ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
...หัวขโมยผู้ไม่เคยทำความดี.... http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=5&t=19664 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลูกโป่ง [ 19 ธ.ค. 2008, 16:26 ] |
หัวข้อกระทู้: | ...หัวขโมยผู้ไม่เคยทำความดี.... |
ที่เมืองพาราณสีได้มีการจัดงานบวงสรวงครั้งยิ่งใหญ่ ต่อองค์พระศิวะถึง 7 วัน 7 คืน พระศิวะมหาเทพซึ่งประทับอยู่บนสรวงสวรรค์ ก็ทอดพระเนตรงานครั้งนี้ด้วยความสนพระทัย จนกระทั่งผ่านไป 3 วันตามวันเวลาบนโลกมนุษย์ พระองค์ก็รู้สึกเบื่อหน่าย จึงเลิกสนพระทัยงานบวงสรวงนั้น ปาวารตี เทพเจ้าอีกองค์หนึ่งได้เสด็จมาเยี่ยมเยียนพระศิวะ และกล่าวแสดงความยินดีกับพระศิวะว่า “ตอนนี้พวกมนุษย์ได้จัดงานบวงสรวงยิ่งใหญ่มอบให้แก่พระองค์ ซึ่งแสดงว่าพระองค์เป็นที่รักและศรัทธายิ่งของมนุษย์ไม่เสื่อมคลาย ข้าพระองค์เห็นแล้วก็รู้สึกชื่นชมในพระบารมียิ่งนัก” “อย่าใช้สิ่งที่เจ้าเห็นและคิดเองมาเยินยอข้าเลยปาวตี” พระศิวะตรัสอย่างไม่ยินดีด้วย “จริงอยู่ที่มีฝูงชนมากมายถือดอกไม้ธูปเทียนมาบูชาข้า แต่พวกเขาไม่ได้มาด้วยใจที่บริสุทธิ์จริงๆ บางคนไม่มีความเมตตา บางคนละโมบโลภมาก และมีหลายคนจิตใจมัวเมาไปด้วยกิเลส พวกเขามาเพื่อต้องการขอนั่น ขอนี่มากมาย ซึ่งข้าไม่มีทางยินยอมให้พรของข้า ตกไปอยู่กับมนุษย์ที่มีจิตใจต่ำอย่างนั้นหรอก” เทพทั้ง 2 จึงลงมาพิสูจน์ความจริง โดยพระศิวะได้แปลงกายเป็นชายชราป่วยหนัก ส่วน เทพปาวารตีก็แปลงกายเป็นหญิงชราผู้เป็นภรรยาชายชรา ซึ่งที่จริงแล้วคือเทพปาวตี ได้อ้อนวอนขอน้ำจากฝูงชน ที่เดินผ่านไปผ่านมาด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ท่านผู้เจริญ ได้โปรดแบ่งอาหารและน้ำให้เราสองผัวเมียบ้างเถิด สามีข้าป่วยหนักใกล้ตายเพราะอดอาหาร ส่วนข้ากระหายน้ำจนแทบจะเป็นลมอยู่แล้ว” หญิงชาวบ้านคนหนึ่งเดินมากับสามีของนาง และได้สบสายตาอันน่าเวทนาของหญิงชราโดยบังเอิญนางจึงกล่าวว่า “ข้าให้ของเหล่านี้กับพวกเจ้าไม่ได้หรอก เพราะข้าต้องนำอาหารรสเลิศ และน้ำบริสุทธิ์ในคณโทไปถวายองค์พระศิวะ เพื่อให้อำนวยพรแก่ข้า” หญิงชราส่งสายตาอ้อนวอนพร้อมกับกล่าวว่า “แต่ข้าและสามีข้ากำลังจะตายเพราะขาดอาหารและน้ำ และพระศิวะคงไม่ว่าอะไรกระมัง ถ้าท่านจะแบ่งของเหล่านั้นให้เราทั้งสองบ้าง เพราะพระองค์ก็มีของบูชามากมายอยู่แล้ว” เมื่อสามีได้ยินชาวบ้าน พูดเช่นนั้นก็โกรธมาก “ชิชะ! เจ้าคนจรจัดโสโครก หากพวกเจ้าได้อาหารชั้นเลิศของข้าไป ข้าจะได้อะไรตอบแทนจากพวกเจ้าบ้าง เจ้ามีปัญญาให้พรข้าเหมือนพระศิวะหรือ” ดูเหมือนว่าคนอื่นๆที่ผ่านไปมา ก็คิดไม่ต่างจากสามีภรรยาคู่นี้เท่าไหร่นัก แทบทุกคนเห็นว่าชายชราและหญิงชรา เป็นผู้ทำลายบรรยากาศอันเป็นสิริมงคลอย่างไม่น่าให้อภัย นอกจากพวกเขาไม่แบ่งอาหารหรือน้ำให้สักหยดแล้ว ยังพากันด่าว่าสองผัวเมียด้วยถ้อยคำหยาบคายด้วย จนกระทั่งมีชายหนุ่มหน้าตามอมแมมเดินผ่านมา แต่เขาไม่มีเครื่องบูชามากมายดังเช่นคนอื่นๆ มีเพียงคณโท ใส่น้ำหนึ่งใบอยู่ในมือเท่านั้น เมื่อเห็นชายหนุ่มหญิงชราก็อ้อนวอนขอน้ำจากเขา ชายหนุ่มหยุดเดินแล้วหันมามองผู้ชราทั้งสองอย่างน่าเวทนา “ข้าไม่มีอาหารดีๆ ให้ตากับยายหรอก มีเพียงน้ำบริสุทธิ์ซึ่งเป็นของดีที่สุดที่ข้าพอจะหามาบูชาแด่พระศิวะได้เท่านั้น ถ้าอย่างนั้นตากับยายเอาไปแบ่งกันดื่มเถิด” “เจ้าไม่เสียดายน้ำนี่รึ เจ้าไม่อยากนำไปถวายพระศิวะ เพื่อขอพรจากพระองค์หรอกหรือ” ชายชราถามขึ้นมาบ้าง “ไม่เป็นไรหรอก อันที่จริงก็ใช่ว่าข้าจะเป็นคนดีอะไร ข้าไม่เคยทำความดี มิหนำซ้ำยังเป็นหัวขโมยที่มักหยิบฉวยของคนอื่นอยู่บ่อยๆ คนอย่างข้าถึงจะนำของดีเลิศไปถวายพระศิวะ พระอค์ก็ไม่ทรงเมตตาให้พรแก่ข้า มีแต่จะทรงสาปแช่งข้าด้วยซ้ำ แต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นพวกท่านแล้วเกิดความสงสาร อยากทำความดีแก่คนอื่นบ้าง” ทันทีที่น้ำหยดสุดท้ายหมดจากคณโท ร่างชราของคนทั้งคู่ก็กลับคืนเป็นพระศิวะมหาเทพและเทพปาวารตีดังเดิม “อย่ากลัวไปเลย ข้าคือศิวะ และนี่คือปาวตี เทพเจ้าอีกองค์หนึ่งบนสรวงสวรรค์ ข้ากับปาวตีแปลงกายเป็นชายและหญิงชราเพื่อลองใจมนุษย์ที่ดั้นด้นมาบูชาข้า และเจ้าทำให้ข้าได้ประจักษ์ชัดว่า ผู้ที่ทำให้ข้าพอใจและสมควรได้รับพรจากข้า ต้องเป็นผู้ที่มีความดีงามอยู่ในจิตใจ มิใช่ผู้ที่ถวายเครื่องบูชาชั้นยอด ฝูงชนมากมายมาเพื่อบูชาข้า แต่มีเจ้าเพียงคนเดียวที่สมควรได้ขึ้นสวรรค์ เมื่อใดที่สิ้นอายุขัยของเจ้าแล้วข้ายินดีที่จะรับเจ้าขึ้นบนสรวงสวรรค์” ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นก็เกิดความปิติยิ่ง เขารีบพนมมือขึ้นแล้วกล่าวคำสัญญาต่องค์ศิวะมหาเทพ และเทพปาวตีว่า “ข้าพระองค์สัญญาว่าจะเป็นคนดีที่คู่ควรกับพรอันประเสริฐของพระองค์ ต่อไปนี้ข้าพระองค์จะเลิกเป็นขโมย เลิกทุจริต เลิกฉ้อโกง เลิกเอาเปรียบคนอื่นอย่างเด็ดขาด และจะตั้งใจทำความดีช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ” เธอทั้งหลาย • เธอควรทำความดีตลอดเวลาทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้อื่น • สำหรับใครที่ไม่ใช่คนดีก็ไม่เป็นปัญหา ปัญหาอยู่ที่ว่าเมื่อไหร่จะเป็นคนดี ถ้าเธอรู้แล้วว่าสิ่งที่ตัวเองทำเป็นสิ่งไม่ดี เธอก็จงหยุดเสีย ในครั้งแรกๆ เธออาจเกิดความไม่ชอบใจ ทั้งๆที่เธอก็สู้อุตส่าห์เปลี่ยนแปลงตนเอง แต่ไม่มีสิ่งตอบแทนกลับมาบ้าง ไม่มีใครเชื่อ ไม่มีใครชื่นชม แต่เธอลองคิดดูเถิด ก่อนที่เธอจะเริ่มความดี เธอได้ทำความเดือดร้อนไปให้คนอื่นมากเท่าไร คนที่เจ็บปวดเพราะเธอ เขาย่อมไม่อยากถูกทำร้ายอีก ดังนั้นเขาจึงต้องปฏิเสธเอาไว้ก่อน เป็นเรื่องปกติที่ย่อมเกิดกับคนที่เพิ่งเริ่มทำความดี • อย่ายอมแพ้ จงมีจุดยืนเป็นของตนเอง และเฝ้าทำความดีตลอดไป แม้วันนี้ไม่มีใครมองเห็น แต่สักวันอาจมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น • บางครั้งความดีก็ทำยาก แต่เพราะยากเราจึงต้องทำ เหมือนข้อสอบนั่นอย่างไร ถ้าข้อสอบง่ายเกินไป จะรู้ได้อย่างไรว่าคนเข้าสอบเก่งจริงๆ คัดลอกจาก...นิทานสีขาว โดย ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา http://www.gunsandgames.com/smf/index.p ... msg1163740 |
เจ้าของ: | ฟ้าใสใส [ 17 ก.ย. 2012, 14:03 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: ...หัวขโมยผู้ไม่เคยทำความดี.... | ||
คนเราเมื่อทำในสิ่งที่ดีงาม ย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจกับสิ่งที่ตนเองทำอยู่แล้ว และภาคภูมิใจในตนเองได้อย่างเต็มที่ โดยไม่จำเป็นต้องรอคำชื่นชมจากผู้อื่น ღ˚ •。* ♥♥ ˚ ˚ กราบอนุโมทนาบุญกับท่านผู้เจริญในธรรมและกัลยาณมิตรทุกท่าน ขอให้ท่านเจริญในธรรมยิ่ง ๆ ขึ้นไป ธรรมรักษา เทวดาคุ้มครองนะเจ้าค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ ˚. *˛ ✿◕‿◕✿•°°✿◕‿◕.ღ ˛˚ ♥♥ 。✰˚* ˚ . ˚ღ。
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |