วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 05:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านกรรมแห่งกรรมจากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=4



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2020, 18:50 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b50: :b47: ทรัพย์ภายนอก ทรัพย์ภายใน

พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
วัดอรัญญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย
แสดงธรรม ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา


รูปภาพ

วันนี้คุณหมอทั้งสองได้ตั้งอกตั้งใจมาทำบุญ นุ่งขาวห่มขาว แสดงว่าขาวทั้งทางนอกและขาวทั้งทางใน ขาวนอกก็นับว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นผู้มีบุญ เป็นผู้ได้ทำบุญกุศล สุกธรรม แปลว่า ธรรมอันขาว ธรรมขาวนี้ หมายถึงธรรมอันดี ทุกคนนั้นขอให้พากันพิจารณาดูตัวของตัวเอง ให้รู้จักเหตุปัจจัย เหตุชีวิตของตนเองตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

ถ้าหากว่าเราไม่ได้ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า แน่นอนล่ะ เราไม่สามารถรู้ได้ว่าเราเกิดมานี้มันมีเหตุปัจจัยเป็นมาอย่างไร อะไรนำมาเกิดในโลกนี้

วันนี้ ถ้าเราไม่ได้ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว เราไม่สามารถรู้ได้จริงๆ แม้แต่ผู้ที่พูดอยู่นี้ก็รู้ไม่ได้เลย ไม่ทราบว่าชีวิตนี้เป็นมาอย่างไร รู้แต่ว่าได้เกิดมากับพ่อและแม่เท่านั้นเอง พ่อแม่เลี้ยงให้เจริญวัยใหญ่โตมา ก็เลยเคารพนับถือพ่อแม่ไปอย่างนั้น ชีวิตของคนเรา เพียงแค่ได้รับอุปการะจากมารดาบิดาเท่านั้นยังไม่พอเลย ลองคิดแบบกว้างๆ ออกไป ยังได้รับอุปการะจากลุง ป้า น้า อา ช่วยเลี้ยงดูปูเสื่อมาแต่อ้อนแต่ออก เมื่อเจริญวัยมาเป็นเด็กเป็นเล็ก ต้องได้รับความอุปการะจากครูบาอาจารย์ ผู้สอนภาษาของชาติให้ พร้อมทั้งศิลปวิทยาต่างๆ

ครูบาอาจารย์ต้องฝึกปรือลูกศิษย์ของตน ให้อยู่ในระเบียบวินัยเป็นอันดีมาแต่เด็กแต่เล็ก ผู้ที่มีนิสัยดีก็เลยเป็นคนดีได้ ผู้มีนิสัยดีติดตัวมาตั้งแต่ชาติปางก่อน เกิดมาชาตินี้ก็เคารพนับถือครูบาอาจารย์ เชื่อถ้อยฟังคำ ตั้งอกตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจนมีวิชาความรู้ ได้มาประกอบอาชีพ ผู้เรียนมาประเภทไหนก็ประกอบอาชีพนั้น สุดแล้วแต่ใครถนัดความรู้วิชาทางไหน อันนั้นเรียกว่าเป็นความรู้ในทางโลก

มีแต่ความรู้ในทางโลกมันก็ยังไม่พออีกเหมือนกัน ไม่พอที่จะทำคนให้เป็นคนดีได้ มันดีได้บางส่วน บางส่วนก็ยังไม่ดี เช่น ดีทางกาย ดีทางวาจาได้ฝึกปรือมาดีอยู่ แต่ทางใจนั้นครูบาอาจารย์ทางโลกไม่สามารถที่จะฝึกสอนให้ดีได้ บางคนมีความรู้สูง แต่ก็ยังโมโหโทโสดุร้ายก็มี

ดังนั้นการที่เรามีแต่ความรู้ทางโลกอย่างเดียว จึงยังไม่พอที่จะนำชีวิตของเราให้ถึงความสุข ความสงบ ความเย็นใจได้ ต่อเมื่อเราได้มาสดับตรับฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี้เข้าไป ได้ความรู้ความเข้าใจในพระธรรมนี้เพิ่มเติมเข้ากับความรู้เดิมที่มีอยู่แล้ว ทีนี้เราก็มาประกอบอาชีพไปในทางสุจริต ก็ทำให้ชีวิตเราเจริญรุ่งเรืองขึ้น

เมื่อได้มาอยู่สหรัฐอเมริกานี้ ก็นับว่าเราห่างไกลจากบ้านเกิดเมืองนอน ห่างไกลจากวัดวาศาสนามาก็ไม่น้อยเหมือนกัน แต่เมื่อเราได้ฝึกฝนหรือสดับฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าตั้งแต่อยู่เมืองไทยนู้น เราก็ยังไม่ทอดทิ้ง เรามาอยู่ในสหรัฐอเมริกานี่ เราก็เอาศาสนามาด้วย เอามาอย่างไร ก็เอาความประพฤตินี่แหละ ความประพฤติดีทางกายวาจา ทางจิตใจติดตัวมาด้วย

อันจิตใจนั้นก็ยังมีความเคารพนับถือในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระสงฆ์ ในส่วนทางกายก็ยังกราบไหว้ ส่วนทางวาจาก็ยังกล่าวสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ได้แก่การไหว้พระสวดมนต์ บางคนก็เลยถือเป็นกิจวัตร ก่อนนอนก็ดี ตื่นนอนก็ดี ก็ไหว้พระสวดมนต์ แล้วนั่งสมาธิบริกรรม พุทโธ อยู่ในใจ ทำใจให้สงบจากอารมณ์ต่างๆ เสียก่อน แล้วจึงลุกไปทำการงานกิจธุระอื่นๆ ถ้าหากว่าผู้ใดปฏิบัติอยู่อย่างนี้นั่นแหละได้ชื่อว่า เราเอาพุทธศาสนาติดตัวมาด้วย ก็ขอให้พากันเข้าใจอย่างนั้น

พุทธศาสนาไม่ได้อยู่แต่เพียงแค่วัดวาอารามเท่านั้น หากว่าไม่มีอยู่ในกายวาจาใจของคนเราแล้ว วัดก็เลยไม่เป็นวัด ไม่มีใครไปอุปถัมภ์บำรุงจะต้องกลายเป็นวัดร้างไป การที่จะมีผู้อุปถัมภ์บำรุงวัดวาอารามอยู่นี้ ก็เพราะว่าเรามีพุทธศาสนาอยู่ที่กายวาจาใจนี้ เป็นประจำอยู่แล้ว ดังนั้นเราจึงได้ช่วยกันบริจาคเงินทองไปซื้อสถานที่บำเพ็ญบุญกุศล สามัคคีธรรมร่วมกัน ถ้าเราไม่มีสถานที่เช่นนั้นแล้ว เราจะได้สามัคคีกันบำเพ็ญบุญกุศลไม่ได้เลย เพราะว่าไม่มีสถานที่ที่จะชุมนุมกัน

ดังนั้น เราจึงได้พยายามเก็บหอมรอมริบเงินทองข้าวของ ได้มาแล้วก็ช่วยกันบริจาคออกไป จัดเสนาสนะเป็นที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์บ้าง เป็นสถานที่ชุมนุมฟังธรรมบ้าง ทำบุญถวายทานบ้าง ทั้งหมดนี้เรียกว่าเป็นระเบียบของพระพุทธศาสนา เป็นมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล

ฉะนั้นการที่คุณหมอก็ดี หรือว่าใครๆ ที่มานี้ เป็นผู้ได้บริจาคจตุปัจจัยถวายพระ พระท่านก็จะได้นำปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ไปบำรุงวัดวาอารามนั้นเอง ไม่ได้เอาไปบำรุงที่อื่นใด สำหรับในเมืองไทย พระภิกษุสามเณรก็มีมาก รวมถึงแม่ชีแม่ขาว ออกบวชกันมากพอสมควร ถ้าหากว่าไม่ได้อาศัยปัจจัยสี่จากทายกทายิกาแล้ว นักบวชดังกล่าวมานี้ ก็จะดำรงชีวิตอยู่ในเพศพรหมจรรย์นี้ไม่ได้

ดังนั้นการที่ได้บริจาคจตุปัจจัยออกไป จึงได้ชื่อว่าเป็นการต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวนานออกไป โดยเฉพาะเราอุปถัมภ์บำรุงวัดที่มีการปฏิบัติธรรม การฝึกฝนอบรมกาย วาจา ใจ ให้ตั้งอยู่ในระเบียบข้อวัตรปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำสั่งสอนนั้น นับว่ามีผลมาก เพราะว่าบุญกุศลก็ดี หรือว่าคุณธรรมของจริงต่างๆ ในพระพุทธศาสนานี้ จะเกิดมีขึ้นในคนหนึ่งๆ ได้นั้น ก็ต้องอาศัยแต่ละคน ลงมือปฏิบัติตามข้อวัตรปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าทรงแนะนำสั่งสอนไว้ ตั้งอกตั้งใจ เสียสละความสุขเล็กๆ น้อยๆ ลงมือประพฤติปฏิบัติ ไม่เห็นแก่หลับแก่นอน ไม่เห็นแก่อยู่แก่กิน ไม่เห็นแก่ได้โดยส่วนเดียว

บางคนแม้จะปลีกตัวเข้าวัดช่วงเวลาหนึ่งก็ไม่ได้ กลัวจะขาดรายได้ไป อย่างนี้ก็มี เรียกว่ามองเห็นแต่ทรัพย์ภายนอกนั้น ว่าจักอำนวยความสุขให้แก่ตนโดยส่วนเดียว มองไม่เห็นทรัพย์ภายในคือบุญกุศล หรือสติปัญญาอันเกิดขึ้นจากการอบรมจิตใจนี้ ว่าจักเป็นสิ่งอำนวยความสุขให้แก่ตนได้ เรียกว่ามองไม่เห็น หมายความว่าอย่างนั้นแหละ ผู้ที่มองเห็นทรัพย์ภายใน คือบุญกุศลนี้แหละ จักอำนวยผลให้ตนมีความสุขได้ยืดยาวนาน ต่อไปทั้งโลกนี้ โลกหน้า ผู้ใดเห็นอย่างนี้ ผู้นั้นก็แบ่งเวลาทำกิจการงานภายนอก สำหรับรวบรวมเงินทองข้าวของมาใช้สอย เอ้า ! ก็ทำลงไป พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงห้ามเลย ยังส่งเสริมให้หมั่นให้ขยันในการทำงานเสียอีกด้วย

พระองค์ไม่ได้ห้ามทำงานหรอกน่ะ แต่ว่าให้ทำแต่ในทางสุจริต อย่าไปทำทางทุจริตเท่านั้นเอง ถ้าไปทำในทางสุจริตแล้วนั้น ผู้ใดหมั่นขยันได้เท่าใด พระองค์ยิ่งสรรเสริญเยินยอมาก สำหรับผู้ครองเรือนน่ะเป็นอย่างนั้น

ถ้าว่างจากการงานภายนอก ก็เจียดเวลาเข้าวัดเข้าวา หาพักผ่อนทางจิตใจ ทั้งร่างกายด้วย ฝึกจิตใจของตนให้สงบระงับเข้าไป สำรวมกายสำรวมวาจาให้ตั้งอยู่ในความสงบ ไม่แสวงหาความเพลิดเพลินต่างๆ แต่เราเพลิดเพลินอยู่ในธรรม เช่นเราเข้าไปอยู่ในวัดวาอาราม เราไปนั่งนึกถึงพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เป็นอารมณ์ นั่งนึกถึงความดีที่ตนกระทำบำเพ็ญมาเป็นอารมณ์

เมื่อมองเห็นคุณเห็นบุญกุศลบังเกิดขึ้นในจิตใจของตนอย่างนี้ จิตใจก็ย่อมร่าเริงบันเทิง มีความสุขความสบายใจอยู่ทั้งวันทั้งคืนทีเดียว เพราะว่าบุญทั้งหลายนี้ไม่ใช่อยู่ภายนอก มันเกิดขึ้นในจิตใจของคนเราต่างหาก ถ้าไม่มีไม่ปรากฏอยู่ในจิตใจ ก็เป็นอันว่า ไม่มีแหละ ถ้าเป็นอย่างนั้นขอให้พากันดูให้มันดี ดูจิตใจตัวเองนี่แหละ ว่าแต่ละวันแต่ละคืน ใจของเราเชื่อบุญมั้ย เชื่อคุณพระรัตนตรัยว่าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐจริงมั้ย ถามตัวเองดูให้มันแน่นอนเลย

ถ้าว่าเชื่อบุญน่ะ บุญมันอำนวยความสุขอย่างไรให้บ้าง ตนเองก็ถามตนเอง และตนเองตอบตนเองได้มั้ย อันนี้นับว่าเป็นกิจที่ควรทำแท้ จึงจะได้ชื่อว่า ผู้รู้แจ้งในบุญในกุศล ในคุณพระรัตนตรัยโดยแท้ เพราะว่าบุญกุศลมันมีเหตุผลนี่ เหตุผลก็ดังที่ได้ชี้แจงให้ฟังมานั่นแหละ

ทายก ทายิกา ได้มองเห็นว่าพุทธศาสนานี้ควรอุปถัมภ์บำรุง เพราะว่าเป็นสถานที่รวมน้ำใจของชาวพุทธทั้งหลาย ให้ปรองดองสามัคคีกัน ชักชวนกันประกอบกุศลคุณงามความดี ชักชวนกันฝึกฝนกาย วาจา ใจ ให้เป็นศีลเป็นธรรมพร้อมๆ กันเช่นนี้ มันก็จะมีกำลังศรัทธาแรงกล้าขึ้นมาโดยลำดับ เพราะว่าคนหมู่มากต่างคนต่างก็มีฉันทะ ความพอใจในการปฏิบัติ ต่างคนต่างก็ทำความสงบใจของตนได้อย่างนี้นะ มันก็เป็นเครื่องดึงดูดกันและกัน ให้รื่นเริงบันเทิงอยู่ในกุศลคุณงามความดี ไม่เบื่อไม่หน่ายต่อศีลต่อธรรม

แต่ถ้าเรามีแต่ตัวคนเดียวปฏิบัติอยู่ คนอื่นไม่เห็นด้วย มันก็จะน้อยเนื้อต่ำใจอยู่เหมือนกันนะ เหมือนกับการทำงานต่างๆ ซึ่งเป็นงานหลายๆ คนทำ อย่างนี้นะ ยกตัวอย่างเช่น เกี่ยวข้าวสำหรับชาวนา ถ้าไปเกี่ยวข้าวอยู่คนเดียวงอมงอมอยู่นั้น สักหน่อยก็ว้าเหว่ใจแล้ว วิตกวิจารไปทั่วแล้ว อย่างนี้แหละบางทีก็เหนื่อยอ่อนไปเลย พอหลายๆ คนพร้อมกัน เกี่ยวข้าวไปเนี่ย โอ้...ไม่เหนื่อย คุยกันไปบ้าง เกี่ยวข้าวไปบ้าง มันก็เลยไม่เหนื่อย หายเหน็ดหายเหนื่อยไป

การปฏิบัติธรรมมันก็เป็นเช่นนั้น เมื่อเราปรองดองสามัคคีกัน ว่างๆ เราประชุม มีความคิดเห็นอะไร ก็ระบายสู่กันฟัง เช่น ตนมีความคิดเห็นเรื่องบุญเรื่องบาปเป็นยังไง ก็ระบายออกมาให้เพื่อนฟังบ้าง ใครคิดเห็นอย่างไรในการปฏิบัติธรรมเท่าที่ได้ปฏิบัติมา ได้ผลอย่างไรบ้าง เราก็หยิบยกเอามาสนทนาปราศรัยกัน แลกความคิดเห็นซึ่งกันและกัน อย่างนี้นะมันก็เป็นการส่งเสริมกำลังศรัทธา ความเชื่อ ความเลื่อมใสของกันและกัน ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นไปโดยลำดับ นี่ความสามัคคีกัน ไม่ว่าสามัคคีกันทำงานภายนอกก็ตาม สามัคคีกันทำงานภายในวัดวาอารามก็ตาม ล้วนแต่เป็นผลดีทั้งนั้น

การบำรุงกำลังใจให้เข้มแข็งในการประกอบคุณงามความดีต่างๆ ดังกล่าว บำรุงศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองไปได้ อย่าไปถือนั้นถือนี้กันเลย ต่างคนต่างก็ลดละทิฏฐิมานะ ความเห็นแก่ตัว ความเอารัดเอาเปรียบกันต่างๆ เรามาเพ่งพิจารณาดูอัตภาพร่างกายนี้ มันไม่ใช่ของเราจริงจังอะไร มันจะเป็นเพียงเรือนร่างที่อยู่อาศัยของดวงจิตชั่วคราวเท่านั้น แล้วจะไปแข็งกระด้างต่อกันทำไม เมื่อมาเพ่งพิจารณาดูอัตภาพร่างกายนี้ เห็นตามเป็นจริงแล้ว ไม่ถือตัวหรอกคนเรา เข้าไหนเข้าได้ไม่ถือตัว

แต่ถ้าผู้ใดไม่ได้ภาวนาเพ่งดูอัตภาพร่างกายนี้ ให้เห็นด้วยปัญญาแล้วนั้น แน่นอนล่ะ มันก็ต้องถือตัว มันสำคัญว่าตนละคนหนึ่ง เราไม่ต้องน้อมหาใคร เราก็คนหนึ่ง มีสติมีปัญญาเหมือนกัน เราก็หาเงินได้เหมือนกัน พูดถึงศีลธรรม เราก็เรียนรู้เหมือนกัน เราก็มีเหมือนกัน ถ้าไปสำคัญอย่างนั้นแล้ว ก็เลยไม่ได้หันหน้าเข้าหากัน หารืออะไรกันก็ไม่ได้ มีแต่จะห่างเหินกันไป

เพราะฉะนั้น ความถือมั่นอย่างนั้นพระศาสดาไม่ทรงสอน ผิดหนทาง ไม่ใช่หนทางดำเนินเพื่อให้พ้นไปจากทุกข์ แบบนั้นน่ะ

หนทางที่จะดำเนินไปให้พ้นจากทุกข์ เพียงแต่ว่าให้พ้นไปจากทุกข์ในมนุษย์ แล้วไปเกิดบนสวรรค์ ก็ต้องลดละสิ่งต่างๆ ที่กล่าวมานี้ ถึงจะไปสวรรค์ได้ ถ้าไม่ลดละกิเลสหยาบๆ ทุกอย่าง ดังกล่าวมาแล้วนั้น จะไปสวรรค์ไม่ได้เลย เป็นเช่นนั้น อย่าว่าแต่จะไปนิพพาน จะไปสวรรค์ก็ไม่ได้ ท่านผู้ไปสวรรค์น่ะ ท่านนอบน้อม กาย วาจา ใจ ต่อพระพุทธเจ้า ต่อพระธรรม ต่อพระสงฆ์จริงๆ นอบน้อมต่อผู้ที่มีคุณวุฒิสูงกว่าตน ความนอบน้อม ความเชื่อ ความนับถือนี้ มันก็มีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

คนสมัยก่อนก็แสดงบทบาทต่อความนับถือให้ปรากฏ จนมีประวัติมาในตำรา เหมือนอย่างเรื่องหนึ่ง หลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ประชาชนพากันอัญเชิญเอาพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ ไปก่อพระเจดีย์แล้วเอาไปบรรจุไว้ ผู้ใดได้รับแบ่งนะ ก็เอาบรรจุไว้ในพระเจดีย์นั้น เมื่อถึงฤดูกาลมา ก็ชักชวนกัน ได้ดอกไม้ธูปเทียนแล้ว ก็พากันไปเดินเวียนเทียนประทักษิณ ๓ รอบ ทำสักการบูชากราบไหว้พระเจดีย์นั้น

คราวนั้น ในหมู่บ้านนั้นก็มีพระเจดีย์อยู่ในวัด และมีงานนมัสการพระเจดีย์ มีผู้ไปประกาศป่าวร้องเชิญชวนพุทธศาสนิกชนไปกราบไหว้พระเจดีย์กัน มีผู้หญิงคนหนึ่งท้องแก่แล้วทีเดียว พอได้ยินผู้คนไปเที่ยวประกาศอย่างนั้น ก็เกิดศรัทธาเลื่อมใสขึ้นมา ตนเองก็ยังไม่ได้เตรียมดอกไม้ธูปเทียนอะไรเลย กลัวจะไปไม่ทันเพื่อน รีบลงจากเรือนก็เดินไปเลย พอเดินไปก็ไปเห็นดอกบวบขมซึ่งเลื้อยอยู่ที่รั้วข้างทาง จึงเก็บเอาดอกบวบขมนั้นได้ ๘ ดอกถือไป ว่าจะเอาไปบูชาพระเจดีย์ บังเอิญไปเจอวัวแม่ลูกอ่อนตัวหนึ่ง มันหวงลูกมัน มันขวิดเอาล้มลงจนถึงแก่ความตาย โดยอาศัยอานิสงส์ที่หญิงคนนั้นมีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ หรือเลื่อมใสในพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้านั้น เมื่อตายลงไป เขาก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีความสุขสำราญมากกว่าเกิดอยู่ในโลกมนุษย์นี้หลายร้อยหลายพันเท่า อย่างนี้แหละ

นี่พูดถึงความเชื่อ ความเลื่อมใส เมื่อเราเลื่อมใสในสิ่งที่มีคุณอันประเสริฐจริงๆ มันก็อำนวยผลอันเลิศให้เช่นเดียวกัน เพราะพระพุทธเจ้านั้น พระองค์เป็นผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐยิ่งกว่ามนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ไม่มีใครจะมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่เสมอกับพระพุทธเจ้า หรือยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าไม่มีเลย เพราะว่าพระองค์ได้สร้างพระบารมีมานานแสนนาน หลายกัปหลายกัลป์ กว่าพระบารมีนั้นจะเต็มบริบูรณ์ได้ ไม่ใช่ง่ายๆ ไม่ใช่ใกล้ๆ นะ บุญของพระพุทธเจ้านั้น

เพราะฉะนั้นพระคุณของพระองค์จึงมีมากมายเหลือล้น เหลือจะพรรณนา ผู้ใดมีจิตศรัทธากราบไหว้อยู่ที่ไหนดีหมด พระคุณของพระพุทธเจ้าย่อมเกิดขึ้นในจิตใจของผู้นั้น ในที่ตนอยู่นั่นแหละ ตนอยู่ที่ไหน ตนกราบไหว้อยู่ที่ใด พระคุณนั้นย่อมเกิดขึ้นในจิตใจของผู้นั้นในที่นั้นๆ ไม่เฉพาะแต่ว่าพระเจดีย์ โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ที่มีองค์พระประธานใหญ่ๆ แม้พระพุทธรูปองค์เล็กๆ ก็ตาม เมื่อหากว่าจิตใจของเราเลื่อมใสศรัทธาอย่างแรงกล้าแล้ว ก็ย่อมมีอานิสงส์เหมือนกันทั้งนั้น ขอให้เรามีอุบายอันแยบคายในใจให้มันได้ อย่าสักแต่ว่ากราบ กราบไปตามประเพณีนิยมกันเฉยๆ ก่อนจะกราบก็ต้องระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นอารมณ์เสียก่อน ทำความเลื่อมใสในใจแล้วจึงค่อยโน้มกายลงอย่างนี้ จึงค่อยกล่าววาจาสรรเสริญพระคุณทั้งสามนั้น ไปอย่างนั้น

ก่อนจะไหว้พระทำวัตรท่านจึงนิยมกราบลงเสียก่อน นั่นแสดงว่าเราแสดงความเคารพในเบื้องต้นไปก่อน แสดงออกซึ่งน้ำใจของเราเคารพจริงๆ อย่างนี้ เมื่อเราทำอะไรแล้ว ให้มันถึงใจจริงๆ แล้วมันมีผลมั่นคงไม่สูญหายเลย แต่ถ้าทำความดีลงไปแล้วไม่ถึงใจ ใจไม่สงบ ไม่ตั้งมั่นอยู่ในความดีอันนั้นเท่าใดนัก ความดีเช่นนั้นมักจะเสื่อม ไม่สามารถจะตั้งยั่งยืนอยู่ในจิตใจได้ เพราะฉะนั้น ข้อบัญญัติในพุทธศาสนานี้ พระพุทธเจ้าจึงได้ทรงแสดงไว้ถึง ๓ ข้อ ๓ ประการ คือ ให้ทาน รักษาศีล และภาวนา

ภาวนานั้นเป็นที่รวบรวมกุศลความดีต่างๆ ที่เรากระทำมาจากการให้ทาน การรักษาศีลนั่น ให้มารวมอยู่ในจิตใจดวงนี้ในปัจจุบันนี้ นอกจากจิตใจนี้แล้ว ไม่มีอะไรจะรับไว้ซึ่งบุญซึ่งกุศลซึ่งคุณพระรัตนตรัยที่เรากระทำบำเพ็ญมา ถ้าใจไม่รับแล้ว ก็ไม่มีบุญคุณเหล่านั้น สูญหายไปเลย

คนส่วนมากทำบุญสูญหายไปเสียเป็นส่วนมาก เพราะว่าไม่รักษาจิตใจตัวเอง ทำบุญให้ทานไปแล้ว บางคนก็ให้ทานเงินหมื่นเงินแสนก็มี เมื่อให้ทานไปแล้วก็แล้วไป มีแต่จิตใจเพลิดเพลินไปกับกระแสของโลก ไม่มานั่งสงบจิต นึกน้อมถึงบุญ ถึงคุณ ถึงความดีที่ตนกระทำมา แล้วจะให้บุญคุณนั้นมาตั้งอยู่ในใจได้อย่างไรล่ะ เพราะว่าบุญก็ดี คุณก็ดี มันมีใจเป็นใหญ่เป็นประธาน ไม่ใช่บุญคุณนั้นเกิดก่อนใจนะ ใจเกิดก่อน หมายความว่าอย่างนั้น แล้วก็ใจเป็นผู้สร้างบุญคุณเหล่านั้นให้เกิดขึ้น มันถึงมีได้ ถ้าใจดวงนี้ไม่ชอบบุญชอบคุณแล้ว ไม่กราบไม่ไหว้ ไม่นึกไม่น้อมแล้ว บุญคุณนั้นก็ไม่อยู่ในใจของคนผู้นั้น

เพราะฉะนั้นเมื่อพูดมาถึงตอนนี้ ผู้ฟังทั้งหลายก็คงจะเข้าใจแล้วว่า การอบรมจิต การรักษาจิตนี้ นับว่าเป็นกิจจำเป็นในตัวของเราผู้หนึ่ง เราจะต้องตามรักษาจิตดวงนี้ทุกอิริยาบถทีเดียว ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม พูดจาปราศรัยเข้าสังคมใดๆ ก็มีสติสัมปชัญญะ ระมัดระวังสำรวมจิตใจนี้อยู่เสมอ ไม่ให้ใจของเราวอกแวกไปในทางบาปอกุศล

เพราะว่าการสังคมต่างๆ มันไม่ใช่มีแต่เรื่องดีๆ นะ เรื่องชั่วก็มีที่จะต้องได้พบ เมื่อไม่สำรวมจิตใจแล้ว ไม่นานมันก็เกิดเป็นอกุศลขึ้นมา เช่น มันโกรธ มันไม่พอใจให้ใครต่อใครขึ้นมา นั่นแสดงว่าจิตเป็นอกุศลขึ้นมาแล้ว ก็เพราะขาดการสำรวมระวัง

ดังนั้น ขอให้พากันถือเอาเป็นข้อปฏิบัติตามที่แนะนำมานี้ อย่าได้ละเลย เพราะว่าเรานับถือพระพุทธศาสนากันมานี้ แต่ละคนก็นับว่านานปีมาแล้ว แล้วสละปัจจัยไทยทาน อะไรที่เราแสวงหามาได้ มาบูชาพระพุทธศาสนานี้ ก็นับว่ามากมายทีเดียว ถ้านับรวมลงบัญชีไว้นะ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วก็อย่าให้บุญกุศลที่เราทำมานี้ มันสูญหายไปเสียเปล่า พยายามรวบรวมไว้ในจิตใจของเรานี้ให้ได้ ให้ใจมันยึดเอาบุญเอาคุณนี้ เป็นที่พึ่งทั้งกลางวันกลางคืน อย่าให้ไปยึดเอาเรื่องภายนอกนั้นมาเป็นที่พึ่งที่ระลึกอยู่โดยส่วนเดียว

ถ้าเราไม่ควบคุม ไม่น้อมนึกแล้ว มันก็จะไหลไปสู่อารมณ์ภายนอกนั้น จิตนี้นะ กระแสจิตนี้มันไปโน้มไปน้าวเอาอารมณ์ภายนอก เข้ามาวิตกวิจารอยู่ภายในนี้นะ แล้วบุญคุณความดีที่เราทำมาแต่ก่อนก็ลืมเลือนไป ใจมันไปมุ่งหมายอยู่แต่ภายนอก รายได้รายเสีย หรือว่าเรื่องอุปสรรคขัดข้อง หรืออะไรต่อมิอะไร มาวิตกวิจารอยู่ภายในนี้ แล้วบุญกุศลคุณพระรัตนตรัยไม่ทราบไปอยู่ที่ไหน

อันนี้ให้พากันระมัดระวังให้ดี ให้ทำบุญนั้นน่ะทำได้อยู่ แต่การที่จะมารักษาบุญให้มั่นคงไปนี้ คนส่วนใหญ่ส่วนมากไม่ค่อยเอาใจใส่ นึกว่าตนทำบุญไปแล้วต้องได้บุญอยู่วันยังค่ำ แล้วก็ปล่อยใจของตนให้เลื่อนลอยไปทั่วนี่น่ะ คนมีความเห็นอย่างนี้มีอยู่เยอะแยะ

แต่ที่จริงแล้วเห็นอย่างนั้นไม่ถูกต้อง มันผิดกับธรรมะ คือ องค์แห่งความเพียร ๔ อย่าง ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ คือ

๑. เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้นภายในจิตใจ
๒. เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว
๓. เพียรทำบุญกุศลให้เกิดขึ้นในจิตใจ
๔. เพียรรักษาบุญกุศลที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้เสื่อม

ความเพียร ๔ อย่างนี้ เป็นความเพียรชอบ ควรประกอบไว้ให้มีในตน
พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว

บาปนี้น่ะ มันมาจากอะไรล่ะ ก็หนทางหรือว่าเส้นสายของบาป มันก็มาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วก็หลั่งเข้าไปหาใจ แล้วมันก็มาจากรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส พวกนี้แหละ ไม่ใช่ว่าทางไหลเข้ามาของบาปอกุศลมาจากทางอื่นนะ

ดังนั้น เรามีสติสัมปชัญญะ คอยระมัดระวัง สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แล้วก็เพ่งพิจารณารูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสภายนอกให้รู้เท่าทัน ทั้งส่วนดีและส่วนชั่ว รูป เสียง กลิ่น รส ฝ่ายดีมันก็ไม่เที่ยง ฝ่ายชั่วมันก็ไม่เที่ยงเหมือนกัน เกิดขึ้นแล้วมันก็แปรปรวนดับไป

ดังนั้นอย่าไปถือมั่น เช่น เสียงด่าทอ เสียงลุโทษ ติเตียนต่างๆ กลิ่นหอม กลิ่นเหม็น รสขม รสเฝื่อน รสเปรี้ยว รสอร่อย รสหวาน รสใดๆ ก็ตาม สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งก็ดี ของพวกนี้เราต้องระลึกให้ได้ ต้องพิจารณาให้ได้รู้ให้ได้ เห็นว่าล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยงทั้งนั้น มันสัมผัสถูกต้องกันแล้ว มันก็ระงับดับไป หายไป แต่ใจของคนเรานี้ ที่มันไม่หายเพราะมันไปยึดเอามา ตากับรูปมันกระทบกัน ถ้าใจไม่ยึดถือเอาแล้ว มันก็ดับไปเอง เสียงมากระทบหูเหมือนกัน ถ้าจิตไม่ได้ยึดถือเอาเสียงนั้น สัญญาจำเสียงนั้นก็หายไปเลย กลิ่นมากระทบจมูกอย่างนี้ ถ้าจิตรู้เท่า ไม่ถือเอาไว้แล้ว มันก็หายไป มันก็ระงับไปตามธรรมชาติของมัน รสมากระทบกับลิ้นก็ดี สัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งมากระทบกับกายก็ดี

ถ้าผู้ใดสำรวมจิตใจได้แล้ว ใจไม่ยึดไม่ถือแล้ว มันก็เกิดดับๆ ไปอยู่ตามเรื่องของมัน มันไม่มีอะไรดี มันไม่มีอะไรชั่ว ผลสุดท้ายแล้วการที่ว่ามันมีดีมีชั่วอยู่นี้ มันเกิดจากจิตไปหลงสมมุติ หลงบัญญัติของโลกเข้าไปอย่างนี้

จริง...ดีชั่วมีจริง...จริงโดยสมมุติ มันปฏิเสธไม่ได้ มีอยู่ แต่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราเฝ้าฝึกจิตใจไม่ให้ไปยึดเอาดีเอาชั่วนั้นมาเป็นของตัว เพราะมันเป็นของไม่เที่ยง มันเป็นอย่างนั้น ทรงสอนให้ปล่อยวาง ตาได้เห็นรูปก็สักแต่ว่าได้เห็น หูได้ยินเสียงก็สักแต่ว่าได้ยินเสียง เป็นต้นอย่างนี้น่ะ ทำความรู้อย่างนี้ในใจ สักแต่ว่าทั้งนั้น ไม่ใช่เป็นเรื่องจริงเรื่องจังอะไร เราฝึกจิตใจนี้เข้าไป อ้าว ! ถ้าว่าเรื่องดีก็ไม่ยึดไม่ถือ เอาล่ะแล้วไฉนถึงจะได้ความดี บางคนก็อาจจะวิจารณ์ในใจอย่างนี้ก็ได้ อันดีนอกนี้น่ะ พระพุทธเจ้าไม่ตรัสว่าเป็นดีจริงนะ มันดีเพียงชั่วคราวเท่านั้นเอง มันเป็นอย่างนั้น ดีในต่างหากที่พระองค์ทรงสอนให้บุคคลยึดเอาไว้เป็นที่พึ่งไปก่อน

ในเมื่อบารมีเรายังไม่แก่กล้า คือว่านึกเอาความดีที่เรากระทำมา มาไว้ในจิตใจนี้ต่างหาก ส่วนรูป เสียง กลิ่น รสภายนอกนั้น เราไม่ยึดเอา เช่น ในความรู้สึกที่เราได้ให้ทานมาอย่างนี้ เราเอาความรู้สึกอันนั้นมากำหนดอยู่ในใจนี้ เราได้ให้ทานมาอยู่ หรือศีลอย่างนี้ เราได้รักษาศีลมาอยู่ ศีลน่ะมีอยู่ในใจของเรา เพราะใจเราได้ละเว้นจากการทำชั่วแล้ว เราไม่ใช้กาย วาจา ทำชั่ว พูดชั่ว อันนี้ล่ะ ให้พากันกลั่นกรองความดีเข้ามาสู่จิตใจให้ได้ อย่าไปสำคัญดีนอก อันนั้นมันเป็นเหตุให้เกิดความดี เกิดบุญเกิดกุศลเท่านั้น

เหมือนอย่างเราปลูกต้นไม้ต้นหนึ่งขึ้นมานะ เราไม่ได้หวังเอาต้นไม้นั้นนะ ต้นไม้ที่มีผล เราหวังเอาผลของมันต่างหาก แต่ว่าเราจำเป็นต้องบำรุงต้นของมัน เมื่อมันเจริญวัยใหญ่โตขึ้นเต็มอัตราแล้ว มันก็ผลิดอกออกผลมา เจ้าของไปเก็บเอาผลนั้นมาบริโภคหรือว่าขายไป ไม่ได้เอามาทั้งต้น เอาแต่ผลของมัน

อันนี้ก็เหมือนกัน เราเอาแต่ธรรมารมณ์ อันที่จิตใจของเราเกิดทรงจำเอาไว้ว่า เราได้ทำบุญมาแล้ว เราได้มีจิตเมตตากรุณาต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างนี้นะ เช่น เป็นหมอรักษาคนไข้อย่างนี้ เราไม่ใช่มุ่งหวังแต่จะเอาเงินกับเขาเท่านั้น เรายังทำจิตเมตตา เอ็นดูสงสารคนเจ็บคนป่วยนั้นเข้าไปอีก อยากจะช่วยให้เขาหายเจ็บหายป่วยจริงๆ นี่ถ้าเราตั้งจิตเมตตาลงไป จิตเราก็ดี เบิกบานดี เราได้ทำกิจธุระหน้าที่พยาบาลคนไข้ให้หายเจ็บหายป่วยลงไป เราก็ดีอกดีใจ ถ้าหากว่าเรามีอุบายแยบคายอยู่ในใจแล้ว เราทำอะไรก็เป็นบุญเป็นกุศลไปทั้งนั้น ขอให้คิดให้มันละเอียดเข้าไป

แม้แต่หาเงินหาทอง เราจะหาโดยวิธีใดก็ตาม ถ้าเรามีศีลเป็นพื้นฐานของกาย วาจา ใจนี้แล้ว เราทำงานไป อยู่ในกรอบแห่งศีลแห่งธรรมนี้ การงานที่เราทำนั้นมันก็เป็นเหตุให้เกิดบุญเกิดกุศล เช่น อย่างเราหาทำการทำงานแล้วได้เงินได้ทองมานี้นะ ก็มาซื้อหาอาหารการบริโภคมาแล้ว ตนก็บริโภคบ้าง ให้ทานไปบ้างก็ดี ตนบริโภค ตนรับประทานเข้าไปก็ทำให้ชีวิตนี้เป็นอยู่ไปได้ และตนก็ได้ไหว้พระ ได้นั่งสมาธิภาวนา เพราะได้อาศัยอาหารบำรุงร่างกาย ให้มีกำลังอยู่ได้

ส่วนใดที่เราแบ่งเอาไปบริจาคทาน ท่านผู้รับประทานไป เอาไปฉันอย่างนี้ ท่านก็มีชีวิตอยู่ไปได้ ได้ประกอบศาสนกิจตามหน้าที่ของตนๆ ไป ได้ต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวต่อไป เป็นประโยชน์แก่กุลบุตรกุลธิดาที่เกิดมาในภายหลัง เขาเห็นบิดามารดาทำความดีเข้าไป บุตรธิดาก็หัดเอาอย่าง เมื่อมารดาบิดาล่วงลับไป บุตรธิดาก็สืบศาสนาต่อไป คนเหล่านั้นก็พลอยได้สั่งสมบุญกุศล สืบวงศ์สืบตระกูลต่อไป นี่นะการทำบุญกุศล นับว่าเป็นประโยชน์ยืดยาวนาน

เมื่อเราทำบุญทำกุศลอันประกอบไปด้วยปัญญาแล้วนะ มันได้บุญได้กุศลมากมายและเป็นประโยชน์ยืดยาวนาน ให้ถือเสียว่าการทำบุญนี้ อุปมาเหมือนเราคิดที่จะต่อเรือสักลำหนึ่ง เพื่อนั่งข้ามไปสู่ฝั่งนู้น ไปพักผ่อนหย่อนใจอยู่ฝั่งนู้น ก็จำเป็นต้องได้หาทุนหารอนในการต่อเรือเล็กลำหนึ่ง หากเราไม่ทำเอง มีทุนมีงบประมาณแล้วก็จ้างช่างเขามาทำ เมื่อต่อเรือนั้นเสร็จสรรพลงแล้ว ก็เข้าไปนั่งในเรือ นายท้ายก็ถือท้ายติดเครื่องจักร พาข้ามจากฝั่งนี้ไปสู่ฝั่งนู้นได้โดยสวัสดี ฉันใดก็ฉันนั้น

การที่เราคิดบำเพ็ญบุญกุศลให้เจริญงอกงามขึ้นในตน ก็เท่ากับว่าเราสมมุติเอาบุญ เอากุศล เอาคุณพระรัตนตรัยเป็นยานอันวิเศษอันหนึ่ง เรากำลังสร้างยานวิเศษอันนี้ไว้รองรับดวงจิตของเรา ทั้งเวลาที่เรายังมีชีวิตอยู่ เราได้อาศัยบุญเหล่านี้อยู่ภายในจิตใจแล้ว จิตใจเราก็สงบเยือกเย็น สบายไป เมื่อเวลาจวนจะสิ้นชีพทำลายขันธ์ลงไป เราก็ไม่ได้เศร้าโศกเสียใจกับความตายอันนั้น เพราะว่าได้ภาวนาเห็นความตายอยู่ทุกวันทุกคืน แล้วก็เห็นบุญเห็นคุณตั้งมั่นอยู่ในจิตใจเสมอไป

ร่างกายนี้จะบังคับก็บังคับไม่ได้ เมื่อบังคับไม่ได้ ก็ต้องหัดปลงหัดวางลง วางจิตใจให้เป็นกลาง เป็นอุเบกขาลงไป อย่าไปยินดีเพลิดเพลินเวลามันอยู่ดีกินดี มันไม่เจ็บไม่ไข้ อย่าไปเสียใจเศร้าโศก เมื่อเวลามันเจ็บไข้ได้ป่วย เวลามันวิบัติลงไป เราฝึกใจอันนี้ สอนใจนี้ไปเรื่อยๆ

เมื่อเรามีปัญญา มีความรู้ความเห็นตามความเป็นจริง บังเกิดขึ้นในใจอย่างนี้ ใจเราก็มั่นอยู่ในบุญในคุณนี้ เมื่อร่างกายนี้มันทรุดโทรมมันจะแตกดับ เราก็ไม่ทุกข์ร้อน ก็เพราะว่าจิตเรามีที่พึ่งอยู่แล้ว ไม่กระวนกระวายต่อทุกขเวทนา อดกลั้นทนทานต่อทุกขเวทนา เพราะมีบุญมีคุณนี่ละเป็นกำลังใจ ทำให้ใจนั้นเข้มแข็ง เพราะว่าความเจ็บ ความปวด หรือความทุกข์ต่างๆ นี้น่ะ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า มันละไม่ได้ มีแต่ทำความรู้เท่าเอา อดกลั้นทนทานเอา

ผู้รู้แจ้งความเป็นจริงแล้ว ท่านมีแต่ความอดกลั้น ทนทานเอา อย่าหวั่นไหวกับมัน ผู้ไม่รู้แจ้งตามความเป็นจริงนั้น มีแต่หวั่นไหว มีแต่สะดุ้งหวาดกลัวต่อความทุกข์ ต่อความตาย อย่างนี้มันตรงกันข้ามกับท่านผู้รู้ ให้พากันเข้าใจ แล้วเรามาฝึกหัดจิตใจนี้ให้เป็นผู้รู้ ผู้ฉลาด รู้เท่าทุกข์ตามความเป็นจริง แล้วก็มาละเหตุแห่งทุกข์นี้ให้มันเบาบางไปจากจิตใจ ถึงละไม่หมดก็ให้มันเบาบางลงไป หากว่ามันไปเกิดในชาติหน้า มันจะได้เบาบางลงมากมาย เพราะว่าทุกข์นั้นมาจากเหตุ คือ ตัณหา เมื่อละตัณหาอันเบาบางไป เสร็จแต่ชาตินี้แล้ว หากว่ามันไปเกิดชาติหน้าต่อไปอีก บุคคลผู้นั้นก็จะไม่ตกเป็นทาสของตัณหา บุญกุศลอำนวยผล ตกแต่งให้มีลาภ ยศ สรรเสริญ ความสุขกายสบายใจอย่างไร ก็ไม่หลง ไม่เมา ไม่เพลินไปด้วยลาภยศเหล่านั้น เป็นต้น เพราะได้ฝึกไปตั้งแต่นี้แล้ว ขอให้พากันเข้าใจ

ถ้าเราไม่ฝึกไปอย่างว่านี้ เพียงแค่กินๆ ทานๆ รักษาศีลไปตามประเพณีเฉยๆ ไม่ได้ฟังธรรม ไม่ได้ภาวนาอย่างนี้ ผลทาน ผลศีลอำนวยให้ไปเกิดในชาติหน้าต่อไป ก็ร่ำรวยเงินทอง มีลาภยศขึ้นมา แล้วก็หลงลาภหลงยศเหล่านั้น ผูกพันอยู่กับสิ่งเหล่านั้น เลยไม่เป็นอันทำบุญทำทาน มิหนำซ้ำยังหวงแหนยังตระหนี่อีก อย่างนี้แหละถ้าให้ทานก็เรียกว่าให้ไม่สมกับฐานะ

ข้อปฏิบัติในพุทธศาสนา นับว่าเป็นสิ่งที่เราต้องลงมือปฏิบัติไปพร้อมกัน แล้วก็พิจารณาไปด้วย ให้มันเห็นเหตุเห็นผลดังกล่าวมานี้ ข้อสำคัญคือ พยายามทำใจให้สงบ ให้ตั้งมั่น อย่าให้เป็นไปอย่างอื่น สมาธินี้แหละ เรียกว่าเป็นที่ตั้งแห่งบุญแห่งกุศลทั้งหลาย บุญกุศลความดีทั้งหลาย มันจะหลั่งเข้ามาหาสมาธินี่แหละหมดเลย ไม่สูญหายไปไหน

ถ้าบุคคลไม่สามารถที่จะทำใจให้สงบลงได้แล้ว บุญกุศลมันก็กระสานซ่านเซ็นไป จิตใจมันไม่สงบ ย่อมคิดฟุ้งซ่านไปทั่ว เรื่องไม่เป็นประโยชน์มันก็คิดไป มันจะคิดไปในเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์น่ะแหละมาก เมื่อจิตฟุ้งซ่านแล้ว เรื่องเป็นประโยชน์ไม่ค่อยคิดกัน ในเมื่อทำใจให้สงบลงไปแล้ว คิดอะไรก็มักจะเป็นประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ทางใดที่เป็นทุกข์และโทษต่อผู้อื่นแล้วไม่เอาไม่คิด เป็นอย่างนั้น

ฉะนั้น เมื่อได้สดับตรับฟังแล้ว ก็ขอให้พากันตั้งอกตั้งใจ ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่ได้นำมาแนะนำสั่งสอนในวันนี้ ก็ไม่ใช่อื่นไกลอะไรหรอก ก็มาพูดของเก่ากันนั่นแหละ แต่ว่าใช้สำนวนแปลกๆ ไปอยู่บ้างเท่านั้นเองนะ ไม่ใช่อย่างอื่นใด ให้พากันรู้จักว่า การทำบุญกุศลนี้ก็ให้มันรู้แจ้งในบุญกุศล ด้วยปัญญาของตนจริงๆ ถ้าว่าเรื่องบาปยังงี้ ก็ให้มันพิจารณาเห็นแจ้งในเรื่องบาปนั้น ว่าเป็นบาปจริงๆ จะได้ละมันเสีย

สุดท้ายก็แนะนำตักเตือนให้อย่าหลงอัตภาพร่างกายนี้ อย่ามัวอย่าเมา อย่าไปติดความสุขเล็กๆ น้อยๆ ให้เป็นนักเสียสละความสุขเล็กๆ น้อยๆ นั้น อุตส่าห์พยายามประพฤติปฏิบัติ ทำสมาธิภาวนา ฝึกจิตใจที่ไม่ค่อยสงบให้สงบลง เมื่อจิตสงบลงแล้วปัญญายังไม่มีก็ฝึกหัด คิดอ่านพิจารณาเหตุผลแห่งชีวิต ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่แนะนำมาให้ฟังนี้ ให้รู้แจ้งขึ้นมาในใจของตนตามความเป็นจริง แล้วปล่อยวางไว้ตามสภาพ

:b8: :b8: :b8:

ที่มา : หนังสือ วรลาโภวาท พระธรรมเทศนา ปุจฉา-วิสัชนา พระสุธรรมรำลึก
อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพพระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
วันจันทร์ที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๒ หัวข้อ ทรัพย์ภายนอก ทรัพย์ภายใน หน้า ๑๑-๓๐

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=6&t=51952

:b45: รวมคำสอน “หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43689

:b49: :b50: ชวนอ่านพระธรรมเทศนาเต็มกัณฑ์เทศน์ของ
“พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)”

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=75&t=53080


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ส.ค. 2020, 17:53 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร