ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

กฎแห่งกรรมในพระไตรปิฏก : ‘โลภมาก’ ตายไปเป็นเปรต
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=19402
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ดาราวรรณ [ 06 ธ.ค. 2008, 09:13 ]
หัวข้อกระทู้:  กฎแห่งกรรมในพระไตรปิฏก : ‘โลภมาก’ ตายไปเป็นเปรต

รูปภาพ

กฎแห่งกรรมในพระไตรปิฏก : ‘โลภมาก’ ตายไปเป็นเปรต

ชีวิตของคนเรานั้น ตั้งอยู่บนความไม่แน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าตนเองจะตายวันไหน ทุกคนจึงต้องดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท ในยามที่มีชีวิตอยู่ควรจะแสวงหาธรรม ให้รู้เข้าใจความจริงของชีวิตและปฏิบัติต่อสิ่งต่างๆ อย่างถูกต้อง เพื่อเราจะได้มีแต่ความสุขความเจริญตลอดไป

การหลงผิดเป็นอันตรายอันยิ่งสำหรับชีวิต เพราะคนที่หลงผิดมักจะทำสิ่งที่ผิดตามมา อันจะส่งผลให้ตน เองพบแต่ความทุกข์ทรมานทั้งในโลกนี้และโลกหน้า สิ่งสำคัญที่สุดของชีวิตเราต้องมีความถูก ปฏิบัติถูก ไม่หลงยึดติดยึดมั่นกับสิ่งต่างๆ หากยังหลงติดอยู่กับทรัพย์สมบัติหรืออะไรก็ตาม หลังจากที่ตายไปแล้วก็อาจจะต้องเกิดเป็นเปรตก็เป็นได้

ดังเช่น ชีวิตของเศรษฐีคนหนึ่ง ที่เคยอาศัยอยู่ในกรุงสาวัตถี เขาดำเนินชีวิตด้วยความประมาท จนกระทั่งทำให้ต้องหมดสิ้นเนื้อประดาตัว ไม่มีทรัพย์สมบัติอะไรเลย ภริยาของเขาก็ตาย แต่เขายังมีลูกสาวคนหนึ่ง เขาได้ให้ลูกไปขออยู่อาศัยที่บ้านของเพื่อนไปพลางๆ ก่อน ส่วนตนเองได้ไปหายืมเงินจากเพื่อนบ้านมาได้ ๑๐๐ กหาปณะ นำไปซื้อสินค้าแล้วบรรทุกเกวียนไปค้าขาย ไม่นานนักก็ขายสินค้าหมด ได้เงินรวมต้นทุนและกำไร ๕๐๐ กหาปณะ จึงเดินทางกลับบ้าน

ในระหว่างทางนั้น มีพวกโจรดักซุ่มรอปล้นอยู่ พวกหมู่เกวียนจึงแตกกระจัดกระจายกันไปคนละทิศละทาง เขาได้นำเงินไปซ่อนไว้ที่กอไม้แห่งหนึ่ง แล้วแอบหลบอยู่อีกที่หนึ่งซึ่งไม่ไกลจากที่ซ่อนเงินมากนัก เมื่อพวกโจรวิ่งไล่ตามมาทันจึงจับเขาฆ่าทิ้ง หลังจากตายแล้ว เขาได้ไปเกิดเป็นเปรตอยู่ตรงนั้นนั่นเอง เพราะผลแห่งกรรมที่เขามีความโลภในทรัพย์สมบัติ

ส่วนพวกพ่อค้าที่หนีรอดจากพวกโจรมาได้ พอกลับไปถึงกรุงสาวัตถี จึงได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ลูกสาวของชายคนนี้ฟัง นางเสียใจมาก ร้องไห้อย่างหนัก คิดถึงพ่อที่ตายไป เพราะตัวเองก็ไม่มีใครเหลืออีกแล้ว ต้องอยู่โดดเดี่ยว ผู้เป็นเพื่อนกับพ่อของนาง ที่นางอาศัยอยู่ด้วยได้เข้ามาปลอบใจว่า อย่าเสียใจไปเลย เป็นของธรรมดาที่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ต้องแตกสลายไปในที่สุด ชีวิตก็เหมือนกับภาชนะดินที่ต้องแตกสลายไปสักวันหนึ่ง

“ความจริงอย่างหนึ่งที่เราต้องยอมรับคือว่า ทุกชีวิตจะต้องตาย ความตายเป็นเรื่องปกติธรรมดาของสรรพสัตว์ ไม่มีใครที่จะหนีรอดพ้นไปได้ ทุกคนล้วนต้องตายด้วยกันทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นอย่าเศร้าโศกเสียใจร้องไห้ไปเลย ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่มีพ่อแล้ว เราจะขอเป็นพ่อของเจ้าเอง เจ้าเป็นเหมือนกับลูกสาวของเรา จงอยู่ในบ้านหลังนี้ให้สุขสบายเหมือนอยู่ที่บ้านของพ่อแท้ๆ ของเจ้าเถิด”

นางได้ฟังคำปลอบใจเช่นนั้นจึงสามารถที่จะระงับความเศร้าโศกลงได้ จากนั้นมานางก็เกิดความเคารพศรัทธาและนับถือในตัวเพื่อนของพ่อมาก รู้สึกว่าเขาเป็นเหมือนพ่อแท้ๆ ที่คอยช่วยเหลือดูแลเอาใจใส่ทุกอย่าง นางจึงปฏิบัติรับใช้เขาด้วยความยินดี

วันหนึ่งนางคิดถึงพ่อที่ตายไปแล้ว จึงอยากจะทำบุญอุทิศไปให้ จึงต้มข้าวยาคู หาผลมะม่วงมีรสอร่อย วางไว้ในถาดสำริด ให้คนใช้ช่วยถือข้าวยาคูและผลมะม่วงที่เตรียมไว้ไปทำบุญที่วัด พอไปถึงก็ได้ถวายบังคมพระพุทธเจ้าและกราบทูลว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระองค์จงทำความอนุคราะห์ ด้วยการรับทักษิณาของหม่อมฉันหน่อยเถิด”

พระพุทธเจ้าเป็นผู้มีพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ เห็นนางแล้วก็อยากจะช่วยเหลือให้นางมีความสุขสบายใจ มีความร่าเริงยินดี นางได้ปูผ้าอาสนะอันบริสุทธิ์สะอาด ที่เตรียมนำมาถวาย พระพุทธเจ้าจึงทรงประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ จากนั้นนางจึงน้อมข้าวยาคูเข้าไปถวายพระพุทธเจ้าก่อนเป็นรูปแรก หลังจากที่พระองค์ทรงรับข้าวยาคูแล้ว นางจึงนำข้าวยาคูไปถวายแก่ภิกษุรูปอื่นที่เหลือทั้งหมด แล้วก็นำผลมะม่วงเข้าไปถวายพระผู้มีพระภาคเจ้าอีก พระองค์ก็ได้ทรงเสวยผลมะม่วงเหล่านั้น

เมื่อนางถวายบังคมพระองค์แล้วกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุญกุศลที่หม่อมฉันบำเพ็ญในวันนี้ด้วยการถวายเครื่องลาด ข้าวยาคู และผลมะม่วงนั้น ขอส่วนบุญกุศลนี้จงถึงแก่พ่อของหม่อมฉัน”

พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “จงสำเร็จอย่างนั้นเถิด” แล้วทรงกระทำอนุโมทนา นางถวายบังคมพระองค์แล้วกราบลากลับ หลังจากที่นางได้แผ่จิตอุทิศบุญกุศลที่ได้กระทำไว้ไปให้พ่อแล้ว พ่อซึ่งตายไปเกิดเป็นเปรตก็ได้รับบุญกุศลทันที โดยได้รับสวนมะม่วง วิมาน ต้นกัลปพฤกษ์ และสระโบกขรณี พร้อมกับทิพยสมบัติจำนวนมาก

ในเวลาต่อมา พ่อค้าที่จะเดินทางไปค้าขาย ได้เดินทางผ่านไปตรงที่พ่อของนางตาย ได้พากันพักแรมอยู่คืนหนึ่ง เปรตนั้นเห็นพ่อค้าเหล่านั้น จึงมาปรากฏตัวให้เห็น พร้อมกับสวนและวิมาน เป็นต้น พวกพ่อค้าเห็นเช่นนั้น จึงถามถึงสมบัติที่เปรตได้มาว่า

“สระโบกขรณีของท่านนี้ น่ารื่นรมย์ดี มีพื้นที่ราบเรียบ มีน้ำมาก ดารดาษไปด้วยดอกบัวชนิดต่างๆ มีดอกอันบานสะพรั่งเกลื่อนกล่นด้วยหมู่ภมร ท่านได้สระโบกขรณีอันเป็นที่ฟูใจนี้มาอย่างไร สวนมะม่วงของท่านนี้น่ารื่นรมย์ดี ออกผลทุกฤดูกาล มีดอกบานเป็นนิตย์ เกลื่อนกล่นไปด้วยหมู่ภมร ท่านได้วิมานนี้มาอย่างไรกันหรือ”

เปรตถูกพ่อค้าถามเช่นนั้นจึงได้เล่าเหตุทั้งหมดที่ตนได้สระโบกขรณี และทรัพย์สมบัติต่างๆ มา หลังจากเล่าจบแล้ว จึงได้พาไปดูทรัพย์ ๕๐๐ กหาปณะที่ตนซ่อนไว้ก่อนตาย และขอร้องพ่อค้าว่า ให้นำทรัพย์สมบัตินี้ไปครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งให้นำไปให้ลูกสาวของตน เพื่อให้นางนำไปชำระหนี้ที่เคยยืมมาลงทุนค้าขายก่อนตาย พวกพ่อค้ารับปากกับเปรต และเมื่อเดินทางกลับมากรุงสาวัตถีก็ได้เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ลูกสาวของเปรตฟัง พร้อมกับนำทรัพย์ที่เปรตผู้เป็นพ่อของนางฝากมามอบให้แก่นาง ลูกสาวของเปรตจึงได้นำเงิน ๑๐๐ กหาปนะไป ใช้หนี้ ส่วนที่เหลือได้มอบให้แก่ผู้ที่เป็นพ่อเลี้ยงของนาง

แต่ผู้เป็นพ่อเลี้ยงได้มอบทรัพย์ทั้งหมดคืนให้ บอกให้นางเก็บไว้ใช้สอย และขอให้นางแต่งงานกับลูกชายของเขา ซึ่งนางก็ยินดี เมื่อเวลาผ่านไป นางได้ลูกคนหนึ่ง เวลาที่นางล้อเล่นกับลูกมักจะพูดว่า ขอท่านทั้งหลายจงดูผลทานที่จะพึงเห็นเอง และผลแห่งความข่มใจ ความสำรวม เราเป็นทาสีอยู่ในตระกูลนี้ แต่มาบัดนี้ได้มาเป็นลูกสะใภ้ เป็นใหญ่ในตระกูล เป็นต้น

ต่อมาวันหนึ่ง พระศาสดาทรงตรวจดูสัตว์โลก ได้พิจารณาเห็นว่านางว่ามีญาณแก่กล้าพอที่จะสามารถบรรลุธรรมได้ จึงทรงแผ่พระรัศมีไปแสดงพระองค์ให้ปรากฏ ประหนึ่งประทับอยู่ข้างหน้าของนาง แล้วได้ตรัสว่า “ความประมาทย่อมครอบงำบุคคลผู้ติดอยู่ในความยินดียินร้าย และผู้ติดอยู่ในความรัก ความชัง ในทุกข์และสุข”

หลังจากเทศน์จบ นางก็บรรลุโสดาปัตติผล เกิดความเลื่อมใสศรัทธา ต่อมาอีกสองวันนางจึงได้ไปทำบุญถวายทานแด่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน

หากเราดำเนินชีวิตด้วยความประมาท ก็อาจจะพลาดพลั้งได้รับทุกข์ยากลำบากเหมือนกับเศรษฐีคนนี้ก็เป็นได้ ทุกคนจึงควรดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท หมั่นสั่งสมบุญกุศล อันจะเป็นปัจจัยทำให้เราได้รับแต่ความสุขความเจริญตลอดไปทั้งในชาตินี้และชาติหน้า

รูปภาพ


:b8: โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 ธันวาคม 2551 17:05 น.

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/