ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

กรรมของใคร ก็เป็นของคนนั้น...จริงหรอ?
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=21686
หน้า 1 จากทั้งหมด 2

เจ้าของ:  Azure [ 15 เม.ย. 2009, 13:17 ]
หัวข้อกระทู้:  กรรมของใคร ก็เป็นของคนนั้น...จริงหรอ?

เคยได้ยินเรื่องทำนองที่ว่าการอธิษฐานขอแบ่งเบาผลกรรมแทนมั๊ยคะ เช่น แม่ลูกคู่หนึ่งประสบอุบัติเหตุ บาดเจ็บสาหัสทั้งคู่ แม่เองก็อธิษฐานว่าให้ลูกตัวเองรอด หากมีคนต้องจากไป ขอเป็นตัวเองแทน และแล้วแม่ก็จากไป ทำนองนี้

เพื่อนเราเล่าให้เราฟังค่ะ แม่ในเรื่องที่ยกมานี้เป็นน้องสาวของเพื่อนเรา เพื่อนเราเล่าให้ฟังว่า เค้าฝันว่าน้องสาวเค้ามาบอกอะไรประมาณนี้

คำถามก็คือ เรื่องนี้เป็นไปได้หรอคะ? เรามองว่าผลกรรมของใคร ก็ต้องของคนนั้น

ขณะที่คิดอย่างนี้ ก็พบว่ามันก็มีนี่นะ ที่ผลของการกระทำไปตกอยู่กับคนใกล้ชิด เช่น พวกพรานที่ไปยิงชะนี ยิงลิงแล้วพบว่าผลกรรมตกอยู่กับคนใกล้ชิดแทน

อืม....แล้วจะว่าไป มีเหตุการณ์นึง เราเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า

ก่อนนี้เราเคยคบคนๆหนึ่ง ตอนนั้นค่อนข้างห่วงสุขภาพเค้ามาก เพราะเค้าจะไอบ่อยๆ เราเลยคิดแบบตั้งใจอ่ะค่ะ ว่าเออเนอะ ขอแบ่งไอ้อาการไอ ของเค้ามาครึ่งนึงนะ จริงๆตอนนั้นเรามีไข้นิดๆ ไอหน่อยๆ จากนั้นไข้เราก็ลดลงตามการรักษาล่ะค่ะ แต่อาการไอนี่ไม่หายถึงแม้ไข้เราจะหายไปแล้ว จะว่าไป เราไออย่างนี้ต่อมานานมาก เกือบปีเลยล่ะ....ต่อมา มีวันหนึ่งเราเล่าให้เค้าฟังค่ะ เราเคยพูดอย่างนี้นะ และเราไม่เอาแล้ว เราขอคืนกลับให้เค้านะ แล้วอาการไอเราก็ค่อยๆหายไปค่ะ...ถือว่าเล่าสู่กันฟังนะคะ เพราะเราเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญ?

เจ้าของ:  -dd- [ 15 เม.ย. 2009, 17:32 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กรรมของใคร ก็เป็นของคนนั้น...จริงหรอ?

อ้างคำพูด:
คำถามก็คือ เรื่องนี้เป็นไปได้หรอคะ? เรามองว่าผลกรรมของใคร ก็ต้องของคนนั้น


เป็นไปไม่ได้ครับ เป็นความเห็นที่ผิดตามหลักเหตุปัจจัยที่สอนในศาสนาพุทธ นี่เพราะไม่ได้"สดับ" คำสอนของพระพุทธเจ้าก็เลยเชื่อไปตามคำของคนที่ไม่ใช่กัลยาณมิตรทางธรรม เลยสับสนอลหม่าน เข้าใจเหตุผลผิด ๆ นับว่าน่าเห็นใจครับ เพราะปุถุชนย่อมปรุงแต่งเรื่องราวไปตามอำนาจกิเลสตัณหาของตนไม่มีที่สิ้นสุด...

พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ยิ่งด้วยพระปัญญา ยิ่งด้วยพระสัพพัญญุตญาน คือความรู้อันไม่มีประมาณ ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่จำกัด ทรงสอนไว้ว่าเราทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน ซึ่งแทบไม่ต้องตีความหมายเลยก็ย่อม เข้าใจได้ทันทีว่า ใครทำกรรม ผลย่อมเป็นของเขาคนเดียวนั่นแหละ

หากไม่เป็นเช่นนั้น คงมีพระพุทธพจน์แล้วว่า "ภิกษุทั้งหลาย อย่ากังวลเลย เธอทำกรรมชั่วมาก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราจะแบ่งกรรมดีช่วยเธอให้ตรัสรู้เร็วๆ หรือพ้นทุกข์ไวไวนะ" แต่กลับไม่เคยปรากฏข้อความลักษณะนี้เลย เพราะเป็นเรื่องที่เหลวไหล... เมื่อเป็นเช่นนั้น เราควรเชื่อพระพุทธเจ้าหรือเชื่อปุถุชนผู้หนาด้วยกิเลสกันดี?

สำหรับเรื่องที่ยกมาว่า
อ้างคำพูด:
แม่ลูกคู่หนึ่งประสบอุบัติเหตุ บาดเจ็บสาหัสทั้งคู่ แม่เองก็อธิษฐานว่าให้ลูกตัวเองรอด หากมีคนต้องจากไป ขอเป็นตัวเองแทน และแล้วแม่ก็จากไป ทำนองนี้

นั้น โดยข้อจริงคือ "บาดเจ็บสาหัสทั้งคู่" นั่นหมายถึงโอกาสตายมีทั้งสองคน ...คราวนี้ แม่มี"อุปฆาตกรรม"คือกรรมตัดรอนที่ทำให้ตายเข้ามาส่งผล ถึงแม่จะอธิษฐานหรือไม่อธิษฐาน ก็ต้องตายแน่ๆ พอเรื่องมาพ้องกับการที่ลูกรอด และมีคนได้ทราบว่าแม่อธิษฐานไว้ ก็เลยจับมาแต่งเป็นเรื่องเล่าแล้วสรุปทึกทักเอาเองว่าแม่แบ่งบุญให้

ถ้าทำได้จริง ป่านนี้เราคงสุขสบายกันถ้วนหน้าแล้วเพราะผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดกว่าใครๆในโลก ที่มีเมตตาแก่สัตว์ทั้งปวงโดยเท่าเทียมกันแบบไม่มีประมาณคือพระพุทธเจ้า ท่านคงสงเคราะห์"แบ่งบุญ"ให้พวกเรากันนานแล้วนะครับ..

อ้างคำพูด:
ขณะที่คิดอย่างนี้ ก็พบว่ามันก็มีนี่นะ ที่ผลของการกระทำไปตกอยู่กับคนใกล้ชิด เช่น พวกพรานที่ไปยิงชะนี ยิงลิงแล้วพบว่าผลกรรมตกอยู่กับคนใกล้ชิดแทน


ครับ ยิ่งคิดจะยิ่งไปกันใหญ่ละครับ ขอแนะนำให้เร่งเข้าหากัลยาณมิตรมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น เเล้วเข้าใกล้ เงี่ยโสตลงสดับ เพื่อความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องโดยเร่งด่วนครับ เพราะจะมีคุณแก่ปัญญาของเรา ช่วยให้รู้เรื่องชีวิตอย่างถูกต้องครับ..

เรื่องนายพรานนี้อธิบายได้ดังนี้ เพราะสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเ็ป็็นของตน มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ หมายความว่ากรรมนั้นย่อมจำแนกสัตว์ สัตว์ทั้งหลาย ให้เป็นไปตามกรรมของตนๆ ...นายพรานฆ่าสัตว์ เขาย่อมได้บริวารจะเป็นลูกเมีย พ่อแม่ญาติใดๆก็ตามที่มีอุปนิสัยคล้ายๆกัน คนเหล่านั้นย่อมเคยกระทำปาณาติบาตมาก่อน เพราะผลแห่งกรรมชั่วนั้นก็ซัดให้ได้อกุศลวิบากเช่นถูกฆ่า พิการ เสียอวัยวะฯลฯเป็นต้น เมื่อเขาอยู่ร่วมในตระกูลของนายพรานนั่นแหละ ชนทั้งหลายก็คาดเดาสุ่มไปว่าเพราะนายพรานทำบาปไว้ บาปเลยมาตกที่ลูก..หรือบริวารอื่นๆ..นี่เรียกว่าพูดกันไปโดยไม่มีมูล เพราะคิดไม่ออกว่า กรรมจัดสรรค์สัตว์ที่มีธาตุคล้ายๆกันให้มาอยู่ร่วมกันได้เช่นนี้..

อันว่าเรื่องกรรมนั้น สลับซับซ้อนลึกซึ้งเกินกว่าจะเข้าใจได้สำหรับปุถุชนทั้งหลาย จึงพระผู้มีพระภาคได้ตรัสสอนว่า กรรมเป็นเรื่องอจิณไตย คือคิดเอาเองไม่ได้เเละไม่ควรคิด เพราะผู้คิดจะมีส่วนเเห่งความเป็นบ้าฉะนั้น

อ้างคำพูด:
ก่อนนี้เราเคยคบคนๆหนึ่ง ตอนนั้นค่อนข้างห่วงสุขภาพเค้ามาก เพราะเค้าจะไอบ่อยๆ เราเลยคิดแบบตั้งใจอ่ะค่ะ ว่าเออเนอะ ขอแบ่งไอ้อาการไอ ของเค้ามาครึ่งนึงนะ จริงๆตอนนั้นเรามีไข้นิดๆ ไอหน่อยๆ จากนั้นไข้เราก็ลดลงตามการรักษาล่ะค่ะ แต่อาการไอนี่ไม่หายถึงแม้ไข้เราจะหายไปแล้ว จะว่าไป เราไออย่างนี้ต่อมานานมาก เกือบปีเลยล่ะ


อธิบายด้วยหลักเหตุปัจจัยว่า อัตภาพร่างกายของเรา(=รูป) มีปัจจัยประกอบให้ดำรงอยู่ได้ด้วยปัจจัย๔คือ กรรม ๑ จิต๑ อาหาร๑ และ อุตุ๑ ..ร่างกายนี้เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาด้วยปัจจัยเหล่านี้ การที่คุณ คิดแบบตั้งใจ นั่นหมายถึงการเปลี่ยนแปลงที่จิต เมื่ิอตั้งเจตนาว่าจะป่วย ทางอภิธรรมอธิบายว่า จิตที่คิดเป็นปัจจัยให้เกิดจิตชรูป ..มีผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เพราะความคิดอยากป่วย คุณอาจถูกกระตุ้นให้ปล่อยปละละเลยไม่ระวังสุขภาพ มีผลให้ป่วยจริง อย่าลืมว่า จิตนั้นเขามีอำนาจมหาศาลจริง ไม่เชื่อคุณลองปล่อยจิตให้ เศร้าหมองดูสักระยะหนึ่ง แม้คุณไม่อยากป่วยเลย ก็อาจล้มหมอนนอนเสื่อโดยไม่ทันรู้ตัว บางรายถึงกับฆ่าตัวตายก็ยังเป็นไ้ด้..

ดังนั้น การแบ่งบุญแชร์บาปจึงเป็นเรื่ิองเหลวใหลไม่ถูกต้องด้วยหลักเหตุผลในธรรมชาติสากลที่แท้จริง


เจ้าของ:  damjao [ 28 มิ.ย. 2009, 13:43 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กรรมของใคร ก็เป็นของคนนั้น...จริงหรอ?

กัมมุนา วัตตะตี โลโก
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

ใครทำดีได้ดี ใครทำชั่วได้ชั่ว

เมื่อเจ้าเกิดมามีอะไรมาด้วยเล่า
เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉน
เมื่อเจ้ามาตัวเปล่าเจ้าจะเอาอะไร
เจ้าก็ไปตัวเปล่าเหมือนเจ้ามา..... :b8:

เจ้าของ:  sanooktou [ 28 มิ.ย. 2009, 13:52 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กรรมของใคร ก็เป็นของคนนั้น...จริงหรอ?

ตอบได้ถูกต้องกระบวนความ
เพียงแต่ใช้คำที่อาจแรงไปบ้าง แต่ก็ขอชมเชย :b42:

เจ้าของ:  Bwitch [ 28 มิ.ย. 2009, 15:00 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กรรมของใคร ก็เป็นของคนนั้น...จริงหรอ?

:b40: โปรดใช้วิจารญาณในการอ่านนะคะ เนื่องจากเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล :b40:
ผู้ที่ปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เมื่อได้ผลเช่นไรแล้วมักจะไม่คุยกันในที่สาธารณะ
ขอให้ท่านเลือกอ่านและรับในส่งที่เป็นสาระ และประโยชน์จริงๆ เท่านั้น
ในนั้นมีเนื้อหาที่เป็นจริงอยู่แน่นอน โปรดพิจารณาค่ะ
ดิฉันขอไม่แสดงความคิดเห็นค่ะ
http://www.dhammajak.net/board/viewtopi ... c2fbccbeb0

เจ้าของ:  วรานนท์ [ 28 มิ.ย. 2009, 16:32 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กรรมของใคร ก็เป็นของคนนั้น...จริงหรอ?

:b8: :b8: :b8:

ถ้าเราปลูกต้นมะม่วง แน่นอนว่าผลของมันจะต้องเป็นมะม่วง
ผลของมันจะเป็นมะนาว มะละกอ หรืออย่างอื่นเป็นไปไม่ได้
คำกล่าวที่ว่าปลูกสิ่งใดก็ได้ผลจากสิ่งนั้นตอบแทน
นี้คือข้อเท็จจริงตามธรรมชาติและเป็นความจริงทางด้านวิทยาศาสตร์
พระพุทธศาสนาก็เช่นกัน หลักคำสอนของพระพุทธศาสนาคือ
ทำชั่วย่อมได้ชั่ว ทำดีย่อมได้ดี

ยุคสมัยอาจเปลี่ยนไป แต่คำสอนของพระพุทธองค์
ยังคง มั่นคง มีเหตุผล ไม่เปลี่ยนแปลง

นี้คือความคิดในด้านการกระทำของบุคคล

ส่วนในด้านการอุทิศส่วนบุญ ส่วนกุศลไปให้ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว
พวกเราชาวพุทธจะรู้กันดี ว่าเรากรวดน้ำกันทำไม เราอธิฐานจิตกันเพื่ออะไร
ตรงนี้ผมไม่ขอออกความคิดเห็นครัย


:b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  suwichai [ 28 มิ.ย. 2009, 17:03 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กรรมของใคร ก็เป็นของคนนั้น...จริงหรอ?

โดยทั่วไป กรรมของใคร ก็เป็นของคนนั้น อันนี้จริง

แต่ถ้าขอแบ่งเบาผลกรรมแทนกันไม่ได้ ความดีก็จะไม่เกิดขึ้นในโลก ความดีคือ การเสียสละ เช่น เสียสละเงินทอง แม้แต่ชีวิตของตนเอง ให้ผู้อื่น

การเสียสละ เช่น เสียสละเงินทอง แม้แต่ชีวิตของตนเอง ให้ผู้อื่น ก็มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย เช่น พระโพธิสัตว์กวนอิมยอมควักลูกตาตัวเอง เพื่อเอาไปปรุงยาให้พ่อ

เมื่อหลายร้อยปีก่อน พระญี่ปุนคนหนึ่ง ท่านได้อภิญญาตาทิพย์ ท่านเห็นว่าจะเกิดฝนแล้งอย่างหนัก และทำให้ผู้คนในเมืองของท่านล้มตายจำนวนมาก ท่านจึงเจรจากับเจ้ากรรมนายเวรของชาวญี่ปุ่น ขอรับกรรมเหล่านั้นแทน และท่านก็ควักดวงตาท่านออก และนั่งกรรมฐานแผ่เมตตาอีก 1 เดือนจนตาย ซากศพของท่านในปัจจุบันก็ยังไม่เน่าเปื่อย

พระเยซูก็เสียสละชีวิตของตนเอง เพื่อใช้หนี้กรรม ไถ่บาปให้เหล่ามนุษย์ที่เชื่อและศรัทธาในท่าน

เจ้าของ:  sanooktou [ 28 มิ.ย. 2009, 21:48 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กรรมของใคร ก็เป็นของคนนั้น...จริงหรอ?

suwichai เขียน:
โดยทั่วไป กรรมของใคร ก็เป็นของคนนั้น อันนี้จริง

แต่ถ้าขอแบ่งเบาผลกรรมแทนกันไม่ได้ ความดีก็จะไม่เกิดขึ้นในโลก ความดีคือ การเสียสละ เช่น เสียสละเงินทอง แม้แต่ชีวิตของตนเอง ให้ผู้อื่น

การเสียสละ เช่น เสียสละเงินทอง แม้แต่ชีวิตของตนเอง ให้ผู้อื่น ก็มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย เช่น พระโพธิสัตว์กวนอิมยอมควักลูกตาตัวเอง เพื่อเอาไปปรุงยาให้พ่อ

เมื่อหลายร้อยปีก่อน พระญี่ปุนคนหนึ่ง ท่านได้อภิญญาตาทิพย์ ท่านเห็นว่าจะเกิดฝนแล้งอย่างหนัก และทำให้ผู้คนในเมืองของท่านล้มตายจำนวนมาก ท่านจึงเจรจากับเจ้ากรรมนายเวรของชาวญี่ปุ่น ขอรับกรรมเหล่านั้นแทน และท่านก็ควักดวงตาท่านออก และนั่งกรรมฐานแผ่เมตตาอีก 1 เดือนจนตาย ซากศพของท่านในปัจจุบันก็ยังไม่เน่าเปื่อย

พระเยซูก็เสียสละชีวิตของตนเอง เพื่อใช้หนี้กรรม ไถ่บาปให้เหล่ามนุษย์ที่เชื่อและศรัทธาในท่าน

ดูก่อนมิจฉาบุรุษ การเสียสละเงินทองอันเป็นของตนก็ดี การสละชีวิตเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นก็ดี สิ่งเหล่านี้ รวมเรียกว่า จาคะ การเสียสละเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น

เราจะยกตัวอย่างให้เธอฟัง เมื่อเธอทำกรรมเสียแล้ว เธอก็ยกกรรมนั้นๆ ให้แก่ผู้อื่น ด้วยการให้ด้วย
หมื่นแห่งทรัพย์บ้าง ด้วยแสนแห่งทรัพย์บ้าง ด้วยล้านแห่งทรัพย์บ้าง แล้วกล่าวว่า ท่านจงรับเงินนี้แล้วจงรับกรรมที่เรากระทำ กรรมที่เรากระทำจงเป็นของท่าน ท่านจงรับวิบากแห่งกรรมนั้น

ดูก่อนมิจฉาบุรุษ สิ่งนี้มิใช่วิสัยที่จะมีได้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้
ดูก่อนมิจฉาบุรุษ อุปมาที่ท่านยกมานั้น มิใช่ฐานะ มิสมด้วยเหตุด้วยผล
ท่านเคยได้ยินแต่ที่ใด ดวงตามนุษย์เป็นยาได้ แม้แต่พระโพธิสัตว์ คือสัตว์ผู้ควรแก่อันจะตรัสรู้ ย่อมมิเคยปรากฏว่าเป็น สตรีเพศ แม้แต่พระพุทธองค์ของเรา จำเดิมแต่ปณิธานบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธองค์ ย่อมไม่เคยย่างเข้าสู่สตรีเพศ

อีกหนึ่งอุปมาของเธอ กรรมคือการกระทำอันผู้นั้นจะพึงรับหามีตัวตนไม่ แล้วบุคคลนั้นจักปราศัยกับด้วยผู้ใด? แล้วประโยชน์อันใดด้วยดวงตาอันเขาควักแล้ว ?
เราจักยกเรื่องแห่งความเสื่อมสิ้นแห่งวงศ์ของเจ้าศากยะ
ด้วยเหตุที่พระเจ้าวิฑูทะพะ ผูกความอาฆาตในเจ้าศากยะ เมื่อได้เป็นพระราชา จึงยกทัพกรีฑา หวังจะกำจัดวงศ์ให้สูญสิ้น พระพุทธองค์ทรงทราบเหตุนี้ จึงทรงไปดักในระหว่างหนทาง และประทับนั่งใต้ต้นไม้อันมีเงาขาดพร่อง เมื่อพระเจ้าวิฑูทะพะทรงเห็น จึงเข้าไปเฝ้า และทูลถามว่า "เหตุไฉน พระองค์นึงทรงประทับนั่งที่ใต้ต้นไม้นี้ ไม่ประทับนั่งที่ใต้ไม้ใกล้ๆ ซึ่งมีเงาทึบร่มเย็นกว่าด้วยพระเจ้าข้า"
พระพุทธองค์ ทรงตรัสว่า "ดูก่อนมหาบพิต เงาใด ร่มเย็นกว่าเงาแห่งปวงญาติ หามีไม่"
พระเจ้าวิฑูทะพะ ทรงทราบว่าพระพุทธองค์ มาเพื่อป้องกันเหล่าพระญาติของพระองค์ จึงทรงกรีฑาทัพกลับเมือง แต่เมื่อกลับไปแล้วทรงนึกถึงความแค้นก็กลับยกทัพไปอีก และพระพุทธองค์ จึงทรงห้ามอีก
สิ้นสามวาระ ในวาระที่สี่ พระพุทธองค์ทรงเห็นว่า กรรมเหล่านี้เป็นกรรมในกาลก่อนของเหล่าศากยะ
ที่ทรงฆ่าศัตรูด้วยการวางยาพิษลงในแม่น้ำ เป็นกรรมหนัก เป็นกรรมที่ผู้ใดก็มิสามารถจะห้ามได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ตาม จึงมิได้เสด็จไปในวาระที่สี่ พระเจ้าวิฑูทะพะ ทรงฆ่าเจ้าศากยะทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่เด็กผู้แรกเกิดก็ตาม .

เธอจงดูเถิดมิจฉาบุรุษ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังมิสามารถจะหยุดกรรม หรือรับกรรมแทนเหล่าพระญาติได้ หากพระพุทธองค์เสียสละพระเนตรแล้ว ช่วยเหล่าชีวิตพระญาติได้ มีหรือพระองค์จักไม่ทรงกระทำ แม้แต่พระพุทธองค์เอง ก็ยังมิสามารถหนีกรรมได้พ้น

เมื่อเราทำกรรมใดๆ ก็ตาม สิ่งนั้นย่อมชื่อว่าเราทำแล้ว เราย่อมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
อุปมาเช่น เราใช้ปากกาเขียนบนกระดาษ เราเขียนเส้นโค้งไปแล้ว เรากลับรู้ว่าเราเขียนผิด เราต้องการที่จะให้เส้นเดิมนั้นตรง เราเขียนเส้นใหม่ที่เป็นเส้นตรงต่อจากเส้นเดิมนั้น เส้นเดิมจะตรงหรือไม่?
ฉันใด ฉันนั้น เราทำกรรมดี ผลของกรรมดี ก็เป็นเช่นนั้น เราทำกรรมชั่ว ผลของกรรมชั่ว ก็เป็นเช่นนั้น
เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกรรมเหล่านั้นได้

จงพินิจอย่างละเอียดรอบคอบ ไตร่ตรองด้วยปัญญา แล้วเธอจะเห็นว่าสิ่งใดถูกหรือไม่

เจ้าของ:  กามโภคี [ 29 มิ.ย. 2009, 18:02 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กรรมของใคร ก็เป็นของคนนั้น...จริงหรอ?

ไช่ๆๆ :b12: :b12: ของใครก็ของคนนั้นแหละ :b12: :b12:

เจ้าของ:  suwichai [ 29 มิ.ย. 2009, 19:30 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กรรมของใคร ก็เป็นของคนนั้น...จริงหรอ?

มารที่สิงใจ"sanooktou"เอ๋ย



จงฟังคำของเราให้ดี ที่เธอ กล่าวว่า


1. การเสียสละเงินทองอันเป็นของตนก็ดี การสละชีวิตเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นก็ดี สิ่งเหล่านี้ รวมเรียกว่า จาคะ การเสียสละเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น

เราจะยกตัวอย่างให้เธอฟัง เมื่อเธอทำกรรมเสียแล้ว เธอก็ยกกรรมนั้นๆ ให้แก่ผู้อื่น ด้วยการให้ด้วย
หมื่นแห่งทรัพย์บ้าง ด้วยแสนแห่งทรัพย์บ้าง ด้วยล้านแห่งทรัพย์บ้าง แล้วกล่าวว่า ท่านจงรับเงินนี้แล้วจงรับกรรมที่เรากระทำ กรรมที่เรากระทำจงเป็นของท่าน ท่านจงรับวิบากแห่งกรรมนั้น

....ถ้าไม่มีการรับกรรมแทนกันแล้ว ความดีย่อมเกิดไม่ได้ เพราะความดีนั้นเป็นการรับวิบากกรรมแทนคนอื่น ถ้าคุณฆ่าเขา เขาก็ฆ่าคุณ ชาติต่อๆมา ก็จะมีการฆ่ากันไปเรื่อยๆไม่สิ้นสุด แล้วเหตุใดชาติต่างๆจึงมีการฆ่าฟันกันลดลงตามยุคสมัยล่ะ

เราจะบอกเธอนะ มันควรมีสงครามระหว่างภาคใต้ และภาคอื่นๆในเมืองไทย แต่เรื่องเหล่านี้หาได้เกิดขึ้นไป เธอรู้ไหม เราได้แผ่เมตตา และอุทิศกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคนในชาติให้กับพวกเสื้อแดงมากเท่าไร เสื้อเหลืองมากเท่าไร และประชาชนมากเท่าไร ฯลฯ [b](2 เดือนเต็ม)
ไม่ใช่เราคนเดียวนะ ยังมีผู้อื่นแผ่เมตตา และอุทิศกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคนในชาติอีกหลายสิบหลายร้อยคน

เราและนักกรรมฐานที่มีจิตใจงาม ได้ทำให้อนาคตของประเทศเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น[/b]


2. ดูก่อนมิจฉาบุรุษ สิ่งนี้มิใช่วิสัยที่จะมีได้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้
ดูก่อนมิจฉาบุรุษ อุปมาที่ท่านยกมานั้น มิใช่ฐานะ มิสมด้วยเหตุด้วยผล
ท่านเคยได้ยินแต่ที่ใด ดวงตามนุษย์เป็นยาได้ แม้แต่พระโพธิสัตว์ คือสัตว์ผู้ควรแก่อันจะตรัสรู้ ย่อมมิเคยปรากฏว่าเป็น สตรีเพศ แม้แต่พระพุทธองค์ของเรา จำเดิมแต่ปณิธานบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธองค์ ย่อมไม่เคยย่างเข้าสู่สตรีเพศ

.....เธอนั้นจะไปรู้อะไร เมื่อปฏิบัติไม่ถึงขั้น เธอย่อมไม่เข้าใจความลับของธรรมชาติแห่งจิต แล้วจะไปสรุปว่า นี่ไม่ใช่ฐานะที่เป็นไปได้ ได้อย่างไร

3. อีกหนึ่งอุปมาของเธอ กรรมคือการกระทำอันผู้นั้นจะพึงรับหามีตัวตนไม่ แล้วบุคคลนั้นจักปราศัยกับด้วยผู้ใด? แล้วประโยชน์อันใดด้วยดวงตาอันเขาควักแล้ว ?
เราจักยกเรื่องแห่งความเสื่อมสิ้นแห่งวงศ์ของเจ้าศากยะ
ด้วยเหตุที่พระเจ้าวิฑูทะพะ ผูกความอาฆาตในเจ้าศากยะ เมื่อได้เป็นพระราชา จึงยกทัพกรีฑา หวังจะกำจัดวงศ์ให้สูญสิ้น พระพุทธองค์ทรงทราบเหตุนี้ จึงทรงไปดักในระหว่างหนทาง และประทับนั่งใต้ต้นไม้อันมีเงาขาดพร่อง เมื่อพระเจ้าวิฑูทะพะทรงเห็น จึงเข้าไปเฝ้า และทูลถามว่า "เหตุไฉน พระองค์นึงทรงประทับนั่งที่ใต้ต้นไม้นี้ ไม่ประทับนั่งที่ใต้ไม้ใกล้ๆ ซึ่งมีเงาทึบร่มเย็นกว่าด้วยพระเจ้าข้า"
พระพุทธองค์ ทรงตรัสว่า "ดูก่อนมหาบพิต เงาใด ร่มเย็นกว่าเงาแห่งปวงญาติ หามีไม่"
พระเจ้าวิฑูทะพะ ทรงทราบว่าพระพุทธองค์ มาเพื่อป้องกันเหล่าพระญาติของพระองค์ จึงทรงกรีฑาทัพกลับเมือง แต่เมื่อกลับไปแล้วทรงนึกถึงความแค้นก็กลับยกทัพไปอีก และพระพุทธองค์ จึงทรงห้ามอีก
สิ้นสามวาระ ในวาระที่สี่ พระพุทธองค์ทรงเห็นว่า กรรมเหล่านี้เป็นกรรมในกาลก่อนของเหล่าศากยะ
ที่ทรงฆ่าศัตรูด้วยการวางยาพิษลงในแม่น้ำ เป็นกรรมหนัก เป็นกรรมที่ผู้ใดก็มิสามารถจะห้ามได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ตาม จึงมิได้เสด็จไปในวาระที่สี่ พระเจ้าวิฑูทะพะ ทรงฆ่าเจ้าศากยะทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่เด็กผู้แรกเกิดก็ตาม .

เธอจงดูเถิดมิจฉาบุรุษ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังมิสามารถจะหยุดกรรม หรือรับกรรมแทนเหล่าพระญาติได้ หากพระพุทธองค์เสียสละพระเนตรแล้ว ช่วยเหล่าชีวิตพระญาติได้ มีหรือพระองค์จักไม่ทรงกระทำ แม้แต่พระพุทธองค์เอง ก็ยังมิสามารถหนีกรรมได้พ้น

เมื่อเราทำกรรมใดๆ ก็ตาม สิ่งนั้นย่อมชื่อว่าเราทำแล้ว เราย่อมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
อุปมาเช่น เราใช้ปากกาเขียนบนกระดาษ เราเขียนเส้นโค้งไปแล้ว เรากลับรู้ว่าเราเขียนผิด เราต้องการที่จะให้เส้นเดิมนั้นตรง เราเขียนเส้นใหม่ที่เป็นเส้นตรงต่อจากเส้นเดิมนั้น เส้นเดิมจะตรงหรือไม่?
ฉันใด ฉันนั้น เราทำกรรมดี ผลของกรรมดี ก็เป็นเช่นนั้น เราทำกรรมชั่ว ผลของกรรมชั่ว ก็เป็นเช่นนั้น
เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกรรมเหล่านั้นได้

จงพินิจอย่างละเอียดรอบคอบ ไตร่ตรองด้วยปัญญา แล้วเธอจะเห็นว่าสิ่งใดถูกหรือไม่

......มารเอ๋ย! องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่สามารถจะหยุดกรรมได้ก็จริง แต่กรรมนั้นได้บรรเทาลงใช่หรือไม่ เธอเองก็มิได้ปฏิเสทในเรื่องนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคงไม่เข้าไปยุ่งตั้งแต่ต้น ถ้ากรรมของทหารและประชาชนจำนวนหนึ่งไม่ได้เบาบางลง คนตายจะมากกว่านี้เยอะ

การจะหยุดกรรมได้นั้น เจ้ากรรมนายเวรของเขาต้องยอมหยุดอาฆาตพยาบาท ถ้าเจ้ากรรมนายเวรของเขาไม่ยอมหยุดอาฆาตพยาบาท แม้กรรมนั้นจะได้บรรเทาลง แต่ก็ไม่จบสิ้น ดังเช่น พวกเสื้อแดง และเสื้อเหลือง บางส่วนต้องบาดเจ็บแล้วตายลง ทั้งๆที่มีผู้แผ่เมตตา และอุทิศกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคนในชาติอีกหลายสิบหลายร้อยคนแล้วก็ตาม เพราะเจ้ากรรมนายเวรของคนในชาติบางส่วน ไม่ยอมรับผลบุญ เขาต้องการพยาบาทและล้างแค้นเท่านั้น

เจ้าของ:  mes [ 29 มิ.ย. 2009, 19:59 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กรรมของใคร ก็เป็นของคนนั้น...จริงหรอ?

หัวข้อกระทู้: Re: กรรมของใคร ก็เป็นของคนนั้น...จริงหรอ?

มารที่สิงใจ"sanooktou"เอ๋ย



จงฟังคำของเราให้ดี ที่เธอ กล่าวว่า

1. การเสียสละเงินทองอันเป็นของตนก็ดี การสละชีวิตเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นก็ดี สิ่งเหล่านี้ รวมเรียกว่า จาคะ การเสียสละเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น

เราจะยกตัวอย่างให้เธอฟัง เมื่อเธอทำกรรมเสียแล้ว เธอก็ยกกรรมนั้นๆ ให้แก่ผู้อื่น ด้วยการให้ด้วย
หมื่นแห่งทรัพย์บ้าง ด้วยแสนแห่งทรัพย์บ้าง ด้วยล้านแห่งทรัพย์บ้าง แล้วกล่าวว่า ท่านจงรับเงินนี้แล้วจงรับกรรมที่เรากระทำ กรรมที่เรากระทำจงเป็นของท่าน ท่านจงรับวิบากแห่งกรรมนั้น

....ถ้าไม่มีการรับกรรมแทนกันแล้ว ความดีย่อมเกิดไม่ได้ เพราะความดีนั้นเป็นการรับวิบากกรรมแทนคนอื่น ถ้าคุณฆ่าเขา เขาก็ฆ่าคุณ ชาติต่อๆมา ก็จะมีการฆ่ากันไปเรื่อยๆไม่สิ้นสุด แล้วเหตุใดชาติต่างๆจึงมีการฆ่าฟันกันลดลงตามยุคสมัยล่ะ

เราจะบอกเธอนะ มันควรมีสงครามระหว่างภาคใต้ และภาคอื่นๆในเมืองไทย แต่เรื่องเหล่านี้หาได้เกิดขึ้นไป เธอรู้ไหม เราได้แผ่เมตตา และอุทิศกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคนในชาติให้กับพวกเสื้อแดงมากเท่าไร เสื้อเหลืองมากเท่าไร และประชาชนมากเท่าไร ฯลฯ (2 เดือนเต็ม) ไม่ใช่เราคนเดียวนะ ยังมีผู้อื่นแผ่เมตตา และอุทิศกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคนในชาติอีกหลายสิบหลายร้อยคน

เราและนักกรรมฐานที่มีจิตใจงาม ได้ทำให้อนาคตของประเทศเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น


2. ดูก่อนมิจฉาบุรุษ สิ่งนี้มิใช่วิสัยที่จะมีได้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้
ดูก่อนมิจฉาบุรุษ อุปมาที่ท่านยกมานั้น มิใช่ฐานะ มิสมด้วยเหตุด้วยผล
ท่านเคยได้ยินแต่ที่ใด ดวงตามนุษย์เป็นยาได้ แม้แต่พระโพธิสัตว์ คือสัตว์ผู้ควรแก่อันจะตรัสรู้ ย่อมมิเคยปรากฏว่าเป็น สตรีเพศ แม้แต่พระพุทธองค์ของเรา จำเดิมแต่ปณิธานบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธองค์ ย่อมไม่เคยย่างเข้าสู่สตรีเพศ

.....เธอนั้นจะไปรู้อะไร เมื่อปฏิบัติไม่ถึงขั้น เธอย่อมไม่เข้าใจความลับของธรรมชาติแห่งจิต แล้วจะไปสรุปว่า นี่ไม่ใช่ฐานะที่เป็นไปได้ ได้อย่างไร

3. อีกหนึ่งอุปมาของเธอ กรรมคือการกระทำอันผู้นั้นจะพึงรับหามีตัวตนไม่ แล้วบุคคลนั้นจักปราศัยกับด้วยผู้ใด? แล้วประโยชน์อันใดด้วยดวงตาอันเขาควักแล้ว ?
เราจักยกเรื่องแห่งความเสื่อมสิ้นแห่งวงศ์ของเจ้าศากยะ
ด้วยเหตุที่พระเจ้าวิฑูทะพะ ผูกความอาฆาตในเจ้าศากยะ เมื่อได้เป็นพระราชา จึงยกทัพกรีฑา หวังจะกำจัดวงศ์ให้สูญสิ้น พระพุทธองค์ทรงทราบเหตุนี้ จึงทรงไปดักในระหว่างหนทาง และประทับนั่งใต้ต้นไม้อันมีเงาขาดพร่อง เมื่อพระเจ้าวิฑูทะพะทรงเห็น จึงเข้าไปเฝ้า และทูลถามว่า "เหตุไฉน พระองค์นึงทรงประทับนั่งที่ใต้ต้นไม้นี้ ไม่ประทับนั่งที่ใต้ไม้ใกล้ๆ ซึ่งมีเงาทึบร่มเย็นกว่าด้วยพระเจ้าข้า"
พระพุทธองค์ ทรงตรัสว่า "ดูก่อนมหาบพิต เงาใด ร่มเย็นกว่าเงาแห่งปวงญาติ หามีไม่"
พระเจ้าวิฑูทะพะ ทรงทราบว่าพระพุทธองค์ มาเพื่อป้องกันเหล่าพระญาติของพระองค์ จึงทรงกรีฑาทัพกลับเมือง แต่เมื่อกลับไปแล้วทรงนึกถึงความแค้นก็กลับยกทัพไปอีก และพระพุทธองค์ จึงทรงห้ามอีก
สิ้นสามวาระ ในวาระที่สี่ พระพุทธองค์ทรงเห็นว่า กรรมเหล่านี้เป็นกรรมในกาลก่อนของเหล่าศากยะ
ที่ทรงฆ่าศัตรูด้วยการวางยาพิษลงในแม่น้ำ เป็นกรรมหนัก เป็นกรรมที่ผู้ใดก็มิสามารถจะห้ามได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ตาม จึงมิได้เสด็จไปในวาระที่สี่ พระเจ้าวิฑูทะพะ ทรงฆ่าเจ้าศากยะทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่เด็กผู้แรกเกิดก็ตาม .

เธอจงดูเถิดมิจฉาบุรุษ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังมิสามารถจะหยุดกรรม หรือรับกรรมแทนเหล่าพระญาติได้ หากพระพุทธองค์เสียสละพระเนตรแล้ว ช่วยเหล่าชีวิตพระญาติได้ มีหรือพระองค์จักไม่ทรงกระทำ แม้แต่พระพุทธองค์เอง ก็ยังมิสามารถหนีกรรมได้พ้น

เมื่อเราทำกรรมใดๆ ก็ตาม สิ่งนั้นย่อมชื่อว่าเราทำแล้ว เราย่อมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
อุปมาเช่น เราใช้ปากกาเขียนบนกระดาษ เราเขียนเส้นโค้งไปแล้ว เรากลับรู้ว่าเราเขียนผิด เราต้องการที่จะให้เส้นเดิมนั้นตรง เราเขียนเส้นใหม่ที่เป็นเส้นตรงต่อจากเส้นเดิมนั้น เส้นเดิมจะตรงหรือไม่?
ฉันใด ฉันนั้น เราทำกรรมดี ผลของกรรมดี ก็เป็นเช่นนั้น เราทำกรรมชั่ว ผลของกรรมชั่ว ก็เป็นเช่นนั้น
เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกรรมเหล่านั้นได้

จงพินิจอย่างละเอียดรอบคอบ ไตร่ตรองด้วยปัญญา แล้วเธอจะเห็นว่าสิ่งใดถูกหรือไม่

......มารเอ๋ย! องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่สามารถจะหยุดกรรมได้ก็จริง แต่กรรมนั้นได้บรรเทาลงใช่หรือไม่ เธอเองก็มิได้ปฏิเสทในเรื่องนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคงไม่เข้าไปยุ่งตั้งแต่ต้น ถ้ากรรมของทหารและประชาชนจำนวนหนึ่งไม่ได้เบาบางลง คนตายจะมากกว่านี้เยอะ

การจะหยุดกรรมได้นั้น เจ้ากรรมนายเวรของเขาต้องยอมหยุดอาฆาตพยาบาท ถ้าเจ้ากรรมนายเวรของเขาไม่ยอมหยุดอาฆาตพยาบาท แม้กรรมนั้นจะได้บรรเทาลง แต่ก็ไม่จบสิ้น ดังเช่น พวกเสื้อแดง และเสื้อเหลือง บางส่วนต้องบาดเจ็บแล้วตายลง ทั้งๆที่มีผู้แผ่เมตตา และอุทิศกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคนในชาติอีกหลายสิบหลายร้อยคนแล้วก็ตาม เพราะเจ้ากรรมนายเวรของคนในชาติบางส่วน ไม่ยอมรับผลบุญ เขาต้องการพยาบาทและล้างแค้นเท่านั้น
มารที่สิงใจ"sanooktou"เอ๋ย



จงฟังคำของเราให้ดี ที่เธอ กล่าวว่า


1. การเสียสละเงินทองอันเป็นของตนก็ดี การสละชีวิตเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นก็ดี สิ่งเหล่านี้ รวมเรียกว่า จาคะ การเสียสละเพื่อประโยชน์สุขแก่ผู้อื่น

เราจะยกตัวอย่างให้เธอฟัง เมื่อเธอทำกรรมเสียแล้ว เธอก็ยกกรรมนั้นๆ ให้แก่ผู้อื่น ด้วยการให้ด้วย
หมื่นแห่งทรัพย์บ้าง ด้วยแสนแห่งทรัพย์บ้าง ด้วยล้านแห่งทรัพย์บ้าง แล้วกล่าวว่า ท่านจงรับเงินนี้แล้วจงรับกรรมที่เรากระทำ กรรมที่เรากระทำจงเป็นของท่าน ท่านจงรับวิบากแห่งกรรมนั้น

....ถ้าไม่มีการรับกรรมแทนกันแล้ว ความดีย่อมเกิดไม่ได้ เพราะความดีนั้นเป็นการรับวิบากกรรมแทนคนอื่น ถ้าคุณฆ่าเขา เขาก็ฆ่าคุณ ชาติต่อๆมา ก็จะมีการฆ่ากันไปเรื่อยๆไม่สิ้นสุด แล้วเหตุใดชาติต่างๆจึงมีการฆ่าฟันกันลดลงตามยุคสมัยล่ะ

เราจะบอกเธอนะ มันควรมีสงครามระหว่างภาคใต้ และภาคอื่นๆในเมืองไทย แต่เรื่องเหล่านี้หาได้เกิดขึ้นไป เธอรู้ไหม เราได้แผ่เมตตา และอุทิศกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคนในชาติให้กับพวกเสื้อแดงมากเท่าไร เสื้อเหลืองมากเท่าไร และประชาชนมากเท่าไร ฯลฯ [b](2 เดือนเต็ม)
ไม่ใช่เราคนเดียวนะ ยังมีผู้อื่นแผ่เมตตา และอุทิศกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคนในชาติอีกหลายสิบหลายร้อยคน

เราและนักกรรมฐานที่มีจิตใจงาม ได้ทำให้อนาคตของประเทศเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น[/b]


2. ดูก่อนมิจฉาบุรุษ สิ่งนี้มิใช่วิสัยที่จะมีได้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้
ดูก่อนมิจฉาบุรุษ อุปมาที่ท่านยกมานั้น มิใช่ฐานะ มิสมด้วยเหตุด้วยผล
ท่านเคยได้ยินแต่ที่ใด ดวงตามนุษย์เป็นยาได้ แม้แต่พระโพธิสัตว์ คือสัตว์ผู้ควรแก่อันจะตรัสรู้ ย่อมมิเคยปรากฏว่าเป็น สตรีเพศ แม้แต่พระพุทธองค์ของเรา จำเดิมแต่ปณิธานบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธองค์ ย่อมไม่เคยย่างเข้าสู่สตรีเพศ

.....เธอนั้นจะไปรู้อะไร เมื่อปฏิบัติไม่ถึงขั้น เธอย่อมไม่เข้าใจความลับของธรรมชาติแห่งจิต แล้วจะไปสรุปว่า นี่ไม่ใช่ฐานะที่เป็นไปได้ ได้อย่างไร

3. อีกหนึ่งอุปมาของเธอ กรรมคือการกระทำอันผู้นั้นจะพึงรับหามีตัวตนไม่ แล้วบุคคลนั้นจักปราศัยกับด้วยผู้ใด? แล้วประโยชน์อันใดด้วยดวงตาอันเขาควักแล้ว ?
เราจักยกเรื่องแห่งความเสื่อมสิ้นแห่งวงศ์ของเจ้าศากยะ
ด้วยเหตุที่พระเจ้าวิฑูทะพะ ผูกความอาฆาตในเจ้าศากยะ เมื่อได้เป็นพระราชา จึงยกทัพกรีฑา หวังจะกำจัดวงศ์ให้สูญสิ้น พระพุทธองค์ทรงทราบเหตุนี้ จึงทรงไปดักในระหว่างหนทาง และประทับนั่งใต้ต้นไม้อันมีเงาขาดพร่อง เมื่อพระเจ้าวิฑูทะพะทรงเห็น จึงเข้าไปเฝ้า และทูลถามว่า "เหตุไฉน พระองค์นึงทรงประทับนั่งที่ใต้ต้นไม้นี้ ไม่ประทับนั่งที่ใต้ไม้ใกล้ๆ ซึ่งมีเงาทึบร่มเย็นกว่าด้วยพระเจ้าข้า"
พระพุทธองค์ ทรงตรัสว่า "ดูก่อนมหาบพิต เงาใด ร่มเย็นกว่าเงาแห่งปวงญาติ หามีไม่"
พระเจ้าวิฑูทะพะ ทรงทราบว่าพระพุทธองค์ มาเพื่อป้องกันเหล่าพระญาติของพระองค์ จึงทรงกรีฑาทัพกลับเมือง แต่เมื่อกลับไปแล้วทรงนึกถึงความแค้นก็กลับยกทัพไปอีก และพระพุทธองค์ จึงทรงห้ามอีก
สิ้นสามวาระ ในวาระที่สี่ พระพุทธองค์ทรงเห็นว่า กรรมเหล่านี้เป็นกรรมในกาลก่อนของเหล่าศากยะ
ที่ทรงฆ่าศัตรูด้วยการวางยาพิษลงในแม่น้ำ เป็นกรรมหนัก เป็นกรรมที่ผู้ใดก็มิสามารถจะห้ามได้ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ตาม จึงมิได้เสด็จไปในวาระที่สี่ พระเจ้าวิฑูทะพะ ทรงฆ่าเจ้าศากยะทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่เด็กผู้แรกเกิดก็ตาม .

เธอจงดูเถิดมิจฉาบุรุษ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังมิสามารถจะหยุดกรรม หรือรับกรรมแทนเหล่าพระญาติได้ หากพระพุทธองค์เสียสละพระเนตรแล้ว ช่วยเหล่าชีวิตพระญาติได้ มีหรือพระองค์จักไม่ทรงกระทำ แม้แต่พระพุทธองค์เอง ก็ยังมิสามารถหนีกรรมได้พ้น

เมื่อเราทำกรรมใดๆ ก็ตาม สิ่งนั้นย่อมชื่อว่าเราทำแล้ว เราย่อมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
อุปมาเช่น เราใช้ปากกาเขียนบนกระดาษ เราเขียนเส้นโค้งไปแล้ว เรากลับรู้ว่าเราเขียนผิด เราต้องการที่จะให้เส้นเดิมนั้นตรง เราเขียนเส้นใหม่ที่เป็นเส้นตรงต่อจากเส้นเดิมนั้น เส้นเดิมจะตรงหรือไม่?
ฉันใด ฉันนั้น เราทำกรรมดี ผลของกรรมดี ก็เป็นเช่นนั้น เราทำกรรมชั่ว ผลของกรรมชั่ว ก็เป็นเช่นนั้น
เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกรรมเหล่านั้นได้

จงพินิจอย่างละเอียดรอบคอบ ไตร่ตรองด้วยปัญญา แล้วเธอจะเห็นว่าสิ่งใดถูกหรือไม่

......มารเอ๋ย! องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่สามารถจะหยุดกรรมได้ก็จริง แต่กรรมนั้นได้บรรเทาลงใช่หรือไม่ เธอเองก็มิได้ปฏิเสทในเรื่องนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคงไม่เข้าไปยุ่งตั้งแต่ต้น ถ้ากรรมของทหารและประชาชนจำนวนหนึ่งไม่ได้เบาบางลง คนตายจะมากกว่านี้เยอะ

การจะหยุดกรรมได้นั้น เจ้ากรรมนายเวรของเขาต้องยอมหยุดอาฆาตพยาบาท ถ้าเจ้ากรรมนายเวรของเขาไม่ยอมหยุดอาฆาตพยาบาท แม้กรรมนั้นจะได้บรรเทาลง แต่ก็ไม่จบสิ้น ดังเช่น พวกเสื้อแดง และเสื้อเหลือง บางส่วนต้องบาดเจ็บแล้วตายลง ทั้งๆที่มีผู้แผ่เมตตา และอุทิศกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรของคนในชาติอีกหลายสิบหลายร้อยคนแล้วก็ตาม เพราะเจ้ากรรมนายเวรของคนในชาติบางส่วน ไม่ยอมรับผลบุญ เขาต้องการพยาบาทและล้างแค้นเท่านั้น


พลศักดิ์ วังวิวัฒน์

ยกเว้นกฎข้อ

การเมื่อง

เจ้าของ:  mes [ 29 มิ.ย. 2009, 20:06 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กรรมของใคร ก็เป็นของคนนั้น...จริงหรอ?

ท่านประธานไม่แข็ง

เจ้าของ:  suwichai [ 29 มิ.ย. 2009, 20:11 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กรรมของใคร ก็เป็นของคนนั้น...จริงหรอ?

mes เอ๋ย


เราได้แสดงให้เห็นว่า กรรมนั้นรับแทนกันได้ เมื่อมีคนกล่าวเรื่องกรรมของสังคมและประชาชน เขากล่าวว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังมิสามารถจะหยุดกรรม หรือรับกรรมแทนเหล่าพระญาติได้ เราจึงต้องกล่าวเรื่องของสังคมและประชาชน เรามิได้กล่าวเรื่องการเมืองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลย

มารนั้นไม่สู้ด้วยข้อธรรม มารสู้ด้วยการใส่ร้ายป้ายสี ต่อว่า ติเตียน และยุยงผู้อื่น เหมือนที่เธอกำลังทำอยู่ในเวลานี้ยังไง

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 29 มิ.ย. 2009, 20:19 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กรรมของใคร ก็เป็นของคนนั้น...จริงหรอ?

mes เขียน:
ท่านประธานไม่แข็ง


พูดยังไงท่าน mes

ไฟล์แนป:
oba41.gif
oba41.gif [ 18.27 KiB | เปิดดู 7945 ครั้ง ]

เจ้าของ:  กบนอกกะลา [ 30 มิ.ย. 2009, 02:14 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: กรรมของใคร ก็เป็นของคนนั้น...จริงหรอ?

ผมว่า..พระพุทธเจ้าหยุดกรรมไม่ให้ให้ผลได้..ถ้าพระองค์ท่านต้องการ..เพียงแต่ว่า..พระองค์จะยังต้องการหยุดกรรมไปทำไม..ก็มันรู้ไปซะหมดแล้วนี้..ทำอย่างนี้แล้วจะเป็นยังงัย..ไม่ทำอย่างนี้แล้วจะเป็นยังงัย..พระองค์ท่านจะทำเฉพาะที่มีประโยชน์เท่านั้น

ดูอย่างท่านเทวทัต กลิ่งก้อนหินใส่พระองค์ท่าน..ผมว่าพระองค์ท่านรู้..แล้วทำไม่พระองค์ท่านไม่หลบไปซะ..(ผมคิดว่า)..เพราะรู้ว่า..ผลมีแค่ ห้อพระโลหิต..เพราะรู้ว่า..เมื่อท่านเทวทัตทำแล้ว..ฌาณจะเสื่อม.เหาะไปไหนมาไหนไม่ได้..จะเกิดการสำนึกผิด..เพราะรู้ว่า..จะเดินทางมาหาพระองค์แล้วถูกธรณีสูบ..เพราะรู้ว่า..ก่อนจะถูกแผ่นดินกลืนหมด..เทวทัตจะทำการถวายกระดูคางแก่พระองค์..เพราะรู้ว่า..ด้วยอานิสงค์การถวายนี้จะเป็นปัจจัยได้สำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า..พระองค์ท่านเลยไม่หลบ..(เป็นแค่คิดว่า..เฉย ๆ นะ)


ดูอย่าง..ตอนที่พระองค์ท่านปลงสังขาร..ก็กล่าวกับพระอานนท์ว่า..หากท่านอาราธนาให้เราอยู่..เป็นกัลป์เราก็อยู่ได้..เพราะอะไร..ก็เพราะท่านรู้วิธีนะซิ..(เป็นพุทธวิสัยที่รู้แจ้งแทงตลอดในปฏิจจสมุปบาท..รู้ว่าจิตอวิชชาสร้างสังขาร อย่างไร นั้นเอง..ผมคิดเองนะ..ไม่เกี่ยวกับอาจารย์ผม)..

ในพุทธกาลก็มีตัวอย่าง..ตอนหนึ่ง.พระเถรีอรหัตตเจ้าผู้หนึ่ง..รูปสวยมีดวงตาที่งดงามมาก..อดีตคนรักก็เฝ้ากวนใจให้ลาสิกขา..เพราะหลงในดวงตางามนั้น..พระท่านเกรงว่าบาปจะตกอยู่กับเขา..ก็ควักดวงตายื่นให้..เจ้านั้นเผ่นกลับแต่โดยเร็ว..ครันท่านพบพระพุทธเจ้า..พระองค์ยังกล่าวว่าทำถูกแล้ว..แล้วบันดาลให้มีดวงตาเหมือนเดิมอีกครั้งหนึ่ง..

ดังเช่น..คนสร้างรถยนต์..อะไรจะเสียก็ซ่อมแซมด้วยอะไหล่..ถ้าขาดอะไหล่อีก..ก็สร้างอะไหล่ใหม่ซะเลย..ก็คนมันรู้วิธีทำ ไม่เหมือนคนซ่อมรถ รถเสียซ่อมได้แต่สร้างอะไหล่เองไม่ได้ทำไม่เป็น

หน้า 1 จากทั้งหมด 2 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/