วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 22:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ย. 2016, 07:49 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2012, 08:47
โพสต์: 27


 ข้อมูลส่วนตัว


ครั้งหนึ่งก่อนที่ศาสนาของพระสมณโคดมจักปรากฏ ครานั้นยังมีบุรุษผู้หนึ่ง เขาไม่มีบ้านเรือนเป็นหลักเป็นแหล่ง ได้แต่ยึดเอากำแพงเมืองทิศอุดรเป็นที่พำนักเรื่อยมา บุรุษผู้นี้ไม่มีความรู้ใด อาศัยตนยังอยู่ในวัยฉกรรจ์ จึงใช้พละกำลังที่มีเป็นเครื่องดำรงชีพ คราวหนึ่งเขาสะสมทรัพย์ได้ครึ่งมาสกไม่รู้จักเก็บที่ไหน จึงแอบนำไปฝังไว้ที่ข้างกำแพงเมือง ต่อมาเขาได้ย้ายถิ่นฐานรับจ้างผู้คนไปเรื่อย จนมาได้ภรรยาอยู่แถวประตูเมืองด้านทิศทักษิณ ซึ่งก็เป็นหญิงเข็ญใจเช่นกัน ดังนั้นจึงปักหลักอยู่ที่นั่น

สองผัวเมียคู่นี้ต่างก็ไม่มีความรู้ใด ได้แต่ใช้แรงกายรับจ้างผู้คนเลี้ยงชีพกันไปวันๆเหมือนกัน วันหนึ่งตำบลที่เขาและนางอาศัยได้จัดงานประจำปีขึ้น มีการออกร้านและว่าจ้างมหรสพมาแสดง ภรรยาบุรุษเข็ญใจเมื่อเห็นชาวบ้านต่างเตรียมตัวที่จักเฉลิมฉลอง นางที่มีนิสัยรักการสนุกจึงถามสามีว่า “ ท่านพี่! ค่ำนี้เขาจักมีการละเล่นกัน ท่านพอจักมีทรัพย์ติดตัวบ้างหรือไม่? ” ชายผู้เป็นสามีพอฟังก็นิ่งอยู่ครู่ จากนั้นจึงตอบภรรยา

“ ทรัพย์นั้นมีอยู่ดอกน้องหญิง ประมาณครึ่งมาสก แต่มันฝังอยู่ข้างกำแพงเมืองทิศอุดรโน่น! หากจะไปเอาก็ต้องเดินกันเป็นวันทีเดียว น่าเสียดายจริงๆ! ” ภรรยาพอฟังก็ให้แสนดีใจ รีบบอกเขาว่า “ ถึงไกลก็จะเป็นไรไปเล่า ท่านพี่รีบไปนำมาเถอะ ที่ติดตัวน้องเวลานี้ก็มีอยู่ครึ่งมาสกเช่นกัน เดี๋ยวน้องจะนำทรัพย์นี้ไปซื้อดอกไม้ส่วนหนึ่ง ของหอมส่วนหนึ่ง ส่วนของพี่จักเก็บไว้ซื้ออย่างอื่น แล้วคืนนี้เราจักได้เล่นมหรสพกับเขาให้เป็นที่สนุกสนาน เพราะนานทีจักมีสักครั้ง ” ภรรยาผู้รักสนุกพยายามพูดหว่านล้อมสามีให้ไปนำทรัพย์มาให้ตนใช้จ่าย

ถึงคราวที่อุปถัมภกกรรมฝ่ายกุศลจักให้ผลกับบุรุษเข็ญใจ พอเขาฟังภรรยาชี้แจงก็ให้มีจิตยินดี รีบเดินทางไปเอาทรัพย์ตามที่นางบอกทันที! ระหว่างทางเมื่อนึกถึงความสนุกสนานที่จักมีขึ้นในยามค่ำคืนเขาก็อดครึ้มใจไม่ได้ ดังนั้นจึงเดินไปพลางร้องเพลงไปพลาง หลังจากที่เดินไปได้ครึ่งทางเพลานั้นได้เลยยามเที่ยงไปแล้ว แสงอาทิตย์ที่ส่องมาต้องพื้นผิวทางหลวงเวลานั้นหากใครมิได้สวมรองเท้าแล้วออกไปเหยียบย่ำล่ะก็ รับรองว่าต้องโดดโหยงกันทุกราย เพราะมันมิได้ต่างจากขี้เถ้าในเตาที่แม่บ้านกำลังหุงข้าวต้มแกงเลย แต่บุรุษผู้มีมือเปล่าเท้าเปลือยผู้นี้กลับมิได้รู้สึกรู้สาใดๆ มิหนำซ้ำยังครวญเพลงหงิงๆอยู่ในลำคออีกต่างหาก

เขาเดินไปตามเส้นทางอันร้อนผ่าวจนกำลังจะผ่านหน้าพระลานหลวงอันเป็นเขตพระราชฐาน ขณะนั้นพระเจ้าอุทยราชาผู้ครองกรุงพาราณสีกำลังประทับอยู่บนพลับพลาพอดี จอมราชาเมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นหนุ่มบ้านนอกคอกนาเดินร้องเพลงมาอย่างสบายอารมณ์ ก็ให้ทรงรู้สึกเอ็นดู จึงรับสั่งมหาดเล็กให้ไปพาตัวเขามาเข้าเฝ้า เมื่อมหาดเล็กนำเขามาถึงพระองค์จึงตรัสถามเขาด้วยพระสุรเสียงอันกรุณาว่า “ ดูก่อนท่านผู้มีความอดทน เหตุไฉนท่านจึงเดินร้องเพลงฝ่าเปลวแดดได้อย่างสบายอารมณ์เล่า? ท่านจักไปยังที่ใดฤา พอจักบอกให้เรารู้ได้มั้ย? ”

บุรุษเข็ญใจเมื่อฟังพระดำรัสจึงกราบทูลว่า “ ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า ข้าพระบาทกำลังจะไปนำทรัพย์ที่ฝังอยู่ข้างกำแพงเมืองทิศอุดรกลับไปให้ภรรยาใช้จ่ายในการละเล่นมหรสพคืนนี้พระพุทธเจ้าข้า! ” พระราชาครั้นทรงสดับก็ให้ทรงรู้สึกสนุกสนาน จึงตรัสถามเขาต่อ “ นี่! ท่านผู้มีความรักในภรรยา ทรัพย์ของท่านมีอยู่เท่าใดฤา สักพันกหาปณะได้ไหม? ” หนุ่มรับจ้างพอฟังรีบกราบทูลว่า “ หามิได้พระเจ้าข้า ทรัพย์กระหม่อมมีเพียงครึ่งมาสกเท่านั้น พระพุทธเจ้าข้า! ”

พระราชาเมื่อทรงสดับก็ให้ทรงประหลาดพระทัย จึงตรัสถามเขา “ อะไร! ทรัพย์เพียงครึ่งมาสกท่านก็ยอมฝ่าเปลวแดดอันร้อนระอุเดินทางไกลไปเอาเทียวรึ? ท่านนี่ช่างอุตสาหะจริงๆ ” บุรุษหนุ่มกราบทูลว่า “ ขอเดชะพระผู้เป็นใหญ่เหนือใครในแผ่นดิน อันความร้อนแห่งแสงอาทิตย์ฤาจักร้อนยิ่งกว่าความร้อนของราคะที่ข้าพระบาทรักใคร่ในภรรยานั้น หาเทียบได้ไม่ ข้าพระบาทมีจิตยินดีที่จะไปนำทรัพย์มาให้นางใช้จ่ายในการ ละเล่นคืนนี้ พระพุทธเจ้าข้า! ”

สมเด็จพระราชาธิบดีเมื่อได้ทรงสดับถ้อยพาทีอันไพเราะคมคายของหนุ่มบ้านป่าก็ถึงกับทรงพระสรวลทันที ทรงรู้สึกว่าการได้โต้ตอบถ้อยคำกับบุรุษผู้นี้มันช่างเป็นเรื่องน่าสนุกจริงๆ ดังนั้นจึงทรงชวนเขาคุยต่อ “ เออแน่ะ! ท่านผู้ฉลาดในการเจรจา ขอท่านอย่าเดินไปให้มันเหนื่อยเลย เราจักให้ทรัพย์ครึ่งมาสกแก่ท่านเอง แล้วจงรีบกลับไปหาภรรยาเพื่อเตรียมซื้อหาข้าวของสำหรับคืนนี้เถิด ” บุรุษเข็ญใจเมื่อฟังจึงรีบทรุดตัวก้มลงกราบแทบเบื้องพระยุคลบาท จากนั้นจึงทูลว่า

“ ขอเดชะพระผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา การที่พระองค์ทรงประทานทรัพย์ครึ่งมาสกแก่ข้าพระบาทก็เพราะน้ำพระทัยอันกรุณาที่ทรงมีให้ต่อเหล่าพสกนิกร ฉะนั้นข้าพระบาทจักขอน้อมรับทรัพย์นี้ไว้ แต่อย่างไรเสียข้าพระบาทก็จักต้องไปเอาทรัพย์ที่ฝังไว้กลับมา เพื่อมิให้ทรัพย์นั้นต้องฉิบหายไปโดยเปล่าประโยชน์ พระพุทธเจ้าข้า! ”

จอมราชาเมื่อทรงสดับก็ยิ่งทรงรู้สึกเอ็นดูเขามากยิ่งขึ้นไปอีก จึงทรงออกพระโอษฐ์เพิ่มทรัพย์ให้จากครึ่งมาสกเป็นหนึ่งมาสก หวังจักให้เขารีบกลับไปหาภรรยา แต่ชายเข็ญใจก็ยังไม่ยอมยกเลิกความตั้งใจที่จะไปเอาทรัพย์กลับมาเหมือเดิม ดังนั้นพระองค์จึงทรงเพิ่มทรัพย์ขึ้นเรื่อยๆจากหนึ่งมาสกเป็นสองมาสก สามมาสก จนถึงร้อยกหาปณะ แต่ถึงทรัพย์จะเพิ่มขึ้นสักปานใดก็ตาม ทว่าบุรุษผู้มีใจมั่นคงก็หาได้ยอมล้มเลิกความตั้งใจที่ไม่ ยังคงยืนกรานที่จะไปเอาทรัพย์อยู่อย่างนั้น

สมเด็จพระราชาธิบดีเมื่อทรงเห็นถึงความมุ่งมั่นไม่ย่อท้อต่อสิ่งที่ตั้งใจทำของเขา พระองค์ก็ยิ่งทรงรู้สึกปลาบปลื้มในตัวเขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดจอมราชันก็ทรงลุกขึ้นจากพระแท่นที่ประทับเสด็จมายืนอยู่ที่ขอบปะรำ พร้อมกันนั้นก็ได้ทรงกวาดพระเนตรมองดูเหล่าข้าราชบริพารที่กำลังจ้องเขม็งมาที่พระองค์เหมือนดั่งจักถามว่าจักทรงตรัสสิ่งใด แหละทันใดนั้นเองโดยที่ไม่มีใครคิด พระเจ้าอุทยราชาก็ได้ทรงประกาศต่อเหล่าข้าราชบริพารที่อยู่ ณ ที่นั้นด้วยพระสุรเสียงอันดังว่า

“ ดูก่อนท่านทั้งหลาย บุรุษผู้นี้ถือเป็นผู้มีปัญญา มีวาจาสัตย์ จิตใจไม่กลับกลอก ยากจักหาผู้ใดเสมอเหมือน คนเช่นนี้สมควรจักตั้งไว้ในฐานะใหญ่ ดังนั้นเราจึงขอตั้งเขาเป็นกษัตริย์ครองกรุงพาราณสีร่วมกับเราครึ่งหนึ่ง และถือเขาเป็นสหายของเรานับตั้ง แต่บัดนี้เป็นต้นไป! ”

พอจบพระบรมราชโองการบริเวณรอบพลับพลาที่เคยเงียบสงบ บัดนั้นก็กระหึ่มไปด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าข้าราชบริพารจนไม่รู้ว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร เนื่องจากไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าองค์ราชาจักทรงรับสั่งเช่นนี้ อย่างไรก็ตามพอเสียงพากษ์วิจารณ์เริ่มซาลง จอมราชันได้รับสั่งให้มหาดเล็กพาบุรุษเข็ญใจเบื้องพระพักตร์ไปอาบน้ำชำระร่างกาย ขัดสีฉวีวรรณให้ผุดผ่อง ตัดแต่งทรงผมเล็บมือเล็บเท้าให้สะอาด จากนั้นให้นำเครื่องทรงกษัตริย์มาสวมให้เขาเพื่อทำพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นเป็นราชาในวันนั้นเลย

หลังจากทรงตั้งบุรุษบ้านป่าขึ้นเป็นพระราชาเสมอพระองค์แล้ว สมเด็จพระราชาธิบดียังทรงพระราชทานนามใหม่ให้เขาว่า พระเจ้าอัฒมาสกราช พร้อมทั้งทรงแบ่งเขตการปกครองให้เขาดูแล แหละยามใดที่ทรงว่างจากราชกิจจอมกษัตริย์ผู้มีน้ำพระทัยจนยากจักหาผู้ใดเสมอนี้ ก็ยังเสด็จมาทรงสั่งสอนรัฏฐาภิปาลโนบายให้กับเขาเป็นการส่วนพระองค์อีกต่างหากจนไม่ช้าพระเจ้าอัฒมาสกราชก็ทรงมีความชำนาญในการปกครองบ้านเมืองมิได้ยิ่งหย่อนไปกว่าจอมกษัตริย์เลย! แต่ทว่าสรรพสิ่งล้วนอนิจจัง ไม่มีอะไรเที่ยงแท้ถาวร ต่างผันแปรไปตามกฏไตรลักษณ์ โดยเฉพาะจิตมนุษย์ ช่างยากแท้หยั่งถึงจริงๆ!

หลังจากพระเจ้าอัฒมาสกขึ้นครองราชย์เป็นเวลาหลายปีผ่านไป วันหนึ่งพระเจ้าอุทยราชาทรงรู้สึกคิดถึงพระสหายผู้มีอดีตเป็นบุรุษเข็ญใจ จึงรับสั่งให้มหาดเล็กไปทูลอัญเชิญพระเจ้าอัฒมาสกให้มาพัก ผ่อนคลายพระอิริยาบถร่วมกับพระองค์ในพระราชอุทยานหลวง

หลังจากทั้งคู่เสด็จทอดพระเนตรสิ่งสวยๆงามๆจนรอบอุทยานแล้ว จอมราชันย์ก็ทรงรู้สึกเมื่อยล้าพระวรกาย จึงเผลอบรรทมหลับอยู่ใต้เงาไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เวลานั้นไม่ทราบว่าเป็นยามอุบาทว์อันใด จู่ๆพระเจ้าอัฒมาสกก็เกิดความคิดชั่วช้าขึ้นมาว่า

“ โอ้หนอ! การที่เราได้ครองราชสมบัติแต่เพียงครึ่งหนึ่ง รู้สึกยังมิเป็นการดีแท้ เพราะจักรู้อย่างไรว่ากษัตริย์ผู้นี้จักไม่เรียกเอาสมบัติของพระองค์กลับคืนเล่า? อย่ากระนั้นเลย ควรฉกฉวยโอกาสอันประเสริฐนี้ลอบปลงพระชมม์จอมราชาเสียเถิด จากนั้นก็สถาปนาตนขึ้นเป็นกษัตริย์แต่เพียงผู้เดียว ถึงจักเป็นที่วางใจ! ” ทันทีที่ราชาอดีตคนขายแรงงานมีความคิดดังนั้น เขาจึงเอื้อมมือไปคว้ามีดสั้นข้างเอวขึ้นมาทันที จากนั้นก็เดินทื่อไปหาจอมกษัตริย์ที่ทรงหลับใหลอยู่ หมายใจจักฆ่าพระราชาที่แสนประเสริฐให้ตายภายในมีดเดียว

ในห้วงขับขันเป็นตายนั้นอุปถัมภกกรรมฝ่ายกุศลที่มีกำลังแรงก็ไม่รอช้า รีบดลจิตดลใจราชามืดบอดให้ทรงกลับมามีพระสติทันที ดังนั้นเขาจึงคำนึงขึ้น “ อหา! นี่เราเป็นบ้าอะไร ไฉนจึงมีความคิดจัญไรถึงเพียงนี้ เดิมทีเราก็เป็นแค่คนขายแรงงานเท่านั้น ไร้เกียรติ์ไร้ศักดิ์ศรี แต่เพราะกุศลหนหลังให้ผล จึงทำให้พระราชาผู้เปี่ยมไปด้วยพระเมตตาพระองค์นี้ทรงยกฐานะจากยาจก แต่งตั้งให้เป็นถึงกษัตริย์ครองเมืองกึ่งหนึ่ง มิหนำซ้ำยังทรงรักใคร่ไว้วางพระทัยเป็นนักหนา แล้วไฉนเราจึงจักมาเนรคุณพระองค์ได้ด้วยการกระทำเยี่ยงนี้เล่า? ”

พอหวนนึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่จอมกษัตริย์ทรงมีต่อตน มีดสั้นที่เงื้ออยู่ก็ร่วงหล่นพื้นทันที แต่สักพักเจ้ากิเลสตัณหาที่ฝังอยู่ก้นบึ้งดวงจิตก็ฉวยโอกาสเข้าครอบงำอีก ยั่วยุให้คิดมักใหญ่ใฝ่สูง หวังจักครองราชย์แต่เพียงผู้เดียว จึงก้มลงหยิบมีดสั้นขึ้นมาใหม่ หมายใจจักฆ่าจอมราชันอีกครั้ง แต่อุปถัมภกกรรมที่ตั้งท่ารออยู่ก็เข้ายับยั้งได้ทันท่วงทีอีก เป็นอยู่อย่างนี้หลายครั้งหลายครา

ในที่สุดราชาอดีตบุรุษเข็ญใจก็ทรงรู้สึกสลดสังเวชในดวงจิตแห่งตน ทรงคำนึงขึ้นว่า “ โอ้หนอ! บัดนี้จิตเราได้ถูกอกุศลเข้าครอบงำแล้ว ยามใดที่มันกำเริบก็จักพาเราให้กระทำชั่ว คิดฆ่าได้แม้แต่พระราชาผู้มีคุณ หากเรายังปล่อยให้เจ้าอกุศลครอบครองดวงจิตอยู่อย่างนี้ เห็นทีภายหน้าคงไม่แคล้วต้องลอบปลงพระชนม์พระราชาผู้แสนประเสริฐพระองค์นี้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง! อย่ากระนั้นเลย เราจงอย่าปล่อยให้บาปเข้าครอบงำใจเราได้อีกเลย! ”

เมื่อทรงเกิดความไม่ไว้วางพระทัยในจิตของตนแล้ว พระเจ้าอัฒมาสกราชจึงทรงก้มพระพักตร์ลงปลุกพระราชาธิบดีให้ทรงตื่นจากบรรทม จากนั้นก็ทรงก้มลงกราบแทบเบื้องพระยุคลบาทพร้อมกับทูลว่า “ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ขอพระองค์โปรดทรงลงโทษหม่อมฉันด้วยเถิดพระเจ้าข้า! ”

จอมกษัตริย์ซึ่งกำลังบรรทมอยู่ดีๆ จู่ๆถูกปลุกก็ให้ทรงรู้สึกประหลาดพระทัย จึงตรัสถามสหายว่า “ มีเรื่องอันใดฤาสหาย ไฉนท่านจึงขอให้เราลงโทษท่านเล่า? ” ราชาอดีตบุรุษเข็ญใจได้ทรงเล่าเรื่องที่ตนมีจิตคิดร้ายหมายลอบปลงพระชนม์ให้กับจอมราชันได้ทรงรับทราบทั้งหมด จากนั้นได้ขอให้จอมกษัตริย์ลงโทษตนด้วย

พระราชาธิบดีหลังทรงฟังเรื่องที่พระสหายเล่าแทนที่จักทรงพิโรธโกรธกริ้ว สั่งประหารราชาอกตัญญูนี้เสียในทันใด ที่ไหนได้กลับตรัสว่า “ เอาเถิดเพื่อนเอ๋ย หากท่านปรารถนาจักเป็นราชาแต่เพียงผู้เดียว เราก็จักยกสมบัติครึ่งเราให้กับท่าน ด้วยก็แล้วกัน ส่วนเราจักขอเป็นแค่อุปราชก็พอ อย่าวิตกไปเลย รีบกลับวังกันเถอะ จักได้มีเวลาเตรียมงานเตรียมการกันเสียแต่เนิ่นๆ ”

พระเจ้าอัฒมาสกราชครั้นได้ฟังถ้อยคำที่จอมราชันตรัสดังนั้นก็ถึงกับทรงหลั่งน้ำพระเนตรออกมาจนนองพระพักตร์ ด้วยสุดจักทรงข่มกลั้นความตื้นตันพระทัยเอาไว้ได้ ทรงโผลงกอดพระบาททั้งสองของพระเจ้าอุทยราชาเอาไว้แน่นพร้อมกับสะอึกสะอื้น จนผ่านไปสักพักหลังจากที่ทรงทำพระทัยได้ จึงทรงเงยพระพักตร์ตรัสกับจอมราชันว่า

“ ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ บัดนี้ข้าพระบาทหาได้ปรารถนาในราชสมบัติไม่ การที่ข้าพระบาทมีจิตคิดร้ายก็เพราะถูกตัณหาเข้าครอบงำ หากข้าพระบาทมิรีบแก้ไข ภายหน้าสืบไปเห็นทีคงต้องถูกเจ้าตัณหานี้ยั่วยุให้ก่อแต่กรรมทำแต่ชั่ว ไม่มีวันหยุดวันหย่อนเสียเป็นแน่ แหละพอถึงกาลสิ้นชีพก็คงไม่แคล้วต้องไปทนทุกข์อยู่ในอบาย ฉะนั้นขอพระองค์โปรดทรงรับเอาพระราชสมบัติของพระองค์กลับคืนไปเถิด ข้าพระบาทหาได้ต้องการมันแล้ว ข้าพระบาทจักขอเข้าป่าไปบวชเป็นฤาษี ด้วยบัดนี้ได้เห็นซึ้งถึงภัยแห่งตัณหา เจ้าตัณหานี้หากผู้ใดครุ่นคิดถึงมันเนืองๆ มันก็จักเจริญงอกงามในใจผู้นั้น ทำให้เขาต้องไปก่อกรรมทำบาปตามอำนาจของมัน ดังนั้นนับแต่นี้ไปข้าพระบาทจักไม่ขอคิดถึงมันอีกเป็นอันขาด! ”

หลังจากทรงกราบทูลเสร็จราชาอดีตบุรุษเข็ญใจก็อัญเชิญสมเด็จพระราชาธิบดีเสด็จกลับพระนครทันที
พอถึงก็ทรงรับสั่งให้ราชบุรุษไปป่าวประกาศทั่วพระนครว่าพระองค์จักทรงกระทำพิธีถวายพระราชสมบัติกลับคืนให้กับพระเจ้าอุทยราชาดังเดิม ผู้ใดไม่ติดภารกิจขอให้มาร่วมชุมนุมพร้อมกันเพื่อเป็นสักขีพยาน หลังเสร็จพระราชพิธีถวายพระราชสมบัติกลับคืนแล้ว ราชาอดีตบุรุษเข็ญใจ ก็มิทรงรอช้า รีบเสด็จสู่หิมวันตประเทศแต่เพียงลำพัง ทรงเข้าป่าไปประพฤติพรตบำเพ็ญพรหมจรรย์อยู่ในนั้น จนสำเร็จฌานสมาบัติ พอถึงกาลแตกดับด้วยอำนาจแห่งฌานที่ทรงบำเพ็ญได้ จึงนำให้พระองค์ทรงไปอุบัติเป็นพระพรหม เสวยสุขอยู่บนพรหมโลกต่อไป....อีกนานแสนนาน.

สืบ ธรรมไทย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร