ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
โกรธ-โทสะ-พยาบาทและการเจริญเมตตา (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=51393 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | Hanako [ 08 พ.ย. 2015, 09:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | โกรธ-โทสะ-พยาบาทและการเจริญเมตตา (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) |
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย พูดถึง "ความโกรธ" กับ "โทสะ" นี้มันก็มีความหมายต่างกันอยู่บ้างนะ ความโกรธนี้มันเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้นครั้งแรก เรียกว่า ความไม่พอใจ ความหงุดหงิดภายในใจในเมื่อได้ประสบกับอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจต่างๆ นี้นะ มันหงุดหงิดขึ้นมา ฉุนเฉียวขึ้นมาแต่ยังไม่กล้าที่จะลงมือประหัตประหาร เบียดเบียนบุคคลอื่นและสัตว์อื่น อย่างนี้ท่านเรียกว่า ความโกรธ เป็นอย่างนั้น อย่างน้อยก็เป็นแค่ว่าถกเถียงกันไปธรรมดา ทีนี้เมื่อบุคคลผู้นั้นไม่ระงับความโกรธนี้ให้เบาบางลงไป ส่งเสริมให้มันมีกำลังกล้าขึ้นมากขึ้นไป ถึงกับลงมือประหัตประหารกันได้ อันนี้ท่านเรียกว่า โทสะ แปลว่า ประทุษร้ายซึ่งกันและกัน นี่มันเป็นอย่างนั้น ให้รู้จักลักษณะอาการของกิเลสซึ่งมีสองชื่ออย่างนี้ เอ้า สามชื่อเข้าไปอีก นอกจากโทสะแล้วก็ "พยาบาท" พยาบาทนี่หมายความว่า เมื่อในปัจจุบันนี้ตนโกรธใครแล้ว ก็ไม่สามารถที่จะแก้แค้นได้ อย่างนี้ก็ผูกใจเจ็บไว้ในใจว่า เอ้า ชาตินี้เราทำแกไม่ได้ เอ้าชาติหน้าขอให้เราทำได้ สังหารแกได้ อย่างนี้นะผูกใจเจ็บไว้อย่างนี้เหมือนพระเทวทัตผูกอาฆาตกับพระพุทธเจ้า นั่นล่ะมันเป็นอย่างนั้นแหละ เมื่อเกิดไปชาติหน้ากรรมเหล่านี้ ก็ดลบันดาลให้ไปพบกันเข้าอีกแล้วก็หาเรื่องเหมือนกับกรรมอันนี้ล่ะ บันดาลให้หาเรื่องทะเลาะวิวาทกันขึ้น ประหัตประหารกันไป อันนี้แหละที่มนุษย์เราประหารกันอยู่ในโลกอันนี้ มันก็สืบเนื่องมาแต่ปัจจัยหนหลังนั่นแหละ มันพยาบาท ผูกใจเจ็บต่อกันและกันไว้ไม่รู้จักละไม่รู้จักวางเลย อย่างนี้นะมันก็ผูกพันกันไป ท่านว่ามันถึงห้าร้อยชาตินู่นน่ะ ถ้าหากว่าไม่ได้พบพระพุทธเจ้า หรือไม่ได้พบสาวกของพระพุทธเจ้า ไม่ได้ฟังพระธรรมคำสอนของพระองค์ แล้วไม่ยกโทษให้แก่กันและกันแล้ว เวรนั้นย่อมไม่จบ ตามสนองไปถึงห้าร้อยชาตินู่นจึงจะหมดเขตลงน่ะ เว้นเสียแต่ว่า ไปพบนักปราชญ์บัณฑิตเข้าไป ฟังคำสอนของท่าน ท่านแนะนำให้รู้จักยกโทษให้แก่กันและกัน อภัยซึ่งกันและกัน อย่างนี้แล้วก็ต่างยกโทษให้แก่กันและกันแล้ว เวรนั้นก็ย่อมระงับไป มันจะไม่ติดสอยห้อยตามไปสนองในโลกหน้าต่อไปอีก นี่มันเป็นอย่างนี้อันวิธีระงับกิเลสตัณหาเนี่ย มันก็เป็นอย่างนี้ พูดถึงระงับโทสะพยาบาทนี่ เราพูดกันซึ่งหน้า ต่างคนต่างก็เห็นโทษแห่งความโกรธความพยาบาทต่างๆหมู่นี้ แล้วเราอภัยให้แก่กันเลย เลิกแล้วกันไปอย่างนี้ก็เป็น "วิธีระงับกรรมเวร" อย่างหนึ่ง อย่างหนึ่งก็ "ระงับด้วยภาวนาสมาธิด้วยการเจริญเมตตา" ทุกวันทุกคืนไป เจริญเมตตาก็เจริญไปจนว่า ใจมันสงบ มันรวมลงเป็นหนึ่งนู่น ไม่ใช่ว่าเจริญนึกธรรมดาแล้วแล้วไปเลย อย่างนั้นมันไม่มีประสิทธิภาพ เมตตาอย่างว่านั่นน่ะ มันกำลังอ่อน เราเพ่งพิจารณาเมตตา เราปรารถนาให้ตัวเองเป็นสุขด้วยและปรารถนาให้บุคคลอื่นสัตว์อื่นเป็นสุขด้วย ทำยังไงหนอเราถึงจะเป็นสุข ทำอย่างไรหนอบุคคลอื่นและสัตว์อื่น จึงจะเป็นสุขได้อย่างนี้นะ เพ่งพิจารณาไปมา จนว่าใจนั้น มันเกิดความรู้สึกในตัวเองและบุคคลอื่นเหมือนกันหมดทั้งโลกนี้เลย รู้สึกว่าใจของเราไม่คิดอิจฉาเบียดเบียนใครต่อใครแล้ว มันก็รวมลงเป็นหนึ่งได้เลยบัดนี้ มันสงบนิ่งอยู่ได้ การเจริญเมตตาแบบนี้แหละมีประสิทธิภาพมาก สามารถบรรเทาความโกรธความพยาบาทต่างๆ ให้เบาบางออกไปจากจิตใจได้ นี้ให้พึงพากันบำเพ็ญ อันบรรดากิเลสตัวนี้น่ะมีอยู่ทุกคนแหละ ต่างแต่มากหรือน้อยกว่ากันเท่านั้นเองแหละ ถึงแม้มีน้อยก็ตามน่ะถ้าบุคคลใดไม่เพียรละมันแล้ว ต่อไปมันก็จะมากขึ้นอยู่ในนั้นแหละ เมื่อไม่เพียรละมันอย่างนี้แล้วนะ มันมีเชื้ออยู่ภายในนั้นแล้ว เวลาที่เชื้อภายนอกมันมากระทบกระทั่งเข้าไป ครั้งนั้นนิดครั้งนี้หน่อยเข้าไป ความโกรธอันนั้นก็แรงขึ้นแรงขึ้นล่ะ เพราะว่า ไอ้เชื้อภายนอกน่ะมันมากระทบกระทั่งบ่อยๆ มายั่วบ่อยๆ อย่างนี้นะ มันก็เลยกลายเป็นโทสะพยาบาทไปได้เหมือนกันแหละ ทีแรกก็มีแต่ความโกรธธรรมดา ไม่กล้าเบียดเบียนใครแหละ แต่มันมีเชื้อเหล่านั้นมากระทบกระทั่งมากๆ เข้าไปแล้ว หากไม่เพียรละมันแล้วก็แน่นอนล่ะมันก็เลยกลายเป็นโทสะพยาบาท ดังอธิบายมาแล้วนั่นแหละ ให้พากันเข้าใจ เพราฉะนั้น การเจริญเมตตากรุณาเนี่ยมันเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคน ที่จะต้องบำเพ็ญแท้ๆ แต่ทีแรกเราก็ต้องเมตตาตนของตนนี่แหละก่อนน่ะ เมื่อตนของตนทำใจของตนให้เยือกเย็นสบายลงได้แล้วก็มานึกถึงผู้อื่น เริ่มแรกก็นึกถึงผู้มีอุปการะแก่ตน เช่น มารดาบิดา ลุงป้าน้าอา หรือว่าใครก็ตามแหละที่อุปการะเกื้อกูลตนมา ท่านเหล่านั้นเราถือว่ามีอุปการคุณแก่ตน ตนจะไม่ลืมพระคุณเหล่านั้น แล้วเราก็แผ่เมตตาจิตอุทิศส่วนกุศลให้แก่ท่านผู้มีพระคุณเหล่านั้น ทั้งที่ล่วงลับไปแล้วก็ดี ยังมีชีวิตอยู่ก็ดี ก็ขอให้ท่านเหล่านั้น ได้รับอนุโมทนาส่วนบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้อุทิศไปนี้แล้ว แล้วก็ขอให้มีความสุขในภพที่เกิดแล้วนั้นๆ เถิด อันนี้เรียกว่าเราแผ่เมตตาจิตอุทิศส่วนกุศล ให้แก่ท่านผู้มีอุปการคุณทั้งหลาย มีมารดาบิดาเป็นต้น อันนี้ลืมไม่ได้ ถ้าเราลืมท่านผู้มีอุปการคุณเหล่านี้เสีย เราก็เป็นหนี้บุญคุณท่านแหละบัดนี้นะ ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ “โทษแห่งโทสะ” รวมคำสอน “หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ” http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43689 ประวัติและปฏิปทา “หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ” http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=6&t=51952 ประมวลภาพ “หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ” http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=20963 |
เจ้าของ: | daoduan [ 16 พ.ย. 2015, 03:36 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: โกรธ-โทสะ-พยาบาทและการเจริญเมตตา : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ |
ขออนุโมทนาสาธุค่ะ |
เจ้าของ: | Duangtip [ 22 ม.ค. 2019, 09:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: โกรธ-โทสะ-พยาบาทและการเจริญเมตตา (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) |
ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ |
เจ้าของ: | ดาราวรรณ [ 14 ก.ค. 2019, 09:14 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: โกรธ-โทสะ-พยาบาทและการเจริญเมตตา (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |