ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
...กรรมฐานรักษาโรคได้จริงหรือ ?...(น.ส.ชิตรัตน์ อนุฤทธิ์) http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=19287 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลูกโป่ง [ 01 ธ.ค. 2008, 11:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | ...กรรมฐานรักษาโรคได้จริงหรือ ?...(น.ส.ชิตรัตน์ อนุฤทธิ์) |
![]() กรรมฐานรักษาโรคได้จริงหรือ ? น.ส.ชิตรัตน์ อนุฤทธิ์ อายุ ๕๖ ปี การเคหะเมืองใหม่บางพลี จ.สมุทรปราการ เมื่อวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๔๐ ดิฉันได้เข้ารับการตรวจร่างกาย ที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ และคุณหมอที่นั้น ท่านได้บอกกับดิฉันว่าต้องผ่าตัดด่วน เพราะเป็นเนื้องอกไม่พึงปรารถนา และให้ดิฉันกลับบ้านไปเตรียมตัวเข้ารับการผ่าตัดในวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๔๐ ดิฉันเองก่อนที่จะมาตรวจที่สถาบันมะเร็งแห่งชาตินี้ ก็ได้รักษาอยู่ต่างจังหวัดมาก่อน คุณหมอที่นั้นบอกว่า เป็นต่อมน้ำเหลืองอักเสบรักษาอยู่ประมาณ ๕ เดือน ไม่ยุบและก็ไม่แตกมีแต่อาการที่โตขึ้น และปวดมากขึ้น ทำให้เกิดความกังวลใจ เพราะว่าเวลาปวดก็ปวดแบบสุด ๆ เลย ไม่ปวดก็ไม่ปวด วัน ๆ หนึ่งจะปวดก็แค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น ปวดนี้จะปวดเข้าสมองเลย ทุกครั้งที่ปวดก็คิดว่าตายดีกว่าอยู่ทรมานอย่างนี้ ในที่สุดดิฉันก็เขียนจดหมายถึงพระเดชพระคุณหลวงพ่อจรัญ แห่งวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี เพราะว่าดิฉันเคยอ่านหนังสือที่หลวงพ่อเขียนท่านเล่าว่า มีคนเป็นมะเร็งและเคยผ่าตัดถึงสี่ครั้ง และกำลังจะผ่าครั้งที่ห้า ก็มาหาหลวงพ่อ เขาบอกว่าจะตายก็มาตายที่หลวงพ่อเถิด เพราะว่าไม่อยากจะผ่าอีกแล้ว หลวงพ่อก็ให้เข้ากรรมฐานและโรคดังกล่าวก็หายไปได้ แต่แล้วในที่สุดหลวงพ่อก็ตอบจดหมายมานับได้ ๑๖ วัน วันที่ได้รับจดหมายของหลวงพ่อดีใจเป็นที่สุด คิดไว้ว่าท่านจะตอบว่าอย่างไร ขอให้ตอบมาก็เป็นบุญแล้ว จดหมายของหลวงพ่อเป็นยาชนิดหนึ่งเป็นโอสถทิพย์ คือ กำลังใจที่ได้รับ คนเราเวลาทุกข์ยากนั้นได้กำลังใจแล้วมีกำลังที่จะต่อสู้ต่อไป โดยเฉพาะจดหมายของหลวงพ่อ ดิฉันถือว่าเป็นยาวิเศษที่สุด คือ หลวงพ่อให้ธรรมะจนดิฉันอ่านแล้วอ่านอีก จนกระดาษเปื่อยก็ยังไม่อิ่มในการอ่าน อ่านได้ทุกวัน และวันละหลายครั้ง ประทับใจตรงที่ว่า “ขอให้คุณโยมจงทำใจให้ได้นะว่าอะไร ๆ ในโลกนี้มันไม่เที่ยง อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด จะไปขัดขวางไม่ได้ อาตมาขอให้โยมขออโหสิกรรมกับเจ้ากรรมนายเวรเขาเสีย เวรกรรมอะไรที่มีอยู่ก็ขอให้หมดไปในชาตินี้ ขออย่าให้ไปถึงชาติหน้าอีกเลย อาตมาก็ขอแผ่เมตตาให้ ขอให้คุณโยมจงหายจากโรคภัยไข้เจ็บ และขอให้คุณโยมทำสมาธิให้มาก ๆ และให้สวด อิติปิโส พาหุงมหากาฯ และอาตมาขอให้คุณโยมไปให้หมอเช็คร่างกายให้แน่นอนอีกครั้งหนึ่ง ทางที่ดีที่สุดคือ ไปที่สถาบันมะเร็งโดยตรง อาตมาก็จะแผ่เมตตาไปให้ ขอให้คุณโยมทำตามที่อาตมาบอกเถิด และกรรมฐานมาก ๆ และอย่าลืมแผ่เมตตาให้กับคนในครอบครัวมาก ๆ อย่าลืมอุทิศส่วนกุศลให้มาก ๆ จะได้หมดเวรหมดกรรมกันในชาตินี้จบสิ้นไป โยมไม่เป็นอะไรหรอก” ดิฉันซาบซึ้งในพระคุณของหลวงพ่อที่เมตตาต่อดิฉันมาก พระคุณอันนี้จะจดจำเอาไว้จะไม่มีวันลืมเลย ที่หลวงพ่อได้เมตตา ให้สติ ให้ธรรมะ จนดิฉันมีกำลังใจต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ และวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๔๐ ไปตรวจที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ถนนราชวิถี คุณหมอบอกว่าต้องผ่าด่วน และให้ดิฉันกลับบ้านไปเตรียมตัวผ่าตัดในวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๔๐ ดิฉันก็กลับเหมือนกัน กลับจากโรงพยาบาลมาบ้านพักที่หมู่บ้านทานสัมฤทธิ์ ที่เป็นบ้านพี่ที่เป็นญาติกันบอกกับพี่จะไปวัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี สัก ๓ วัน ไปหาหลวงพ่อก็เพราะว่าหนีการผ่าตัด เพราะคิดว่าผ่าก็ตาย ไม่ผ่าก็ตาย เพราะฉะนั้นก่อนตายก็ขอเก็บเกี่ยวเอาผลบุญไปเป็นเสบียงไว้บ้าง ดิฉันเองก็เคยปฏิบัติธรรมมาบ้างรู้บ้างเล็กๆ น้อยๆ เพราะเคยปฏิบัติมาจากวัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ แต่เนื่องจากว่าต้องทำงานหาเลี้ยงชีพเลยไม่ได้เอาอย่างจริง ๆ มาถึงตอนนี้เมื่อรู้แน่แล้วว่าตายแน่ก็ต้องเอาจริงกันละ เผื่อว่าตอนที่ตายไปจะไม่ต้องลำบากเหมือนขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็เลยตั้งใจจริงเรียกว่าเตรียมตัวตายกัน ดิฉันเดินทางมาสิงห์บุรีคนเดียว มาถึงก็บ่ายจะสองโมง ไปขอเข้าอบรมกรรมฐานไม่มีผู้รับรองเพราะว่า มาคนเดียว ก็ได้ผู้ที่เข้ากรรมฐานด้วยกันรับรองให้เสร็จแล้วก็ไปนั่งคอยหลวงพ่อ เพราะเขาบอกว่าหลวงพ่อจะลงมาตอนบ่าย ก็นั่งคอยนานและแขกก็มากมาย ดิฉันไม่กล้าที่กราบเรียนท่าน เพราะเห็นว่าลูกศิษย์ของท่านมากมายนัก ก็เลยถวายดอกไม้และปัจจัยแล้วลาท่านเข้ากรรมฐาน แต่ดิฉันแปลกใจมากตอนที่ดิฉันเข้าไปหาท่าน หลวงพ่อท่านเห็นดิฉันแล้วท่านมองจ้องอย่างกับว่า ท่านเห็นหนออะไรสักอย่างหนึ่ง แต่พอดิฉันเข้าไปใกล้ท่าน ท่านก็หลับตาเสีย ดิฉันเลยถวายของแล้วกราบลาท่านไม่กล้าถามอะไรท่านเลย ตอนเย็นก็ฝากจดหมายกับคุณสมประสงค์ กราบเท้าหลวงพ่อขอเมตตาว่า ดิฉันเดินทางมาจากนครศรีธรรมราชแล้ว ให้หลวงพ่อแผ่เมตตาให้ คุณสมประสงค์ก็กลับมาบอกว่า คืนนี้หลวงพ่อจะนั่งแผ่เมตตาให้ ขอให้สบายใจเถอะ คืนนั้นเมื่อเลิกกรรมฐานแล้วต่างคนก็ต่างเข้านอน เพราะอากาศหนาวก็รีบนอนกัน ดิฉันหลับไปมาตกใจตื่นเมื่อคล้าย ๆ กับมีคนมาเรียกว่า “ตื่น ๆ เร็วหลวงพ่อกำลังแผ่เมตตามาให้เข้าสมาธิเร็ว” ได้ยินชัดเจนทีเดียว แล้วก็รีบลุกขึ้นมานั่งสมาธิทันที พอนั่งได้สักประมาณ ๕ นาที เนื้อตัวรู้สึกร้อนขึ้นเรื่อยและที่เม็ดที่ข้างคอเริ่มเต้น และเต้นอยู่ประมาณ ๕ นาที แล้วก็หยุด และค่อย ๆ เย็นลงจนเป็นปกติ ดิฉันก็นอนต่อแต่นอนไม่หลับดูนาฬิกาบอกเวลา ๐๐.๑๕ นาฬิกา ที่นอนไม่หลับก็แปลกใจว่าใครมาเรียก และเรียกคำเดียวก็ตื่นเลย ตื่นมาก็ไม่ได้ขอบคุณเขาที่อุตส่าห์มาเรียกให้ แล้วคนนั้นเขาไปไหน ทำไมเราไม่เห็น และอาการที่ตัวร้อนในขณะนั้นมันก็ร้อนแปลก ๆ เหมือนกับเราเดินผ่านกองไฟร้อน ๆ มา แต่พอผ่านพ้นไปแล้วมันก็เย็น แต่นี่มันร้อนไปทั้งตัวรวมทั้งภายในด้วย และร้อนอยู่นานกว่าจะเย็น มันให้แปลกใจจริง ๆ คิดไปคิดมาก็เคลิ้มไปนิดหนึ่งก็ได้เวลาเตรียมไปสวดมนต์ตอนตีสี่ ระฆังจะปลุกตอนตีสามครึ่งทุกวัน ดิฉันอยู่ปฏิบัติที่วัดอัมพวันครบ ๓ วันพอดี ก่อนกลับได้พบหลวงพ่อกราบลาท่าน และท่านก็ได้ถามว่าหมอบอกว่าเราเป็นมะเร็งใช่ไหม? ก็กราบเรียนท่านว่าเขาว่าเป็นเนื้องอกต้องผ่าออกด่วนอันตรายมาก และดิฉันก็ใคร่จะกราบเรียนถามหลวงพ่อว่า ดิฉันควรผ่าหรือไม่ควรผ่า หลวงพ่อตอบทันทีว่า เรื่องนี้หลวงพ่อตัดสินให้ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องที่ควรตัดสินใจเอง หลวงพ่อบอกไม่ได้ แต่ไม่เป็นไรหรอกกรรมฐานมาก ๆ เข้าแล้วก็หายเอง ดิฉันขอยาหลวงพ่อบอกว่า เอาน้ำมันมนต์ไปทาและกรรมฐานมาก ๆ โดยเฉพาะยืนหนอ… ทำให้ได้ แต่อย่าทำแบบหนอ ๆ แหน ๆ แล้วไปหลอ ๆ แหล ๆ นะโยมนะ ทำให้จริงจังรับรองหายทุกราย ดิฉันจำคำหลวงพ่อเอาไว้ แล้วกลับมาทำต่อที่บ้านและจัดธุระให้เข้าที่เข้าทาง ดิฉันกลับมาอีกวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ ไม่ไปบ้านแต่ไปพักกับคุณแม่ดวงรัตน์ที่วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ ตอนแรกก็คิดว่าไปสัก ๒ วัน แล้วเลยไปวัดอัมพวัน แต่เมื่อขึ้นไปกราบท่านพ่อลี ก็เปลี่ยนใจประกอบกับคุณแม่บอกว่า อยู่กรรมฐานที่นี้ก็ได้ไม่ต้องไปถึงโน้นหรอกที่นี้ก็มีหมออยู่ พระท่านก็มียาดีเหมือนกัน ก็อยู่ทานยาด้วยและสมาธิด้วย วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๔๐ ดิฉันก็ขออนุญาตคุณแม่ไปวัดอัมพวันอีก เพราะตอนนี้เม็ดที่คอทำท่าจะเปลี่ยนไป คือ มันจะแตกก็ไม่แตก จะยุบก็ไม่ยุบ มันอยู่คงที่อยู่อย่างนั้น ดิฉันไปถึงวัดอัมพวันยังเช้าอยู่ เอาดอกไม้จัดไปถวายพระและไปกราบพระรูปของรัชกาลที่ ๕ ด้วย พร้อมทั้งสมเด็จพุฒาจารย์โต พรหมรังสีด้วย และขออยู่กรรมฐาน ๗ วัน คราวนี้มีอะไรแปลก ๆ อีก ออกจากที่ปฏิบัติกรรมฐานมานอนที่พักเหมือนกับมีคนมาปัดเป่าให้ ดิฉันอยากอยู่หลายวันแต่ทางวัดเขาจัดให้แค่ ๗ วันเท่านั้น และพอเอาจิตไปกำหนดที่แผลก็เกิดการตอบรับกันขึ้น คือ ที่แผลตรงนั้นจะเต้นตุ๊บ ๆ ๆ จนเรารู้สึกเต้นแรงมากจะเต้นอยู่อย่างนี้ประมาณ ๕ นาที แล้วหยุดก็เต้นใหม่เหมือนอัตโนมัติ ตอนที่มานั้นแผลมันสีม่วง และพอมาอยู่ได้แค่สองวันคือวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๐ เม็ดที่คอก็เริ่มเปลี่ยนจากสีม่วงเป็นสีแดง และค่อย ๆ แดงจัดขึ้นมาเรื่อย ๆ วันที่ ๖ ธันวาคม ๒๕๔๐ ตอนเช้าแผลก็แตกออกมาเป็นเลือดสด ๆ เหมือนกับเอามีดไปกรีดออกมาอย่างนั้น เอากระดาษทิชชูเช็ด เช็ดสองสามครั้งก็หมดและแผลก็แห้ง แต่ตอนนั้นกำลังเดินจงกรมอยู่ ก็ไม่รู้จะเอาอะไรปิดปากแผลพอดีเห็นต้นพลู เอาใบพลูนั้นมาปิดปากแผลไว้ก่อน ใบพลูนี้เป็นใบพลูที่แม่ใหญ่ปลูกไว้ พวกกรรมฐานเขาบอกว่า แม่ใหญ่ปลูกเอาไว้และแม่ใหญ่ยังบ้วนน้ำหมากใส่ด้วย เป็นยาอีกขนานหนึ่งดีจริง ๆ ตามธรรมดาใบพลูนี้เผ็ดร้อน แต่เมื่อเอาปิดปากแผลกลับเย็นฉ่ำเลยก็น่าแปลก ปิดอยู่ได้ทั้งวัน พอเย็นเอาใบพลูออกกลับเป็นว่า ใบพลูนั้นแห้งกรอบเลย แต่ก็ดูดน้ำเหลืองและเลือดติดใบพลูออกมาด้วย และเมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วก็เอาน้ำมันมนต์ของหลวงพ่อมาทา ที่ใบพลูเอามาปิดปากแผล และวันรุ่งขึ้นก็มีเลือดออกมาอีก แต่น้อยกว่าเมื่อวาน ยังสีสดเหมือนเดิมเป็นเลือด วันรุ่งขึ้นก็มีเลือดไหลอีก แต่คราวนี้ก็น้อยกว่าเมื่อวานหน่อยหนึ่ง และพอตอนเย็นมีเลือดปนน้ำเหลืองออกมาอีก และเอาน้ำมันมนต์ของหลวงพ่อทาใส่ใบพลูปิดเอาไว้อีก และตอนนี้จะมีแต่น้ำเหลืองออกมาเรื่อย ๆ แต่ไม่มาก พอครบ ๗ วัน ก็เอาใบพลูปิดไว้กลับมา ที่วัดอโศการาม สมุทรปราการ แผลเกือบจะสนิท พระอาจารย์บุญชู เห็นก็บอกโยมเอายาแก้น้ำเหลืองไปทานนะ มันจะได้หายเร็วขึ้น ก็ทานยาของท่านพระอาจารย์บุญชูด้วย ทาน้ำมันมนต์ของหลวงพ่อด้วยก็เลยหายเร็ว ดิฉันกลับมาปฏิบัติต่อที่วัดอโศการาม สมุทรปราการ อยู่อีก ๑๕ วันก็กลับบ้าน อาการดังกล่าวยังคงเหลือแต่ปวดขากรรไกร มันเป็นเพราะก่อนหน้านี้ปวดชนิดที่อ้าปากไม่ขึ้นเลย ทานข้าวแต่ละมื้อมันสุดแสนจะเวทนา อ้าปากถึงสามสี่ครั้งถึงจะเอาข้าวใส่ในปากได้ ปัจจุบันนี้หายแล้ว เพราะพอแผลมันหาย อยู่มาอีกหลายเดือนกว่าอาการปวดขากรรไกรจะหาย ทรมานอีกประมาณ ๕ เดือน รวมเวลาที่เป็นนี้ ๑๑ เดือนพอดี คือนับตั้งแต่วันที่รู้สึกก็เดือนมิถุนายน ๒๕๔๐ และมาหายเป็นปกติเมื่อเดือนเมษายน ๒๕๔๑ ด้วยเหตุนี้ดิฉันจึงตั้งหัวข้อว่า การปฏิบัติธรรมเข้ากรรมฐานรักษาโรคได้จริงหรือ? คำตอบก็คือได้จริง ๆ เพราะว่าการปฏิบัติธรรมเข้ากรรมฐานนั้นไม่ใช่ของที่จะทำกันเล่น ต้องทำกันจริง ๆ ถึงจะบรรลุผลอย่างที่ดิฉันปฏิบัติมานี้ เพราะว่าบางขั้นบางตอนยังมีเอาอย่างอื่นมาผสมด้วย เช่น น้ำมันมนต์ของหลวงพ่อที่ใช้ทา และใบพลูนั้นที่รู้มาก็รักษามะเร็งได้ผลเหมือนกัน และรับประทานยาของพระอาจารย์บุญชูอีก แต่ที่จริง ๆ แล้วเขาบอกว่าผู้ที่ปฏิบัติจริง ๆ แล้วไม่ต้องใช้ยาเลย อันนี้ดิฉันเชื่อ ๑๐๐ % แต่คนเราส่วนมากรวมทั้งดิฉันด้วย ก็เกิดอาการกลัวก็เอาโน้นบ้างนี้บ้างมาช่วยกัน แต่จริงแล้วสำหรับดิฉันได้ตั้งใจว่า ก่อนที่จะตายก็ขอเก็บเกี่ยวบุญเอาไว้เป็นเสบียงไว้บ้าง กรรมฐานดีที่สุด เพราะขณะที่เข้ากรรมฐานอยู่ เรายังได้พบกับอะไรต่อมิอะไรมากมายนัก มีคนมาช่วยปัดเป่าให้ และยังมีผู้ที่ไม่เห็นตัวตนมาให้คาถาให้อีกต่างหาก แต่ถ้าไม่เข้ากรรมฐานใครที่ไหนจะมาให้เราได้ เพราะฉะนั้นกรรมฐานนอกจากรักษาโรคได้แล้ว กรรมฐานยังช่วยแก้กรรมให้ได้อีกด้วย และกรรมฐานยังช่วยสงเคราะห์ญาติพี่น้อง ที่ตายไปให้ได้รับส่วนบุญกุศลอีกด้วย คัดลอกจาก... http://www.alternativecomplete.com/jarun/j12.htm ![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | พลศักดิ์ วังวิวัฒน์ [ 04 ธ.ค. 2008, 12:39 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ...กรรมฐานรักษาโรคได้จริงหรือ ?...(น.ส.ชิตรัตน์ อนุฤทธิ์) |
กรรมฐานรักษาโรคได้จริงครับ และเรายังสามารถแผ่เมตตาจากกุศลกรรมฐานไปรักษาโรคของคนอื่น ได้ด้วย |
เจ้าของ: | ทางเดินที่พ้นทุกข์ [ 04 ธ.ค. 2008, 22:32 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ...กรรมฐานรักษาโรคได้จริงหรือ ?...(น.ส.ชิตรัตน์ อนุฤทธิ์) |
กรรมฐานรักษาโรคได้จริงๆ คะเพราะเรื่องนี้ puy ได้พิสูจน์ด้วยตัวเองและประสพผลสำเร็จมาแล้ว เมื่อปีที่ผ่านมา puy ได้ไปหาหมอและหมอบอกว่าเป็นเนื้องอกที่มดลูกและเป็นซีดที่เต้านม และตอนแรกหมอจะผ่าตัดแต่ puy ขอไปตรวจอย่างละเอียดที่กรุงเทพฯ อีกครั้งและก่อนไปก็ไปปฏิบัติกรรมฐานและได้ส่งอารมณ์ท่านอาจารย์ว่าจะไปหาหมอที่กรุงเทพฯ ท่านอาจารย์ก็บอกว่าไม่ต้องไปหรอก ให้ปฏิบัติให้จบพื้นฐานแล้วจะหายเอง แต่ตอนนั้นก็บอกท่านอาจารย์ว่ายังไงก็ขอไปตรวจอีกครั้งแล้วค่อยมาปฏิบัติ พอไปตรวจที่กรุงเทพฯ หมอก็บอกว่าไม่ต้องผ่า เป็นเนื้องอกธรรมดาให้ 3 เดือนมาเช็กใหม่หลังจากกลับก็ไปปฏิบัติธรรมกับท่านอาจารย์ ซึ่งท่านสอนวิธีการปฏิบัติแบบพองยุบและได้ไปเรียนจนจบพื้นฐานจนครบ 2 เดือนและหลังจากนั้นอยู่ทวนญาณอีก 1 รอบ รวมเป็น 3 เดือนก็ลาสิกขามาอยู่ที่บ้าน พอกลับมาก็ไปให้หมอเช็คร่างกายอีกครั้งหนึ่ง ซีดที่เต้านมก็หายไปเลือเพียง 2 ก้อนเล็กๆ หลังจากนั้นอยู่ที่บ้านก็ทวนญาณเองอีก 2 รอบแล้วไปตรวจใหม่ คราวนี้หมอบอกว่าก้อนเนื้องอกที่มดลูกยุบตัวเล็กลง ส่วนซีดนั้นที่เต้านมซ้ายหายไป เหลือเต้านมขวาอีกนิดเดียวซึ่งก้อนซีดก็เล็กลงกว่าเดิมมาก เหลืออีกนิดเดียวก็ไม่มีแล้ว และหมอก็ถามว่าไปทำอะไรมา ก็บอกว่าไม่ได้ทำอะไรเพียงแต่ไปปฏิบัติธรรมและรับประทานผลไม้และผักมากขึ้น หมอจึงขอดูฟิลม์เก่าและบอกว่าเป็นไปได้ยังไงที่เนื้องอกเล็กลงได้ในเวลา 2 เดือนกว่าๆ นี้คือประสบการณที่ puy ประสพมาด้วยตัวเอง เพราะฉะนั้นก็ขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่ป่วยทุกท่านนะคะ ขอให้โชคดีและมีพลังใจในการที่เราต้องต่อสู่กับโรคร้ายลองอ่านบทความนี้ดูนะคะ สมาธิ VS มะเร็ง นพ.ชูฤทธิ์ เต็งไตรสรณ์ ผู้รับผิดชอบโครงการสมาธิบำบัดในภาวะสุขภาพองค์รวมเฉลิมพระเกียรติฯ และผู้เขียนหนังสือในโครงการดั๊บเบิ้ลเอสื่อสร้างปัญญา "สมาธิบำบัดกำจัดได้ทุกโรค" กล่าวว่า กาย-ใจมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง ความเครียดทางใจส่งผลถึงระบบการทำงานของร่างกายได้ ความเครียดทำให้ภูมิคุ้มกันลด และเพิ่มอัตราการกลับเป็นมะเร็งซ้ำ ปัจจุบันมีการนำสมาธิรูปแบบต่างๆ ไปใช้ในเวชปฏิบัติของโรคทางจิตเวชและโรคทางกายหลายโรค โดยเฉพาะมะเร็ง วิธีรักษามะเร็ง-ดีที่สุด คือการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกไปทั้งหมด แต่บางครั้งต้องใช้วิธีผสมผสาน เช่น ฉายแสง ผ่าตัด และให้คีโม ล่าสุดมีงานวิจัยระบุว่า การฝึกสมาธิและการสะกดจิต ช่วยให้ผู้ป่วยมะเร็งดีขึ้น Cognitive-Behaveioral Therapy หรือการฝึกอบรมจิตบำบัดด้วยการปรับกระบวนการคิดและพฤติกรรมทางปัญญา พบว่าสามารถลดอาการเจ็บป่วยของผู้ป่วยมะเร็งได้ "ปัจจุบันมีการใช้การแพทย์ทางเลือกบางอย่างเพื่อลดการใช้ยาของผู้ป่วยมะเร็ง เช่น การบริหารร่างกาย การนวด การใช้กลิ่นบำบัด การทำสมาธิ การทำโยคะ และการอธิษฐานจิต หรือการตั้งใจมั่นว่าจะทำ อะไร และพยายามทำให้สำเร็จ" นพ.ชูฤทธิ์ กล่าวว่า ในงานวิจัยยังระบุถึงผู้ป่วยมะเร็งเต้านมและต่อมลูกหมากที่รักษาตัวที่บ้าน 1 ปีควบคู่กับฝึกสมาธิ พบว่าคุณภาพชีวิตดีขึ้น ภูมิคุ้มกันดีขึ้น ความเครียดลด ความหงุดหงิดลด แถมความดันโลหิตลดลงอีกต่างหาก นพ.ชูฤทธิ์ เล่าว่า ที่โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ อุบลราชธานี ได้นำงานสมาธิบำบัดเข้าไปปรับใช้กับผู้ป่วยมะเร็งตั้งแต่ปี 2549 ปรากฏว่าประสบความสำเร็จมาก เช่น มีการฝึกสมาธิสั้นๆ 10 นาที แก่ผู้ป่วยขณะรอพบแพทย์ ผู้ป่วยพึงพอใจมากรู้สึกสงบลงและชอบที่ได้บุญขณะรอหมอ ผู้ให้บริการเองก็อิ่มใจ มีการทำสมาธิร่วมกันตามโอกาส ทุกเช้าแพทย์พยาบาลผู้ป่วยทำบุญใส่บาตรแก่พระที่มารับบาตรหน้าตึก ทุกพุธเย็นร่วมกันสวดมนต์ทำวัตรเย็น ก่อนผ่าตัดมีโอกาส เข้าไปไหว้พระ สวดมนต์ และทำสมาธิก่อนขึ้นเตียง (ผ่าตัด) ...คนไข้ที่นี่หน้าตาแช่มชื่นจนดูไม่เหมือนผู้ป่วยมะเร็งเลย น่าทึ่งมาก- ขอบอก อ่านมาถึงตรงนี้ อยากลองฝึกสมาธิกันบ้างหรือยัง |
เจ้าของ: | dinyloveu [ 13 พ.ค. 2009, 12:50 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ...กรรมฐานรักษาโรคได้จริงหรือ ?...(น.ส.ชิตรัตน์ อนุฤทธิ์) |
ดิฉันพาคุณปู่ อายุ 79 ไปตรวจพบว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ดิฉันไม่รู้จะทำยังไงดี ถ้ารักษาก็กลัวเคมีจะทำให้ซุดหนัก แต่ถ้าไม่รักษา หมอบอกว่าอยู่ได้ไม่เกิน 4 เดือน คุณปู่เลี้ยงดิฉันมา ดิฉันยังไม่ได้ดูแลท่านเท่าไร ท่านก็จะจากดิฉันไปแล้ว ดิฉันควรทำอย่างไรดี ควรรักษาหรือไม่ หรือไม่ควรแล้วพาไปหาหลวงพ่อแบบเจ้าของกระทู้ดี |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |