ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
กฎแห่งกรรมในพระไตรปิฎก : เปรตปากสุกร http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=19403 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ดาราวรรณ [ 06 ธ.ค. 2008, 09:45 ] |
หัวข้อกระทู้: | กฎแห่งกรรมในพระไตรปิฎก : เปรตปากสุกร |
กฎแห่งกรรมในพระไตรปิฎก : เปรตปากสุกร ครั้งหนึ่ง สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประทับอยู่ที่เวฬุวันวิหาร ณ กรุงราชคฤห์ ทรงปรารภถึง สุกรมุขเปรต ให้เป็นเหตุ จึงทรงตรัสเล่าเรื่องที่มีมาแล้วแต่อดีต ความว่า ในพระศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังมีภิกษุรูปหนึ่ง เป็นผู้บวชเข้ามาในพระศาสนาด้วยความเลื่อมใส ดำรงอยู่ได้ด้วยความเพียรพยายามที่จะ ‘สำรวมกาย’ แต่ ‘ไม่รู้จักประมาณรักษาวาจา’ ชอบซุบซิบนินทาว่าร้ายแก่เพื่อนภิกษุผู้มีศีลทั้งปวง ใครผู้ใดจะแนะนำสั่งสอนให้ละวาจานั้นเสีย ภิกษุนั้นก็หาได้ยอมละวาจาทุจริตนั้นๆ ไม่ ต่อมา ครั้นภิกษุนั้นตายลง ได้ไปบังเกิดในนรกหมกไหม้อยู่สิ้นเวลานานแสนนาน นับได้หนึ่งพุทธันดรพอดี เมื่อพ้นจากนรกนั้นแล้ว ก็ได้มาบังเกิดเป็นเปรต อดอยากอยู่ ณ เชิงเขาคิชฌกูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์ เหตุเพราะยังเหลือเศษบาปที่กล่าววาจาทุจริตนั้นอยู่ เปรตภิกษุตนนั้น มีรูปกายสีดังทอง มีปากดุจดังสุกร (หมู) ขณะนั้น พระมหาเถระนารทะ พักอยู่บนยอดเขาคิชฌกูฏ เวลารุ่งเช้าพระเถระเจ้าจึงห่มจีวรถือบาตร เพื่อเตรียมตัวที่จะไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ พอเดินมาถึงตีนเขา พระเถระเจ้าจึงได้เห็นเปรต ผู้มีกายรุ่งเรืองดุจดังทอง มีปากดุจดังสุกร จึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า “ดูก่อนผู้จมทุกข์ เหตุใดผิวกายของเธอจึงรุ่งเรืองส่องสว่างไปในทิศทั้งหลายดุจสีทอง แล้วปากของเธอนั้นเล่า ทำไมถึงเหมือนกับปากสุกร เธอได้ก่อกรรมทำบาปอะไรไว้ในปางก่อน” เปรตนั้นจึงกล่าวตอบพระเถระเจ้าขึ้นว่า “ข้าแต่พระนารทะเถระเจ้า ร่างกายของข้าพเจ้ามีรูปร่างเหมือนกับร่างกายมนุษย์ทั่วไป แต่เหตุที่มีผิวกายรุ่งเรืองดุจดังทอง นั่นเป็นเพราะสมัยที่ข้าพเจ้าบวชอยู่ในพระศาสนาของพระศาสดา ผู้ทรงนามว่ากัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ข้าพเจ้ามีความเลื่อมใส ดำรงตนที่จะขวนขวายสงบระงับรักษากายด้วยความสำรวม ด้วยอานิสงส์ผลบุญดังนั้น จึงทำให้ข้าพเจ้ามีรูปร่างดุจดังมนุษย์ แต่มีสีกายรุ่งเรืองดังทอง ส่วนเหตุที่ข้าพเจ้ามีปากเหมือนดังปากสุกร เหตุเพราะตอนที่ข้าพเจ้าบวชอยู่ ไม่ขวนขวายที่จะสงบระงับ ไม่สำรวมวาจา เอาแต่ว่ากล่าวนินทาดุด่าว่าร้ายให้แก่เพื่อนภิกษุทั้งหลายผู้ทรงศีล แม้จะมีผู้ปรารถนาดีคอยแนะนำพร่ำสอน ข้าพเจ้าก็ไม่อาวรณ์ที่จะละวาจาทุจริตนั้นๆ ด้วยเหตุแห่งวจีทุจริตนั้น จึงทำให้ปากของข้าพเจ้ากลายเป็นปากสุกร (ปากหมู) ดังท่านเห็น” “ข้าแต่พระนารทะเถระ เมื่อท่านได้เห็นสภาพร่างกาย และปากของข้าพเจ้าแล้ว ขอท่านจงถือเอาเป็นอุทาหรณ์สอนตนว่า เราจะไม่ทำบาปด้วยปาก อย่าทำเหตุให้ปากต้องลำบาก เพราะกล่าววาจาชั่วหยาบ ถ้าเป็นผู้มีปากกล้า ไม่สงบสำรวม กล่าวว่า วาจาจ้วงจาบผู้ทรงศีล ท่านก็จะมีปากดังปากสุกรเช่นข้าพเจ้านี้” เมื่อพระนารทะเถระเจ้า ได้สดับวาจาของเปรตปากสุกรจบลง ท่านจึงได้เที่ยวไปบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ต่อไป ครั้นกลับจากบิณฑบาตฉันอาหารแล้ว พระเถระเจ้าจึงเข้าไปเฝ้าพระบรมสุคตเจ้า แล้วทูลเรื่องที่ท่านได้เห็นเปรตปากสุกรให้พระพุทธองค์ได้ทรงทราบ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า “ดูก่อนนารทะ เปรตตนนั้นเราได้เคยเห็นมาแล้ว” พระพุทธองค์จึงทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสแสดงโทษของวจีทุจริต และคุณแห่งวจีสุจริต ให้พระนารทะพร้อมภิกษุทั้งหลายได้ทราบความว่า วจีทุจริต เหตุที่ทำให้เป็นเปรต ๔ อย่างคือ พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ผู้ประกอบ วจีสุจริต จักมีผลมิให้ตกนรกและมิต้องมาเป็นเปรต มี ๔ อย่างคือ ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ วาจาสุริตของเราให้คุณแก่เราได้ วาจาทุจริตของเราก็ให้โทษแก่เราได้เหมือนกัน โดย ผู้จัดการออนไลน์ 16 กันยายน 2545 15:25 น. |
เจ้าของ: | O.wan [ 06 ธ.ค. 2008, 14:30 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เปรตปากสุกร |
วจีทุจริต เหตุที่ทำให้เป็นเปรต ๔ อย่างคือ พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ผู้ประกอบ วจีสุจริต จักมีผลมิให้ตกนรกและมิต้องมาเป็นเปรต มี ๔ อย่างคือ ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ วาจาสุจริตของเราให้คุณแก่เราได้ วาจาทุจริตของเราก็ให้โทษแก่เราได้เหมือนกัน เราเชื่อว่ามีคนอีกมากมายที่ไม่รู้ความหมายของวจีทุจริต และวจีสุจริต เพราะจะรู้แต่เพียงว่า ห้ามผิดศีลข้อมุสา...... คือห้ามพูดปด... เมื่อก่อนเราก็คิดแบบนี้ แต่เดี๋ยวนี้รู้แล้วว่า ศีลทุกข้อยังมีปลีกย่อยลงไปให้ศึกษาอีกมากมาย......ซึ่งมันก็แฝงอยู่ ในการใช้ชีวิตประจำวันของเราๆนี่เอง และง่ายๆ ในการปฎิบัติให้ถูก เวลาเราได้อ่านโพสต์ดีๆ แบบนี้ เราก็จะเล่าให้ลูกฟัง เหมือนเราได้ซึมซับ สิ่งดีๆ เข้าไปในการดำเนินชีวิตต่อไป ซึ่งพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ พวกนี้เหมือนกับการกระทำที่ดูจะเป็นธรรมดามากในสังคมปัจจุบัน แต่ต้องเริ่มจากคนในครอบครัว... ก่อน เราก็จะบอกลูกว่าธรรมะนั้นง่ายมากในการปฏิบัติ แรกๆ ลูกเราก็ไม่เห็นด้วยนะ เพราะเวลาเรียนในบทเรียน ศัพท์ธรรมะที่ใช้สอนดูเป็นทางการมาก อ่านก็ยาก จำก็ไม่ได้ ทำให้เด็กสมัยนี้ไม่ใฝ่รู้ในความหมาย เรียนเพื่อให้สอบผ่านๆ ไป โดยเค้าไม่ได้รู้ความหมายของมันเลยด้วยซ้ำ แบบการพูดลับหลังเพื่อนก็เป็นการผิดข้อ วจีสุจริต เดี๋ยวนี้บางครั้งแค่เราพูดเหน็บแนมเค้า แบบไม่คิดอะไร เค้ายังบอกเราเลยว่า "แม่พูดวจีทุจริตแล้วนะ" เราเลยรู้สึกว่า คุณที่ปฏิบัติธรรมที่โพสต์ธรรมะดีๆ ง่ายๆ แบบนี้มาถือว่า มีส่วนช่วยให้สังคมอันวุ่นวาย ให้มีความสงบแม้เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ถือว่าได้บุญอันใหญ่หลวงเลยค่ะ |
เจ้าของ: | Duangtip [ 22 ม.ค. 2019, 08:36 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: กฎแห่งกรรมในพระไตรปิฎก : เปรตปากสุกร |
ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ |
เจ้าของ: | น้องพลอย [ 22 มี.ค. 2019, 11:17 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: กฎแห่งกรรมในพระไตรปิฎก : เปรตปากสุกร |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |