ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
เหตุแห่งความเดือดร้อน (หลวงปู่จันทร์ กุสโล) http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=58743 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | น้องพลอย [ 29 มี.ค. 2020, 14:17 ] |
หัวข้อกระทู้: | เหตุแห่งความเดือดร้อน (หลวงปู่จันทร์ กุสโล) |
เหตุแห่งความเดือดร้อน พระพุทธพจนวราภรณ์ (หลวงปู่จันทร์ กุสโล) วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ต.พระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ![]() ท่านสาธุชนทั้งหลาย ลำดับนี้จะได้เสนอบทความเรื่อง “เหตุแห่งความเดือดร้อน” เพื่อเป็นข้อคิดแนวธรรมสำหรับท่านผู้สนใจในการสดับรับฟังต่อไป หลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาสอนว่า “ทุกสิ่งเกิดแต่เหตุและดับไปก็เพราะดับที่เหต” เมื่อนำเอาหลักธรรมข้อนี้ขึ้นมาพิจารณาค้นดู ว่าความทุกข์เดือดร้อนต่างๆ ที่เกิดขึ้นอยู่มีอยู่ในสมัยปัจจุบันนี้ว่าจะมีมาจากเหตุอะไรบ้าง และความทุกข์เดือดร้อนเหล่านั้นจะดับไปได้อย่างไร เนื่องจากสมัยปัจจุบัน เป็นยุคแห่งความเจริญก้าวหน้า มนุษย์ในสมัยนี้ได้ใช้สติปัญญาคิดค้นประดิษฐ์วัตถุอุปกรณ์ เพื่อความสะดวกสบายในการอยู่กินอย่างมากมาย ข้าพเจ้าเคยปรารภกับท่านที่รู้จักคุ้นเคยเสมอว่า “สำหรับพวกเรานั้นดูเหมือนว่าจะไม่ต้องใช้สมองประดิษฐ์คิดอะไรขึ้นมาก็ใช้ได้ เป็นเพียงคอยใช้วัตถุสิ่งของที่เขาประดิษฐ์ออกมาให้ใช้ ก็ตามใช้ไม่ทันอยู่แล้ว” ตัวอย่างง่ายๆ ปากกาที่ข้าพเจ้าใช้เขียนบทความอยู่ขณะนี้เป็นปากกาหมึกแห้ง ชั่วระยะไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราใช้ดินสอ ปากกาจิ้มหมึก ปากกาหมึกซึม ปัจจุบันนิยมใช้ปากกาหมึกแห้งเพราะใช้ได้สะดวกสบาย และให้ความปลอดภัยในการใช้ ไม่หกเลอะเทอะเปรอะเปื้อน และปากกาหมึกแห้งก็ผลิตออกมาหลายชนิดหลายแบบ ใช้หมึกยังไม่ทันจะแห้งเขาก็ประดิษฐ์ดัดแปลงให้เป็นของแปลกๆ ใหม่ๆ มากมายออกมาอีก นี่ยกตัวอย่างมาให้ท่านผู้อ่านพิจารณาเป็นตัวอย่างเพียงเรื่องของปากกา วัตถุอุปกรณ์อื่นๆ อีกสารพัดอย่างที่เขาประดิษฐ์คิดขึ้น ที่พวกเราตามใช้หายใจแทบไม่ทัน ที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด มีความประสงค์เพื่อจะให้ท่านผู้ฟังได้พิจารณาเปรียบเทียบ ว่าความเจริญในยุคปัจจุบันได้เป็นไปอย่างรวดเร็วอย่างไรบ้าง เนื่องจากความเจริญของยุคปัจจุบันดังที่ได้กล่าว ทำให้มนุษย์สมัยปัจจุบันหูยาวตายาวกว่ามนุษย์ในสมัยโบราณ คำว่าหูยาวตายาวของข้าพเจ้า ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์สมัยนี้มีหูยาวยานมาถึงบ่า ตายาวโปนออกมาเหมือนกล้องถ่ายรูป หามิได้ ข้าพเจ้าหมายความว่ามนุษย์สมัยนี้ได้ยินได้ฟังได้รู้ได้เห็นสิ่งต่างๆ ได้มากได้ไกลกว่าสมัยโบราณ เพราะสื่อสารมวลชนสมัยนี้ดีกว่าและมากกว่าสมัยโบราณ สื่อสารมวลชนที่ว่านี้คือหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ ฯลฯ ตื่นนอนยังไม่ทันจะลุกขึ้นจากที่นอนก็เปิดวิทยุนอนฟังได้สบาย ปัจจุบันนี้ท่านจะไปไหน ขึ้นรถ ลงเรือ เข้าโรงเรียน พักโรงแรม นั่งรับประทานในร้านอาหาร ท่านจะต้องพบกับหนังสือพิมพ์ ไม่ว่าจะไปซอกไหนมุมไหน ที่จะไม่ได้พบกับหนังสือพิมพ์ดูเหมือนแทบไม่มี นอกจากนี้ยังมีโทรทัศน์และภาพยนตร์ให้ชมอีก ข่าวก็ดี รูปภาพก็ดี ที่ท่านได้รู้ได้เห็น ได้ยินได้ฟังจากสื่อสารมวลชนดังที่กล่าวนี้ มีทั้งข่าวและรูปภาพที่น่าชื่นชมยินดี ทั้งข่าวและรูปภาพที่น่าสลดสังเวชใจ ข่าวและรูปภาพที่เราได้เห็นได้ฟังจากสื่อสารมวลชนนี้เอง ที่เป็นกระจกเงาส่องให้เห็นที่มาของความเสื่อมความเจริญ อันเป็นต้นเหตุแห่งความสุขและความทุกข์ ข่าวเหล่านี้พอสรุปได้ว่าบางข่าวเป็นข่าวลักเล็กขโมยน้อย เพราะการครองชีพฝืดเคือง หาได้ไม่พอกับการครองชีพบ้าง บางข่าวก็เป็นการทรยศคดโกงด้วยความละโมบโลภมาก เห็นแก่ได้ ดังคำว่า “เห็นเงินใจดำ เห็นคำใจโต” บางข่าวก็เป็นข่าวการทะเลาะวิวาทกันระหว่างพี่น้องท้องร่วมไส้ อันมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากมรดก ต่างก็คิดว่าเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แม้จะเป็นเพียงวัตถุสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ แทนที่จะออมชอมยินยอมให้แก่กัน แต่กลับแสดงทิฐิมานะไม่ยอมลดราวาศอก เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องที่ควรจะได้ก็กลายเป็นเรื่องเสียบ้าง บางเรื่องก็เป็นเรื่องชู้สาวที่แสดงความหึงหวงต่อกัน หรือภรรยาสามีที่ไม่ซื่อสัตย์ต่อกันบ้าง บางเรื่องก็เป็นเรื่องของสุรายาเมา ดื่มเข้าไปแล้วก่อการทะเลาะวิวาท ท้าชกต่อยประหัตประหารยิงฟันกันบ้าง ข่าวต่างๆ ที่ยกตัวอย่างมานี้ ถ้าจะนำเอาหลักธรรมในพระพุทธศาสนามาพิจารณา ว่าเป็นการประพฤติผิดต่อหลักธรรมข้อไหนบ้าง ก็เห็นได้โดยแจ่มแจ้งว่าข่าวเหล่านี้เมื่อประมวลลงแล้ว ก็ไม่พ้นไปจากการประพฤติผิดศีล ๕ คือ เป็นการเบียดเบียนร่างกายและชีวิตของกันและกันบ้าง เป็นการเบียดเบียนทรัพย์สมบัติคือลักขโมยกันบ้าง เป็นการประพฤติผิดนอกใจ ขาดความซื่อสัตย์ต่อกันบ้าง เป็นการโกหกคดโกงหักหลังกันบ้าง เป็นการดื่มสุรายาเมาบ้าง แม้ว่าประเภทของข่าวจะแยกแยะมีฝอยออกไปในแง่ไหนมุมไหนก็ตาม ก็ไม่พ้นไปจากการประพฤติผิดศีล ๕ ศีล ๕ นี้มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าปัญจเวรวิรัติ แปลว่าเว้นจากเวร ๕ หมายความว่าใครรักษาศีล ๕ ได้ คือไม่ประพฤติผิดศีล ๕ จะได้อานิสงส์พ้นจากเวรภัย ไม่ต้องทะเลาะวิวาทกับใคร ไม่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ไม่ต้องเสียทรัพย์ ไม่ต้องเสียเวลาทำมาหากิน รวมความว่าไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจ ไม่ต้องสะดุ้งหวาดเสียวเพราะความผิดทางกายทางวาจา ผู้ที่ร่ำรวยเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี ถ้าหากไม่มีศีล ๕ เป็นหลักปฏิบัติ เป็นพื้นฐานรองรับชีวิตความเป็นอยู่แล้ว จะหาความผาสุกเย็นใจไม่ได้เลย ขอย้อนกลับมาพิจารณาหลักคำสอนในพระพุทธศาสนาที่ได้ยกไว้ตอนต้นว่า “ทุกสิ่งเกิดแต่เหตุและจะดับไปก็เพราะดับที่เหต” ก็เมื่อค้นพบว่าเหตุใหญ่ของความเดือดร้อนคือการประพฤติผิดศีล ๕ เมื่อจะดับความเดือดร้อนก็ต้องดับที่เหตุ คืออย่าประพฤติผิดศีล ๕ การที่จะไม่ประพฤติผิดศีล ๕ ต้องมีคุณธรรมสำหรับควบคุมกำกับจิตใจ คุณธรรมที่ว่านี้คือ ![]() ![]() ตามที่แสดงมานี้จะเห็นได้ว่าความทุกข์เดือดร้อนของคนเรามี ๒ อย่างคือ ๑. ความทุกข์เดือดร้อนเกิดจากการทำความชั่ว ๒. ความทุกข์เดือดร้อนเกิดจากการครองชีพฝืดเคือง ความทุกข์เดือดร้อนเกิดจากการทำความชั่ว ได้ชี้แจงเหตุที่เกิดและวิธีที่จะดับเหตุมาแล้ว ส่วนความทุกข์เดือดร้อนที่เกิดจากการครองชีพฝืดเคืองนั้น ท่านแสดงเหตุไว้ว่า ๑. เพราะดื่มน้ำเมา ๒. เพราะเที่ยวกลางคืน ๓. เพราะเที่ยวดูการเล่น ๔. เพราะเล่นการพนัน ๕. เพราะคบคนชั่วเป็นมิตร ๖. เพราะเกียจคร้านทำการงาน ๗. เพราะไม่มีประมาณในการใช้จ่าย ผู้ที่ตกอยู่ใต้อำนาจของเหตุเหล่านี้ ยิ่งมากเหตุเพียงใด ยิ่งทำให้ทุกข์เดือดร้อนเพียงนั้น พระพุทธองค์ทรงแนะนำให้ปฏิบัติเพื่อแก้เหตุแห่งความทุกข์เดือดร้อนไว้ ดังนี้ ๑. ให้มีความหมั่นในการประกอบการงานในการเลี้ยงชีพ ในการศึกษาหาความรู้ใส่ตัว ในการทำธุระหน้าที่ ๒. ให้รู้จักรักษาหน้าที่การงาน รู้จักรักษาทรัพย์ที่แสวงหามาได้ ส่วนไหนควรใช้ ส่วนไหนควรเก็บ ๓. ให้รู้จักจ่ายทรัพย์ให้พอเหมาะพอควรกับฐานะหน้าที่ ไม่ให้ฝืดเคืองนัก ไม่ให้ฟุ่มเฟือยนัก ๔. ให้คบคนดีเป็นมิตร ![]() ![]() ![]() การรักษาศีล เป็นการตัดต้นเหตุแห่งความเดือดร้อนเสียหาย อันจะมีเพราะความประพฤติทางกายทางวาจา การบำเพ็ญธรรมเป็นการเพิ่มความดี อันจะเป็นทางให้เกิดความสุข ความสุขที่กล่าวนี้หมายถึงความสุขอันเป็นผลเกิดจากการพ้นจากโทษ คือไม่ต้องไปทะเลาะวิวาทกับใคร ไม่ต้องไปก่อกรรมทำเวรกับใคร ไม่ต้องถูกจองจำทำโทษ ไม่ได้หมายถึงความสุขที่กินอิ่มนอนสบาย หรือความสุขที่เกิดจากการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย การครองชีพของชาวโลกส่วนมากมักจะหนักไปส่วนใดส่วนหนึ่ง ส่วนโลกก็เป็นโลกเสียจริงๆ ส่วนธรรมก็เป็นธรรมเสียจริงๆ หมายความว่าชาวโลกไม่ยอมรับเอาธรรมไปผสมส่วนในการทำมาหากิน ต่างยื้อแย่งแข่งขัน เอารัดเอาเปรียบกัน มือใครยาวสาวได้สาวเอา เลยกลายเป็นว่าบุคคลประเภทนี้เป็นคนฉลาด ได้รับยกย่องในสังคมว่าเป็นคนมีเกียรติ ส่วนชาวธรรมก็มักจะแสดงตนเป็นคนมักน้อยสันโดษ ขาดความกระตือรือร้น ไม่เร่งรีบขวนขวายในอาชีพการงาน ไม่ต้องการไปสู้รบปรบมือกับใคร เลยกลายเป็นบุคคลล้าหลัง แม้ไม่ทำความเดือดร้อนให้ใคร แต่ก็ไม่ได้ทำความเจริญก้าวหน้าให้มากไปกว่านั้น หากชาวโลกได้นำพระธรรมคำสอนไปประกอบกับความขยันหมั่นเพียร ไม่ถือโอกาสเบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบกัน ตัดความละโมบโลภมากให้ลดลงบ้าง และในขณะเดียวกันชาวธรรมก็นำเอาความขยันหมั่นเพียรเยี่ยงชาวโลก มาผสมส่วนกับความมักน้อยสันโดษ เมื่อชาวโลกชาวธรรมได้มีส่วนผสมประมวลกัน โลกก็จะพ้นจากความเดือดร้อน ทุกคนจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามสมควรแก่ฐานะ การทำกิจการทุกอย่างไม่ว่างานประเภทไหน จะสำเร็จลุล่วงไปได้ต้องอาศัยความสามัคคีร่วมแรงร่วมใจกัน การทำความดีก็เช่นกันจะต้องได้รับความร่วมมือกันทุกด้าน ถ้าทำอยู่เพียงคนกลุ่มน้อย คนกลุ่มใหญ่ยังไม่ให้ความร่วมมือ ฝ่ายอธรรมก็คงเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่ร่ำไป ดังคำที่ว่า “น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ” น้ำแม้จะดับไฟได้ แต่ถ้าน้ำน้อยกว่าไฟจะดับไฟได้อย่างไร เมื่อฝ่ายอธรรมเป็นฝ่ายเหนือกว่า ก็ทำให้มองไม่เห็นว่าการประพฤติธรรมจะดับความทุกข์เดือดร้อนได้อย่างไร เช่นเดียวกับบุคลหยดน้ำหอมลงในบ่อเพียงหยดสองหยด ไม่อาจจะทำน้ำในบ่อให้หอมได้ฉะนั้น ![]() ![]() ![]() โดย พระธรรมดิลก (จันทร์ กุสโล) พิมพ์เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๙ หมายเหตุ : พระธรรมดิลก (จันทร์ กุสโล) มีสมณศักดิ์ชั้นสุดท้ายเป็นที่ พระพุทธพจนวราภรณ์ ![]() ![]() http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=20885 ![]() ![]() http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=50386 |
เจ้าของ: | AAAA [ 08 มิ.ย. 2020, 12:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เหตุแห่งความเดือดร้อน (หลวงปู่จันทร์ กุสโล) |
4Aขออนุโมทนาสาธุการค่ะ ![]() ![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |