วันเวลาปัจจุบัน 24 ก.ย. 2025, 14:36  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 91, 92, 93, 94, 95, 96, 97 ... 179  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 19:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระองค์ทรงนำหาบใหญ่ มาด้วยพระทัยอันไม่
ซื่อตรง จักต้องทรงเสวยทุกข์มาก ทั้งกลางวันและ
กลางคืน ขอเชิญพระองค์เสด็จกลับไป ยังกุสาวดีนคร
เสียโดยเร็วเถิด หม่อมฉันไม่ปรารถนาให้พระองค์ ผู้
มีผิวพรรณชั่วอยู่ในที่นี้.

เนื้อความแห่งคาถานั้น มีอธิบายดังต่อไปนี้ ข้าแต่มหาราชเจ้า พระ
องค์เป็นผู้ปรุงภัตตาหาร มิได้ทรงทำการงานนี้ แม้แก่บุคคลผู้ตีศีรษะของ
พระองค์ให้แตก ด้วยจิตอันซื่อตรง แต่ทรงนำหาบใหญ่หาบหนึ่งมาเพื่อ
ประโยชน์แก่เรา ด้วยจิตอันไม่ซื่อตรง จักเสวยความทุกข์ใหญ่ทั้งกลางวัน

กลางคืน และในกาลอันเป็นส่วนแห่งราตรี จะมีประโยชน์อะไรด้วยความ
ลำบากที่ท่านได้รับอยู่นั้น ขอเชิญท่านกลับไปยังเมืองกุสาวดี อันเป็นเมือง
ของพระองค์เสียเถิด ขอจงไปสถาปนานางยักษิณี ซึ่งมีหน้าและทรวดทรง
คล้ายกับขนมเบื้องเสมอเช่นกันกับพระองค์แล้ว ทรงเสวยราชสมบัติเถิด ส่วน
ตัวหม่อมฉัน ไม่ปรารถนาที่จะให้ท่านผู้มีผิวพรรณอันชั่วช้า ผู้มีทรวดทรงอัน
ไม่งดงามอยู่ในที่นี้ต่อไป.

พระโพธิสัตว์เจ้านั้น ทรงดีพระทัยว่า เราได้รับถ้อยคำจากสำนักของ
พระนางประภาวดีแล้ว จึงได้ตรัสพระคาถา ๓ พระคาถาว่า

ประภาวดีเอ๋ย พี่ติดใจในผิวพรรณของเธอ จึง
จะจากที่นี้ไปยังเมืองกุสาวดีไม่ได้ พี่มีความพอใจใน
การเห็นเธอ จึงได้ละทิ้งบ้านเมืองมารื่นรมย์อยู่ในพระ
ราชนิเวศน์ อันน่ารื่นรมย์ของพระเจ้ามัททราช ดูก่อน
น้องประภาวดี พี่ติดใจในผิวพรรณของเธอจนลุ่มหลง
เที่ยวไปยังพื้นแผ่นดิน พี่ไม่รู้จักทิศว่า พี่มาแล้วจาก

ที่ไหน พี่หลงใหลในตัวเธอ ผู้มีดวงเนตรอันแจ่มใส
ดุจดวงตามฤค ผู้ทรงภูษากรองทอง และห้อยสังวาลย์
ทอง ดูก่อนพระน้องนางผู้มีตะโพกอันผึ่งผาย พี่มี
ความต้องการ แต่ตัวเธอเท่านั้น พี่ไม่ต้องการด้วย
พระราชสมบัติเลย.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 20:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รมามิ คือยินดียิ่ง แต่มิได้กระสัน.
บทว่า สมฺมุฬฺหรูโป ได้แก่ เป็นผู้ลุ่มหลงเพรียบด้วยกิเลส. บทว่า ตยิมฺหิ
มตฺโต ความว่า พี่เป็นผู้มัวเมาในตัวเธอ คือเป็นผู้เมาจนทั่วในตัวเธอ.
บทว่า โสวณฺณจรวสเน คือผู้นุ่งผ้าอันขจิตด้วยทอง. บทว่า นาหํ รชฺ-
เชน มตฺถิโก ความว่า จะมีความต้องการด้วยราชสมบัติก็หามิได้.

เมื่อพระโพธิสัตว์เจ้านั้น ตรัสอย่างนี้แล้ว พระนางเจ้าจึงทรงพระดำริ
ว่า เราด่าว่าพระเจ้ากุสราช ด้วยหวังว่าจักให้เธอเจ็บแสบ แต่พระเจ้ากุสราช
พระองค์นี้ กลับพูดเกี่ยวพันอีก ก็ถ้าเธอจักบอกกล่าวขึ้นว่า เราเป็นพระเจ้า
กุสราช แล้วเข้ามาจับมือเรา ใครจะห้ามเธอได้ ใครจะพึงได้ยินถ้อยคำของเรา
ทั้งสองนี้ได้ จึงทรงปิดพระทวารใส่ลิ่มแล้ว เสด็จเข้าข้างใน. ส่วนพระโพธิสัตว์

เจ้านั้น ก็ทรงหาบกระเช้าเครื่องเสวยไปเที่ยวแจกภัตตาหาร ให้พระราชธิดา
ทั้งหลายได้เสวยแล้ว. พระนางประภาวดี ทรงส่งนางค่อมไปด้วยพระดำรัสว่า
เธอจงไปนำเอาภัตรที่พระเจ้ากุสราชปรุงแล้วมา. นางค่อมนั้น นำมาแล้ว
กราบทูลว่า ขอพระแม่เจ้าจงเสวยเถิด. พระนางตรัสว่า ฉันจะไม่ขอยอม

บริโภคภัตรที่พระเจ้ากุสราชนั้นปรุงแล้ว เธอจงบริโภคเสียเองเถิด จงนำเอา
ผักที่ตนได้มาแล้ว จัดแจงหุงต้มภัตร นำมาให้เราแทน และเรื่องที่พระเจ้า
กุสราชติดตามมา เธออย่าไปบอกแก่ใคร ๆ นะ.

จำเดิมแต่นั้นมา นางค่อมก็นำเอาเครื่องเสวยอันเป็นส่วนของพระนาง
เจ้า มาบริโภคเสียเอง นำเอาอาหารที่เป็นส่วนของตน น้อมเข้าไปถวายพระ
นางแทน. จำเดิมแต่นั้นมา แม้พระเจ้ากุสราช ก็มิได้ทรงทอดพระเนตร
เห็นพระนางอีกเลย จึงทรงพระราชดำริว่า พระนางประภาวดี ยังมีความ

เสน่หาในตัวเรา หรือว่าไม่มีกันหนอ จำเราจักทดลองดูพระนาง.
พระโพธิสัตว์เจ้านั้น ครั้นทรงให้พระราชธิดาทุกพระองค์เสวยเสร็จแล้ว
จึงหาบกระเช้าเครื่องเสวยออกมา พอมาถึงประตูพระตำหนักของพระนาง
ก็ทรงกระทืบพื้นปราสาทด้วยพระบาท กระแทกภาชนะทั้งหลายทรงทอด
ถอนพระทัยใหญ่ ทำเป็นประหนึ่งว่าถึงวิสัญญีสลบ ทรงคู้งอพระองค์ล้ม
กลิ้งลงไป. ด้วยเสียงที่พระโพธิสัตว์เจ้านั้นทรงทอดถอนพระทัยใหญ่ พระ-


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 20:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
นางจึงทรงเปิดพระทวารออกมา ทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์นั้นถูกไม้คาน
หาบเครื่องเสวยทับเอา จึงทรงดำริว่า พระเจ้ากุสราชนี้ เป็นพระราชาผู้เลิศ
ในชมพูทวีปทั้งสิ้น ได้ทรงเสวยความลำบากทั้งกลางคืนและกลางวัน เพราะ
อาศัยเรา และเพราะพระองค์เป็นสุขุมาลชาติ จึงถูกหาบเครื่องเสวยทับเอาแล้ว
ล้มลง พระองค์ยังมีพระชนม์อยู่หรือสิ้นพระชนม์เสียแล้วหนอ. พระนางจึง

เสด็จออกจากพระตำหนัก ทรงก้มพระศอลงดูพระพักตร์ เพื่อจะตรวจพระวาโย
ที่ช่องพระนาสิกของพระเจ้ากุสราชนั้น. พระเจ้ากุสราชนั้น ทรงอมพระเขฬะ
ไว้เต็มพระโอฐ แล้วถ่มรดไปที่พระสรีระของพระนาง. พระนางกริ้วต่อพระเจ้า
กุสราชนั้นมาก ทรงด่าพระองค์แล้ว เสด็จเข้าไปยังพระตำหนัก ทรงปิดพระ
ทวารเสียครึ่งหนึ่งแล้ว ประทับยืนอยู่ ตรัสพระคาถาว่า

ดูก่อนพระเจ้ากุสราช ผู้ใดปรารถนาคนที่เขาไม่
ปรารถนาตน ผู้นั้นย่อมมีแต่ความไม่เจริญ หม่อมฉัน
ไม่รักพระองค์ พระองค์ก็จะให้หม่อมฉันรัก เมื่อเขา
ไม่รัก พระองค์ก็ยังปรารถนาให้เขารัก.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภูติ หมายถึงความไม่เจริญ.

ฝ่ายพระเจ้ากุสราชนั้น แม้จะถูกพระนางด่าว่า ก็มิได้ทรงทำความ
เดือดร้อนใจให้บังเกิดขึ้นเลย เพราะเหตุมีพระทัยปฏิพัทธ์ในพระนาง จึงตรัส
พระคาถาอันเป็นลำดับต่อไปว่า

นรชนใด ได้คนที่เขาไม่รักตัว หรือคนที่รักตัว
มาเป็นที่รัก เราสรรเสริญการได้ในสิ่งนี้ ความไม่ได้
ในสิ่งนั้นเป็นความชั่วช้า.

เมื่อพระเจ้ากุสราชตรัสอยู่อย่างนี้ก็ตาม พระนางก็มิได้ทรงลดละ
กลับตรัสพระวาจาแข็งกระด้างยิ่งขึ้น ทรงปรารถนาที่จะให้พระเจ้ากุสราชนั้น
เสด็จหนีไปเสียให้พ้น จึงตรัสพระคาถาอันเป็นลำดับต่อไปว่า
พระองค์ทรงปรารถนาซึ่งหม่อมฉัน ผู้ไม่ปรา-
รถนา เปรียบเหมือนพระองค์เอาไม้กรรณิการ์มาแคะ
เอาเพชรในหิน หรือเหมือนเอาตาข่ายมาดักลมฉะนั้น.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 20:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กณิการสฺส ทารุนา คือไม้แห่งต้น
กรรณิการ์. บทว่า พาเธสิ คือปิด ได้แก่ บังลม.
พระราชา ได้ทรงสดับพระดำรัสนั้นแล้ว จึงตรัสพระคาถา ๓ คาถาว่า
หินคงฝังอยู่ในหฤทัยอันมีลักษณะอ่อนละมุน
ละไม ของเธอเป็นแน่ เพราะตั้งแต่ฉันมาจากชนบท
ภายนอก ยังไม่ได้ความชื่นชมจากเธอเลย แม่ราชบุตรี

ยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมองดูฉันอยู่ตราบใด ฉันก็คง
ต้องเป็นพนักงานเครื่องต้นภายในบุรี ของพระเจ้า
มัททราชอยู่ตราบนั้น ต่อเมื่อใดแม่ราชบุตรียิ้มแย้ม
แจ่มใส มองดูฉัน ฉันก็จะเลิกเป็นพนักงานเครื่องต้น
กลับไปเป็นพระเจ้ากุสราชเมื่อนั้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มุทุลกฺขเณ ได้แก่ หฤทัยของเธอ
ประกอบด้วยลักษณะแห่งหญิงผู้อ่อนโยน. บทว่า โย คือ โย อหํ. บทว่า
ติโรชนปทาคโต ความว่า ตั้งแต่ฉันมาจากแว่นแคว้นภายนอกอยู่ในวังของ
เธอ ยังไม่ได้ความชื่นชมแม้แต่เพียงการต้อนรับเลย ฉันจึงเข้าใจอย่างนี้ว่า
เธอคงเอาหินเข้าไปวางไว้ในหัวใจของเธอเป็นแน่ เพราะเธอห้ามการบังเกิด

ขึ้นแห่งความรักในตัวฉันเสียได้. บทว่า ภูกุฏึ กตฺวา ได้แก่ ทำหน้าผาก
ย่นยู่ยี่เหมือนเถาวัลย์ด้วยความโกรธ. บทว่า อาฬาริโก ความว่า พระเจ้า
กุสราชตรัสว่า ในขณะนั้น ฉันก็คงเป็นพนักงานเครื่องต้น คล้ายกับทาสผู้
ปรุงภัตรในภายในบุรี ของพระเจ้ามัททราช ฉะนั้น. บทว่า อมฺหายามานา

ได้แก่ แสดงอาการร่าเริง คือยิ้มแย้มแจ่มใส. บทว่า ราชา โหมิ ความว่า
ในขณะนั้น ฉันก็จะเป็นเหมือนพระราชาผู้เสวยราชสมบัติอยู่ในพระนครกุสาวดี
เพราะเหตุไร น้องจึงหยาบคายอย่างนี้ ดูก่อนพระนางผู้เจริญ ตั้งแต่นี้ต่อไป
ขอพระน้องนางอย่าได้ทรงกระทำแบบนี้อีกเลยนะ.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 20:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระนางได้ทรงสดับพระดำรัสของพระเจ้ากุสราชนั้นแล้ว จึงทรงดำริ
ว่า พระเจ้ากุสราชนี้ยิ่งพูดยิ่งติดแน่นหนักขึ้น เราจักพูดมุสาวาท ให้ท้าวเธอ
หนีไปเสียจากที่นี้โดยอุบาย จึงตรัสคาถาว่า
ก็ถ้าถ้อยคำของโหรทั้งหลาย จักเป็นจริงไซร้
พระองค์คงไม่ใช่พระสวามีของหม่อมฉันแน่แท้ เขา
เหล่านั้น คงจะบั่นเราออกเป็น ๗ ท่อนแน่.

เนื้อความแห่งพระคาถานั้น มีอธิบายว่า ข้าแต่มหาราชเจ้า พวก
หมอดูเป็นอันมาก เมื่อถูกถามว่า พระเจ้ากุสราชเป็นพระสวามีของฉันหรือ
ไม่เป็น ดังนี้ พวกหมอดูเหล่านั้น ก็จะทำนายว่า ทราบว่าท่านทั้งหลาย
จงบั่นเราออกเป็น ๗ ท่อนเถิด ท่านจักไม่เป็นพระสวามีของฉันเป็นแน่แท้.

พระราชา ได้ทรงสดับถ้อยคำนั้นแล้ว เมื่อจะทรงคัดค้านพระนาง
จึงตรัสว่า ดูก่อนพระนางผู้เจริญ หากว่าฉันจะถามหมอดูในบ้านเมืองของฉัน
บ้าง พวกหมอดูเหล่านั้นต้องพยากรณ์ว่า ขึ้นชื่อว่า พระสวามีของเธอ นอกจาก
พระเจ้ากุสราช ผู้มีพระสุรเสียงดุจราชสีห์แล้ว จะเป็นคนอื่นไปไม่มีเลย แม้
ฉันเอง ก็ต้องกล่าวกะพวกญาติและมิตรของฉันอย่างนี้เหมือนกัน ดังนี้แล้ว
จึงตรัสพระคาถาต่อไปอีกว่า

ก็ถ้าถ้อยคำของโหรเหล่าอื่น หรือของหม่อมฉัน
จักเป็นจริงไซร้ พระสวามีของเธอ นอกจากพระเจ้า
กุสราช ผู้มีพระสุรเสียงดุจราชสีห์ จะเป็นคนอื่นไป
ไม่มีเลย.

เนื้อความแห่งพระคาถานั้น มีอธิบายว่า ก็ถ้าถ้อยคำของพวกหมอดู
เหล่าอื่นเป็นความจริง ขึ้นชื่อว่า พระสวามีของเธอจะเป็นคนอื่นไปไม่ได้เลย.
พระนางทรงสดับถ้อยคำของพระเจ้ากุสราชนั้นแล้ว จึงทรงดำริว่า
เราไม่สามารถที่จะให้พระเจ้ากุสราชนี้ ทรงละอายหรือหนีพ้นไปได้เลย พระเจ้า
กุสราชนี้ จะมีประโยชน์อะไรแก่เรา จึงทรงปิดพระทวาร ไม่ทรงแสดง


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 20:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
พระองค์. แม้พระเจ้ากุสราชนั้น ก็ทรงหาบกระเช้าเครื่องเสวยกลับลงมาแล้ว
ตั้งแต่นั้น ก็ไม่ได้ทรงพบเห็นพระนางได้อีกเลย. พระองค์ทรงกระทำการงาน
หน้าที่ผู้จัดแจงภัตร แสนจะลำบากเป็นอย่างยิ่ง เสวยภัตตาหารเช้าแล้ว ต้อง
ทรงผ่าฟืน ล้างภาชนะใหญ่น้อยเสร็จแล้ว เสด็จไปตักน้ำด้วยหาบ เมื่อจะ
บรรทมก็บรรทมที่ข้างหลังรางน้ำ ตื่นบรรทมก็ตื่นแต่เช้าตรู่ทีเดียว ทรงต้ม

ข้าวยาคูเป็นต้น ทรงหาบไปเองให้พระราชธิดาทั้งหลายเสวย แต่พระองค์
ต้องทรงเสวยทุกข์อย่างสาหัสเช่นนี้ ก็เพราะอาศัยความกำหนัด ด้วยอำนาจ
ความเพลิดเพลินติดใจในกามารมณ์. วันหนึ่งพระองค์ทอดพระเนตรเห็นนาง
ค่อมเดินไปข้างประตูห้องเครื่อง จึงตรัสเรียกมา แต่นางค่อมนั้นก็ไม่อาจจะ

ไปเฝ้าพระองค์ได้ เพราะเธอกลัวพระนางประภาวดี จึงรีบเดินหนีไป. ลำดับนั้น
พระองค์จึงรีบเสด็จติดตามไปทัน แล้วตรัสทักนางค่อมนั้นว่า ค่อมเอ๋ย. นาง
ค่อมนั้นเหลียวกลับมายืนอยู่แล้ว ถามว่า นั่นใคร แล้วทูลว่า หม่อมฉันไม่ทัน
ได้ยินว่าเป็นพระสุรเสียงของพระองค์. ลำดับนั้น พระเจ้ากุสราชจึงตรัสกะนาง

ค่อมนั้นว่า แน่ะค่อมเอ่ย แหม ! นายของเจ้าช่างจิตใจแข็งเหลือเกินนะ เรา
มาอยู่ในพระราชวังของพวกเจ้าตลอดกาลเพียงเท่านี้ ยังไม่ได้แม้เพียงการถาม
ข่าวถึงความไม่มีโรคเลย เรื่องอะไรจักให้ไทยธรรม ข้อนั้นจงยกไว้ก่อนเถิด
ก็แต่ว่าเจ้าควรจักกระทำพระนางประภาวดีของเราให้ใจอ่อนแล้ว ให้ได้พบกับ

เราบ้างเถิด. นางค่อมรับพระราชดำรัสแล้ว. ลำดับนั้น พระเจ้ากุสราชจึงตรัส
หยอกเย้านางค่อมว่า ถ้าเจ้าสามารถที่จะให้เราได้พบพระนางประภาวดีนั้นได้
เราจักทำความค่อมของเจ้าให้ตรงแล้ว จักให้สายสร้อยคอเส้นหนึ่ง ดังนี้แล้ว
จึงตรัสพระคาถา ๕ พระคาถา ดังต่อไปนี้ว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 20:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
แน่ะนางขุชชา เรากลับไปถึงกรุงกุสาวดีแล้ว
จักให้นายช่างทำเครื่องประดับคอทองคำให้แก่เจ้า ถ้า
เจ้าทำให้พระนางประภาวดีผู้มีขาอ่อนงามดังงวงช้าง
ให้แลดูเราได้ แน่ะนางขุชชา เรากลับไปถึงกรุงกุสาวดี
แล้ว จักให้นายช่างทำเครื่องประดับคอทองคำให้แก่เจ้า
ถ้าเจ้าทำพระนางประภาวดีผู้มีขาอ่อนงามดังงวงช้าง

ให้เจรจากับเราได้ แน่ะนางขุชชา เรากลับไปถึงกรุง
กุสาวดีแล้ว จักให้นายช่างทำเครื่องประดับคอทองคำ
ให้แก่เจ้า ถ้าเจ้าทำพระนางประภาวดีผู้มีขาอ่อนงาม
ดังงวงช้างให้ยิ้มแย้มแก่เราได้ แน่ะนางขุชชา เรากลับ
ไปถึงกรุงกุสาวดีแล้ว จักให้นายช่างทำเครื่องประดับ
คอทองคำให้แก่เจ้า ถ้าเจ้าทำพระนางประภาวดีผู้มี

ขาอ่อนงามดังงวงช้างให้หัวเราะร่าเริงแก่เราได้ แน่ะ
นางขุชชา เรากลับไปถึงกรุงกุสาวดีแล้ว จักให้นาย
ช่างทำเครื่องประดับคอทองคำให้แก่เจ้า ถ้าเจ้าทำ
พระนางประภาวดีผู้มีขาอ่อนงามดังงวงช้าง ให้มา
ลูบคลำจับตัวเรา ด้วยมือของเธอได้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เนกฺขํ คีวนฺเต ความว่า เราจักให้
ช่างทำคอของเจ้า ให้เป็นทองคำทั้งหมดทีเดียว. บาลีว่า เราจักทำทองคำที่คอ
ดังนี้ก็มี. อธิบายว่า เราจักประดับเครื่องประดับอันสำเร็จด้วยทองคำที่คอของ
เจ้า. บทว่า โอโลเกยฺย ความว่า ถ้าพระนางประภาวดี พึงแลดูเราตาม
คำพูดของเจ้า คือ ถ้าเจ้าจักสามารถให้พระนางมองดูเราได้. แม้ในบทเป็นต้น

ว่า พึงให้พระนางเจรจากับเราได้ ก็มีนัยเหมือนกันนี้ทีเดียว. ส่วนในบทว่า
อุมฺหาเยยฺย ความว่า พึงหัวเราะด้วยการหัวเราะเบา ๆ. บทว่า ปมฺหาเยยฺย
ความว่า พึงหัวเราะด้วยการหัวเราะดัง ๆ.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 20:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
นางค่อมนั้น ได้ฟังถ้อยคำของพระโพธิสัตว์นั้นแล้ว จึงทูลว่า ข้าแต่
พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอเชิญพระองค์เสด็จกลับไปเถิด อีกประมาณสัก ๒-๓
วัน หม่อมฉันจักกระทำพระนางให้อยู่ในอำนาจของพระองค์ พระองค์คอย
ทอดพระเนตรความพยายามของหม่อมฉันเถิด ดังนี้แล้ว จึงตรวจตราดูหน้าที่
การงานของตนนั้นเสร็จแล้ว จึงไปยังพระตำหนักของพระนางประภาวดี ทำที

เหมือนว่าปัดกวาดห้องที่ประทับของพระนาง เก็บแม้ก้อนดินที่พอจะใช้ขว้าง
ได้ไม่ให้เหลือเลย โดยที่สุดแม้กระทั่งรองเท้า ก็นำออกไปแล้วเก็บกวาดห้อง
ทั้งหมด จัดตั้งที่นั่งสูงคร่อมระหว่างธรณีประตูห้อง ลาดตั่งต่ำอันหนึ่งเพื่อ
พระนางประภาวดี แล้วทูลว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า เชิญพระแม่เจ้าเสด็จมาเถิด

หม่อมฉันจักหาเหาบนศีรษะของพระแม่เจ้าให้ แล้วเชิญให้พระนางประทับนั่ง
บนตั่งต่ำนั้น วางศีรษะของพระนางไว้ในระหว่างแห่งขาของตนแล้ว เลือกหา
ไข่เหาสักประเดี๋ยวหนึ่งก็ทูลว่า ตายจริง บนศีรษะของพระแม่เจ้านี้ มีเหา
มากมายเหลือเกิน แล้วหยิบเอาเหาจากศีรษะของตน ออกมาวางไว้บนพระหัตถ์

ของพระนาง แล้วทูลด้วยถ้อยคำอันเป็นที่รักว่า ขอพระแม่เจ้าจงทอดพระ-
เนตรเหาบนศีรษะของพระแม่เจ้าซิว่า มีประมาณเท่าไร เมื่อจะกล่าวถึงคุณงาม
ความดีของพระมหาสัตว์เจ้า (พระเจ้ากุสราช) จึงกราบทูลเป็นคาถาว่า

พระราชบุตรีพระองค์นี้ คงไม่ได้ประสบแม้
ความสำราญในสำนักแห่งพระเจ้ากุสราชเสียเลยเป็นแน่
พระนางจึงไม่ทรงกระทำ แม้เพียงการปฏิสันถาร ใน
บุรุษผู้เป็นเจ้าพนักงานเครื่องต้น เป็นคนรับใช้ที่ไม่
ต้องการด้วยค่าจ้าง.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 20:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
เนื้อความแห่งคาถานั้น มีอธิบายว่า พระราชบุตรีพระองค์นี้ ย่อม
ไม่ได้ความสุขสำราญแม้มีประมาณเล็กน้อย ด้วยเครื่องระเบียบดอกไม้ของหอม
เครื่องลูบไล้ ผ้า และเครื่องประดับจากในพระราชวังของพระเจ้ากุสราช ผู้
เป็นจอมแห่งประชาชน ในพระนครกุสาวดี ในกาลก่อนแม้สักอย่างเดียวเลย
แม้วัตถุเพียงว่าหมากพลูที่พระเจ้ากุสราช จะพระราชทานแก่พระนางนี้ ก็คง

จักไม่เคยมีเลย. เพราะเหตุไร ? เพราะธรรมดาว่าผู้หญิงทั้งหลาย ย่อมไม่
อาจที่จะทำลายหัวใจ ในสามีผู้นอนทับอวัยวะแม้ในวันหนึ่งได้. ส่วนพระราช
บุตรีนี้ ย่อมไม่กระทำแม้เพียงว่าการปฏิสันถาร ในบุรุษผู้เป็นพนักงานเครื่อง
ต้น ผู้รับจ้าง คือในบุรุษคนหนึ่ง ผู้เข้าถึงความเป็นผู้จัดแจงภัตร แสดงถึง
ว่าเป็นคนรับจ้าง แต่ไม่มีความต้องการแม้ด้วยราคาค่าจ้าง ละราชสมบัติมา

ยอมเสวยทุกข์อยู่อย่างนี้ เพราะอาศัยพระแม่เจ้าผู้เดียวเท่านั้น ข้าแต่พระแม่เจ้า
ถ้าแม้พระแม่เจ้าไม่มีความรัก ในพระเจ้ากุสราชนั้น พระราชาผู้เลิศเด่นใน
ชมพูทวีปทั้งหมด ก็จะทรงลำบากเพราะอาศัยพระแม่เจ้า เพราะฉะนั้น ขอ
พระแม่เจ้าควรจะพระราชทานอะไร ๆ สักเล็กน้อยแด่พระเจ้ากุสราชนั้นบ้างเถิด.

พระนางประภาวดี ได้ทรงสดับถ้อยคำนั้นแล้ว ก็ทรงโกรธกริ้วต่อ
นางค่อม. ลำดับนั้น นางค่อมจึงคว้าพระนางที่พระศอจับเหวี่ยงเข้าไปในห้อง
ส่วนตนยืนอยู่ข้างนอกปิดประตูแล้ว ฉุดเชือกสำหรับชักลูกดาลมาเก็บไว้.
พระนางประภาวดีไม่อาจจะทรงจับเชือกนั้นได้ ประทับยืนอยู่ที่ใกล้พระทวาร
เมื่อไม่อาจจะทรงเปิดประตูได้ จึงตรัสพระคาถานอกนี้ว่า

นางขุชชานี้ เห็นจะไม่ต้องถูกตัดลิ้นด้วยมีดอัน
คมเป็นแน่ จึงมาพูดคำหยาบช้าอย่างนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุนิสิเตน ได้แก่ ด้วยมีดอันคมกริบ
ที่ลับไว้แล้วเป็นอย่างดี. บทว่า เอวํ ทุพฺภาสิตํ ความว่า นางขุชชานี้
มากล่าวอยู่ซึ่งถ้อยคำอันเป็นทุพภาษิต ไม่สมควรที่ใคร ๆ จะพึงฟังได้อย่างนี้.


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 20:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ลำดับนั้น นางค่อมก็ยังคงถือเชือกสำหรับชักดาลยืนอยู่นั่นแลทูลว่า
ข้าแต่แม่เจ้าผู้หาบุญมิได้ ผู้ว่ายาก รูปร่างของท่านจักกระทำอะไรได้ เรา
ทั้งหลายจักกินรูปร่างของท่านเลี้ยงชีวิตได้หรือ เมื่อจะประกาศคุณงามความดี
ของพระโพธิสัตว์เจ้า ด้วยคาถา ๑๓ คาถา จึงกล่าวคาถาอันมีนามว่า ขุชชา
ครรชิต (ถ้อยคำข่มขู่ของนางค่อม) ดังต่อไปนี้

ข้าแต่พระนางประภาวดี พระนางอย่าทรงเทียบ
พระเจ้ากุสราชนั้น ด้วยพระรูปอันเลอโฉมของ
พระนางซิ ข้าแต่พระนางผู้มีความรุ่งเรือง พระนาง
จงกระทำไว้ในพระทัยว่า พระเจ้ากุสราชพระองค์นั้น
ทรงมีพระอิสริยยศอันเกรียงไกร แล้วจงกระทำความ
รักในพระเจ้ากุสราช ผู้มีความงามชนิดนี้ ข้าแต่

พระนางประภาวดี พระนางอย่าทรงเทียบพระเจ้า
กุสราชพระองค์นั้น ด้วยพระรูปอันเลอโฉมของพระ-
นางซิ ข้าแต่พระนางผู้มีความรุ่งเรือง พระนางจง
กระทำไว้ในพระทัยว่า พระเจ้ากุสราชพระองค์นั้น
ทรงมีพระราชทรัพย์เป็นอันมาก ข้าแต่พระนาง

ประภาวดี พระนางอย่าทรงเทียบพระเจ้ากุสราช
พระองค์นั้น ด้วยพระรูปอันเลอโฉมของพระนางซิ
ข้าแต่พระนางผู้มีความรุ่งเรือง พระนางจงกระทำไว้
ในพระทัยว่า พระเจ้ากุสราชนั้นทรงมีทแกล้วทหาร
มาก...ทรงมีพระราชอาณาจักรกว้างใหญ่...ทรงเป็น

พระมหาราช...ทรงมีพระสุรเสียงเหมือนเสียงราชสีห์
...ทรงมีพระสุรเสียงไพเราะ...ทรงมีพระสุรเสียง


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 20:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
หยดย้อย...ทรงมีพระสุรเสียงกลมกล่อม...ทรงมี
พระสุรเสียงอ่อนหวาน...ทรงชำนาญทางศิลปะตั้งร้อย
อย่าง...ทรงเป็นกษัตริย์...พระแม่เจ้าประภาวดี
พระนางอย่าทรงเทียบพระเจ้ากุสราชพระองค์นั้น ด้วย
พระรูปอันเลอโฉมของพระนางซิ พระนางจงกระทำ

ไว้ในพระทัยว่า พระราชาพระองค์นั้น มีพระนาม
เหมือนกับหญ้าคา ที่ท้าวสักกะทรงประทานแล้ว จง
กระทำความรักในพระเจ้ากุสราช ผู้มีความงามอันนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มา นํ รูเปน ปาเมสิ อาโรเหน
ปภาวติ ความว่า แน่ะพระนางประภาวดี แม่อย่าได้เปรียบเทียบพระเจ้า
กุสราช ผู้เป็นจอมแห่งชนด้วยความเลอเลิศ และความเสื่อมโทรม ด้วยพระรูป
ของตนอย่างนี้ คือว่า จงถือเอาประมาณอย่างนี้. บทว่า มหายโส ความว่า
แม่จงทำไว้ในพระทัยอย่างนี้ว่า พระเจ้ากุสราชพระองค์นั้น ทรงมีอานุภาพ

มาก. บทว่า รุจิเร ได้แก่ ในการเห็นสิ่งอันเป็นที่รัก. บทว่า กรสฺสุ
ความว่า นางค่อมกล่าวว่า แม่เจ้าจงกระทำตัวให้เป็นที่รักแก่พระเจ้ากุสราชนั้น.
ในข้อความทั้งหมดก็มีนัยเหมือนกันนี้ทีเดียว. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า มหายโส
ได้แก่ มีบริวารมากมาย. บทว่า มหทฺธโน ได้แก่ มีโภคะมากมาย. บทว่า

มหพฺพโล ได้แก่ มีเรี่ยวแรงมาก. บทว่า มหารฏฺโฐ ได้แก่ มีรัฐไพบูลย์.
บทว่า มหาราชา ได้แก่ เป็นพระราชาผู้เลิศเด่นในชมพูทวีปทั้งสิ้น. บทว่า
สีหสฺสโร ได้แก่ มีเสียงเสมอด้วยเสียงแห่งราชสีห์. บทว่า วคฺคุสฺสโร


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 20:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ได้แก่ มีเสียงประกอบด้วยลีลาศ. บทว่า พินฺทุสฺสโร ได้แก่ มีเสียงกลม
ไม่แตก. บทว่า มญฺชุสฺสโร ได้แก่ มีเสียงดี. บทว่า มธุรสฺสโร ได้แก่
มีเสียงอันประกอบด้วยความอ่อนหวาน. บทว่า สตสิปฺโป ได้แก่ พระองค์
มีศิลปะตั้งหลายร้อยอย่าง ซึ่งมิได้ทรงศึกษาในสำนักของชนเหล่าอื่น สำเร็จ
ขึ้นเองโดยกำลังความสามารถของพระองค์เอง. บทว่า ขตฺติโย ได้แก่ เป็น

กษัตริย์ผู้บริสุทธิ์ไม่ได้เจือปน เกิดแล้วในเชื้อสายแห่งพระเจ้าโอกกากราช.
บทว่า กุสราชา ได้แก่ พระองค์เป็นพระราชามีพระนามเสมอด้วยหญ้าคา
ที่ท้าวสักกเทวราชประทาน. จริงอยู่ นางค่อมกล่าวว่า ขอพระนางจงรู้เถิดว่า

ขึ้นชื่อว่าพระราชาองค์อื่น ผู้มีรูปเห็นปานนี้ไม่มีเลย ดังนี้แล้ว จงกระทำ
ความรักแก่พระเจ้ากุสราชนี้ แล้วกล่าวถ้อยคำพรรณนาคุณงามความดีของ
พระเจ้ากุสราชนั้น ด้วยคาถาทั้งหลายมีประมาณเท่านี้.

พระนางประภาวดี ทรงได้สดับคำของนางค่อมนั้นแล้ว จึงทรงตวาด
นางค่อมว่า แน่ะแม่ค่อม เจ้าออกจะข่มขู่เกินไปแล้ว เราถึงอยู่ด้วยมือจักให้
รู้ความที่เจ้ามีสามี แม้นางค่อมนั้นข่มขู่พระนางแล้ว ด้วยเสียงอันดังว่า หม่อม
ฉันรักษาพระนางอยู่ มิได้กราบทูลว่าพระเจ้ากุสราชเสด็จมา แก่พระราชบิดา

ของพระนาง เอาละ ถึงอย่างไร ในวันนี้หม่อมฉันจักกราบทูลให้พระราชา
ทรงทราบ แม้พระนางทรงดำริว่า ใคร ๆ พึงได้ยิน จึงตกลงยินยอมนางค่อม.

ลำดับนั้น แม้พระโพธิสัตว์เจ้า เมื่อไม่ได้เห็นพระนาง ทรงลำบากอยู่
ด้วยพระกระยาหารที่ไม่ดี ด้วยการบรรทมอย่างลำบาก จึงทรงดำริว่า นางค่อม
นี้ จะมีประโยชน์อะไรแก่เรา เราอยู่มาตั้ง ๗ เดือนแล้ว ยังไม่ได้เห็นพระ
นางเลย นางค่อมนี้ ช่างหยาบคายร้ายกาจเสียเหลือเกิน เราจักไปเยี่ยมพระราช
มารดาและพระราชบิดาละ ในขณะนั้นท้าวสักกเทวราช ทรงรำพึงอยู่ ก็ทรง


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 20:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ทราบว่า พระโพธิสัตว์นั้นทรงเบื่อหน่ายระอาพระทัย จึงทรงดำริว่า พระราชา
ไม่ได้เห็นพระนางประภาวดีมาถึง ๗ เดือน เราจักทำให้พระราชาได้เห็นสม
ประสงค์ จึงทรงเนรมิตบุรุษทั้งหลาย ให้เป็นทูตไปยังพระราชา ๗ พระนคร
ทรงส่งข่าวสาสน์ไปเฉพาะแก่พระราชาแต่ละองค์ว่า พระนางประภาวดี ทรง

ละทิ้งพระเจ้ากุสราชกลับมาแล้ว ถ้าพระองค์มีพระประสงค์ ก็จงเสด็จมารับ
เอาพระนางประภาวดีไปเถิด พระราชาทั้ง ๗ พระนครเหล่านั้น จึงพากัน
มาพร้อมด้วยบริวารใหญ่ เสด็จถึงกรุงสาคละต่างก็มิได้ทรงทราบถึงเหตุที่ต่าง
ฝ่ายต่างมาของกันและกัน พระราชาเหล่านั้น ต่างตรัสถามกันว่า พระองค์เสด็จ
มาทำไม ครั้นทรงทราบเรื่องราวนั้น ต่างองค์ก็ทรงพิโรธพระเจ้ามัททราช

พระองค์นั้น ตรัสกันว่า ได้ยินว่า พระเจ้ามัททราช จักยกลูกสาวคนเดียวให้
แก่พระราชา ๗ พระนคร ท่านทั้งหลายจงดูความประพฤติอันไม่สมควรของ
พระราชานั้น พระองค์ช่างมาเยาะเย้ยพวกเราได้ เราทั้งหลายจงช่วยกันจับท้าว
เธอให้ได้เถิด ดังนั้น ทุก ๆ พระองค์จึงส่งพระราชสาสน์เข้าไปว่า พระเจ้า

มัททราช จงให้พระนางประภาวดีแก่พวกเรา หรือว่าจะต่อยุทธ์ แล้วยกพล
ล้อมพระนครเข้าไว้ พระเจ้ามัททราช ทรงสดับพระราชสาสน์ ก็ตกพระทัย
พระกายสั่น จึงตรัสเรียกอำมาตย์ทั้งหลายมาตรัสถามว่า เราจะทำอย่างไรกันดี
ลำดับนั้น อำมาตย์ทั้งหลาย จึงกราบทูลพระองค์ว่า ขอเดชะ พระราชาแม้ทั้ง

๗ พระองค์ เสด็จมาเพราะอาศัยพระนางประภาวดี ต่างพระองค์ก็ตรัสว่า
ถ้าพระเจ้ามัททราชไม่ให้พระนาง เราทั้งหลายจักพังกำแพงเมืองเข้ามาสู่พระ-
นคร จักยังพระเจ้ามัททราชนั้น ให้ถึงความสิ้นชีวิตแล้ว จักพาเอาพระนาง


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 20:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
ประภาวดีนั้นไป ดังนั้นเมื่อกำแพงยังไม่ทันจะพังนี้แหละ พวกเราควรจะรีบ
ส่งพระนางประภาวดีไปให้กษัตริย์เหล่านั้นเสียก่อน ดังนี้แล้ว จึงกราบทูลคาถา
นี้ว่า
ช้างเหล่านี้ทั้งหมด เป็นสัตว์แข็งกระด้างตั้งอยู่
เหมือนจอมปลวก จะพากันพังกำแพงเข้ามาเสียก่อน
ขอพระองค์จงส่งข่าว แก่พระราชาเหล่านั้นว่า เชิญ
เสด็จมานำเอาพระนางประภาวดีนี้ไปเถิด.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปถทฺธา ได้แก่ เป็นสัตว์เข้มแข็งยิ่งนัก.
บทว่า อาเนเตตํ ปภาวติ ความว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า ขอพระองค์
จงส่งพระราชสาสน์นี้ไปว่า เชิญเสด็จมารับพระนางประภาวดีนี้ไปเถิด เพราะ
ฉะนั้น ขอพระองค์จงรีบส่งพระนางประภาวดีไปถวายพระราชาเหล่านั้นเสีย
ก่อน ที่ช้างเหล่านั้น ยังไม่ทำลายกำแพงเมืองเข้ามา.

พระราชาทรงสดับคำนั้นแล้ว จึงตรัสว่า ถ้าเราส่งนางประภาวดีไป
ให้แก่กษัตริย์องค์หนึ่ง กษัตริย์ที่เหลือ ก็จักกระทำการรบ เราไม่อาจที่จะให้
แก่กษัตริย์เมืองเดียวได้ ก็นางประภาวดีนี้ทิ้งพระราชาผู้เลิศในชมพูทวีปทั้งสิ้น

มาเสีย ด้วยรังเกียจว่า เป็นผู้มีรูปร่างน่าเกลียด บัดนี้จงรับผลของการกลับ
มานั้นเถิด เราจักฆ่านางเสียแล้วตัดออกเป็น ๗ ท่อน ส่งไปให้แก่พระราชา
๗ พระองค์ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถาเป็นลำดับต่อไปว่า


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ก.พ. 2019, 20:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


Quote Tipitaka:
เราจะบั่นนางประภาวดีนี้ออกเป็นเจ็ดท่อน แล้ว
จักให้แก่กษัตริย์ผู้เสด็จมา ณ ที่นี้เพื่อจะฆ่าเรา.
ถ้อยคำของพระเจ้ามัททราชนั้น ได้ปรากฏไปทั่วพระราชนิเวศน์ทั้งสิ้น
นางบริจาริกาทั้งหลาย ก็เข้าไปทูลแด่พระนางประภาวดีว่า ได้ยินว่า พระราชา
จะทรงบั่นพระแม่ออกเป็น ๗ ท่อนแล้ว ส่งไปให้พระราชา ๗ พระนคร,
พระนางทรงสดับคำนั้นแล้ว ก็ทรงหวาดกลัวต่อมรณภัย เสด็จลุกจากที่ประทับ
มีพระภคินีทั้งหลายแวดล้อมแล้ว เสด็จไปยังพระตำหนักของพระมารดา.

พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสว่า
พระราชบุตรี ผู้มีผิวผ่องดังทองคำ ทรงผ้าโก-
ไสยพัสตร์ มีพระเนตรนองด้วยน้ำตา อันหมู่ทาสีแวด
ล้อม เสด็จไปยังพระตำหนักของพระมารดา.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สามา ได้แก่ มีผิวพรรณดุจทองคำ.
บทว่า โกเสยฺยวาสินี ได้แก่ นุ่งผ้าที่ทอด้วยไหมอนแซมขจิตด้วยทองคำ.
พระนางเสด็จไปเฝ้าพระมารดาแล้ว ถวายบังคมพระมารดา ทรง
กำสรวลสะอึกสะอื้น กราบทูลว่า

ข้าแต่พระมารดา หน้าของลูกอันผัดแล้วด้วย
แป้ง ส่องแล้วที่กระจกเงา งดงาม มีดวงเนตรคมคาย
ผุดผ่องเป็นนวลใย จักถูกกษัตริย์ทั้งหลาย โยนทิ้งเสีย
ในป่าเป็นแน่แล้ว ฝูงแร้ง ก็จะพากันเอาเท้ายื้อแย่ง

ผมของลูกอันดำ มีปลายงอน ละเอียดอ่อน ลูบไล้
ด้วยน้ำมันหอมแก่นจันทน์ ในท่ามกลางป่าช้าอัน
เปรอะเปื้อนเป็นแน่ แขนอ่อนนุ่มทั้งสองของลูกอันมี
เล็บแดง มีขนละเอียด ลูบไล้ด้วยจุณจันทน์ ก็จะถูก
กษัตริย์ทั้งหลาย ตัดทิ้งเสียในป่า และฝูงกาก็จะโฉบ

คาบเอาไปตามความปรารถนาเป็นแน่ สุนัขจิ้งจอกมา
เห็นถันทั้งสองของลูก เช่นกับผลตาลอันห้อยอยู่ ซึ่ง
ลูบไล้ด้วยกระแจะจันทน์แคว้นกาสี ก็จะยืนคร่อมที่


+ ผูกมิตรด้วยการให้ ผู้ใจด้วยความดี อยากมีดีก็ต้องสร้างสมกันเอง
+ คิดว่าตนดีแล้วจึงมิคิดจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตนเอง
คิดว่าตนยังไม่ดีจึงคิดเปลี่ยนแปลงแก้ไขและปรับปรุงตนเอง
+ ความรู้จะมีมากขึ้น หากมิมากไปด้วยความเกียจคร้าน
+ อาหารยังมีเฉพาะแต่ละวัยฉันใด แม้พระธรรมคำสอนก็ฉันนั้น
+ ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งมาก
เพราะความมักมากจึงทำจิตให้ตกต่ำ
+ เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร
เวรย่อมระงับด้วยการให้อภัย
เวรย่อมระงับด้วยจิตที่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 91, 92, 93, 94, 95, 96, 97 ... 179  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร