วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 03:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 พ.ย. 2020, 18:48 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


งามอยู่ที่ผี ดีอยู่ที่พระ ละอยู่ที่ใจ
พระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์
(หลวงปู่เทสก์ เทสฺรํสี)


รูปภาพ

หากไม่มีผีมันก็ไม่งาม ผีเป็นของงามทุกอย่าง
จะดูข้างนอกก็ประดับตกแต่งดีกว่าที่อยู่ของคนผู้ที่ยังไม่ตาย
จะดูข้างในก็เป็นของปฏิกูลน่าดูทุกอย่าง
ซึ่งคนธรรมดาไม่สามารถจะให้คนทั่วไปดูได้ ผู้ดูผีเป็นของดีแบบว่านั้น
เป็นองค์พระได้เลย พระจึงชอบดูแต่ผีซึ่งเป็นของดีๆ ทั้งนั้น
พระดูทั้งคนเป็นคนตายเห็นเป็นซากผีไปหมด
ใจของพระจึงเป็นที่ละความสวยความงามในของอสุภได้
ท่านสอนกัมมัฏฐานให้พิจารณาอสุภในคนตายแล้วและยังมีชีวิตอยู่
เป็นอสุภเสมอเหมือนกันทั้งหมด
แต่พอความตายมาปรากฏเฉพาะหน้าบางคนเลยเกลียดหรือกลัวไป
มันเข้าหลักธรรมที่ว่า ธมฺม เทสฺสี ปราภโว ผู้เกลียดชังธรรม เป็นผู้พ่ายแพ้ ดังนี้

ถ้าความตายมาปรากฏให้เห็นเฉพาะหน้า น้อมนำเอามาพิจารณาถึงตัวของเรา
ว่าเราก็จะต้องเป็นเช่นเดียวกันนั้น ตายแล้วเปื่อยเน่าเป็นอสุภ
แม้มีชีวิตอยู่ก็ปฏิกูลโสโครกเป็นของน่าเบื่อหน่าย
แล้วจะหายจากความเกลียดความกลัว
และจะมุ่งหน้าบำเพ็ญแต่ความดีอันมีสาระให้เกิดประโยชน์แก่ตน
ทั้งโลกนี้และโลกหน้าสมกับธรรมที่ว่า
ธมฺมกาโม ภวํโหติ ผู้ใคร่ต่อธรรม เป็นผู้เจริญ ดังนี้

ความตายเป็นปรากฏการณ์ซึ่งไม่ค่อยจะมีเสมอนัก
ฉะนั้นเมื่อความตายมาปรากฏเฉพาะหน้า
ไม่ว่าจะเป็นคนสนิทใกล้ชิดหรือห่างไกลเราก็ตาม
จึงเป็นเหมือนธรรมเทศนาอัปมาทธรรมของเทวทูตกัณฑ์หนึ่งก็ว่าได้

เป็นของไม่น่าเกลียดและน่ากลัวเลย
คนที่เกลียดและกลัวคนที่ตายไปแล้วเพราะไม่ได้น้อมนำเข้ามาพิจารณาในตน
เห็นว่าตนดีกว่าคนที่ตายไปแล้ว
เป็นคนที่สะอาดสวยงามเป็นของน่ารักน่าใคร่
คนอื่นเห็นเข้าแล้วเขาจะยินดีพอใจ คนที่ตายไปแล้วเท่านั้นเป็นผีที่น่าเกลียด
แต่หาได้รู้ไม่ว่าตัวของเราก็เป็นผีสดศพหนึ่งดีๆ นี่เอง
นอกจากจะเป็นผีสดแล้ว ยังเป็นป่าช้าที่ฝังผีของสัตว์ต่างๆ
มีหมู วัว เป็ดไก่ เป็นต้น ซึ่งเราขนมาฝังอยู่ทุกๆ วัน
คนที่ตายแล้วเขาไม่ได้เป็นป่าช้าของสัตว์อื่นอีกต่อไปแล้ว
ที่กลัวก็วาดภาพขึ้นมาหลอกตัวเอง ว่าคนที่ตายไปนั้นจะต้องมีหน้าตาบิดเบ้ บู้บี้
อย่างนั้นอย่างนี้ ซึ่งวาดไปแต่ทางที่ไม่น่าดูน่าแล
ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่น่ากลัวน่าเกลียดทั้งนั้น
แต่ซากของผู้ตายเองก็หาได้รู้ด้วยไม่
เป็นภาพของผู้กลัวคิดวาดภาพเอาเอง แล้วก็กลัวไปเอง
จะเรียกว่าผีหลอกให้คนกลัวได้อย่างไร
ควรเรียกว่าคนกลัวนั่นเองหลอกตนเอง แล้วไปใส่ร้ายผีต่างหาก
คนผู้พิจารณาไม่เป็นไม่เห็นธรรม จึงเป็นของยากที่จะให้เห็นจริงได้

ธรรมดามนุษย์ทั้งหลายที่เกิดมาเบื้องต้นแล้วต้องตายด้วยกันทั้งหมดเป็นที่สุด
เมื่อตายแล้วพากันสมมติว่าผี เพราะตนไม่ชอบดังกล่าวแล้ว
แต่สัตว์ทั้งหลายมีกุ้ง ปลา หมู เป็ด ไก่ เป็นต้น ตายแล้วทำไมไม่เรียกว่าผี
ไม่มีใครเกลียดใครกลัวเลย กลับชอบใจชิงกันซื้อขายวุ่นวายกันไปหมด
ผีหมู่นี้มีที่ไหนมากๆ ที่นั้นคนก็จะรุมยุ่งกันทุกแห่ง
ดูที่ตลาดสดนั่นซิวันหนึ่งๆ เขาขนผีไปกองไว้ขายนับศพไม่ถ้วน
วันไหนผีไม่มีหรือมีน้อย แย่งซื้อไม่ทันวันนั้นต้องทำหน้าแห้งบ่นกันอู้กลับบ้าน
ทำไมจึงไม่พิจารณาให้เห็นเป็นธรรมบ้าง
คนเราเป็นเสียอย่างนี้เห็นคนอื่นเป็นของน่าเกลียดน่ากลัวไปเสียหมด
ส่วนตัวของเราเองเห็นเป็นดีไปทั้งนั้น เรากลัวผีวาดภาพคนตายขึ้นมาแล้วกลัว
ก็ใส่ร้ายว่าผีหลอกเรา แต่อยากผีเอาผีมากินเป็นอาหาร
ก็ถือว่าเนื้อว่าปลาเอร็ดอร่อยชอบใจ แกล้งทำเข้าข้างตนเองแท้ๆ

ธรรมไม่ต้องไปค้นคว้าแสวงหาที่อื่นที่ไกลหรอก ธรรมะคือของจริง
ผู้มีปัญญาทั้งหลายล้วนแล้วแต่แสวงหาธรรมในของจริงนั้น
คัมภีร์และตำราทั้งหลายที่เขียนไว้ล้วนแล้วแต่เป็นของจริง
เว้นเสียแต่ว่าจะจริงมากจริงน้อยเท่านั้น
พระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ก็ไม่มีตำราคัมภีร์ แต่ตรัสรู้คือรู้ของจริงตามหลักธรรมดา
ซึ่งเป็นตำราธรรมชาติมีอยู่แล้วอย่างนั้น แล้วทรงนำเอาของนั้นมาเผยแพร่
และก็เขียนเป็นตำราสืบมาที่เรียกว่าคัมภีร์พุทธศาสนา
ตัวของเรามีความจริงอยู่บริบูรณ์ทุกประการ
ถ้าจะว่าถึงเรื่องผี ตัวของเราก็เป็นผีอยู่แล้วดังแสดงมาข้างต้น
และยังเป็นผีพิสดารกว่านั้นอีก มิใช่แต่จะวาดภาพหลอกตัวเองเล่นเท่านั้น
บางทียังหลอกคนอื่นให้กลัวให้เจ็บให้ป่วย
จนกระทั่งหลอกให้คนอื่นเขาเสียข้าวเสียของ
เสียผู้เสียคน ให้ฉิบหายตายโหงไปก็มาก ผีชนิดนี้เป็นผีจริง
มิใช่ผีวาดภาพหลอกเอาดังกล่าวแล้ว

ถ้าจะพูดถึงของปฏิกูลน่าเกลียดแล้ว
น้ำเน่าซึมซาบซ่านออกมาจากภายในอยู่ตลอดเวลา
วันหนึ่งๆ เราชำระล้างตั้ง ๒-๓ ครั้งยังไม่สะอาดเลย
แสดงว่าภายในที่เราไม่เห็นด้วยตายังเน่ามากกว่านี้
ช่องทวารต่างๆ มีปากเป็นต้น เหม็นเน่าด้วยปฏิกูล
แม้แต่อาหารที่รับประทานเข้าไป จะเป็นของดีมีค่าสักปานใด
ก็ต้องเข้าไปคลุกเคล้าด้วยน้ำลายอันเป็นปฏิกูลเสียก่อน จึงจะกลืนลงไปได้
ที่ท่านกล่าวไว้ว่าเปรตกินน้ำเน่าของปฏิกูลนั้น ถ้าเรามาพิจารณาให้ดีแล้ว
มิใช่เปรตอยู่ฟากฟ้าป่าหิมพานต์ น่าจะเป็นเปรตหากินอยู่ในตลาดบ้านเรานี่เอง
ท่านกล่าวไว้ในคัมภีร์มีอรรถวิจิตรพิสดาร
ไว้ให้ผู้มีปัญญาญาณพิจารณาด้วยตนเอง
ลูกไม้ถ้าไม่เก็บไว้ทั้งเปลือกก็เอาไว้นานไม่ได้
ฉันใดคำสอนของปราชญ์เจ้าทั้งหลายก็ฉันนั้นเหมือนกัน
เนื้อแท้ต้องหุ้มด้วยเปลือกหนา
คนผู้ไม่มีปัญญาจึงไม่สามารถหยั่งรู้ถึงคำสอนของท่านได้

ธรรมดานิสัยของคนเรา ต้องถือว่าตนดีกว่าคนอื่นเสมอ
ทั้งๆ ที่ตนเสมอเขาหรือบางทีอาจเลวกว่าเขาไปเสียอีกซ้ำ
มานะชนิดนี้เป็นกำแพงปิดกั้นไม่ให้คนเราเกิดปัญญาแสงสว่าง
รู้แจ้งเห็นจริงในธรรมทั้งหลาย

ธรรมชั้นสูงมรรคผลนิพพานอย่าไปหาเลยในที่อื่น
ในคัมภีร์พระไตรปิฎกทั้งหมดก็ไม่เห็น ถ้าพิจารณาธรรมขั้นต้นๆ
คือไม่เห็นตัวของเราเป็นผีเป็นป่าช้าแล้ว ก็จะกลัวคนอื่นที่ตายไป
ไม่เห็นตัวของเราเป็นของปฏิกูลโสโครกพึงเกลียดแล้ว
ก็มีแต่จะเพิ่มความเมาเข้าใจว่าตนสวยตนงาม
ถึงกับเอากิเลสเป็นฝูงเข้ามาตั้งทัพอยู่ในกายในใจ
ประกอบกิจการงานอันใดถึงแม้จะเป็นทางดีหรือทางชั่ว
ล้วนแล้วแต่ทำอยู่ใต้บังคับของกิเลสทั้งสิ้น

ฉะนั้น เมื่อผู้ใดมาพิจารณาตัว
คือกายอันนี้โดยแยบคายเห็นตามเป็นจริงแล้วว่า
ตัวของเรานี้คือซากศพซากหนึ่ง
จะตายหรือยังไม่ตายก็ได้ชื่อว่าเป็นผี
และเป็นของปฏิกูลน่าพึงเกลียด
เพราะเต็มไปด้วยของปฏิกูลน้ำเน่าของโสโครก
ไหลออกมาตามช่องทวารต่างๆ อยู่เป็นนิตย์
ผู้พิจารณาเห็นชัดอย่างนี้ เรียกว่าเห็นผีเป็นของงาม
เป็นดอกไม้ประดับของพระโยคาวจรผู้ท่านไม่ประมาทแล้ว


ตรงกันข้ามถ้ามาหลงมัวเมาเข้าใจว่ากายก้อนนี้เป็นของดี
ประดิษฐ์คิดตกแต่งส่งเสริม เรียกว่าเป็นดอกไม้ของมาร
กายหรือผีก้อนนี้จึงเป็นของงามทั้งของพระโยคาวจรและของมารด้วย
ถ้าเป็นพระแล้วก็เห็นอย่างพระ ถ้าเป็นมารก็เห็นอย่างมาร
แต่ในที่นี้พูดถึงเรื่องของพระ พระเห็นอย่างนั้นแล้วทำให้เป็นผู้ไม่ประมาท
สามารถน้อมนำเข้ามาพิจารณาในกายของตน
จนให้เกิดความสลดสังเวชเบื่อหน่าย
คลายเสียจากความรักใคร่ยึดมั่นในรูปขันธ์ จนเข้าขั้นฌานสมาธิได้ในที่สุด
ฉะนั้นจึงเรียกว่า ดีอยู่ที่พระ คือพิจารณาให้เห็นอย่างพระจึงจะดีอย่างพระได้
จะเป็นพระเป็นเณรก็ตาม หากยังพิจารณาไม่เห็นชัดแจ้งอย่างแสดงมาแล้วนี้
เป็นพระเป็นเณรแต่ชื่อแต่เพศ ความรู้ความเห็นยังไม่เป็นพระเป็นเณรก่อน
ถ้าพิจารณาเห็นชัดแจ้งดังแสดงมาแล้วนั้น อย่าว่าแต่พระแต่เณรเลย
แม้ฆราวาสหรือเด็กที่ยังอมมืออยู่ก็เป็นพระขึ้นมาได้โดยสมบูรณ์
พระอะไร ก็พระอริยเจ้านั่นแหละ
เพราะมาเห็นแจ้งตามสัจจะของจริง จึงเป็นพระอริยะขึ้นมาได้
ธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมดเมื่อสรุปความลงแล้วก็คือ
สอนให้ละสิ่งที่ผิดทั้งปวง ประกอบแต่สิ่งที่ถูกต่อไป
สิ่งที่ผิดนั้นถ้าหากยังพิจารณาไม่เห็นชัดแจ้ง
ด้วยตนตามความเป็นจริงก่อนก็ยังละไม่ได้
ท่านสอนให้ละแต่เฉพาะของที่เป็นจริงมีจริง มิใช่ของไม่มีจริง
ถ้าจะว่าถึงของจริงแล้วท่านไม่ว่าละ ท่านว่าเห็นตามเป็นจริงเท่านั้น
ของจริงต้องเป็นจริงอยู่คงที่ ผู้ไปรู้ไปเห็นตามเป็นจริงแล้ว
ของจริงก็มิได้หายสูญไปไหน แต่ผู้ไปเห็นตามเป็นจริงนั้นละถอน
ไม่เข้าไปยึดมั่นในสิ่งนั้นต่างหาก


อะไรเป็นของจริง ดังได้แสดงมาแล้วแต่ต้น
คือตัวของเราท่านว่ามีของจริงอยู่ครบถ้วน
เมื่อก่อนเห็นคนอื่นตายเรียกว่าผี ถึงกลับกลัวและเกลียด
เมื่อมาพิจารณาจนให้ปัญญารู้แจ้งเห็นตามความเป็นจริงแล้วว่า
ตัวของเรานี้ก็คือผีทั้งตัวและเป็นปฏิกูลทั้งตัว จนเกิดความสลดสังเวชเบื่อหน่าย
ไม่เข้าไปหลงยึดถือมั่นสำคัญว่าเป็นตนเป็นตัวจริงๆ จังๆ
ในขณะที่มีชีวิตอยู่ก็ประกอบแต่คุณงามความดี
อันจะให้เกิดประโยชน์สุขทั้งโลกนี้และโลกหน้า
การทำทานก็ปราศจากมัจฉริยะโดยเด็ดขาด
และยอมสละความสุขจอมปลอมซึ่งเป็นโลกียะ กล้ารักษาศีลด้วยน้ำใจอันบริสุทธิ์
แม้จะภาวนาอบรมสมาธิก็จะยอมพลีชีพเพื่อบูชาพระรัตนตรัย
ไม่เห็นแก่ความเจ็บเมื่อยปวดเหน็บและทนผจญต่อสู้กับอารมณ์ต่างๆ
จนให้ลุล่วงถึงจุดหมายปลายทางได้
อันธรรมของจริงทั้งหลาย มีพร้อมอยู่ที่ตัวของเรานี้ครบถ้วน
แต่ก็ยังไม่เห็นตามเป็นจริงของมัน แล้วเมื่อไรเล่าจะไปเห็น
เมื่อไม่เห็นตามเป็นจริงของมันอยู่ตราบใดก็ได้ชื่อว่า
ยังหลงยึดหลงถือมันอยู่ตราบนั้น เมื่อยังมีชีวิตก็ยังหลงยึดถือมันอยู่
ตายไปแล้วก็ยังยึดถืออยู่ตามเดิม ใครจะมาแก้ให้

หากมาพิจารณาให้รู้แจ้งเห็นตามเป็นจริง
เมื่อยังมีชีวิตอยู่นี้ไม่หลงยึดถือแล้ว เราเองก็เป็นสุข
เพราะอยู่ด้วยความรู้ความเข้าใจตามเป็นจริง ไม่หลงเป็นทาสของร่างกาย
ถึงแม้จะบำรุงและถนอมมันไว้ก็ขนาดอุดช่องรั่วของเรือพอเข้าถึงฝั่ง
หากจะแตกดับในเวลาใดก็คล้ายกับเรือเข้าถึงฝั่งแล้ว หมดภาระไปที


พูดมากก็เป็นเรื่องยืดยาว จึงขอยุติเพียงแค่นี้ เอวํฯ


:b8: ที่มา : พระธรรมเทศนาหัวข้อ งามอยู่ที่ผี ดีอยู่ที่พระ ละอยู่ที่ใจ

:b50: ประวัติและปฏิปทา “หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=35963

:b50: รวมคำสอน “หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43000

:b50: ประมวลภาพ “หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี” วัดหินหมากเป้ง
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=42782


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 พ.ย. 2020, 14:40 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 พ.ย. 2020, 20:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 9 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร