ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
ปุญญกิริยาวัตถุสูตร http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=47287 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ปฤษฎี [ 11 ก.พ. 2014, 18:08 ] |
หัวข้อกระทู้: | ปุญญกิริยาวัตถุสูตร |
ปุญญกิริยาวัตถุสูตร จริงอยู่ พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคผู้เป็นพระอรหันต์ตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุญญกิริยาวัตถุ ๓ ประการนี้ ๓ ประการเป็นไฉน คือ ทานมัยปุญญกิริยาวัตถุ ๑ ศีลมัยปุญญกิริยาวัตถุ ๑ ภาวนามัยปุญญกิริยาวัตถุ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุญญกิริยาวัตถุ ๓ ประการนี้แล ฯ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเนื้อความนี้แล้ว ในพระสูตรนั้น พระผู้มีพระภาค ตรัสคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า " กุลบุตรผู้ใคร่ประโยชน์ พึงศึกษาบุญนั่นแล อันให้ผลเลิศ ต่อไป ซึ่งมีสุขเป็นกำไร คือ พึงเจริญทาน ๑ ความ ประพฤติเสมอ ๑ เมตตาจิต ๑ บัณฑิตครั้นเจริญธรรม ๓ ประการอันเป็นเหตุให้เกิดความสุขเหล่านี้แล้ว ย่อมเข้าถึง โลกอันไม่มีความเบียดเบียน ฯ " เนื้อความแม้นี้พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว เพราะเหตุนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้ว ฉะนี้แล ฯ |
เจ้าของ: | ปฤษฎี [ 11 ก.พ. 2014, 18:17 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปุญญกิริยาวัตถุสูตร |
อรรถกถาปุญญกิริยาวัตถุสูตร บทว่า ปุญฺญกิริยาวตฺถูนิ ความว่า กุศลทั้งหลายที่ให้เกิดผลในภพที่ควรบูชา หรือชำระสันดานของตน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าบุญ บุญเหล่านั้นด้วย ชื่อว่าเป็นกิริยา เพราะต้องทำด้วยเหตุด้วยปัจจัยทั้งหลายด้วย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าบุญกิริยา และบุญกิริยานั่นเอง ชื่อว่าบุญกิริยาวัตถุ เพราะความเป็นที่ตั้งแห่งอานิสงส์นั้นๆ. บทว่า ทานมยํ ได้แก่ เจตนาเป็นเครื่องบริจาคไทยธรรมของตนแก่ผู้อื่น ด้วยสามารถแห่งการอนุเคราะห์ หรือด้วยสามารถแห่งการบูชาของผู้ที่ตัดรากคือภพยังไม่ขาด ชื่อว่าทาน เพราะเป็นเหตุให้เขาให้. ทานนั่นเองชื่อว่าทานมัย เจตนาที่เป็นไปแล้วโดยนัยที่กล่าวแล้วในกาลทั้ง ๓ คือในกาลอันเป็นส่วนเบื้องต้น ตั้งแต่การให้ปัจจัย ๔ เหล่านั้นเกิดขึ้น ๑ (บุรพเจตนา) ในเวลาบริจาค ๑ (มุญจนเจตนา) ในการโสมนัสจิตระลึกถึงในภายหลัง ๑ (อปราปรเจตนา) ของผู้ให้สิ่งนั้นๆ ในบรรดาปัจจัย ๔ มีจีวรเป็นต้น หรือในบรรดาทานวัตถุ ๑๐ อย่างมีข้าวเป็นต้น หรือบรรดาอารมณ์ ๖ มีรูปเป็นต้น ชื่อว่าบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยการให้ทาน. (ทานวัตถุ ๑๐ ได้แก่ ข้าว น้ำ ยาน ผ้า ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ เครื่องนอน เสนาสนะ เครื่องประทีป) บทว่า สีลมยํ ได้แก่ เจตนาที่เป็นไปแล้ว แก่บุคคลผู้สมาทานศีล ๕ ศีล ๘ หรือศีล ๑๐ ด้วยสามารถแห่งการกำหนดให้เป็นนิจศีล และอุโบสถศีลเป็นต้น (หรือ) ผู้ที่คิดว่า เราจะบวชเพื่อบำเพ็ญศีลให้บริบูรณ์ แล้วไปวิหารบวช ผู้จะยังมโนรถให้ถึงที่สุดระลึกอยู่ว่าเรา บวชแล้วเป็นการดีแล้วหนอ บำเพ็ญปาฏิโมกข์ให้บริบูรณ์ด้วยศรัทธา พิจารณาปัจจัย ๔ มีจีวรเป็นต้นด้วยปัญญา สำรวมอินทรีย์ มีจักษุทวารเป็นต้น ในรูปเป็นต้นที่มาสู่คลองด้วยสติ และชำระอาชีวปาริสุทธิศีลด้วยความเพียร ย่อมตั้งมั่น เพราะฉะนั้น เจตนานั้นจึงชื่อว่าบุญกิริยาวัตถุสำเร็จด้วยศีล. อนึ่ง เจตนาของภิกษุผู้พิจารณาเห็นแจ้งซึ่งจักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย มนะ (อายตนะ) โดยไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาด้วยวิปัสสนามรรคที่กล่าวแล้วในปฏิสัมภิทามรรค ๑ เจตนาของผู้พิจารณาเห็นแจ้งรูปทั้งหลาย ฯลฯ ธรรมทั้งหลาย (อารมณ์) จักขุวิญญาณ ฯลฯ มโนวิญญาณ (วิญญาณ) จักขุสัมผัส ฯลฯ มโนสัมผัส (ผัสสะ) จักขุสัมผัสสชาเวทนา ฯลฯ มโนสัมผัสสชาเวทนา (เวทนา) รูปสัญญา ฯลฯ ธรรมสัญญา (สัญญา) (และ) ชรามรณะโดยเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ๑ (http://www.84000.org/tipitaka/read/?31/99) ฌานเจตนาที่เป็นไปแล้วในอารมณ์ ๓๘ ประการมีปฐวีกสิณเป็นต้น ๑ เจตนาที่เป็นไปแล้วด้วยสามารถแห่งการสั่งสมและมนสิการเป็นต้น ในบ่อเกิดแห่งงาน บ่อเกิดแห่งศิลปะ และฐานะที่ตั้งแห่งวิชาที่ไม่มีโทษ ๑ อันใด ผู้ยังเจตนาทั้งหมดนั้นให้เจริญด้วยบุญกิริยานี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า บุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยภาวนา ตามนัยที่กล่าวแล้วดังนี้แล. |
เจ้าของ: | ปฤษฎี [ 13 ก.พ. 2014, 17:59 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปุญญกิริยาวัตถุสูตร |
ก็ในบรรดากรรมทั้ง ๓ อย่างนี้ เมื่อกระทำกรรมอย่างหนึ่งๆ ด้วยกาย จำเดิมแต่ส่วนเบื้องต้นตามสมควร กรรมเป็นกายกรรม. เมื่อเปล่งวาจาอันเป็นประโยชน์แก่กรรมนั้น กรรมเป็นวจีกรรม. เมื่อไม่ยังองค์คือกาย และองค์คือวาจาให้หวั่นไหว คิดด้วยใจ (อย่างเดียว) กรรมเป็นมโนกรรม. อีกอย่างหนึ่ง ในเวลาที่ผู้ให้ข้าวเป็นต้นให้ (ทาน) โดยคิดว่า เราจะให้ข้าวและน้ำเป็นต้นก็ดี โดยระลึกถึงทานบารมีก็ดี บุญกิริยาวัตถุเป็นทานมัย. เมื่อให้ทานโดยดำรงอยู่ในข้อวัตรปฏิบัติ บุญกิริยาวัตถุเป็นสีลมัย. เมื่อให้ (ทาน) โดยเริ่มตั้งการพิจารณา (นามรูป) โดยความสิ้นไป โดยความเสื่อมไปโดยกรรม บุญกิริยาวัตถุเป็นภาวนามัย. บุญกิริยาวัตถุอย่างอื่นอีก ๗ คือบุญกิริยาวัตถุที่สหรคตด้วยความยำเกรง (อ่อนน้อม) ๑ ที่สหรคตด้วยการขวนขวาย ๑ การเพิ่มให้ซึ่งส่วนบุญ ๑ การพลอยอนุโมทนา ๑ สำเร็จด้วยการแสดงธรรม ๑ สำเร็จด้วยการฟังธรรม ๑ ความเห็นตรง ๑. ก็แม้การถึงพระรัตนตรัยว่าเป็นสรณะ ย่อมสงเคราะห์เข้าด้วยการทำความเห็นให้ตรงนั่นเอง ก็คำที่ควรกล่าวในเรื่องนี้จักมีแจ้งข้างหน้า. |
เจ้าของ: | ปฤษฎี [ 13 ก.พ. 2014, 18:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปุญญกิริยาวัตถุสูตร |
บรรดาบุญกิริยาวัตถุ ๗ อย่างนั้น บุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยความอ่อนน้อม พึงทราบด้วยสามารถแห่งการเห็นภิกษุผู้อาวุโสกว่าแล้วต้อนรับ รับบาตรและจีวร กราบไหว้และหลีกทางให้เป็นต้น. บุญกิริยาวัตถุที่สหรคตด้วยความขวนขวาย พึงทราบด้วยสามารถแห่งการทำวัตรปฏิบัติแก่ภิกษุผู้มีอาวุโสกว่า ด้วยสามารถแห่งการที่เห็นภิกษุเข้าบ้านเพื่อบิณฑบาต รับบาตร (ของท่าน) แล้วบรรจุภิกษาแม้ในบ้านให้เรียบร้อย นำเข้าไปถวาย และด้วยสามารถแห่งการรีบนำเอาบาตรมาให้เป็นต้น โดยที่ได้ยิน (คำสั่ง) ว่าจงไปนำเอาบาตรของภิกษุทั้งหลายมา ดังนี้. บุญกิริยาวัตถุคือ การตามเพิ่มให้ซึ่งส่วนบุญ พึงทราบด้วยสามารถแห่งการถวายปัจจัย ๔ กระทำการบูชาพระรัตนตรัย ด้วยวัตถุทั้งหลายมีดอกไม้และของหอมเป็นต้น หรือกระทำบุญประการอื่น ๆ แล้ว น้อมเข้าไปว่า ขอส่วนบุญ จงมีแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ดังนี้. บุญกิริยาวัตถุ คือการพลอยอนุโมทนา (บุญ) ก็อย่างนั้น พึงทราบด้วยสามารถแห่งการอนุโมทนาส่วนบุญที่ผู้อื่นให้แล้ว หรือบุญที่ผู้อื่นทำแล้วทั้งสิ้นว่า สาธุ (ดีแล้ว). ข้อที่ภิกษุไม่ปรารถนาความช่ำชองในธรรมเพื่อตน แสดงธรรมแก่ผู้อื่น ด้วยอัธยาศัยที่เต็มไปด้วยความเกื้อกูล นี้ชื่อว่าบุญกิริยาวัตถุ สำเร็จด้วยการแสดงธรรม. แต่ว่าการที่ภิกษุรูปหนึ่งตั้งความปรารถนาไว้ว่า ชนทั้งหลายจักรู้ว่าเราเป็นธรรมกถึกด้วยวิธีอย่างนี้ แล้วอาศัยลาภสักการะและการยกย่องแสดงธรรมไม่มีผลมากเลย. การที่คนฟังธรรมด้วยจิตอ่อนโยนมุ่งแผ่ประโยชน์เกื้อกูล มีโยนิโสมนสิการไปว่านี้เป็นอุบายให้ได้บำเพ็ญประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นแน่นอน นี้เป็นบุญกิริยาวัตถุที่สำเร็จด้วยการฟังธรรม. แต่การที่คนๆ หนึ่งฟังธรรมด้วยคิดว่า ชนทั้งหลายจักรู้จักเราว่าเป็นผู้มีศรัทธาด้วยวิธีนี้ ไม่มีผลมากเลย. การที่ทิฏฐิดำเนินไปตรง ชื่อว่าความเห็นตรง (ทิฏฐิชุกรรม). คำว่า ทิฏฺฐิชุคตํ นี้เป็นชื่อของสัมมาทัสสนะอันเป็นไปแล้วโดยนัยมีอาทิว่า ทานที่ให้แล้วมีผล. เพราะว่าความเห็นตรงนี้ถึงจะเป็นญาณวิปปยุตในตอนต้น หรือตอนหลัง แต่ในเวลาทำความเห็นให้ตรงแล้วก็เป็นญาณสัปปยุตนั่นเอง. แต่อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า ทัสนะคือความเห็นด้วยอำนาจแห่งการรู้แจ้งและการรู้ชัด ๑ วิญญาณที่เป็นกุศล ๑ กัมมัสสกตาญาณเป็นต้น ๑ เป็นสัมมาทัสสนะ. บรรดาธรรม ๓ อย่างมีทัสนะเป็นต้นนั้น แม้ในเมื่อญาณยังไม่เกิดขึ้นก็มีการสงเคราะห์เหตุที่สมควรแก่เหตุเป็นเครื่องระลึกถึงบุญที่ตนได้ทำไว้แล้ว เข้ากับวิญญาณที่เป็นกุศลได้. มีการสงเคราะห์เข้ากับกัมมัสสกตาญาณ คือความเห็นชอบตามคัลลองของกรรมได้. แต่ความเห็นตรงนอกนี้ มีการกำหนดธรรมทั้งปวงเป็นลักษณะ. ด้วยว่า เมื่อทำบุญอย่างใดอย่างหนึ่ง บุญนั้นก็จะมีผลมาก เพราะเหตุที่ทิฏฐิทั้งหลายตรงนั่นเอง. |
เจ้าของ: | ปฤษฎี [ 13 ก.พ. 2014, 18:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ปุญญกิริยาวัตถุสูตร |
มีการสงเคราะห์บุญกิริยาวัตถุ ๗ อย่างเหล่านี้เข้ากับบุญกิริยาวัตถุ ๓ อย่างข้างต้นมีทานมัยเป็นต้น. อธิบายว่า บรรดาบุญกิริยาวัตถุทั้ง ๗ อย่างนั้น - ความอ่อนน้อม (อปจายนมัย) ความขวนขวาย (เวยยาวัจจมัย) สงเคราะห์เข้าในสีลมัย. - การเพิ่มให้ซึ่งส่วนบุญ (ปัตติทานมัย) และการพลอยอนุโมทนาส่วนบุญ (อนุโมทนามัย) สงเคราะห์เข้าในทานมัย. - การแสดงธรรม (ธัมมเทสนามัย) และการฟังธรรม (ธัมมัสสวนนัย) สงเคราะห์เข้าในภาวนามัย. - (ส่วน) ความเห็นตรง (ทิฏฐิชุกรรม) สงเคราะห์เข้าในบุญกิริยาวัตถุทั้ง ๓ อย่าง. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุญกิริยาวัตถุเหล่านี้มี ๓ อย่าง ๓ อย่างเป็นไฉน? คือบุญกิริยาวัตถุสำเร็จด้วยทาน ฯลฯ บุญกิริยาวัตถุสำเร็จด้วยภาวนา ดังนี้. ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |