วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 00:56  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 85 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 มี.ค. 2016, 09:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


คำพิพาษาของสังคม

ในยุคนี้แทบจะทุกคนมีกล้องถ่ายรูปอยู่ในโทรศัพท์มือถือ จึงถ่ายรูปได้ทันทีทุกเวลา ทีนี้การนำภาพออกไปเผยแพร่ในโลกโซเชียลนั้น คนที่เห็นแค่ภาพก็ตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างในภาพที่ตนเห็นขณะนั้น ตัดสินทุกอย่างที่เห็นจากความคิดของแต่ละคน บางคนก็คิดได้อย่างยุติธรรม โดยไม่เน้นในภาพที่เห็นเท่านั้น

สมมุติว่าเป็นภาพถ่ายบนรถไฟฟ้า หรือ บนรถเมล์ แล้วมีคนถ่ายรูปมา ว่า ทุกคนนั่งกันสบาย แต่ปล่อยให้ เด็ก คนแก่ หรือคนพิการยืนล่ะ เมื่อภาพถ่ายได้กระจายไปทั่วในโซเชียล เกิดอะไรขึ้น คนที่นั่งอยู่ต้องโดนคำพิพากษาจากสังคมทันทีที่ภาพเผยแพร่ออกไป แล้วมีคนเข้าไปดูภาพในโลกโซเชียล แต่ว่าในภาพที่เห็นนั้น ปรากฏว่าอาจจะมีความจริงซ่อนอยู่ แต่คนที่นั่งโดยสารกลับต้องถูกสังคมด่ายับเยิน แล้วความจริงที่เกิดขึ้นจริงจากคำพูดจริงๆ ของคนที่เคยมีประสบการณ์จากการลุกให้คนแก่ เด็ก คนพิการนั่ง คำพูดของคนที่นั่งอยู่เหล่านั้นจะเป็นอย่างไร นี่คือตัวอย่างคำพูดที่พูดกันจริงๆ บุคคลที่เคยลุกให้คนแก่ เด็ก คนพิการนั่ง แต่บุคคลเหล่านี้ไม่ได้ถูกสังคมด่ามานะคะ เพียงแค่เคยประสบเหตุการณ์มา จึงขออนุญาตินำมาให้อ่าน เพื่อเป็นตัวอย่าง เผื่อใครที่มุ่งจะด่าอะไรจากภาพที่เห็นจะได้ยั้งๆ ไว้บ้าง บางทีภาพที่เห็น มันก็ไม่มีคนผิดนะคะ

:b51: :b51: :b51: :b51: :b51: :b51: :b51: :b51:

:b1: เคยเจอกับตัว จะลุกให้คนใช้ไม้ค้ำนั่งตรงสถานีชิดลม แต่พี่เขาบอกไม่เป็นไรครับ ผมจะลงอโศกเอง แถมยิ้ม ค้อมหัวขอบคุณให้อีก ประมาณว่าพี่ยืนได้ ... พอถึงสถานีถัดๆไป มีคนขึ้นมาใหม่ กว่าจะถึงอโศกคิดตามนะคะ ถ้ามีคนเห็นภาพ'ประมาณรูปนี้ แชะแล้วแชร์ บรรดาเรานั่งหน้าสลอน นี่เละคาโซเชี่ยล ตรงช่องคอมเม้นท์นั่นละฮะ

:b12: ใช่ อีกอย่างเค้าเป็นผู้ชาย ผู้ชายบางคนยอมที่จะยืน เพื่อผู้หญิง โชคดีมายุคเราไม่มีโทรศัพท์ 5555+++

:b3: เคยเหมือนกันเลยคะ ลุกขึ้นให้ยายคนนึง ยายเค้าแก่มากๆแล้วน่ะค่ะ แต่ยายบอกไม่เป็นไร อีกสองสถานีเอง

:b19: เราก้อเคย ตอนเล็กๆ ป6ได้มั้ง เค้าลุกให้นั่ง แต่ รรถึงบ้าน เราป้ายเดียว เราก้อไม่นั่งนะ (ปรกติเดินกลับ แต่วันนั้นเพื่อนเดินไม่มา 555)

:b23: เคยเหมือนกันนั่งทนสายตาแค่ 2 สถานีแต่รู้สึกว่าโคตรนานเลย 5555 เดี๋ยวนี่เลยเลือกยืนตรงมุมหน้าประตูคนซาแล้วค่อยเดินไปนั่ง

:b51: :b51: :b51: :b51: :b51: :b51: :b51: :b51:

เดือดร้อนกันมานาน เรื่องแก๊งลักพาเด็ก
แต่ก็ยังเดือดร้อนกันต่อไปไม่สิ้นสุด ดูแลบุตรหลานให้อยู่ในสายตากันให้ดีๆ นะคะ
เพราะคนชั่วมีเกลื่อนอยู่ในบ้านเมือง บางทีหญิงชราแก่ๆ ก็ทำงานให้แก๊งลักเด็ก ก็เคยมีมาแล้ว
ยายคนหนึ่งกำลังเดินถือของบนถนน ห่างจากโรงเรียนประถมของรัฐบาลไม่ไกล ขณะโรงเรียนกำลังเลิก
ยายได้เรียกเด็กผู้หญิงนักเรียนชั้นประถม ให้ช่วยยายถือของที เด็กก็เห็นว่าคนแก่แล้วและขอความช่วยเหลือ เด็กจึงได้เข้าไปช่วยถือของ จากนั้นเด็กก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย จนกระทั่งไปรู้ตัวอีกทีก็คือถูกจับมาที่ไหนไม่รู้ แต่เด็กผู้หญิงคนนี้โชคดี ที่แก๊งลักพาเด็กไม่ได้เอาไปขอทาน หรือเอาไปเลี้ยงไว้ก่อนเพื่อค้าประเวณี เด็กได้ถูกนำไปขายในต่างประเทศ ถูกขายให้กับบ้านเศรษฐีที่ต้องการมีลูก เมื่อการตามหาตัวของเจ้าหน้าที่สิ้นสุดลง ก็ได้พบว่าเด็กไปเป็นลูกเลี้ยงของชาวต่างชาติ ก็มีการส่งตัวคืนประเทศไทย มีข่าวออกในทีวี เมื่อหลายปีมาแล้ว ถึงเด็กจะถูกเลี้ยงอย่างสบาย แต่พ่อแม่ที่รักลูก ลูกที่รักคิดถึงพ่อแม่ ก็อยากกลับคืนมาสู่อ้อมอกกันและกันทุกครอบครัวค่ะ

------------------------------------

รถตู้ลักพาตัว 2 พี่น้อง แต่หนีรอดมาได้หวุดหวิด เผยยังมีเด็กอีก 6 คนถูกจับอยู่

http://hilight.kapook.com/view/134122

เป็นอย่างไรบ้างล่ะสังคม เรื่องแบบนี้ไม่เคยหมดไปจากสังคม
ตราบใดที่กฏหมายยังไม่ลงโทษให้รุนแรง เรื่องแบบนี้ก็ยังมีเกิดขึ้นเรื่อยๆ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มี.ค. 2016, 15:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑
ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค
๒. สามัญญผลสูตร
-----------------------------------------------------
เรื่องพระเจ้าอชาตศัตรู
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 072&Z=1919

:b8: :b8: :b8:


เด็กชายถีบเพื่อนผู้หญิง ๒ คนตกน้ำ ดับทั้งสองชีิวิต
http://www.dailynews.co.th/regional/387911

สังคมมันเลวร้ายมากขึ้นทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ต่างก็เหี้ยมโหด มีอาจารย์สอนธรรมะท่านหนึ่งท่านได้บอกว่า
ในยุคนี้เป็นยุคที่สัตว์นรกพ้นโทษมาเกิดเป็นมนุษย์เยอะมากๆ แน่นอนว่าสัดส่วนของคนดีจึงเป็นแค่สัดส่วนที่น้อยมาก เป็นยุคที่คนดีต้องเจียมตัวหาทางหนีทีไล่เอาตัวให้รอดในการดำรงชีวิต หลีกเลี่ยงที่จะพบเจอกับเหล่าคนพาล ยอมแพ้คนพาลได้ก็ต้องยอมแพ้บ้าง เพื่อให้พ้นภัย ทำให้เราฉุกคิดว่า ในยุคนี้บ้านเมืองวิกฤต จิตใจคนต่ำทรามมากขึ้น เกิดสงคราม ดินฟ้าอากาศแปรปรวน พื้นแผ่นดินแห้งแล้ง แผ่นดินถล่ม น้ำท่วมรุนแรง ป่าไม้ถูกทำลาย ล้วนแล้วแต่เป็นน้ำมือของมนุษย์ทั้งสิ้นที่โลกเข้าขั้นวิกฤต หรือด้วยการมาเยือนของเหล่าอบายสัตว์ที่มากล้นด้วย โลภะ โทสะ โมหะ เมื่อสัตว์เหล่านี้มาทำอกุศลกรรมในเมืองมนุษย์จบแล้ว ก็ต้องกลับไปสู่นิรยภูมิตามเดิม หรือกลับไปเป็นอบายสัตว์เหมือนเดิม มันเป็นการมาแวะมาเที่ยวเมืองมนุษย์ของแก๊งทัวร์นรกหรืออย่างไร

ทั้งธรรมชาติเลวร้าย ทั้งสงครามก่อตัวขึ้น ทั้งเหตุวินาศกรรมวางระเบิด ไม่ว่าภาคใหญ่ที่เป็นมหภาค
หรือภาคเล็กๆ ระดับครัวเรือน ทุกอย่างอยู่ในยุคที่เสื่อม จิตใจทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่เหี้ยมโหด ทำอะไรที่ต่ำช้าโดยไม่สะทกสะท้าน ขาดความเมตตา

ทั้งๆ ที่ เด็กคือชีวิตที่ยังเยาว์ อวิชชาเป็นม่านบังตายังมีน้อย จิตใจเด็กจะไร้เดียงสา ใจอ่อนและใสซื่อกว่าผู้ใหญ่ แต่เด็กเดี๋ยวนี้ไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว มีสัญชาติญาณโหดเหี้ยมไม่แพ้สัตว์ป่า ไม่มีเหตุผล ทำเพื่อความพอใจ ซึ่งตรงกันข้ามกับธรรมชาติของเด็ก เพราะฉะนั้น อย่าได้ประมาทเห็นว่าเป็นเด็กไม่มีพิษไม่มีภัย

คนสมัยก่อน ผัวเมียจะไม่มีเพศสัมพันธ์กันในวันโกน วันพระ เพราะว่ากลัวว่าพวกอบายสัตว์จะมาเกิดเป็นลูกของตน บางคนก่อนจะมีลูก ก็รักษาศีล ทำกุศล เพื่อต้อนรับผู้ที่พ้นจากสุคติภูมิมาเกิด เพราะสันดานที่ติดตัวมาจากอดีตชาติก็มีส่วนช่วยให้สั่งสอนได้ง่ายถ้าตายมาจากภพภูมิที่ดี ดูอย่างพระเจ้าอชาตศัตรู ในขณะที่พระมารดาตั้งครรภ์ พระมารดาอยากเสวยโลหิตของพระสวามีคือพระเจ้าพิมพิสาร เมื่อพระเจ้าอชาตศัตรูเติบโตขึ้นก็พร้อมจะไหลลงสู่ความชั่วได้โดยง่าย กล้าแม้กระทั่งฆ่าพ่อของตนเอง

มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อแต่ก็ต้องเชื่อว่า บางครั้งหญิงมีครรภ์หรือคนท้อง ต้องการกินอะไรที่แปลกไปจากปกติ เคยมีหญิงที่แพ้ท้องอยากกินเนื้อดิบ และกินได้เอร็ดอร่อยด้วย เมื่อคลอดลูกออกมาเป็นผู้ชาย เลี้ยงยาก เกเร ไม่ยอมเรียนหนังสือ สุดท้ายก็เป็นโจร มันบ่งบอกว่าสันดานเดิมแต่ในอดีตชาติที่ฝังแน่นนั้น หากพ่อแม่ไม่ดูแลเต็มที่ ก็ยากเกินถ่ายถอน ยากเกินเยียวยาเมื่อเติบโตขึ้น หรือแม้แต่พ่อแม่เฝ้าพร่ำสั่งสอนแต่ก็ไม่เป็นผลดีอะไรขึ้นมาได้แก่เด็ก

ในสมัยนี้จึงมีข่าวที่สะเทือนใจผู้อ่านหรือผู้ฟังข่าวอยู่บ่อยๆ ทั้งลูกที่ฆ่าพ่อหรือแม่
พระที่ผิดพระวินัยก็มีมากล้น จนหาพระแท้ได้ยาก เนื่องจากการมาเยือนของอบายสัตว์มากเกินจนล้น
เมื่อใดที่คนมีโลภะ โทสะ โมหะมาก เมื่อนั้นก็ถึงคราวที่โลกวินาศไปด้วย

ซึ่งเมื่อดูแล้วก็ตรงกับวาระที่พระพุทธศาสนาค่อยๆ เสื่อมลงหลังกึ่งพุทธกาล ก็ถึงคราวที่เหล่าอบายสัตว์พ้นโทษออกมามากด้วยประจวบเหมาะกันพอดี มันจึงเป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจความเป็นไปของสิ่งต่างๆ ที่ช่างสอดคล้องลงตัวกันอย่างกับจัดวาง ก็ต้องอยู่กันอย่างเข้าใจและพยายามทำกุศลไว้เนืองๆ เพราะบุญจะได้รักษาให้เราปลอดภัย สามารถทำกุศลต่อไปให้นานที่สุด

ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรมค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 เม.ย. 2016, 10:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


รักษาชีวิตไว้กันเถอะค่ะ เห็นข่าวเจ้าหนี้ถูกทำร้ายแล้วก็ไม่เห็นประโยชน์อะไรกับการทวงหนี้ที่ถูกโกง
ตรงนี้ขอพูดรวมๆ ถึงคนที่ให้คนอื่นยืมเงินทั่วไป ไม่ได้หมายถึงเจ้าหนี้เงินกู้แบบโหดค่ะ

อะไรที่ปล่อยๆ ไปได้ก็ปล่อยไป เช่น การทวงหนี้ ถ้าลูกหนี้ไม่คืนเงินให้ ก็คือไม่คืนแล้วนะคะ ทวงให้ตายก็ไม่มีทางคืน แม้ลูกหนี้จะร่ำรวยแล้วก็ตาม เพราะบางคนตั้งใจจะโกงอยู่แล้ว

การไปทวงหนี้ก็เหมือนการไปหาเรื่องกับเค้า ยิ่งไปตะโกนทวงในที่สาธารณะ หรือในเวลาที่มีคนอื่นอยู่ตรงนั้น ก็เหมือนไปฉีกหน้าลูกหนี้ ทำให้เกิดการทำร้ายร่างกายกันได้ แล้วเจ้าหนี้ก็ถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บ

อะไรที่ปล่อยๆ ได้ก็ปล่อยๆ ไป เพื่อรักษาตนเองไว้นะคะ
ก็ขอให้คิดย้อนว่า วันนี้ที่ถูกโกง เพราะชาตินี้ เราเคยโกงใครมาบ้างหรือเปล่า ไม่ว่าจะเป็นเงินเพียงเล็กน้อย หรือมาก แล้วยิ่งในอดีตชาติที่ผ่านมา เชื่อได้เลยว่าทุกคนในอดีตชาติที่ผ่านมา ได้เคยทำกรรมชั่วมากันสารพัดหมดทุกอย่าง ดังนั้นวันนี้ถ้าถูกโกงเงินก็ให้รับรู้ว่า ในอดีตชาติเคยทำมาเอง วันนี้รับผลกรรมชั่ว ก็ต้องทำใจให้ได้ค่ะ อย่าไปก่อเรื่องราวต่ออีก เพราะมันไม่คุ้มกับการโดนทำร้ายจากลูกหนี้ ถ้าเจตนาลูกหนี้ไม่ยอมใช้หนี้ ทวงไปก็ไม่ได้คืนหรอกค่ะ ก็ทวงแต่พอสมควรนะคะ ไม่ได้แล้วก็คือไม่ได้ ให้จบได้เลย เพราะ ถ้าทวงต่อไป หรือไปทวงในที่สาธารณะ เค้าอายขึ้นมา เจ้าหนี้ก็อาจจะโดนทำร้ายร่างกายได้ค่ะ

พระพุทธองค์ทรงสอนว่ากรรมในปัจจุบันนี้สำคัญที่สุด กรรมชั่วที่เราเคยทำไว้ในอดีตแม้มีมากมายก็จริง แต่การกระทำกรรมในปัจจุบันนี้สำคัญที่สุด ปัจจุบันก็อย่ากระทำอะไรด้วยความประมาท ถ้าประมาทเมื่อไรก็ส่งผลให้กรรมชั่วในอดีตมีโอกาสส่งผลมาให้ได้รับความทุกข์ในปัจจุบันทันที และถ้าเรามีสติไม่ประมาทก็จะเป็นสิ่งที่ดีจริงๆ กระทำกรรมดีในปัจจุบันเพื่อไม่เปิดโอกาสให้กรรมชั่วในอดีตส่งผลจะดีกว่า เพราะการกระทำดีและชั่วในปัจจุบันนั้นก็สามารถส่งผลให้วิปากดี หรือ วิปากชั่ว ที่เคยกระทำไว้ในอดีตตามมาส่งผลมาในปัจจุบันได้ด้วย และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือ การกระทำกรรมดีและกรรมชั่วในชาติปัจจุบันนี้ ยังสามารถส่งผลให้เราไปเกิดเป็นอะไรในภพภูมิใดได้ด้วยในชาติหน้าต่อจากชาตินี้ เกิดในชาติหน้าก็ขึ้นอยู่กับการกระทำดีและชั่วในชาติปัจจุบันนี้เป็นสำคัญ ดังนั้นการกระทำกรรมในปัจจุบันเราต้องมีสติให้มาก พิจารณาว่าทำอะไรแล้วได้ประโยชน์หรือไม่ ถ้าการกระทำในปัจจุบันที่ไม่เกิดประโยชน์ และอาจจะทำให้เกิดโทษได้ ก็อย่าทำเสียเลยจะดีกว่า

ก็ต้องหลีกเลี่ยงการให้ยืมเงินกัน แต่บางครั้งเหมือนแล้งน้ำใจไม่ช่วย ก็หาวิธีที่ช่วยแล้วเราไม่เดือดร้อนในภายหลังด้วยค่ะ พระพุทธเจ้าสอนให้ทำดีให้ช่วยคนอื่น แต่ไม่ได้สอนให้ช่วยคนอื่นจนตัวเองเดือดร้อนค่ะ

เรื่องเงินทองของบาดใจ แม้แต่ ลูกยังฆ่าพ่อแม่ได้เพราะเรื่องเงิน พี่น้องยังฆ่ากันได้เพราะเรื่องเงิน
นับประสาอะไรกับคนอื่นที่ยืมเงินเราไป ทำไมเขาจะฆ่าเราไม่ได้ ก็ขอให้คิดไว้ค่ะ

อาจารย์ดิฉันพูดสอนบ่อยๆ ว่า เสียหนึ่ง อย่าให้เสียสอง

เสียเงินไปแล้ว ก็อย่าให้ตนเองถึงกับต้องบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเลยนะคะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2016, 18:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว




แคนตาลูป.JPEG
แคนตาลูป.JPEG [ 30.99 KiB | เปิดดู 16783 ครั้ง ]
ระวังพิษร้ายใน “แคนตาลูป” ขนาดคนปลูกปอดหาย แล้วคนกินล่ะ?
http://manager.co.th/goodhealth/ViewNew ... 0000002016

แคนตาลูป ถึงแม้ว่าจะมีประโยชน์มาก แต่เนื่องจากมันไม่ใช่ผลไม้ที่ปลูกได้ง่ายในบ้านเรา ฉะนั้น การปลูกแคนตาลูป จำเป็นที่จะต้องใช้สารเคมีที่แรงและฉีดบ่อยๆ เพราะแคนตาลูปเป็นพืชที่อ่อนไหวต่อสภาพดินฟ้าอากาศ และแมลงเป็นอย่างมาก เพียงแค่เห็นจุดดำเล็กๆ ที่ใบในตอนเช้า แต่มันสามารถกระจายไปทั้งไร่ได้ เพราะฉะนั้น ชาวชาวไร่แคลตาลูปจะต้องคอยเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด และเมื่อพบ จึงจำเป็นที่จะต้องฉีดยาทันที

ยาฆ่าแมลงที่เกษตรกรใช้นั้นชื่อว่า "ฟูราดาน" ซึ่งพิษของสารเคมีตัวนี้มีฤทธิ์ตกค้างอยู่ได้นานไม่ต่ำกว่า 3 เดือน เป็นสารอันตรายในลักษณะยาฆ่าแมลงชนิดหนึ่ง เป็นยาฆ่าแมลงชนิดดูดซึมจากรากต้นพืชขึ้นมาสู่ต้น ใบ ดอก ผล ไม่มีกลิ่น และสามารถมีฤทธิ์อยู่ในดินได้นานเป็นเดือนๆ ซึ่งโดยปกติแล้วมีข้อแนะนำให้นำเอาไปใช้กับไม้ดอกไม้ประดับเท่านั้น แต่เพราะคุณสมบัติอันวิเศษของมัน เกษตรกรไทยบางรายเห็นว่าฤทธิ์ยาสามารถอยู่ได้นาน ก็เลยนำมาใช้กับพืชที่เป็นอาหาร ฟูราดานที่ใช้กับพืชที่เป็นอาหารจำพวกแตงแทบทุกชนิดยังตกค้างอยู่ในตอนเก็บเกี่ยว ผลของยาทำให้ท้องเสียหรืออาจเจ็บป่วยร้ายแรงได้

เกษตรกรปลูกไร่แคนตาลูป พึงระวัง! หากใช้ชีวิตในความประมาท โดยขณะฉีดยาฆ่าแมลงนั้นไม่ปิดปาก จมูก หรือแม้แต่เวลาผสมน้ำยาลงในถังใช้มือเปล่าๆ คน โดยที่ไม่ส่วมใส่ถุงมือ นอกจากนั้นยังไม่พอ หลังจากการฉีดยาแล้วตัวเปียกน้ำยาที่ฉีดไปโดยที่ยังไม่แห้ง แต่ก็ยังคงทำงานในไร่ต่อ สารพิษในยาฆ่าแมลงนั้นอาจจะแทรกซึมอยู่ในร่างกาย หรือเวลาที่เราหายใจเข้าไป สารเคมีนั้นจะเข้าไปสะสมไว้ในปอด ซึ่งลักษณะอาการดังนี้เสี่ยงต่อการเสียปอด
1.ลักษณะอาการเหมือนคนเป็นวัณโรค
2.หมดเรี่ยวแรงในการทำงานต่อไปไม่ได้
3.ผอมซูบ
4.ไอโขลกๆ เล็กๆน้อยๆ ไปจนถึงมีอาการไอรุนแรงจนไอออกมาเป็นเลือด
5.เวลาได้กลิ่นควันไฟหรือควันบุหรี่จะหายใจไม่อิ่ม

อาการเหล่านี้เมื่อเราเป็น สามารถเลี่ยงเพื่อไม่ให้ปอดเราหายไปเร็วมากขึ้น โดยการ เมื่อเวลาที่มีอาการไอจะต้องคอยจิบยาน้ำแก้ไออยู่ตลอดเวลา เลี่ยงความเย็น อย่างเช่น การเข้าห้องน้ำก็ต้องระวังไม่ให้ถูกความเย็นมาก เวลานอนต้องทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่เสมอ เมื่อฤดูหนาวมาเยือนจะต้องคอยหลีกเลี่ยงอากาศที่เย็น และยังต้องหนีหรือเลี่ยงควันไฟและควันบุหรี่
สำหรับผู้บริโภค ไม่ควรที่จะบริโภคติดต่อกันเป็นเวลานาน ถ้าหากอยากบริโภคบ่อยๆ ต้องมั่นใจว่าแหล่งที่มาไม่มีการใช้สารเคมี ถ้าซื้อตามท้องตลาดทั่วไป ก่อนปอกเปลือก ควรแช่น้ำเกลือและล้างให้สะอาดที่สุดเพื่อป้องกันสารพิษตกค้าง

หากไม่แน่ใจว่ามีสารพิษตกค้างในแคนตาลูปหรือเปล่า มีวิธีการสังเกตและตรวจสอบเบื้องต้นง่ายๆ ด้วยตัวคุณเองดังนี้

1.เลือกลูกที่มีน้ำหนักมากมีกลิ่นหอม แต่ไม่ฉุนเกินไป เนื้อจะเละ รอบๆ ขั้วจะเป็นร่องหยัก ถ้าเป็นลูกที่แก่จัด สีผิวจะเหลืองเสมอกันทั้งลูก และไม่เหี่ยว ลูกโตจะรสดีกว่าลูกเล็ก

2.ผู้บริโภคควรทำความสะอาดผลไม้ก่อนที่จะมีการรับประทาน ไม่ว่าจะเป็นการล้าง ลวกน้ำร้อน ต้ม ตุ๋น หรือการแช่สารต่างๆ เช่น น้ำส้ม ด่างทับทิม หรือน้ำยาล้างผักผลไม้ต่างๆ ก็จะช่วยลดปริมาณสารพิษตกค้างลงได้มากยิ่งขึ้น

ข่าวโดย : กมลชนก บุญเพ็ง

:b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47: :b47:

อ่านแล้วก็สงสารทั้งคนปลูกขาย และ คนซื้อมากิน
คนปลูกก็ควรจะหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีอันตราย ไม่ควรมักง่าย ต้องคิดด้วยว่าสารพิษจะทำร้ายผู้บริโภค
คนปลูกที่มักง่ายนั้น ก็ทำให้นึกถึงสุภาษิตที่ว่า ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 เม.ย. 2016, 18:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖
มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... 312&Z=6749

๙. พาลบัณฑิตสูตร (๑๒๙)
[๔๖๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของ
อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก
ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว ฯ

ฯลฯ

[๔๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย มีเหล่าสัตว์เดียรัจฉานจำพวกมีคูถเป็นภักษา
สัตว์เดียรัจฉานเหล่านั้นได้กลิ่นคูถแต่ไกลๆ แล้วย่อมวิ่งไปด้วยหวังว่า จักกิน
ตรงนี้ เปรียบเหมือนพวกพราหมณ์เดินไปตามกลิ่นเครื่องบูชาด้วยตั้งใจว่า จักกิน
ตรงนี้ จักกินตรงนี้ ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล มีเหล่าสัตว์
เดียรัจฉานจำพวกมีคูถเป็นภักษา สัตว์เดียรัจฉานเหล่านั้นได้กลิ่นคูถแต่ไกลๆ
แล้ว ย่อมวิ่งไปด้วยหวังว่า จักกินตรงนี้ จักกินตรงนี้ ก็เหล่าสัตว์เดียรัจฉาน
จำพวกมีคูถเป็นภักษา คืออะไร คือ ไก่ สุกร สุนัขบ้าน สุนัขป่า หรือแม้
จำพวกอื่นๆ ไม่ว่าชนิดไรๆ ที่มีคูถเป็นภักษา ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาลนั้น
นั่นแลผู้กินอาหารด้วยความติดใจรสเบื้องต้นในโลกนี้ ทำกรรมลามกไว้ในโลกนี้
เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายของสัตว์จำพวกมีคูถเป็นภักษาเหล่านั้น ฯ


ฯลฯ

:b8: :b8: :b8:

คนที่นำอาหาร เช่น ผลไม้สวยๆ รสชาติดี นำมาถวายพระพุทธรูปที่หิ้งพระ ประหนึ่งว่าได้ถวายอาหารนี้ต่อพระพุทธองค์ แล้วตนเองเผลอเลอ คอยเล่งคอยจ้องของบนหิ้งพระว่า เมื่อถวายเรียบร้อยแล้วเราจะเอามากิน ตอนอาหารถวายแล้วอยู่บนหิ้งพระเป็นอาหารที่เรากำลังถวายแด่พระพุทธองค์ เราก็ไม่ควรคิดเพ่งเล่งอาหารนั้นนะคะ เมื่อถวายและลาแล้ว นำอาหารลงมาจากหิ้งพระ ก็กินได้ตามปกติค่ะ

สำหรับการกินนั้น ควรฝึกให้ตนเองเป็นผู้มีสติขณะกินอาหารให้บ่อยขึ้นมากขึ้นค่ะ

ไม่สำคัญว่าคุณจะกินผัก หรือ กินเนื้อสัตว์ หรือกินอาหารที่มีความเชื่อว่าไม่เบียดเบียดสัตว์

ความจริงนั้นอยู่ที่ว่า ขณะกินนั้นคุณติดใจในรสของอาหารหรือเปล่า ถ้ากินอย่างเพลิดเพลินในรสอาหารนั้นอยู่ นั่นแหละคือโทษที่แท้จริง สร้างภพสร้างชาติไว้แล้วในเบื้องหน้า

จะกินอะไร ก็กินอย่างผู้มีสติไม่ติดในรสชาติอาหาร กินเพื่อให้ขันธ์ดำรงอยู่ต่อไปเพื่อสร้างกรรมดีค่ะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 พ.ค. 2016, 15:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


เมื่อประมาณสัก ๑๐ กว่าปีมาแล้ว ที่โรงเรียนสตรีเอกชนโรงเรียนหนึ่ง มีเด็กผู้หญิงที่แขนพิการ แขนสั้นไปข้างหนึ่ง เรียนที่โรงเรียนเอกชนหญิงล้วนแห่งนี้มาหลายปี ต่อมาได้ลาออกไปเรียนโรงเรียนรัฐบาล ปรากฏว่าเข้าไปเรียนในโรงเรียนรัฐบาล โดนเพื่อนล้อเรื่องความพิการ เป็นเรื่องที่เด็กผู้หญิงผู้นี้ทนไม่ไหว เพราะตั้งแต่เรียนโรงเรียนเอกชนหญิงล้วนโรงเรียนเก่า ไม่เคยมีเพื่อนๆ ล้อเลียนเรื่องแขนพิการแต่อย่างใดเลย ปรากฏว่าน้องผู้หญิงคนนี้ต้องลาออกจากโรงเรียนรัฐบาล แล้วกลับมาเรียนโรงเรียนเอกชนหญิงล้วนตามเดิม แทนที่ครอบครัวจะได้ประหยัดค่าเทอม ไม่ต้องจ่ายแพงเหมือนเรียนเอกชน เด็กที่ล้อเลียนนั้นจะเคยคิดกันบ้างหรือไม่ว่า ทำให้คนอื่นเดือดร้อนจากการกระทำของตน คนพิการนั้น ไม่มีใครอยากเป็นผู้พิการ คนที่ร่างกายดีพร้อมไม่บกพร่องก็ใช่ว่าจะรอดจากความพิการไปได้ อุบัติเหตุมีไม่เว้นแต่ละวัน คนที่ร่างกายสมประกอบทุกอย่างก็กลับกลายเป็นคนพิการไปก็มาก เห็นคนพิการแล้วก็นึกสงสารกันเถอะ อย่าไปรังเกียจล้อเลียน เยาะเย้ยแซวเล่นสนุกปาก เพราะชีวิตไม่มีความแน่นอน อุบัติเหตุหรือโรคภัยไข้เจ็บ อาจจะมาพรากอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งของเราไปก็ได้ หรือมากไปกว่านั้นก็อาจจะพรากชีวิตของเราให้ดับลงไปเลยก็ได้

ทำไมการอบรมเลี้ยงดูเด็กของผู้ปกครองในสมัยนี้จึงแย่ลงอย่างมาก เอาที่เห็นนะว่า ผู้ใหญ่ในปัจจุบันนี้ หมกหมุ่นกับการกินเหล้า เล่นการพนัน เสพยาเสพติด มั่วเซ็กซ์ จะมีกะจิตกะใจอะไรมาอบรมลูกหลานให้ได้ดี ในเมื่อชีวิตคนจำนวนมากยังดำรงสภาพการใช้ชีวิตอยู่อย่างนี้ สังคมที่ตกต่ำติดต่อกันมานานหลายปี ทำให้ประชากรด้อยคุณภาพมีมากขึ้นทุกวัน การไม่เร่งแก้ไขอบรมบ่มนิสัยเสียใหม่ในวัยเด็กที่ควรได้รับการอบรม และกฏหมายที่แข็งพอที่จะเล่นงานผู้ใหญ่ให้ตรงแถวตรงแนวขึ้น การปลูกจิตสำนึกที่ดีให้คน ต้องทำต่อเนื่องและจริงจัง ไม่เช่นนั้น ประเทศของเราจะมีประชาชนที่ระดับจิตใจตกต่ำลงไปเรื่อยๆ จนล้มสลายจากความดี คนดีๆ อยู่กันแบบหวาดผวา อยากให้กฏหมายแรงกว่าที่เป็นอยู่นี้ การลงโทษระดับประหารชีวิตต้องมี เพื่อควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มาทำร้ายคนดี การประหารชีวิตไม่ใช่อยู่ๆไปประหารคนดีๆ เพราะถ้าคุณไม่ทำผิด ใครเค้าจะเอาคุณไปประหาร พ่อแม่ที่รักลูก กลัวลูกตาย ก็เลี้ยงอบรมลูกให้ดี และกฏหมายต้องเป็นกฏหมายจะต้องศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่ลงโทษเฉพาะคนจน คนรวยทำผิดไม่ใช่เอาเงินติดคุกแทน หรือเอาเงินไถ่ชีวิตได้ ผู้ที่รักษาความยุติธรรมรักษากฏหมายต้องทำงานอย่างซื่อตรงด้วย ความซื่อสัตย์สุจริตศักดิ์ศรีของความเป็นคนอย่าให้ใครเอาเงินมาฟาดหัว

ดิฉันเห็นครอบครัวหัวหน้าคนงานก่อสร้างครอบครัวหนึ่ง มีลูกชายเรียนค่อนข้างดี สอบเข้าโรงเรียนพาณิชย์ของรัฐบาลที่มีชื่อเสียงได้ ปรากฏว่าเข้าไปเรียนชั้น ปวช.ปีแรกได้ปีเดียว มีผู้หญิงที่ทำงานโรงงานเป็นแม่หม้ายอายุมากกว่าน้องผู้ชายที่กำลังเรียนปวช. เรียกว่าอายุมากกว่าหลายปีได้มาติดพัน สอยเด็กผู้ชายไปเป็นสามีเรียบร้อยแล้ว อะไรมันจะหื่นผสมพันธุ์กันขนาดนั้น เด็กกำลังมีอนาคต สอบเข้าโรงเรียนมีชื่อเสียงได้ แต่ต้องมาเสียการเรียนกับสาวแก่แม่ม้าย เด็กผู้ชายคนนี้ก็เลิกเรียนหนังสือ เป็นอันว่าเรียนได้สูงสุดคือจบแค่มอต้น ปัจจุบันเด็กหนุ่มคนนี้ทำงานในโรงงาน เป็นคนงานในโรงงาน แทนที่เรียนต่อไปจนจบปวช. ต่อปวส.จะดีกว่าหรือมั้ย พ่อแม่ก็นั่งเสียใจช้ำใจ ที่ลูกไม่เรียนหนังสือ ส่วนเด็กสาวๆ พอเริ่มเข้าวัยรุ่น ยังเรียนแค่มัธยมต้น ก็เสียการเรียนไปก็มากกับเรื่องชิงสุกก่อนห่าม มีแม่เด็กมาเล่าให้ดิฉันฟัง ดิฉันก็ปลอบใจไปว่า พยายามให้ลูกอย่าทิ้งการเรียนนะ ให้ลูกคุมกำเนิดไว้ อย่างไรก็ให้แม่ประคับประคองลูกให้เรียนต่อไป เพราะเด็กผู้หญิงคนนี้เพิ่งเรียน มัธยมต้นเอง ในทำนองเดียวกันดิฉันก็เห็น นักศึกษาที่กำลังเรียนมหาวิทยาลัยของรัฐระดับต้นๆของเมืองไทย ปรากฏว่าวินมอเตอร์ไซร์รับจ้างที่นักศึกษานั่งเข้าซอยบ้าน ก็พยายามจีบนักศึกษาหญิง แต่เด็กใฝ่เรียนขนาดสอบได้มหาวิทยาลัยรัฐระดับต้นๆ ก็ไม่น่าห่วงเท่าไหร่แล้ว จะแยกแยะได้แล้ว ก็เป็นแค่เรื่องเล่ากันฟังเท่านั้น ส่วนการเรียนก็มีต่อไปค่ะ

สังคมเราเป็นอะไรไปกัน เด็กดีๆที่กำลังมีอนาคต แต่ก็พยายามจะดึงเด็กลงสู่ที่ต่ำกัน หน้ามืดตามัวกับตัณหาราคะ จนไม่แยกแยะจนไม่ละเว้น สังคมตกต่ำจริิงๆ ในทุกวันนี้

ลูกสาวเคยเล่าให้ฟังถึงโรงเรียนรัฐบาลที่ลูกเข้าไปเรียนใหม่ว่า เด็กนักเรียนหญิงที่โรงเรียนรัฐบาลที่ลูกย้ายไปอยู่นั้น แกล้งกันอย่างไร มีเด็กผู้หญิงที่หมั่นไส้เพื่อนด้วยกัน แต่เพื่อนไม่รู้ว่าถูกหมั่นไส้ เด็กหญิงที่หมั่นไส้เพื่อนก็เอาทาโร่ขนมปลาเส้นขนมที่ขายกัน เอาปลาเส้นไปขยี้ๆ เหยียบกับพื้นห้องน้ำแล้วเอาใส่ซองตามเดิม ไปให้เพื่อนที่ตนหมั่นไส้กิน เพื่อนก็กิน คิดว่าหวังดีแบ่งขนมให้กินกัน น่าตกใจมั้ยเด็กยุคนี้ยุคที่ไร้จิตสำนึกที่ดี

เกิดมาเป็นคน จนเงินจนทองยังไม่เป็นไร แต่อย่าให้จนหิริ โอตตัปปะในใจเป็นใช้ได้ค่ะ

-----------------------------------------------------------------

"ดูคลิปที่พี่เขารุมฆ่าพ่อผมทีไร อยากปามือถือทิ้ง"ลูกวัย12ขวบของชายพิการร่ำไห้เปิดใจ
http://www.khaosod.co.th/view_newsonlin ... 1462465013

เด็กอันธพาลที่ขาดคนอบรมสมัยนี้ คิดแค่ตนเอง ทำคนอื่นได้ฝ่ายได้เดียว ตนเองโกรธได้ แต่คนอื่นโดนแซวแล้วห้ามโกรธตอบ เด็กแบบนี้ถือตนเองเป็นใหญ่ ตนเองโกรธได้ คนอื่นห้ามโกรธ เมื่อตนเองโกรธก็พร้อมจะทำร้ายเล่นงานคนอื่น ใครจะเป็นอย่างไรไม่เคยคิด ขอให้ได้ทำอะไรให้ตนเองได้สะใจเป็นใช้ได้

อยากถามว่า พ่อแม่อายบ้างมั้ยที่เลี้ยงลูกได้แบบนี้แบบที่เป็นสวะของสังคมอย่างที่ผู้ตายกล่าวไว้จริงๆ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2016, 14:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ

อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปัณฑิตวรรคที่ ๖
http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... 5&i=16&p=5

ข้อความตอนหนึ่งใน หัวข้อ ธรรมดาบัณฑิตย่อมฝึกตน


พระศาสดาตรัสว่า "อย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย ในเวลาผู้มีบุญทำสมณธรรม
จันทเทพบุตรฉุดมณฑลพระจันทร์รั้งไว้,
สุริยเทพบุตรฉุดมณฑลพระอาทิตย์รั้งไว้,
ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ถืออารักขาทั้ง ๔ ทิศในป่าใกล้วิหาร,
ท้าวสักกเทวราชเสด็จมายึดอารักขาที่สายยู,

ถึงเราผู้มีความขวนขวายน้อยด้วยนึกเสียว่า ‘เป็นพระพุทธเจ้า’ ก็ไม่ได้เพื่อจะนั่งอยู่ได้ ยังได้ไปยึดอารักขาเพื่อบุตรของเรา ที่ซุ้มประตู

ฯลฯ
:b8: :b8: :b8:

เทวดามีอยู่จริง และสามารถช่วยเหลือแก่คนที่กระทำแต่กรรมดีอยู่นั้นได้เช่นกันตามสมควรแก่การช่วยได้
จะขอนำเอาข้อความบางส่วนในหนังสือ ปริจเฉทที่ ๕ เล่ม ๑ ในตอนของภูมิจตุกกะ ในเนื้อหาตอน จาตุมหาราชิกาภูมิ หน้า ๑๐๔ มาพิมพ์ให้อ่านกัน ดังนี้ค่ะ

เทวดาทั้งหลายที่อยู่ในชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ มีอยู่ ๓ พวกคือ
๑. กุมมัฏฐเทวดา เทวดาที่อยู่บนพื้นแผ่นดิน (อยู่ตามภูเขา แม่น้ำ มหาสมุทร)
๒. รุกขัฏฐเทวดา เทวดาที่อยู่บนต้นไม้
๓. อากาสัฏฐเทวดา เทวดาที่อยู่ในอากาศ

๓. อากาสัฏฐเทวดา เทวดาจำพวกนี้มีวิมานเป็นที่อยู่ของตนเองโดยเฉพาะ เช่น พระอาทิตย์ พระจันทร์ และดาวทั้งหลาย ที่เราเห็นกันอยู่นั้นก็คือวิมานอันเป็นที่อยู่ของอากาสัฏฐเทวดาทั้งหลายนั่นเอง ทั้งภายในและภายนอกของวิมานนั้นประกอบไปด้วยรัตนะ ๗ อย่าง อันบังเกิดขึ้นด้วยอำนาจกุศลกรรม คือ แก้วมรกต แก้วมุกดา แก้วประพาฬ แก้วมณี เงิน ทอง บรรดาวิมานทั้งหลายนี้ บางวิมานก็ประกอบด้วยรัตนะ ๒ บางวิมานก็ประกอบด้วยรัตนะ ๓-๔-๕-๖ และบางวิมานก็ประกอบด้วยรัตนะทั้ง ๗ สุดแท้แต่กุศลที่ตนได้สร้างไว้ และวิมานเหล่านี้ก็ลอยหมุนเวียนไปรอบๆ เขาสิเนรุอยู่เป็นนิจ

--------------------------------

นำมาให้อ่านเพราะเห็นว่าอากาศร้อนอบอ้าวมาก อยากจะบอกว่า พระอาทิตย์ที่ใครว่าอยู่ไม่ได้ แต่ก็มีเทวดาอาศัยอยู่ได้ เพราะกุศลกรรมที่เทวดาทำไว้ พระอาทิตย์ที่ว่าร้อนนักร้อนหนา แต่เทวดาอยู่กันได้ด้วยอำนาจแห่งกุศลกรรมที่เทวดาทำไว้นั่นเองค่ะ โลกเราร้อนอย่างไรก็ยังไม่เท่าพระอาทิตย์ ดังนั้นถ้าเราร่วมกันทำความดี ประกอบแต่กุศลกรรมเป็นส่วนใหญ่ เราก็จะสามารถอยู่บนโลกนี้ได้อย่างเป็นสุขเช่นเดียวกัน ลดความเห็นแก่ตัวลง หยุดเป็นผู้ทำลาย และรักโลกให้มากขึ้นเห็นใจเพื่อนร่วมโลกให้มากขึ้น เลิกเผาป่าเผาหญ้า ปลูกต้นไม้ทดแทนขึ้นมาให้มาก มันอยู่ที่สำนึกแล้วว่า ควรทำกุศลให้แก่สาธารณชนด้วยการปลูกป่า ไม่ใช่เอาแต่ทำลายป่า ด้วยอำนาจแห่งกุศลกรรมนี้แหละ จะทำให้โลกที่คนร้อนแบบตาย ให้กลับกลายเป็นโลกที่น่าอยู่เช่นดังเดิมค่ะ

การที่เราไปตัดไม้ทำลายป่านั้น เท่ากับทำลายที่อยู่ของรุกขัฏฐเทวดา ซึ่งท่านมีวิมานอยู่บนต้นไม้ บางจำพวกท่านก็ไม่มีวิมาน แต่อาศัยอยู่บนต้นไม้นั้นแต่ไม่มีวิมาน การที่มนุษย์ไปทำลายวิมาน หรือบ้านของรุกขัฏฐเทวดานั้น มันส่งผลให้บ้านพวกมนุษย์ก็ถูกทำลายด้วย ตามแรงกรรมที่เราทำนั่นแหละ ทำลายบ้านคนอื่น ก็ทำให้แรงกรรมเหวี่ยงย้อนกลับมาทำให้โลกซึ่งเป็นบ้านของมนุษย์ทั้งหลายก็ถูกทำลายด้วยความร้อนด้วย บ้านพวกเราเป็นอย่างไรบ้างกันตอนนี้ ร้อนมากใช่หรือไม่ จะว่าบ้านชั้นติดแอร์ไม่ร้อน แต่ว่าท่านอยู่ในบ้านท่านตลอดเวลาได้หรือไม่ ทุกคนต้องออกมาใช้ชีวิต ต้องได้รับผลกระทบจากอากาศร้อนกันหมดนั่นแหละค่ะ เมื่อสังคมส่วนใหญ่อยู่ไม่ได้ คนที่สุขสบายที่มีอยู่แค่จำนวนเล็กน้อยของประเทศก็ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยเช่นกัน น้ำที่ขาดแคลน ความแห้งแล้งมีมากขึ้น พืชและสัตว์ที่มนุษย์นำมาเป็นอาหารย่อมขาดแคลน จะรวยแค่ไหนก็นั่งแทะเงิน แทะแบงค์ แทะทองกินแทนอาหารไม่ได้ ในที่สุดแล้ว มีเงินมีทองท่วมหัวก็กินเข้าไปไม่ได้ จะเอาเงินเอาทองไปแลกเป็นอาหาร ก็ไม่มีอาหารให้แลก อาหารจะสำคัญที่สุด เงินทองเป็นของมายา ข้าวปลานั่นแหละคือของจริง

คนที่เอาแต่ตักตวงว่า มีเงินมีทองมีทรัพย์สมบัติมากมายแล้วจะสบายกว่าคนอื่น เอาตัวรอดได้เพราะมีทรัพย์มาก พยายามหามาด้วยความทุจริต ตัดไม้ทำลายป่า ทำโรงงานทำกิจการต่างๆก็ทำลายสิ่งแวดล้อม มีแต่ความเห็นแก่ตัวเพื่อให้ได้มาซึ่งของมีค่า ทรัพยสินเงินทอง ในที่สุดก็ต้องพบจุดจบเหมือนกันกับคนยากจนทั้งหลาย ต้องอดอยากยากไร้เช่นเดียวกัน ในเมื่ออาหารไม่มี ในที่สุดก็ไม่มีกินเหมือนๆ กัน ไม่ว่ารวยหรือจน

หยุดความเห็นแก่ตัวลงเสียบ้าง หยุดทำกิจการต่างๆ ที่ทำลายระบบนิเวศน์ได้แล้ว ถ้าคนส่วนใหญ่อยู่ไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าคนที่ตักตวงแต่ผลประโยชน์แบบชั่วๆ จะอยู่รอดได้ มันต้องพบจุดจบไม่ต่างกันค่ะ

------------------------------
คลิ๊กไปชมภาพ...ป่าต้นน้ำที่อ่างแม่ถางจังหวัดแพร่กลายเป็นเขาหัวโล้นชาวบ้านวอนทางการเกี่ยวข้องสกัดนายทุนรุกป่าให้ได้
https://www.youtube.com/watch?v=byQ-fwTytxA

ฝนไม่ตกก็ร้อนดุเดือด แห้งแล้งขาดน้ำ เดือดร้อนกันไปทั่วแทบทุกจังหวัด
พอฝนตกก็ไม่มีป่าไม้เก็บน้ำ ดินถล่ม น้ำป่าไหลหลาก ลมพายุพัดแรงไม่มีป่าไม้บังปะทะแรงลม
เราจะอยู่กันได้อย่างไรเมื่อผืนแผ่นดินเป็นไปได้ขนาดนี้

คนที่ทำลายป่า มันทำนรกให้เกิดขึ้นบนดิน ทำให้คนจำนวนมากได้รับความลำบากแสนสาหัส ท้ายสุดแล้วตัวมันเองนั่นแหละ ต้องชดใช้กรรม ต้องได้รับความทรมานไปชดใช้กรรมชั่ว ในนรกสถานเดียว

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ค. 2016, 09:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ

อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปัณฑิตวรรคที่ ๖

เชิญเข้าไปอ่าน ในเรื่อง ชายเข็ญใจยินดีรับเลี้ยงภิกษุ
http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... 5&i=16&p=5
และ จะขอยกข้อความตอนหนึ่งมา เพื่อให้เห็นว่าแม้แต่ท้าวสักกะเทวราช ผู้เป็นใหญ่ยังทนอยู่ไม่ได้ ต้องลงมาช่วยมหาทุคตะ ชายผู้ยากไร้ เป็นอย่างไรบ้างคะ แม้แต่ชายยากไร้แบบมีคำว่า "มหา" นำหน้า แสดงว่ายากไร้แบบมหาสุดแสนยากไร้ เมื่อเขาตั้งใจจะทำความดีอย่างแรงกล้า พระพุทธองค์ยังทรงให้ความกรุณาอนุเคราะห์แก่เขา ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่ก็ยังนั่งอยู่ไม่ได้ ยังต้องแปลงกายมาช่วย ขอเชิญอ่านค่ะ

มหาทุคตะได้ถวายทานแด่พระพุทธเจ้า
ก็วันนั้น พระศาสดาทรงตรวจดูสัตวโลกในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นมหาทุคตะ เข้าไปในภายในข่ายคือพระญาณของพระองค์ ทรงรำพึงว่า "จักมีเหตุอะไรหนอ?" ทรงดำริว่า "มหาทุคตะคิดว่า จักเลี้ยงภิกษุรูปหนึ่ง, จึงได้ทำงานจ้างกับภรรยาแล้วในวันวาน, เขาจักได้ภิกษุรูปไหนหนอ?" จึงทรงใคร่ครวญว่า "คนทั้งหลายจักพาภิกษุไปตามชื่อที่จดไว้ในบัญชีแล้ว ให้นั่งในเรือนของตนๆ, มหาทุคตะเว้นเราเสียแล้ว จักไม่ได้ภิกษุอื่น."
ได้ยินว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมทรงทำความอนุเคราะห์ในพวกคนเข็ญใจ เพราะฉะนั้น พระศาสดาทรงทำสรีรกิจแต่เช้าตรู่แล้ว เสด็จเข้าสู่พระคันธกุฎี ประทับนั่ง ด้วยทรงดำริว่า "จักสงเคราะห์มหาทุคตะ."
แม้เมื่อมหาทุคตะกำลังถือปลาเข้าไปสู่เรือน บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของท้าวสักกะแสดงอาการร้อน. ท้าวเธอทรงพิจารณาว่า "เหตุอะไรกันหนอ?" ทรงดำริว่า "วานนี้ มหาทุคตะได้ทำงานจ้างกับภรรยาของตน ด้วยตั้งใจว่า ‘จักถวายภิกษาแก่ภิกษุสัก ๑ รูป’ เขาจักได้ภิกษุรูปไหนหนอ?" ทรงทราบว่า "ภิกษุอื่นไม่มีสำหรับเขา, แต่พระศาสดาประทับนั่งในพระคันธกุฎีนั่นเอง ด้วยตั้งพระทัยว่า 'จักสงเคราะห์มหาทุคตะ’, มหาทุคตะพึงถวายข้าวต้มข้าวสวย และมีผักเป็นกับ อย่างที่ตัวบริโภคเองแด่พระตถาคต, ถ้ากระไร เราควรไปยังเรือนของมหาทุคตะ ทำหน้าที่เป็นพ่อครัว" ดังนี้แล้ว

จึงทรงจำแลงเพศมิให้ใครรู้จัก เสด็จไปที่ใกล้เรือนของมหาทุคตะนั้นแล้ว ตรัสถามว่า "ใครๆ มีงานจ้างอะไรบ้างหรือ?" มหาทุคตะเห็นท้าวสักกะแล้ว จึงกล่าวว่า "จักทำงานอะไร? เพื่อน."
ชายแปลง. ข้าพเจ้ารู้วิชาการทุกอย่าง นาย, ชื่อว่าวิชาการสิ่งไรที่ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ ไม่มีเลย, รู้จนการปรุงข้าวต้ม ข้าวสวยเป็นต้น.
มหาทุคตะ. เพื่อน พวกข้าพเจ้ามีความต้องการด้วยการงานของท่าน, แต่ยังไม่เห็นค่าจ้างที่ควรจะให้แก่ท่าน.
ชายแปลง. ก็ท่านต้องการทำอะไร?
มหาทุคตะ. ข้าพเจ้าประสงค์จะถวายภิกษาแก่ภิกษุรูปหนึ่ง, ประสงค์จัดแจงข้าวต้มข้าวสวยถวายภิกษุนั้น.

ชายแปลง. ถ้าท่านจะถวายภิกษาแก่ภิกษุ ข้าพเจ้าไม่ต้องการค่าจ้าง, ท่านให้บุญแก่ข้าพเจ้า ไม่ควรหรือ?
มหาทุคตะ. เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เป็นการดีละ เพื่อน, เชิญเข้าไปเถิด.
ท้าวสักกะนั้นเสด็จเข้าไปในเรือนของมหาทุคตะนั้นแล้ว ให้นำข้าวสารเป็นต้นมาแล้ว ทรงส่งมหาทุคตะนั้นไปด้วยคำว่า "ไปเถิดท่าน, จงนำภิกษุที่ถึงแก่ตนมา."
ฝ่ายผู้จัดการทาน ได้จ่ายภิกษุไปสู่เรือนของพวกชนเหล่านั้นๆ ตามรายการที่จดไว้ในบัญชีนั่นแล. มหาทุคตะไปยังสำนักของเขาแล้ว พูดว่า "จงให้ภิกษุที่ถึงแก่ผมเถิด" เขาได้สติขึ้นในขณะนั้น จึงพูดว่า "ฉันลืมภิกษุสำหรับแกเสียแล้ว" มหาทุคตะเป็นเหมือนถูกประหารที่ท้องด้วยหอกอันคม ประคองแขนร่ำไรว่า "เหตุไร จึงให้ผมฉิบหายเสียเล่า? คุณ, แม้ผมอันท่านชวนแล้วเมื่อวาน ก็พร้อมด้วยภรรยาทำงานจ้างตลอดวัน วันนี้ แต่เช้าตรู่ เที่ยวไปที่ฝั่งแม่น้ำ เพื่อต้องการผักแล้วจึงมา, ขอท่านจงให้ภิกษุแก่ผมสักรูปหนึ่งเถิด."

มหาทุคตะไปนิมนต์พระศาสดา
(เข้าไปต่อที่ http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... 5&i=16&p=5)

:b8: :b8: :b8:

ขอให้เชื่อว่า คนที่ทำแต่ความดี คนที่เสียสละตนเองช่วยเหลือผู้อื่น เทวดาย่อมคุ้มครอง บางคนแคล้วคลาดอันตรายอย่างไม่น่าเชื่อ บางคนก็บังเอิญได้รับสิ่งที่รอคอยอย่างหวุดหวิดจะพลาดแต่ก็ไม่พลาด เทวดานั้นเราไม่ต้องไปอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากท่าน เพียงแค่คนประกอบแต่กรรมดี เทวดาก็จะคุ้มครองเอง เทวดาต่างพากันอนุโมทนากับกุศลที่คนทำ แต่ถ้าใครเป็นคนชั่วจิตใจต่ำช้าไปทำร้ายคนดี กรรมชั่วที่ทำในปัจจุบันจะชักพากรรมชั่วที่เคยทำให้อดีตชาติมาส่งผลทำร้ายคนชั่วได้อย่างรวดเร็ว ดิฉันเคยเห็นว่ามีคนที่ดีแต่โดนกลั่นแกล้งทำร้าย ปรากฏว่าคนชั่วที่ทำร้ายนั้นไม่นาน ก็มีอันต้องเป็นไปแพ้ภัยตนเอง ต้องเจอกับเรื่องทุกข์ร้อนแสนสาหัสปางตายก็มี ต้องตายไปก็มี นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งว่าที่ว่าคนที่ทำแต่ความดีนั้นมีความดีคุ้มครองและมีเทวดาคุ้มครอง ใครไปรังแกคนดี ย่อมมีอันเป็นไปในเวลาที่รวดเร็ว เรียกว่าเห็นผลกรรมได้เร็ว แต่เป็นกรรมชั่วในปัจจุบันเป็นเหตุให้กรรมชั่วในอดีตตามมาส่งผลได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว

ท่านเคยเห็นหรือไม่ว่า เวลามีงานสำคัญๆ อากาศที่ร้อนระอุ ท้องฟ้าที่เคยแดดจ้าดุเดือด กลับกลายเป็นมีเมฆมาบังให้ร่มเย็น พร้อมด้วยสายฝนโปรยลงมาให้เย็นชื่นใจ

อย่าไปรังแกคนดีค่ะ คนดีมีเทวดาคุ้มครองอยู่นะคะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2016, 14:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ใหญ่บอกแค่เด็กเล่นกัน ...........แต่เวลาตาย ตายจริงค่ะ

พ่อแม่เด็กพิเศษ ถูกรุมแกล้งเผย ลูกป่วยเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว
http://news.mthai.com/hot-news/social-news/496293.html

เด็กทำร้ายเด็กด้วยกันถึงตาย มีให้เห็นมากขึ้นนะคะ
ในข่าวนี้ กรณีนี้ยังไม่เป็นอะไร แต่ถ้าปล่อยไว้นาน ไม่แน่ เพราะเด็กไม่ได้แข็งแรงเหมือนเด็กปกติ
ผู้ใหญ่ที่ดูแล ก็อย่าชล่าใจ เห็นว่าเด็กเล่นกันเท่านั้น ไม่คิดจะแก้ไขอะไรอย่างเด็ดขาด อนาคตอาจจะมีใครตายได้ค่ะ แค่เด็กเล่นกัน แต่ดูเหมือนว่าจะเล่นสนุกอยู่ฝ่ายเดียวคือฝ่ายที่รุม แต่เด็กพิเศษที่โดนรุมนั้นไม่ได้คิดอยากจะเล่นด้วยเลย

มีผู้ที่โพสข้อความในข่าว พูดคุยในกรณีอื่นๆ ที่พวกเขาเคยพบเจอมาเล่า อ่านแล้วก็สะดุ้งนะคะ

มีอยู่ความคิดเห็นหลายข้อความที่ดิฉันอ่านเจอ เล่าว่า
- เด็กพิเศษที่ต่างประเทศ ถูกรังแกบ่อยๆ พอถึงเวลาเด็กพิเศษก็เอาคืนบ้าง ด้วยการเอาปืนมาไล่ยิงเพื่อนในห้องที่รังแกกลั่นแกล้งเขา
และ
- ที่โรงเรียนหนึ่งในไทย เด็กพิเศษโดนรังแกบ่อย ทีนี้มาโดนรังแกตอนช่วงพักกลางวัน เด็กพิเศษถือถาดอาหารอยู่ เพื่อนดันไปขัดขาให้หกล้ม ข้าวหกหมด เด็กพิเศษโกรธด้วย หิวด้วย ก็เลยเอาซ้อมขึ้นมาแทงคอเพื่อน หวิดโดนหลอดลม แต่โดนเส้นประสาท ทำให้เพื่อนเป็นอัมพาต แต่เด็กพิเศษรอดค่ะ เพราะมีการ์ดเด็กพิเศษ รูดปืด รอดทุกข้อหา ไม่คุกนะคะ แต่เพื่อนที่แกล้งเด็กพิเศษนั้นมีชีวิตที่แย่กว่าเด็กพิเศษเสียอีก คือเป็นอัมพาต

ถึงเวลาที่พ่อแม่ ผู้ปกครอง ช่วยอบรมให้เด็กปกตินั้นรู้จักความเมตตา กรุณาต่อผู้อื่นได้หรือยัง
การไปรังแกเด็กพิเศษ เด็กพิการนั้น ไม่ใช่ว่าพวกเขาสู้คนไม่เป็นนะคะ และถ้าเขาสู้ขึ้นมา เขาก็ไม่ยั้งด้วย พ่อแม่ ผู้ปกครอง อาจจะต้องเสียลูกหลานไป อย่างเอาผิดกับคนทำไม่ได้ด้วยค่ะ

อย่าไปทำไม่ดีกับผู้อื่น เพราะผู้อื่นเขาจะทำตอบกลับคืนบ้าง ถึงเวลานั้นก็

อย่าคิดโทษแต่คนอื่นผิดคนอื่นไม่ดีฝ่ายเดียว ให้หันมามองตนเองบ้างว่าทำอะไรที่ไม่ดีไว้บ้างนะคะ

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มิ.ย. 2016, 12:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.พ. 2011, 08:23
โพสต์: 1328


 ข้อมูลส่วนตัว


ลองอ่านบทความนี้แล้วพิจารณาดูว่า จะทำกุศลอย่างไรให้เหมาะสม
ทำลงไปแล้วส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมอย่างไร

รู้ไหมจ้ะ? ปล่อยปลาดุก 100 โลลงแหล่งน้ำนั้นเป็นบาป

:b8: ขอบคุณเวป http://www.manager.co.th/Science/ViewNe ... 0000044310


ถือเป็นกิจกรรมบุญยอดฮิตเลยทีเดียว สำหรับ "การปล่อยปลา" ที่หลายคนเชื่อว่าเป็นการสะเดาะเคราะห์ ช่วยให้แคล้วคลาด ทั้งที่ความจริงอาจได้บาปแทนได้บุญ เพราะผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์น้ำเผยว่า เป็นการทำลายระบบนิเวศทางอ้อมจนอาจทำให้สัตว์น้ำประจำถิ่นสูญพันธุ์

จากกรณีที่เพจดังในโลกโซเชียลได้เผยแพร่คำประกาศชวนอนุโมทนา ว่าจะมีปล่อยปลาจำนวนมหาศาลของพระชื่อดังรูปหนึ่ง ทำให้เกิดเสียงอื้ออึงในวงการนักอนุรักษ์ว่าการทำในลักษณะดังกล่าวอาจส่งผลเสียต่อระบบนิเวศมากกว่าการสร้างบุญ ทีมข่าวผู้จัดการวิทยาศาสตร์จึงติดต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์น้ำเพื่อสอบถามถึงความเหมาะสมทางวิชาการ

ผศ.ดร.อภินันท์ สุวรรณรักษ์ อาจารย์ประจำคณะเทคโนโลยีการประมงและทรัพยากรทางน้ำ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า การปล่อยปลาลงแหล่งน้ำธรรมชาติที่หลายคนคิดว่าเป็นการทำบุญ แท้ที่จริงแล้วเป็นการเพิ่มปัญหาให้กับระบบนิเวศ 100% เพราะนอกจากจะทำให้ปลาที่ปล่อยลงไปตายกับมือตัวเองแล้ว ยังทำให้ปลาประจำถิ่นพลอยได้รับผลกระทบที่อาจร้ายแรงจนทำให้เกิดการสูญพันธุ์

ผศ.ดร.อภินันท์ กล่าวว่า การปล่อยปลาตามความเชื่อมีด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ การปล่อยปลาเล็กและการปล่อยปลาใหญ่ โดยการปล่อยปลาเล็กในวัยลูกปลา เกือบ 100% จะตายทั้งหมด เพราะปลาตัวเล็กยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เมื่อถูกปล่อยลงแหล่งน้ำไม่ถูกน้ำซัดตายก็จะกลายเป็นอาหารปลาใหญ่ทั้งหมด ซ้ำร้ายการปล่อยลูกปลายังกลายเป็นตัวเลือกที่ประชาชนนิยมด้วย เพราะมีราคาถูกกว่าปลาใหญ่ ทำให้ในจำนวนเงินที่เท่ากันสามารถปล่อยปลาได้จำนวนตัวมากกว่าตามหลักจิตวิทยา

ส่วนอีกรูปแบบเป็นการปล่อยปลาตัวใหญ่ การปล่อยปลาลักษณะนี้ ผศ.ดร.อภินันท์ เผยว่าปลามีอัตราการรอดสูงกว่า ทว่าก็สร้างปัญหาให้กับแหล่งน้ำที่ปล่อยมากขึ้นด้วยโดยเฉพาะการปล่อยปลาใหญ่คราวละมากๆ ในครั้งเดียว เนื่องจากปลาที่คนนิยมเช่น ปลาดุกบิ๊กอุย ปลาดุกรัสเซียเป็นปลาต่างถิ่น ซึ่งมีความอึด และมีความสามารถในการเอาตัวรอดสูง ปลาเหล่านี้จะไปแย่งที่อยู่ แย่งที่กินของปลาเฉพาะถิ่น มิหนำซ้ำยังกินปลาไทยจนหมด เป็นเหมือนการซ้ำเติมระบบนิเวศวิทยาแม่น้ำเขตร้อน ที่ในหนึ่งกลุ่มประชากรเช่นแม่น้ำแห่งหนึ่ง มีจำนวนชนิดปลาเยอะแต่จำนวนตัวต่อชนิดน้อยให้แย่ลงไปจากเดิมอีก จนในระยะหลังตัวเลขจากงานวิจัยจึงพบปลาที่เป็นชนิดพันธุ์ต่างถิ่นรุกราน (Invasive Species) มากขึ้น ในขณะที่ปลาไทยมีจำนวนลดลงเรื่อยๆ

"สมมติเหมือนอยู่ดีๆ พ่อคุณเอาเมียน้อยเข้ามาอยู่ในบ้าน แย่งที่กิน แย่งที่อยู่ และอีกไม่นานมันก็เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายคุณอยู่ไม่ไหว ต้องหนีไปอยู่ที่อื่นหรือตายไป ฉันใดฉันนั้น เพราะปลาต่างถิ่นและปลาไทยต่างก็กินอาหารเหมือนๆกัน อาศัยในที่เหมือนๆกัน ทางนิเวศวิทยาเรียกลักษณะแบบนี้ว่าการทับซ้อน (Niche Overlap) เมื่อปลาเรากินไม่ทัน ก็จะไม่เกิดการเจริญพันธุ์ เป็นเหตุให้สูญพันธุ์เป็นผลกระทบที่เกี่ยวเนื่องกันไปหมด แล้วแบบนี้จะเรียกว่าปล่อยปลาทำบุญได้อย่างไร เป็นการสร้างบาปชัดๆ ส่วนถ้าจะให้แนะนำวิธีการปล่อยปลาที่ไม่เป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม ผมแนะนำครับว่าไม่ต้องปล่อย ทำบุญด้วยการปลูกต้นไม้ดีที่สุด" ผศ.ดร.อภินันนท์ กล่าวแก่ทีมข่าวผู้จัดการวิทยาศาสตร์

.....................................................
พระพุทธศาสนามี ๒ นัย ดังนี้...นัยที่ ๑ คือคำสอนของพระพุทธองค์มี ๓ ประการ...เพื่อประโยชน์ในภพนี้ ในภพหน้า เพื่อเข้าถึงความสุขโดยส่วนเดียวคือพระนิพพาน...นัยที่ ๒ คือแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาคืออริยสัจจ ๔ ซึ่งเป็นสภาวะธรรมที่ทำให้ผู้เห็นแจ้ง พ้นทุกข์ทั้งปวงได้ การศึกษาพระอภิธรรมว่าด้วยสภาวะธรรมทั้งสิ้น ผู้เห็นประโยชน์ย่อมได้รับประโยชน์ค่ะ
(เกิดมาไม่ได้เป็นผู้สร้าง ก็จงเป็นผู้ที่รักษา แต่จงอย่าเป็นผู้ที่ทำลาย)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 85 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร