ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
ลิขิตแห่งกรรม http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=24138 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | แสนสวาท [ 21 ก.ค. 2009, 19:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | ลิขิตแห่งกรรม |
อโหสิกรรม ดิฉันนัดเพื่อนไว้สองคนที่วัดแห่งหนึ่งย่านฝั่งธนฯ คนหนึ่งเปนพุทธ คนหนึ่งเปนอิสลาม อย่าแปลกใจนะคะว่า คนอิสลามใจออกห่างศาสนาเธอแล้วหรือ ที่จริง เราแต่นัดหมายกันที่นั่นเท่านั้น เพื่อนคนที่ยังมาไม่ถึง เปนลูกศิษย์พระที่นั่น รูปหนึ่ง ดิฉันและเพื่อนอิสลามรอหน้ากุฏิพระ เพื่อนที่นัดไว้ยังไม่มาสักที ทันทีที่เธอมาถึงเธอก็นำเราเข้าไปนั่งในกุฏิพระ ดิฉัน เพื่อนอิสลาม เพื่อนอีกคน เข้าไปนั่งเรียบร้อย รอพระมา เมื่อพระมาถึง เราก็ยกมือไหว้พระกันหมด ดิฉันก็ยัง งง ๆ ว่า คนอิสลามเขาเข้ามานั่งไหว้พระได้ยังไง แต่ก็ไหว้ เพราะเปนพ่อของเพื่อน เธอบอกว่า คิดแบบนี้ได้ พระท่านหันหน้ามาทางดิฉันและพูดทันทีว่า เรารู้ได้อย่างไร ว่าเราไม่เคยทำเขาไว้ก่อน เครียดไปทำไม เรืองที่เกิดขึ้นกับเรา เปนเรืองที่เราอาจทำเขาไว้ ถึงเวลาที่วิบากกรรมมาปรากฏ เราต้องรู้จักให้อภัย ท่านวนเวียนพูดเรืองนี้ ย้ำไปย้ำมา ดิฉันก็แปลกใจ ในใจคิดถึงคนที่ได้ขอยืมเงินไป และคิดว่าเมื่อไร เขา/เธอจะนำมาคืนสักที ก็มันน้อยเสียเมื่อไร จะให้อโหสิกรรมกันง่ายหรือ ท่านก็ยังย้ำอยู่ที่เดิมว่า เราทำเขาไว้ก่อน ให้รู้จักอโหสิกรรม ดิฉันออกจากกุฏิพระมาอย่างงง ๆ ว่า ท่านพูดขึ้นมาลอย ๆ ได้ยังไง คนอื่นก็ไม่หันไปสนทนาด้วย หันมาทางดิฉันอย่างเดียว ท่าทางพฤติกรรมของดิฉันจะทุกข์จนเด่นชัดเลย ท่านจึงได้พูดออกมาให้ดิฉันฟังชัดเจน จนวันนี้ ดิฉันไม่ได้โทรทวงเงินคนที่ยืมไปสักคนเดียว คนที่โกงไปก็มี เรียกว่า เอาความเมตตาของดิฉันมาหลอกให้เชื่อ ดิฉันก็เปนคนที่เชื่อง่ายอะไรเช่นนี้ กรรม!!! เพราะเมื่อทวง เขา/เธอก็ทุกข์ เราก็บาปอีก เรียกว่า เปนเจ้าหนี้ที่ทวงใครไม่ได้เลย ทุกวันนี้ก็พยายามเหลือเกินที่จะไม่ยุ่งกับใคร อย่ามายืมเงินดิฉัน เพราะดิฉันจะได้ไม่ต้องคิดถึงท่าน เราจะได้ไม่ผูกเวรกัน ดิฉันพยายามคิดว่า เงินเปนแสนสองแสนที่ได้ถูกยืมไปนั้น เราไปเอาของเขามาก่อน ถึงเวลาแล้วก็คืนเขาไป ถึงเวลาที่เราต้องอโหสิกรรม เปนคุณทำใจได้ไหมนะ เรืองแบบนี้ |
เจ้าของ: | แมวขาวมณี [ 22 ก.ค. 2009, 22:57 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลิขิตแห่งกรรม |
![]() อนุโมทนาในอโหสิกรรมล่วงหน้านะคะ แมวขาวฯทำใจได้แล้วค่ะ ... 1 แสน 2 แสน 3...4...5.... แสน ก็แค่ทรัพย์สินนอกกาย ตอนนี้มาขอ.... ชีวิต...เลือด...ร่างกาย....ก็ให้ได้ค่ะ.... ลองไปบริจาคโลหิต...สักครั้งซิคะ.... ทรัพย์ของเรา...สามารถต่อชีวิต...ต่อลมหายใจเค้าได้...คิดว่าเป็นกุศลเถอะค่ะ.... ถ้าไม่ได้ต่อชีวิต.... แต่ทำให้คนอื่น ๆ เป็นสุขก็ยัง โอ.... ค่อย ๆ คิดปล่อยวาง...คิดที่จะช่วย....คิดที่จะสงเคราะห์ .... เพื่อนรวมทุกข์ทั้งหลาย... แล้ววันนึงคุณจะ อโหสิกรรม ได้จากหัวใจของคุณเอง... รักคุณมาก ๆ ค่ะ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 23 ก.ค. 2009, 07:40 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลิขิตแห่งกรรม |
การกู้ยืมเงินจะต้องทำหนังสือสัญญากู้ยืม เพื่อให้มั่นจะต้องจดจำนองโดยมีหลักทรัพย์ค้ำประกันงินกู้ด้วย ดูตัวอย่างธนาคารเขาทำดิ หากทำไม่ได้อย่างเขาก็ไม่ต้องทำ หากให้ยืมๆกันแบบชาวบ้านๆไว้ใจกัน (ไว้ใจ๋ได้ก่า) ไปเจอะเจอคนหัวหมอเข้า เงินเป็นแสนๆ เขาไม่ให้ จะทำอะไรเขาได้ ฟ้องร้องก็ไม่มีหลักฐาน นักบุญประสบปัญหานี้ก้นมาก สุดท้ายก็เป็นๆอย่างที่เห็นๆนี่แหละ คือทำใจ ฯลฯ เมื่อไม่แข็งแรง ก็ไม่ต้องให้ใครเขายืมเงิน เก็บไว้กินไว้ใช้ไว้รักษาตัว ยามแก่เฒ่าทำงานไม่ได้ จะดีกว่า หากกลัวตกนรกก็นำเงินช่วยสาธารณกุศลตามกำลังศรัทธา สบายใจกว่ากันเยอะ ไม่ต้องมานั่งกัดฟันทำใจแผ่เมตตาอโหสิกรรมซ้ำไปซ้ำมา ก็พอได้ในแง่จิตวิทยา (ทำให้สบายใจ) ไม่คิดฟุ้งซ่านอาฆาตแค้น ฯลฯ ในเมื่อไม่รู้จะทำอะไรได้มากไปกว่านี้แล้ว ![]() |
เจ้าของ: | แมวขาวมณี [ 23 ก.ค. 2009, 12:03 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลิขิตแห่งกรรม |
![]() จริงอย่างท่านกรัชกายว่าค่ะ....แต่ ขนาดทำสัญญาเงินกู้พร้อมใช้หลักทรัพย์เป็นบ้าน มาค้ำประกันก็แล้ว... คุณท่านลูกหนี้ ก็ยังไม่สามารถ...จ่ายต้น จ่ายดอก(ร้อยละ1.5ต่อเดือน)เลยค่ะ พอดำเนินการฟ้องร้อง...ก็ขอผลัดผ่อน... จ่ายมั่ง มะจ่ายมั่ง...คุณทนายแกก็ตามแหลกเลยค่ะ ตกลงได้บ้านที่เรา...เฮ้อก็ไม่รู้จะให้ใครอยู่....ก็ยกให้เค้าเพราะเด็กตาดำ ๆ ....................................................... กระบวนการทั้งหมด..... มีแต่เราที่ทุกข์ใจ...วิตกกังวล... เกิดอกุศลกับจิตเรา.... เลิกให้ยืม...เรื่องให้กู้เนี้ยะแค่ครั้งเดียวครั้งนั้น.... พอมาเอ่ยปากยืม...ก็จะให้ไปเลย...เท่าที่เราพอใจจะให้... นอกนั้นไปหาหยิบยืมเอาข้างหน้า..... เค้าก็ได้ตายไปจากใจของเรา สาธุ.... |
เจ้าของ: | dhama [ 23 ก.ค. 2009, 12:21 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลิขิตแห่งกรรม |
แมวขาวมณี เขียน: :b8: จริงอย่างท่านกรัชกายว่าค่ะ....แต่ ขนาดทำสัญญาเงินกู้พร้อมใช้หลักทรัพย์เป็นบ้าน มาค้ำประกันก็แล้ว... คุณท่านลูกหนี้ ก็ยังไม่สามารถ...จ่ายต้น จ่ายดอก(ร้อยละ1.5ต่อเดือน)เลยค่ะ พอดำเนินการฟ้องร้อง...ก็ขอผลัดผ่อน... จ่ายมั่ง มะจ่ายมั่ง...คุณทนายแกก็ตามแหลกเลยค่ะ ตกลงได้บ้านที่เรา...เฮ้อก็ไม่รู้จะให้ใครอยู่....ก็ยกให้เค้าเพราะเด็กตาดำ ๆ ....................................................... กระบวนการทั้งหมด..... มีแต่เราที่ทุกข์ใจ...วิตกกังวล... เกิดอกุศลกับจิตเรา.... เลิกให้ยืม...เรื่องให้กู้เนี้ยะแค่ครั้งเดียวครั้งนั้น.... พอมาเอ่ยปากยืม...ก็จะให้ไปเลย...เท่าที่เราพอใจจะให้... นอกนั้นไปหาหยิบยืมเอาข้างหน้า..... เค้าก็ได้ตายไปจากใจของเรา สาธุ.... เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ทำได้สาธุๆๆๆ |
เจ้าของ: | กรัชกาย [ 23 ก.ค. 2009, 12:26 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลิขิตแห่งกรรม |
คุณแมวขาว ฯ ถ้าใจไม่แข็งพอ อย่าทำอาชีพนี้เลยครับ ถ้าเป็นแบงค์ เขายึดเลย คนที่ทำอาชีพนี้ จะต้องโหด เจ้าของเงินไม่ทำเอง จ้างคนตามเก็บเงินรายวัน มีคนเก็บคน เงินกู้นอกระบบ ดอกร้อยละยี่...เก็บทุกวัน วันไหนไม่จ่ายคาดโทษเลย ตัวอย่างบางรายเมียกู้ร้อยละยี่ สามีตามส่งๆไม่ไหวผูกคอตาย ภรรยาหนีๆ ได้หน่อยเงินหมดก็ต้องกลับบ้าน แต่ก็อยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ ออกจากบ้านไม่ได้ เจ้าหนีคาดโทษไว้เลยว่า อย่าออกมาให้เห็นหน้าน่ะ นี่คือความจริงในสังคมปัจจุบัน |
เจ้าของ: | แมวขาวมณี [ 24 ก.ค. 2009, 09:40 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลิขิตแห่งกรรม |
![]() เจ้าค่ะท่านdhamma, ท่านกรัชกาย แมวขาวฯ แค่เคยช่วย...เพราะเขาเดือดร้อน มาขอหยิบยืม... แล้วเอาบ้านมาทำสัญญาค้ำประกันเพราะจำนวนเงินมากอยู่.. ไม่เคยคิดทำอาชีพ ปล่อยเงินกู้เลย..... ไม่อยากได้ ดอกเบี้ย..ใคร แต่..คนทุกวันนี้หากินลำบากยากเข็ญ...ไหนจะค่าใช้จ่าย จิบปาถะ ที่เค้ากู้..ก็เพราะจะไปลงทุนทำมาหากิน... แต่การค้าก็ต้องมีหัวการค้า...รู้จักบริหารเงิน...ทั้งทุนทั้งกำไร... และโอกาสทางธุรกิจที่ลงทุนทำ... เราเตือนไปก็..เข้าหูซ้าย(รึเปล่า)ทะลุหูขวา เฮ้อไม่อยากบ่นค่ะ....ยังมีอีกหลายราย.... ปล่อย ๆ ไป... บอกแล้วว่า..ช่วยเท่าที่เรา พอใจ..ไม่เป็นทุกข์.... ![]() ![]() |
เจ้าของ: | ทักทาย [ 25 ก.ค. 2009, 02:03 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ลิขิตแห่งกรรม |
ขอแสดงความเสียใจด้วยนะค่ะคุณแสนสวาท ที่ต้องเสียเงินไปเป็นแสน แต่ว่า คุณรู้ไหมว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่คุณจะ ได้เรียนรู้ว่าใครคบได้ ใครคบไม่ได้ เรียนรู้ว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ จะคดงอได้มากกว่าใจคน ในเมื่อเราเสียเงินไปแล้ว ถ้าคิดมากก็เป็นทุกข์ ด่าลูกหนี้ก็เป็นกรรมต่อ ถ้าเสียดายก็จะอาลัยอาวรณ์ วนเวียนอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้นก็ตัดความ เสียดาย คิดอย่างที่พระท่านย้ำแล้วย้ำอีกนั้นแหละค่ะว่า "เราเคยไปเอา ของเขามา" ตอนนี้ก็อธิษฐานอนุุโมทนากับเงินก้อนนั้น มันอาจจะเป็นประโยชน์ กับตัวเขาและครอบครัวของเขา อาจจะมีคนหลายคนที่ได้รับอานิสงส์กับ เงินก้อนนั้นของคุณ คุณก็จะได้บุญไปด้วย ดิฉันก็โดนค่ะ เร็วๆนี้เอง ที่สำคัญไม่ได้มีให้เขาโกงด้วย ต้องไปยืมเงินมา เพื่อให้เขาโกง ทุกวันนี้ก็ยังต้องใช้หนี้เงินก้อนนั้นอยู่ เป็นจำนวนเงินมากกว่า ของคุณเกือบสามเท่า ตอนที่รู้แรกๆว่า "โดนเข้าแล้ว" ก็น้ำลายเหนียวเลยค่ะ กลืนไม่ค่อยลง คิดได้แต่เพียงว่า "ทำไมเขาทำกับเราได้" ทั้งๆที่รู้ว่าเราก็ลำบาก แทบตาย เขายังหากินบนความลำบากของเรา ก็พยายามตัดอกตัดใจ อ่านหนังสือ สวดมนต์ จนความเสียดายค่อยๆคลายลง หลังๆพอสวดมนต์ภาวนาเสร็จก็จะกรวดน้ำ และอุทิศส่วนกุศลให้พวกเขา ทั้งๆที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ และอธิษฐานว่า "เงินจำนวนนั้น ถ้าเป็นประโยชน์กับพวกท่าน ทำให้พวกท่านคลายทุกข์จากเงินของข้าพเจ้าก้อนนั้น ข้าพเจ้าก็ขออนุโมทนา ขอให้พวกท่านจงเป็นสุขๆ หากข้าพเจ้าเคยล่วงเกินพวกท่านมา แต่ชาติไหน ภพไหนก็ตาม ขอถือเอาการครั้งนี้เป็นการชดใช้คืน ขออย่าได้มีเวรกรรม ติดตามกันต่อไปอีกเลย ขออโหสิกรรมซึ่งกันและกัน" ทุกวันนี้ดิฉันไม่มีความทุกข์ เพราะตัดใจ ไม่เสียดาย คิดแต่เพียงว่านี่เป็นอีกหนึ่งบทเรียน ที่เราควรจำ ช่วยใครได้ถ้าเราไม่เดือดร้อนจึงช่วย ถ้าไม่พร้อมที่จะช่วยก็จะใช้ธรรมะข้อ "อุเบกขา" และคิดว่า "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" เข้ามาสนับสนุน เพื่อความสบายใจ ของตัวเราเองค่ะ ขอให้คุณมีความสุข อย่าไปยึดติดกับสมบัติภายนอกเลยค่ะ ตั้งใจทำบุญกุศลต่อไปดีกว่า นะค่ะ อนุโมทนา ขอให้เจริญในธรรมค่ะ ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |