท่านั้น คือ
เราจะต้องบวชจริง ศึกษาเล่าเรียนจริง
ประพฤติปฏิบัติจริงให้ได้รับผลของพรหมจรรย์นี้จริง
แล้วพยายามสั่งสอนผู้อื่นต่อกันไปจริง จึงจะ
เป็นการสืบอายุพระศาสนา
เป็นเครื่องบูชาตอบแทนพระคุณของพระองค์ได้จริง
เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายควรจะรำลึก
ถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ถึงพระคุณของอุปัชฌาย์อาจารย์ ที่
ได้สืบอายุพระศาสนา สืบต่อกันลงมาจน
ถึงพวกเรา และรำลึกถึงคุณของพระศาสนา ซึ่ง
เป็นเครื่องบำบัดความทุกข์ของสัตว์ได้จริง
แล้วตั้งหน้าตั้งตาตอบแทนคุณพระศาสนา
คุณอุปัชฌาย์อาจารย์และคุณพระผู้มีพระภาคเจ้า
ด้วยการเรียนจริงปฏิบัติจริง เป็นต้น ดังกล่าวแล้ว
นี้เรียกว่า อานิสงส์ของการบวชอัน
จะพึงได้แก่ ตัวศาสนาเอง ซึ่งในที่สุดอานิสงส์อัน
นั้นก็จะแผ่ไปในทุก ๆ โลก ทั้งมนุษยโลกและเทวโลก
เป็นเหมือนร่มโพธิ์ร่มไทร ที่คุ้มครองสิ่งที่มีชีวิต
ทั้งหลาย ให้เยือกเย็นอยู่ภาย
ใต้ร่มเงาของพระศาสนาตลอดกาลนาน
รวมอานิสงส์ ทั้ง 3 ประการเข้าด้วยกัน
คือ
อานิสงส์ที่พึงจะได้แก่ ตัวผู้บวชเอง
อานิสงส์ที่จะพึงได้แก่ ผู้มีบุญคุณ
ทั้งหลาย มีมารดาบิดาเป็นประธาน
และอานิสงส์ที่จะพึงได้แก่
ตัวพระศาสนา
ดังนี้แล้ว ย่อมเห็นได้ว่าเป็นการเพียงพอ
แล้ว ที่เราจะต้องเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง
ด้วยการอดกลั้นอดทนเพื่อให้เกิดการบวชจริง
เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้รับผลจริง แล้วสั่งสอนสืบต่อ
กันไปจริง ซึ่งอาจจะกล่าวได้ด้วยความมั่นใจว่า
ไม่มีการกระทำอย่างใดที่
จะดียิ่งกว่าการกระทำอันนี้ ซึ่งถือว่า
เป็นอานิสงส์ของการบวชที่พวกเราจะพึงได้รับ
เครื่องมือของคนบวช คืออะไร ?
ผู้บวชหรือผู้บวชแล้วก็ตาม ย่อมจำ
เป็นที่จะต้องมีเครื่องมือสำหรับใช้ เพื่อ
ให้สำเร็จประโยชน์ในการบวช และเป็นเครื่องป้องกัน
ไม่ให้ได้รับอันตรายจากการบวช ดังที่พระองค์
ได้ตรัสไว้ว่า
“การบวชที่รับเอาไปไม่ถูกทาง
ย่อมทำอันตรายแก่ผู้บวชเหมือนใบหญ้าที่มีคม
เมื่อจับดึงไม่ถูกทาง ย่อมบาดมือผู้จับดึงได้ฉันใดก็ฉัน
นั้น” ดังนี้
เพราะฉะนั้น ผู้จะเข้ามาบวชจำเป็นที่
จะต้องมีความรู้ ให้เป็นเครื่องมืออันเพียงพอ สำหรับ
จะทำให้การบวชของตนไม่เกิดเป็นอันตรายแก่ตน
นับตั้งแต่วาระแรกไปทีเดียว
ในอันดับแรกที่สุด ผู้บวชจะต้องมี
ความรู้สึกและรับรู้ไว้ว่า ผ้าเหลือง หรือที่เรียกกันว่า
“ผ้ากาสาวพัสตร์” นั้น ท่านถือกันว่าเป็น
ธงชัยของพระอรหันต์ ซึ่งเรียกโดยภาษาบาลีว่า “
อรหตฺตธโช” ซึ่งตามตัวหนังสือก็แปลว่า “
ธงชัยของพระอรหันต์” อยู่แล้ว
ข้อนี้หมายความว่า
ผ้าย้อมฝาดสีหม่นนี้
เป็นเครื่องหมายอันศักดิ์สิทธิ์ของผู้มีความบริสุทธิ์
และประเสริฐ ตั้งอยู่ในฐานะเป็นปูชยนียบุคคล
ทั้งของเทวดาและมนุษย์ แม้ที่สุดแต่สัตว์เดรัจฉาน
ท่านก็กล่าวว่าย่อมรู้สึกว่า ผ้ากาสายะนั้น
เป็นเครื่องหมายของพระอรหันต์ ผู้ไม่เป็นข้าศึกแก่ตน
ฉะนั้นการที่จะนำเอาผ้ากาสายะ
หรือธงชัยของพระอรหันต์มาคลุมเข้าที่ตัวนั้น ย่อมมี
ความหมายมากเกินกว่าที่จะถือว่า
เป็นเพียงเครื่องนุ่งห่มชนิดหนึ่ง ถ้าเมื่อบุคคลนั้น
ไม่มีคุณสมบัติในตน
ที่เพียงพอสำหรับการห่มผ้ากาสายะนั้นแล้ว
อันตรายก็จะเกิดขึ้นแก่ตนตามทางธรรมในทันที
ความข้อนี้ก็
เป็นหลักที่พระพุทธองค์ตรัสยืนยันไว้ในที่หลายแห่ง
เช่น บาลีว่า “อนิกฺกสาโว กาสาวํ” ดังนี้ เป็นอาทิ
ซึ่งมีใจความดังที่กล่าวแล้ว
เพราะฉะนั้น ในขณะที่จะให้ผู้
เข้ามาบวชห่มผ้ากาสายะในวันนั้น ท่าน
จึงมีระเบียบกล่าวสอน ตจปัญจกกัมมัฏฐาน
เพื่อฟอกจิตใจบุคคลผู้ที่กำลังจะห่มผ้ากาสายะนั้น
ให้อยู่ในสภาพที่พอเหมาะสมแก่การ ที่
จะห่มผ้ากาสายะในเบื้องต้นเสียก่อน
ตจปัญจกกัมมัฏฐาน นี้ เป็นกัมมัฏฐาน
ในประเภท อสุภกัมมัฏฐาน คือการพิจารณาให้เห็น
ความจริงของสิ่งเท็จเทียมที่ฆราวาสผู้
นั้นเคยลุ่มหลงมาแต่ก่อนนั้นเสียก่อน
จนกระทั่งมีจิตใจสลดสังเวชใน
ความที่ตนเคยลุ่มหลงเห็นโทษของ
ความลุ่มหลงแห่งเพศฆราวาส มีจิตใจสูงคือ สะอาด
สว่าง และสงบขึ้นตามส่วน จนพอจะกล่าว
ได้ว่าสูงกว่าระดับจิตใจของฆราวาสแล้ว ท่านจึง
ได้ให้ห่มผ้ากาสายะนั้น ๆ
ฉะนั้น ขอให้ผู้บวชแล้วทุกคนจงได้สำนึก
ถึงความจริงอันสำคัญยิ่งข้อนี้ ระลึกนึกถึงคำมอบ “
ตจปัญจกกัมมัฏฐาน ” ของอุปัชฌายะ ผู้ให้บรรพชา
และนึกถึงการยอมรับปฏิบัติในกัมมัฏฐานเหล่านี้
เพื่อเปลื้องตนให้พ้นจากอันตราย
ในการที่นำผ้ากาสายะมาห่มโดยปราศจาก
ความหมาย ตนก็จะเป็นผู้ไม่ประมาท เป็นผู้เห็นภัย
ในความประมาทไม่เปิดโอกาส
ให้การบรรพชาของตนหรือการห่อหุ้มร่างกายตน
ด้วยธงชัยของพระอรหันต์นั้น เกิด
เป็นอันตรายขึ้นแก่ตนได้
ข้อนี้นับว่า
เป็นเครื่องมืออันประเสริฐสุดของผู้บวช ในการที่จะป้อง
กันตนให้พ้นจากโทษ อันจะเกิดขึ้นจากการบวช
ในวาระแรก ในวาระต่อไป ก็จะเป็นเครื่องคุ้มครองตน
ให้พ้นจากอันตราย หรือการเบียดเบียนของกิเลส
ทั้งหลาย มีราคะ เป็นต้น ทำให้บวชอยู่ได้ด้วย
ความสวัสดี มีความวัฒนาถาวรสืบไป
เพราะฉะนั้นผู้บวชแล้วพึงสนใจ
ในเครื่องมือ หรืออาวุธคู่มืออันนี้ของนักบวช คือ
พึงขยันหมั่นเพียรพินิจพิจารณากัมมัฏฐานอัน
เป็นประธานกล่าวคืออสุภกัมมัฏฐานนั้น ตลอด
ถึงกัมมัฏฐานอันเป็นบริวารกล่าวคือ
การพินิจพิจารณาหรือที่เรียกว่า ปัจจเวกขณ์
ในการรับและการบริโภคปัจจัยเครื่องอาศัย 4 อย่าง
คือ วีจร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช อันจัก
เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งตนให้ตั้งอยู่
ในคุณสมบัติที่เหมาะแก่การนุ่งห่มผ้ากาสายะสืบไปตลอดกาลนาน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 01 มี.ค. 2015, 21:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สิทธิของผู้บวช
เมื่อกล่าวถึงสิทธิของผู้บวช พึงเข้าใจว่า
เป็นการกล่าวถึงการที่นักบวชมีสิทธิอันชอบธรรม ที่
จะบริโภค จตุปัจจัย อันเป็น เทยยธรรม
หรือเครื่องบูชาของชาวโลก ตามปรกติก็เห็นกันอยู่
แล้วว่า ผู้บวชไม่มีการประกอบอาชีพ ไม่มีการทำนา
ค้าขาย แต่ก็มีการดำรงชีพอยู่
ด้วยการเสียสละของชาวโลก
ข้อที่ต้องคิดต่อไปมีอยู่ว่า
มีสิทธิอันชอบธรรมมาแต่ไหน ในการที่
จะบริโภควัตถุเทยยธรรม อันทายกน้อมนำมาถวายด้วย
ความเคารพเหล่านั้น ?
สิทธิอันชอบธรรมในที่นี้
ย่อมมีเฉพาะแก่นักบวช ผู้ทำตนให้เป็นนักบวชที่แท้จริง
และถูกต้องตามนัยที่ได้กล่าวมาแล้วในข้อต้น ๆ เท่านั้น
สิทธิอันนี้หามีแก่ผู้บวชโดยสักว่าบวชไม่เลย เมื่อ
ไม่มีสิทธิอันชอบธรรมแล้วบริโภคปัจจัยเหล่านั้นเข้า
ท่านถือกันว่าย่อมเกิดเป็นหนี้เป็นสินขึ้นแก่นักบวชผู้นั้น
อันจักต้องชดใช้ให้แก่ทายกผู้เป็นเจ้าของเทยยธรรม
ซึ่งท่านกล่าวไว้ด้วยโวหารอุปมาอย่างขบขันว่า
“จะต้องตายไปเกิดเป็นวัว เป็นลา เพื่อรับ
ใช้ทายกทายิกา ผู้เป็นเจ้าของเทยยธรรมนั้นสืบไป“
ในข้อนี้เราต้องพิจารณากันดูอย่างลึกซึ้ง
และละเอียดลออ จึงจะเห็นได้ว่า ผู้บวชที่แท้จริง
นั้นมีสิทธิอันชอบธรรม ที่
จะบริโภควัตถุเทยยธรรมของทายกทายิกาเหล่านั้นจริง

การบวชของผู้บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง
ได้รับผลจริง และสั่งสอนผู้อื่นจริง ๆ นั้น
ย่อมเป็นการสืบอายุพระศาสนาได้จริง
การสืบอายุพระศาสนาได้จริงนั่นเอง ทำ
ให้เกิดสิทธิอันชอบธรรมแก่ผู้บวชในการที่
จะบริโภควัตถุเทยยธรรมดังกล่าวแล้ว
การสืบอายุพระศาสนานี้โดยหัวใจแท้จริง ย่อม
อยู่ที่การที่มีผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลได้สำเร็จ การที่
จะปฏิบัติมรรคผลได้สำเร็จและมีอยู่ในโลกนั้นต้องมา
จากการตั้งใจทำจริง ๆ ของผู้ที่ตั้งหน้าตั้งตาโดยไม่คำนึง
ถึงสิ่งใดทั้งสิ้น จึงจะเป็นผลขึ้นมาได้
ด้วยเหตุนี้แหละ ผู้ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติจึง
ต้องได้รับโอกาสในการปฏิบัติของผู้ปฏิบัติโดย ไม่
ต้องคำนึงถึงการประกอบอาชีพ เพราะฉะ
นั้นการตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติของผู้ปฏิบัติ เพื่อทำ
ให้การบรรลุมรรคผลยังคงมีอยู่ในโลกนี้แหละ ได้ทำ
ให้เกิดสิทธิอันชอบธรรมขึ้น ในการที่
จะบริโภควัตถุเทยยธรรม โดยไม่ต้องมีการตอบแทนเป็น
ส่วนตัว
ด้วยเหตุนี้นักบวชที่แท้จริงมีสิทธิอันชอบธรรมดังกล่าว
แล้วในการที่จะบริโภควัตถุปัจจัยเหล่านั้นตลอด
ถึงมีสิทธิอันชอบธรรมในการที่
จะรับการกราบไหว้สักการบูชาของชาวโลกทั่วไป ตลอด
ถึงมีสิทธิในการที่จะประพฤติพรหมจรรย์ อันเป็นอิสระ
เพื่อบรรลุ มรรคผล นิพพาน ตามความปรารถนา
นี้เรียกว่า เป็นสิทธิพิเศษของนักบวชโดยเฉพาะเท่านั้น
ขอให้เราผู้บวชแล้วทั้งหลาย จงรู้สึก
ในสิทธิอันนี้ เพื่อจะได้พยายามทำตนให้ทรงไว้
ซึ่งสิทธิอันนี้ โดยไม่ต้องตกไปอยู่ในสภาพที่ “ เป็นวัว
หรือลา “ ได้โดยเด็ดขาด ทั้งหมดนี้ย่อมสำเร็จได้
ด้วยการบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง
แล้วสอนเขาจริง ๆ ดังที่กล่าวมาแล้ว ซ้ำ ๆ ซาก ๆ นั่นเอง
หากปราศจากสิทธิอันนี้แล้ว ตนจะต้องเกิดวิปปฏิสาร คือ
ความร้อนใจ แม้ไม่ใช่ในวันนี้ ก็ต้องในวันใดวันหนึ่งโดย
ไม่ต้องสงสัยเลย
วัตถุที่ตั้งอาศัยของการบวช คืออะไร ?
เมื่อกล่าวถึงวัตถุที่ตั้งอาศัยของการบวช
ย่อมหมายความว่า เราจะพิจารณากันให้เห็นชัดว่า
การบวชนั้นต้องมีที่ตั้งที่อาศัย จึงจะตั้งอยู่ได้ เหมือน
กับแผ่นดินเป็นที่ตั้งอาศัยของต้นไม้ทั้งหลายจึงตั้งอยู่ได้
ฉันใดก็ฉัน
นั้นสำหรับที่ตั้งอาศัยของการบวชนั้น ย่อมกล่าวได้
โดยง่ายว่า มีพระรัตนตรัย กล่าวคือ พระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ เป็นวัตถุที่ตั้งอาศัย ด้วยเหตุนี้แหละเราจะ
ต้องทำความเข้าใจในพระรัตนตรัย
จนเห็นแจ่มแจ้งชัดเจนว่า เป็นวัตถุที่ตั้งอาศัยของการบวช
ได้อย่างไร ?
พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ นี้ โดยภายนอกก็ดูเป็นของต่างกัน คือ
พระพุทธเจ้า เป็นผู้
ค้นพบธรรมะอันประเสริฐ สำหรับบำบัดทุกข์ทั้งปวง
ได้สิ้นเชิง บำบัดทุกข์ได้ด้วยพระองค์เองได้หมดจดแล้ว
จึงทรงสอนผู้อื่นให้บำบัดทุกข์ตามไปด้วย
ส่วนพระธรรม นั้น คือสิ่งซึ่งพระองค์ทรง
ค้นพบ และทรงใช้เป็นเครื่องบำบัดทุกข์นั่นเอง มีอยู่
ในรูปคำสั่งสอนหรือการศึกษาเล่าเรียน ซึ่งเรียกว่า
ปริยัติธรรม บ้าง และอยู่
ในรูปของการประพฤติปฏิบัติทางกาย วาจา ใจ
ซึ่งเรียกว่า ปฏิบัติธรรมบ้างและอยู่
ในรูปแห่งผลของการปฏิบัติ คือ มรรค ผล นิพพาน
ซึ่งเรียกว่า ปฏิเวธธรรมบ้าง ทั้งปริยัติธรรม ปฏิบัติธรรม
และปฏิเวธธรรมนี้แหละ รวมกันแล้ว คือ พระธรรม
ส่วน พระสงฆ์ นั้น คือ ผู้ที่
ได้รับเอาพระธรรมจากพระพุทธเจ้ามาศึกษา
และปฏิบัติจนได้รับผลของพระธรรมนั้น กล่าว
โดยลักษณะภายนอก พระรัตนตรัยย่อมแตกต่างกัน
อยู่ดังนี้
แต่เมื่อกล่าวโดย ความหมายอันลึกซึ้ง
ในภายในแล้ว ย่อมจะเห็นได้ว่า เป็นของอย่างเดียวกัน
คือ
พระพุทธเจ้า นั้นมีความหมายอันสำคัญ
อยู่ที่คุณธรรมอันประเสริฐ ซึ่งมีอยู่ในภาย
ในพระหฤทัยของพระองค์ ซึ่งทำให้พระองค์ได้นามว่า
พระพุทธเจ้า คุณธรรมอัน ข้อนี้ก็คือ ความบริสุทธิ์
สะอาดถึงที่สุด ความสว่างไสวแจ่มแจ้งถึงที่สุดและ
ความสงบเย็นเป็นสันติถึงที่สุด ซึ่งมีอยู่ภาย
ในพระองค์นั่นเอง
สำหรับ พระธรรม นั้นเล่าก็มี
ความหมายอันแท้จริงอยู่ที่คุณสมบัติที่กล่าว
แล้วอย่างเดียวกันคือ ปริยัติธรรม ก็เป็นการเรียนเรื่อง
ความสะอาด สว่าง สงบ ให้ถึงที่สุด ปฏิบัติธรรม ก็
เป็นการปฏิบัติเพื่อให้ถึงความสะอาด สว่าง สงบ ถึงที่สุด
และตัว ปฏิเวธธรรม ก็คือ ตัวความสะอาด สว่าง สงบ
ถึงที่สุด ที่ได้รับในฐานะเป็นผลของการปฏิบัตินั่นเอง
ฉะนั้น พระธรรมทั้ง 3 ประเภท ก็ไปรวม
อยู่ที่ ความสะอาดถึงที่สุด ความสว่างถึงที่สุด และ
ความสงบถึงที่สุด ที่มีอยู่
ในพระหฤทัยของพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกัน
ส่วน พระสงฆ์ นั้นเล่าย่อมหมายถึง
ผู้ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า
เพราะพระองค์ทรงมีคุณสมบัติคือความสะอาด สว่าง
สงบ ถึงที่สุด จึงได้รับเอาพระธรรม ซึ่งมีคุณสมบัติรวม
อยู่ที่ ความสะอาด สว่าง สงบ นั้นมาประพฤติปฏิบัติ เพื่อ
ให้ตัวท่านเองเกิดมีคุณสมบัติเป็นความสะอาด สว่าง
สงบ ขึ้นภายในใจของตน อย่างเดียวกับภาย
ในพระหฤทัยของพระพุทธเจ้า
เราจึงเห็นได้ว่า ตัวความสะอาด สว่าง สงบ นั่นแหละ
คือตัวแท้หรือหัวใจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
โดยไม่เพ่งถึงลักษณะภายนอก
เมื่อเรารู้จักพระรัตนตรัย ในลักษณะของ
ความสะอาด สว่าง สงบ เป็นอันเดียวกันดังนี้
เราย่อมเห็นเป็นโอกาสที่การบวชของเรา จะ
ได้มีวัตถุที่ตั้งอาศัยลงที่พระรัตนตรัยได้โดยง่าย
กล่าวคือ การมองเห็นชัดว่ายังเป็นโอกาส ยังเป็นฐานะ
ที่เราจะเข้าถึงองค์พระรัตนตรัยได้จริง ๆโดยการทำให้
ความสะอาด สว่าง สงบ นั้นเกิดขึ้นภายในใจของเราเอง
และเป็นโอกาสที่พระรัตนตรัยนั้น จะเป็นที่พึ่งให้แก่เรา
ได้จริง ๆ
คือ ความสะอาด สว่าง สงบ ซึ่ง
เป็นองค์พระรัตนตรัยแท้ อันเราได้ทำให้เกิดขึ้น
ในหัวใจของเรานั้น ได้เป็นเครื่องดับไฟทุกข์
และดับไฟกิเลสให้แก่เราได้จริง ๆ เพราะฉะ
นั้นหัวใจของเราผู้บวชแล้ว จึงมีวัตถุที่ตั้ง คือ เข้าถึง
พระรัตนตรัยตัวจริงได้ และพระรัตนตรัยนั้น
สามารถคุ้มครองปกป้องหัวใจของเราได้
การบวชของเราจึงมีวัตถุที่ตั้ง ที่อาศัยอย่างมั่นคง
แล้วเจริญงอกงามในพระพุทธศาสนาเหมือนต้นไม้ที่
ได้อาศัยแผ่นดินที่ดี เป็นที่ตั้งแล้วเจริญงอกงามอยู่ ฉัน
ใดก็ฉันนั้น
เพราะฉะนั้น ขอให้เราผู้บวชแล้วทุกคน จง
ได้ปักใจให้ตั้งอาศัยอยู่ที่พระรัตนตรัย ด้วยการเพ่ง
ด้วยการมุ่ง
ด้วยการพยายามประพฤติปฏิบัติจนสุดกำลังกาย
กำลังใจ เพื่อให้เข้าถึงพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง
ด้วยการที่ตนมีหัวใจอันประกอบอยู่ด้วยความสะอาด
สว่าง สงบ ดังกล่าวมาแล้ว
เราจะเห็นได้ว่า ถ้าการบวชของเรา
ไม่มีวัตถุที่ตั้งอาศัย ไม่มีจุดที่มุ่งหมายสำหรับ
เป็นที่กำหนดให้แน่วแน่มั่นคงแล้ว การบวชนั้นก็
จะกวัดแกว่ง เหมือนวัตถุที่เบาแล้วถูกลมพัด ไม่สามารถ
จะมีจุดหมายอันแน่นอนได้ การบวชนั้นก็จัก
เป็นหมันเปล่า ไม่สมประสงค์ทั้งที่เรามีความตั้งใจจริง
เพราะฉะนั้นทุกคนจะต้องเข้าใจ
ในวัตถุที่ตั้งอาศัยของการบวชอย่างชัดแจ้ง
แล้วปักใจทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ ลงไปทั้งหมดจริง ๆ
ก็จะได้ประสบผลของการบวช ได้ครบถ้วนตาม
ความปรารถนา
ความมุ่งหมายของการบวช
เมื่อกล่าวถึงความมุ่งหมายของการบวช
ชนิดที่เป็นความมุ่งหมายอันแท้จริงแล้ว พึงทราบว่า หา
ได้อยู่ที่ขนบธรรมเนียมประเพณีหรืออยู่ที่ความต้องการ
จะได้อานิสงส์ 3 ประการของการบวชดังที่กล่าวมา
แล้วข้างต้นไม่ ความมุ่งหมายอันแท้จริงนั้น
หวังผลพิเศษยิ่งไปกว่านั้น กล่าวคือ ความมุ่งหมายที่
จะก่อให้เกิดความเร็วในการบรรลุมรรค ผล นิพพาน
นั่นเอง
โดยหลักทั่วไป คนเราอาจ
จะบรรลุมรรคผล นิพพาน ได้
เพราะการประพฤติธรรมวินัยอันถูกต้องก็จริง แต่ถ้าเป็น
อยู่ในเพศฆราวาสย่อมเป็นไปอย่างเฉื่อยชาหรือเถลไถล
ถึงกับล้มเหลวไปก็ได้ แม้ฆราวาสผู้นั้นจะมี
ความตั้งอกตั้งใจอย่างรุนแรงเพียงไร ก็ไม่วายที่
จะประสบอุปสรรคอันเกิดมาจากความเป็นฆราวาส
มีการต้องประกอบอาชีพ หรือถูกรบกวนอย่างอื่น อัน
เป็นเหตุให้เนิ่นช้าโดยไม่ต้องสงสัย เมื่อมาเป็น
อยู่อย่างนักบวช ย่อมปลอดโปร่งจากอุปสรรคเหล่านั้น
สามารถประพฤติพรหมจรรย์ให้ก้าวหน้าไปได้โดยรวด
เร็ว ประสบผลทันตาเห็น นี้นับว่า
ความมุ่งหมายที่แท้จริงของการออกบวช อยู่ที่การเป็นไป
ได้โดยรวดเร็วในการบรรลุผลของการบวชอย่างจำ
เป็นแท้จริง
สิ่งที่เราจะต้องระมัดระวังต่อไป
ในเรื่องนี้ก็คือว่า
เมื่อละจากเรือนบวชสู่ความเป็นผู้ไม่มีเรือน
แล้ว จำเป็นที่จะต้องมีจิตใจอย่างผู้ไม่มีเรือนจริง ๆ จะ
ต้องละกิริยาอาการตลอดถึงความรู้สึกนึกคิด
และการประกอบการงานอย่างฆราวาสโดยสิ้นเชิง
ความหนักอกหนักใจอย่างใด ที่เกิดขึ้น
เป็นประจำแก่พวกฆราวาสนั้น ไม่ควรจะมีแก่เราผู้บวช
แล้ว ความนึกคิดรู้สึกซึ่งเป็นไปในทางสวยงาม
สนุกสนาน เอร็ดอร่อย หรือกามารมณ์ ไม่ควรจะมีอยู่
ในใจของผู้บวชแล้ว การประกอบการงาน
ซึ่งมีบริกรรมมาก มีความรับผิดชอบผูกพันมาก อัน
เป็นทางมาแห่งความฟุ้งซ่าน ไม่สงบเป็นต้นเหล่านี้ ก็
ไม่ควรจะมีแก่บุคคลผู้บวชแล้ว ถ้าสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวนี้
ยังมีอยู่ในใจ หรือในการเป็นอยู่ของบุคคลผู้บวชแล้ว
ก็หาชื่อว่าเป็นการบวชไม่ แม้จะห่มจีวร ฉันบิณฑบาต
อยู่ที่วัด ก็หาเกิดความเร็วในการที่จะบรรลุมรรคผล
นิพพานไม่ แม้ที่สุดแต่จะ
เป็นการสืบอายุพระศาสนาก็หาเป็นไปได้อย่างน่าปลื้มใจ
ไม่
ขอให้เราผู้บวชแล้วทุกคน ที่หวังจะ
ให้การบวชของตนเป็นไปอย่างถูกต้อง ตาม
ความมุ่งหมายอันแท้จริงนั้น จงได้ระมัดระวัง อย่า
ให้เกิดมีความเป็นฆราวาสแฝงอยู่อย่างเร้นลับ
ในการบวชของตนเลย ให้มีความไม่ประมาทในการที่
จะชำระสะสางสิ่งกีดขวางต่าง ๆ อันจะทำให้เกิด
ความเนิ่นช้าแก่การก้าวหน้าไปตามทางของพรหมจรรย์
โดยสิ้นเชิง
การที่ไม่ถือว่าอานิสงส์อย่างอื่น ๆ เป็น
ความมุ่งหมายแท้จริงของการบวช แต่ถือว่า ความเร็ว
หรือโอกาสที่จะให้เกิดความเร็ว
ในการบรรลุผลของการบวช เป็นความมุ่งหมาย
โดยตรงที่ถือได้ว่า เป็นดวงวิญญาณของการบวชนั้น มัน
อยู่ที่ความต้องการจะไปให้ได้โดยเร็วนี้จริง ๆ
ถ้าหากจะกล่าวต่อลงไปอีกในอันดับหนึ่ง
ซึ่งเป็นความมุ่งหมายที่มีความสำคัญรองลงไปจากความ
เร็วนี้แล้วก็ยังอยากจะกล่าวถึงผลอันอื่นนอกไป
จากอานิสงส์ 3 ประการดังกล่าวแล้วข้างต้นอยู่อีกนั่นเอง
ความมุ่งหมายของการบวชอันดับที่รองลงไปจากความ
เร็ว ในการบรรลุมรรคผลนั้น คือความมุ่งหมายที่
จะทำประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ให้
ได้กว้างขวางไพศาลสูงสุดอย่างยิ่งนั้นมากกว่า
การทำประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่นให้
ได้ไพศาลกว้างขวางนั้น ไม่อาจจะทำได้ในความ
เป็นฆราวาส เพราะความเป็นฆราวาสย่อมอยู่
ใต้อำนาจของกิเลสมากจนถึงกับทำให้เห็นแก่
ความสนุกสนาน เอร็ดอร่อยของตน
หรือของครอบครัวของตนเสียเป็นส่วนใหญ่ แม้จะมี
ความเสียสละและตั้งใจมากเพียงใด ก็ยังไม่พ้น
จากการถูกรัดรึงโดยประการต่าง ๆ
จากสิ่งแวดล้อมรอบข้าง
ส่วนผู้ที่บวชแล้วย่อมเป็นอิสระ
จากอุปสรรคเหล่านี้ สามารถอุทิศเวลาทั้งหมด
และกำลังกาย กำลังใจทั้งสิ้นเพื่อบำเพ็ญประโยชน์ตน
และประโยชน์ผู้อื่นได้เต็มเปี่ยมจริง ๆ ทั้งมีโอกาสที่
จะบำเพ็ญประโยชน์ชนิดที่สูงกว่าระดับธรรมดาอีกมากมายนัก
ฉะนั้น ถ้ากุลบุตรใจสิงห์ผู้ใด มี
ความแน่ใจว่า ตนไม่ตกอยู่ใต้อำนาจของสัญชาตญาณ ที่
เป็นไปในการลุ่มหลงต่อกามารมณ์ หวังที่จะ
ใช้ชีวิตของตนให้มีคุณค่าที่สุด
ด้วยการบำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น
ที่สูงไปกว่าระดับของสัญชาตญาณแล้ว จง
ได้มองเห็นโอกาสอันโล่งโถง
ในการที่บำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น
ในระดับอันสูงของผู้ละจากเรือน บวชสู่ความเป็นผู้
ไม่มีเรือน ตามตัวอย่างที่พระอริยเจ้าทั้งหลาย มีพระ
ผู้มีพระภาคเจ้าเป็นประธาน ได้ทำไว้ให้เป็นตัวอย่างเถิด
กุลบุตรผู้รบชนะความรู้สึกอย่างต่ำ คือ
ความรู้สึกที่ดึงไปสู่กามคุณโดยอำนาจแห่งสัญชาตญาณ
แล้ว ย่อมรู้สึกได้ด้วยตัวเองว่า ไม่มีสิ่ง
ใดที่น่าทำยิ่งไปกว่า การบำเพ็ญประโยชน์ตน
หรือประโยชน์ท่าน ในระดับที่สูงไปกว่าการทำเพียงให้
ได้รับความสุขทางวัตถุหรือทางเนื้อหนัง จึงได้มี
ความกล้าหาญและร่าเริงในการที่จะฉวยเอาโอกาสอันมี
อยู่ในการบวชเพื่อบำเพ็ญประโยชน์ตน
และประโยชน์ท่าน
ในระดับสูงอย่างกว้างขวางไพศาลหาขอบเขตมิได้
จนกระทั่งถึงการบรรลุนิพพาน ดับทุกข์ทั้งหลาย
ได้หมดจดสิ้นเชิง
สรุปความอย่างสั้น ๆ ใน
ความมุ่งหมายของการบวชข้อนี้ที่รองลงมาจากความเร็ว
ในการบรรลุมรรคผลก็คือ ความมุ่งหมายเพื่อ
ให้เกิดขอบเขตอันไพศาลแห่งการบำเพ็ญประโยชน์นั่นเอง
สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสเตือน
เป็นพระดำรัสสุดท้ายซึ่งอาจเรียกกันได้ง่าย ๆ ว่า “
พินัยกรรมของผู้ตาย” ฝากไว้แก่พวกเราทั้งหลายว่า “
ดูกรภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลายจงยังความไม่ประมาท ให้
ถึงพร้อมในการบำเพ็ญประโยชน์” ดังนี้
ข้อนี้เราจะเห็นได้ว่า
การบำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านเป็น
ความประสงค์ของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นอย่างยิ่ง
ถ้าเราเป็นผู้ไม่ประมาทจริงตามคำของพระองค์แล้วก็จะ
ต้องขวนขวายหาโอกาสในการบำเพ็ญประโยชน์ตน
และประโยชน์ท่าน ด้วยความพากเพียร หรือด้วยความ
ไม่ประมาทจริง ๆ ในที่สุดก็จะเห็นได้ว่าโอกาสนั้นมีอยู่
แล้ว ในความมุ่งหมายของการบวช และความไม่ประมาท
นั้นก็สมบูรณ์อยู่แล้ว ในการที่ถือเอาโอกาสแห่งการบวช
เพื่อบำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้
อื่นอย่างกว้างขวางนั่นเอง
ข้อนี้ แม้จะไม่เป็นไปในทางรวดเร็ว แต่ก็
ได้ผลไปในทางที่แผ่ไปอย่างกว้างขวาง อย่าง
ไม่มีขอบเขต เพราะเป็นชีวิตที่เป็นอิสระเหนือกิเลส
บากบั่นไปสู่คุณธรรมเบื้องสูงได้เช่นเดียวกัน
ผู้ที่ชนะตนเองในทางความรู้สึกฝ่ายต่ำของสัญชาตญาณ
ควรจะพินิจพิจารณาโดยแยบคาย ฉวยเอาโอกาสอันนี้
ซึ่งเป็นความมุ่งหมายอันดับที่สองของการบวชไว้ให้ได้ ก็
จะไม่เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์และได้พบพระพุทธศาสนา
ได้มีโอกาสทำสิ่งที่สูงไปกว่า การกิน การนอน
การรู้สึกกลัวแล้วหนีภัย และการเสพย์เมถุนธรรม ซึ่งทั้ง
4 อย่างนี้ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานก็ทำเป็น
รวมความว่า ความมุ่งหมายอันแท้จริง
หรือดวงวิญญาณแห่งการบวชนั้น อยู่ที่ความเร็วและ
ความกว้างขวางไพศาลหาขอบเขตมิได้
ของการบำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น
ของบุคคลผู้มีจิตใจสูงกว่าระดับธรรมดา ถึงกับ
สามารถละชีวิตแห่งการครองเรือนมาสู่ชีวิตแห่งความ
เป็นผู้ไม่มีเรือนดังกล่าวแล้ว
ขอให้พวกเราผู้บวชแล้วทุกคน จงได้สนใจ
และพยายามทำความเข้าใจในความมุ่งหมายอันแท้จริง
ซึ่งเป็นดวงวิญญาณแห่งการบวชนี้เถิด จักเป็นกุศลอัน
ใหญ่หลวง คือทำให้ตนกล้าเสียสละผลอย่างโลก ๆ
เพื่อผลอันสูงสุด แล้วทำตนให้ก้าวหน้าไปได้ในทางสูง
อย่างเป็นที่น่าบูชาทั้งของเทวดาและมนุษย์ได้จริง
ข้อพึงระลึกเกี่ยวกับการบวช
เมื่อพูดถึงการบวช ข้อแรกที่สุดที่อยาก
จะเตือน ก็คือ ข้อที่ว่า การบวชนี้ บวชกันด้วย
ความสมัครใจ
นับตั้งแต่สมัยพุทธกาลมาจนถึงปัจจุบันนี้
เราบวชโดยไม่มีใครบังคับและไม่มีความจำเป็นอย่าง
ใดบังคับ จึงจะนับว่าเป็นการบวชที่บริสุทธิ์และถูกต้อง
เราควรจะสำนึกถึงข้อที่สมัครใจบวชเอง
กล่าวคำขอบรรพชา และขออุปสมบทด้วย
ความรับผิดชอบของตนเอง จึงจำเป็นที่จะ
ต้องรักษาเกียรติยศของตนเอง ในการที่จะประพฤติ
และกระทำให้สมกับคำที่ว่า การบรรพชา
และอุปสมบทนี้เราขอรับไปถือปฏิบัติด้วย
ความสมัครใจของตนเอง ถ้ามิฉะนั้นแล้ว ก็จะ
เป็นการเสียวาจาและ
เป็นการเสียเกียรติยศของบุคคลที่มาขอยืนยันรับเอาไปเอง
แล้วไปประพฤติปฏิบัติให้สมกับที่ขอเข้ามาเอง
ข้อต่อไป ซึ่งจะต้องสำเหนียกไว้ ก็คือ
ข้อที่ว่า การขอบรรพชาอุปสมบทนั้นเป็นพิธีที่ทำกัน
ในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ คือ โรงอุโบสถ และ
ในท่ามกลางสงฆ์และต่อหน้าพระพุทธปฏิมา ซึ่ง
เป็นประมุขแทนองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
ในโรงอุโบสถนั้นๆ เพราะฉะนั้นควรจะถือว่า
เป็นการกระทำที่จริงจังที่สุดไม่ใช่ทำกันเล่นๆ เพราะทำ
ในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์
ในนามของพระรัตนตรัยอันศักดิ์สิทธิ์ และด้วย
ความหวังของทุกคนที่มาประชุมกันอยู่ในที่
นั้นอย่างสุดจิตสุดใจว่า การกระทำอันนี้ จะเป็นความดี
ความงามอย่างสูงสุด เพราะเหตุฉะนี้แหละ ผู้บวชแล้ว
จักต้องสำเหนียกในข้อที่ตนจะต้องประพฤติตน ให้สม
กับที่ตนได้ลั่นวาจาขอบรรพชาอุปสมบท
และปฏิญาณตนว่า
จะประพฤติตามธรรมวินัยของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
ในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ และในโอกาสอันศักดิ์สิทธิ์นั้น
ถ้ามิฉะนั้นแล้ว ก็จักกลายเป็นการหลอกลวง
ในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ และต่อหน้าบุคคล ซึ่งประชุมกัน
ในนามของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า นับว่า
เป็นการเสียหายอย่างใหญ่หลวง
อีกประการหนึ่ง สิ่งซึ่งจะลืมไม่ได้
ก็คือข้อที่ว่า พวกเราทุกคนบวชนี้ เพราะเห็นแก่
ความประสงค์ของมารดาบิดาผู้เป็นบุพการี มีอุปการคุณ
เป็นอย่างยิ่ง ซึ่งถ้าจะทำให้เป็นจริงเป็นจัง
และสมจริงตามความหวังอันนี้แล้ว จัก
ต้องปฏิบัติธรรมวินัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ให้สุดกำลังกายกำลังใจ จึงจะไม่เป็นการขบถ หรือย่ำยี
ความหวังและความไว้วางใจของผู้มีบุญคุณเหล่านั้น
รวมความว่า ผู้บวชแล้วจะต้องระลึกนึก
ถึงข้อที่ตนขอบรรพชาอุปสมบทเอง
ข้อที่ทำพิธีในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์
ในโอกาสอันศักดิ์สิทธิ์ และข้อที่ทำเพื่อหวังจะตอบสนอง
ความมุ่งหวังของมารดาบิดา เป็นเบื้องต้นก่อนสิ่งอื่น
ถ้าผู้ใดยังคงระลึกอยู่
ได้ดังกล่าวตลอดเวลาเพียงใด ความระลึกอันนี้ย่อม
เป็นอำนาจ และกำลังบังคับ ให้ผู้นั้นมีความอดกลั้นอดทน
ปฏิบัติธรรมวินัยเต็มตามกำลังกาย กำลังใจ
และกำลังสติปัญญาของตน อยู่เพียงนั้น
นี่เป็นข้อแรก ที่ขอเตือนให้ระลึก
อยู่เสมอเกี่ยวกับการบวช
สรุปความ
ผู้ที่บวชที่ประสงค์จะได้รับผลแห่งการบวช
จักต้องระลึกหรือสำนึกถึงความที่ตนจะต้องรับผิดชอบ
ในความล้มเหลว หรือ ความประสบผลสำเร็จ
ในการบวชของตนด้วยตนเอง เพราะตนขอบวชด้วย
ความสมัครใจของตนเอง
เพื่อเป็นเครื่องเตือนตนไม่ให้เป็นผู้เสียหาย
ในการปฏิญาณตน จักต้องระลึกถึงข้อที่
ได้ทำพิธีขอบวชของตนในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์
ในโอกาสอันศักดิ์สิทธิ์ ในท่ามกลางหมู่คณะที่ประชุมกัน
ในนามของพระรัตนตรัย
ตนจะต้องมี หิริและโอตตัปปะ ในการที่
จะรักษาเกียรติยศของตนตามที่ได้ปฏิญาณ
ในการบวชของตนไว้อย่างไร เป็นผู้สำนึก
ในลักษณะของการบวชอันแท้จริง กล่าวคือ การไปหมด
จากเรือน จากการกินอยู่นุ่งห่ม การใช้สอย การทำ
การพูด และความรู้สึกคิดนึกอย่างฆราวาสโดยสิ้นเชิง
และเป็นผู้เว้นหมดจากสิ่งที่ควรเว้นควรละ
ตามธรรมตามวินัยในพระศาสนานี้
ทำการบวชของตน ให้
เป็นการบวชที่บริสุทธิ์และถูกต้อง ไม่นำมา
ซึ่งอันตรายแก่ตน เพราะการบวชของตน มีพระรัตนตรัย
ซึ่งมีใจความสำคัญรวมอยู่ที่ ความสะอาด สว่าง สงบ
เป็นวัตถุที่ตั้งอาศัย เป็นการบวชที่นำมาซึ่งผลอันจะพึง
ได้แก่ตน แก่ผู้มีบุญคุณของตน ตลอดถึงผลที่จะพึง
ได้แก่พระศาสนา
ความเป็นอย่างนี้ ย่อมสำเร็จประโยชน์ได้
ถึงที่สุด เพราะตนมีอาวุธอันประเสริฐของบุคคลผู้บวช
แล้ว กล่าวคือ กัมมัฏฐาน อันเป็นประธาน
มีอสุภกัมมัฏฐานเป็นต้น และประกอบด้วยกัมมัฏฐานอัน
เป็นบริวาร มีการพิจารณา จตุปัจจัยเครื่องอาศัยทั้ง 4
อย่างของบรรพชิต แล้วบริโภค สำเร็จประโยชน์
ได้อย่างบริสุทธิ์ นับว่าเป็นอาวุธและเป็นทั้งเครื่องป้องกัน
ในการบำบัดอันตราย อันจะพึงเกิดขึ้นแก่บรรพชาของตน
จนกระทำให้ตนมีสิทธิอันชอบธรรม ที่จะรับทักษิณาทาน
และการกราบไหว้บูชา ทั้งของเทวดาและมนุษย์
รู้จักถือเอาประโยชน์อันสูงสุด ซึ่งเป็น
ความมุ่งหมายอันแท้จริงแห่งการบวช กล่าวคือความ
เร็วไวในการบรรลุมรรคผลและโอกาสที่ตน
สามารถบำเพ็ญประโยชน์ตน และประโยชน์ผู้อื่น
ได้กว้างขวางไพศาลสูงสุด อย่างไม่มีขอบเขต
สมกับพระบาลีที่ว่า “อปิ รชฺเชน ตํ วรํ”
ซึ่งมีใจความว่า “บรรพชานั้นเป็นสิ่งประเสริฐกว่าการ
เป็นจักรพรรดิ์” ดังนี้โดยไม่ต้องสงสัยเลย
ขอให้เราทั้งหลาย ผู้บวช
เป็นสมณะศากยบุตร
ในพระพุทธศาสนาของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จง
ได้รักษาเกียรติแห่งความเป็นสมณะศากยปุตติยะไว้ให้
ได้ โดยการทำตนให้ประสบผลแห่งการบวช
โดยหลักเกณฑ์ดังกล่าวมาแล้วนั้น ทุกประการ
~ พุทธทาสภิกขุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 มี.ค. 2015, 13:32 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ขออนุโมทนา สาธุค่ะ ได้รับประโยชน์มากค่ะ :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร