วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 13:54  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 ธ.ค. 2013, 17:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2013, 19:15
โพสต์: 109

แนวปฏิบัติ: มีสติทุกอริยาบท
งานอดิเรก: ปฎิบัติธรรม ฟังธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ความไม่ประมาท
ชื่อเล่น: ธรรม
อายุ: 0
ที่อยู่: วัฎฎะสงสาร

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

นายโทวาริกทมิฬ เขามีอาชีพเป็นพรานเบ็ด เช้าตรู่ทุกๆ วัน มุ่งแต่ทำมาหากินในทางปาณาติบาต คว้าเอาเบ็ดไปเที่ยวตกปลาทั้งหลาย ครั้นตกปลาได้มากพอแก่อัธยาศัยแล้ว ก็กลับมาสู่บ้านแห่งตนเขาเลี้ยงชีวิตด้วยปาณาติบาตกรรมเช่นนี้มาตั้งแต่หนุ่มจนชรา นับเป็นเวลาช้านานประมาณ ๕๐ ปีเศษ เมื่อถึงกาลชราแล้ว บังเกิดโรคาพาธ คือล้มไข้ใกล้จะตายลุกไม่ขึ้น นอนแซ่วตาปริบๆ อยู่บนเตียงที่ตาย เห็นพญามัจจุราชจะมาฉุดกระชากลากตนไปลงนรกอยู่รำไร

ในกาลครั้งนั้น ยังมีพระเถรเจ้ารูปหนึ่ง มีนามปรากฏว่า พระจูฬปิณฑปาติยติสสเถระ ซึ่งจำพรรษาในคิรีวิหารใกล้บ้านของนายโทวาริกทมิฬนั้น เมื่อท่านทราบว่าเขาป่วยหนักเป็นไข้ใกล้จะตาย พระผู้เป็นเจ้าก็ให้บังเกิดความสงสาร ดำริในใจว่า นายโทวาริกทมิฬ เป็นคนมีบาปหนา กระทำปาณาติบาตฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมาช้านาน เมื่อถึงกาลกิริยาตายไปแล้ว คงไม่แคล้วจักต้องไปเกิดในอบายภูมิ นึกดูแล้วก็น่าสงสารเราอยู่ที่นี่ก็ไม่ไกลกับบ้านเขานัก


"อย่ากระนั้นเลย จำเราจะคิดสงเคราะห์แก่สัตว์ผู้ได้ยาก อย่าให้สัตว์ผู้นี้ต้องฉิบหายได้ทุกข์ในนรกเลย”

เมื่อพระผู้เป็นเจ้าดำริดังนี้แล้ว จึงเดินไปหา ตอนอรุณรุ่งเช้า ภรรยาของเขาซึ่งกำลังโศกเศร้ากลัวสามีจะตาย เมื่อได้เห็นพระผู้เป็นเจ้ามายืนอยู่แทบประตูเรือน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเลยเช่นนั้น ยายเฒ่าจึงเข้าไปบอกแก่สามีว่า “ข้าแต่พี่! ท่านพระจูฬปิณฑปาติยติสสเถระ ซึ่งจำพรรษาอยู่ที่คิรีวิหาร ท่านมายืนอยู่ที่ประตูเรือนของเรา”

นายโทวาริกทมิฬเฒ่าผู้กำลังเจ็บหนักได้ฟังดังนั้น จึงค่อยบอกแก่ภรรยาว่า

“แต่ข้าอยู่ที่นี่มานานประมาณ ๕๐ ปีเศษแล้ว ข้ายังไม่ได้ไปมาหาสู่ท่านเลย ท่านคงมาด้วยธุระสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งว่าจะมาเยี่ยมไข้ข้านั้นก็เห็นผิดนัก ชะรอยว่าท่านจักมาบิณฑบาต จะเอาข้าปลาอาหารที่ไหนมาตักบาตรเล่า เพราะเกิดมาเราไม่เคยคิดเตรียมที่จะตักบาตรถวายทานเลย ฉะนั้น เจ้า จงนิมนต์ให้ท่านไปโปรดข้างหน้าเถิด”


ภรรยาเฒ่าคู่ยากของเขารับคำแล้วก็ออกมานิมนต์พระมหาเถรเจ้าว่า

“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า! ขอนิมนต์พระผู้เป็นเจ้าจงไปโปรดสัตว์ข้างหน้าเถิดเจ้าข้า”

“ดูกรอุบาสิกา! พระมหาเถรเจ้ากลับเรียกยายเฒ่า แล้วถามว่า อุบาสกซึ่งเป็นไข้อยู่นั้น ค่อยทุเลาเบาบางหรือเป็นประการใด ลุกขึ้นได้แล้วหรือยัง”


“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า!” ยายเฒ่ากราบลงแล้วเล่าน้ำตาไหล “สามีของข้าเป็นโรคชรา ทุพพลภาพหนักหากำลังมิได้ กำลังน้อยลงทุกๆ วัน น่าสงสารนัก”

“ถ้ากระนั้น อาตมาจักขออนุญาตเข้าไปเยี่ยม จักได้หรือไม่เล่า”

“นิมนต์เถิด! เป็นพระเดชพระคุณแก่อิฉันและสามีอย่างเหลือล้นแล้วเจ้าข้า“หญิงชรากล่าวแล้วกราบลงอีก ด้วยความตื้นตันใจ

พระจูฬปิณฑปาติยติสสเถรเจ้าจึงย่างเท้าก้าวเข้าไปในเรือน เตือนสติให้นายโทวาริกทมิฬผู้ใกล้จะตายเกิดความเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนาด้วยธรรมมีกถาพอสมควร


“ขอพระผู้เป็นเจ้า จงเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้าผู้ใกล้จะตายนี้ด้วยเถิดเจ้าข้า” เขากล่าววิงวอน หลังจากฟังธรรมมีกถาและเกิดความเสียในที่ตนไม่เคยได้ทำบุญกุศลไว้เลย

“ที่พึ่งในขณะนี้ไม่มีอะไรดีไปกว่าไตรสรณาคมน์และศีล” พระผู้เป็นเจ้าบอกแก่เขา และกล่าวต่อไปว่า “ขออุบาสกจงตั้งใจรับไตรสรณคมน์และศีลให้จงดีเถิด”


“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า! ข้าพเจ้าพร้อมแล้ว ขอนิมนต์พระผู้เป็นเจ้าให้ไตรสรณาคมน์และศีลในบัดนี้เถิด”
เขากล่าวทั้งๆ ที่ยังนอนหลับตาอยู่บนเตียง

พระมหาเถรเจ้า จึงบอกให้เขารับไตรสรณาคมน์ แต่พอรับไตรสรณาคมน์จบลงแล้ว นายโทวาริกทมิฬร่างใหญ่ไข้หนักนั้น ก็เกิดมีอาการลิ้นแข็งกระด้าง หมดความสามารถมิอาจที่จะรับศีล ๕ ต่อไปได้

พระมหาเถระจึงดำริว่า แต่เพียงรับไตรสรณาคมน์ได้เท่านี้ นายโทวาริกทมิฬผู้มีบาปก็พอควรจะเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว พระเถระก็กลับไปสู่คีรีวิหาร

เมื่อพระผู้เป็นเจ้าลงจากเรือนตนก็ขาดใจตาย ด้วยที่ได้รับไตรสรณาคมนั้น ครั้นเขาทำลายเบญจขันธ์ขาดใจตายแล้วก็ได้ขึ้นไปอุบัติเกิดเป็นเทวดาร่างใหญ่สถิตอยู่ ณ จาตุมหาราชิกาชั้นฟ้า มีนามปรากฏว่า โทวาริกทมิฬเทวา

เสวยทิพยสมบัติเป็นสุขอย่างน่าอัศจรรย์ใจ ในขณะเมื่ออุบัติเกิดเป็นเทวดาแล้วนั้นเขาก็เกิดความอัศจรรย์ใจในความเปลี่ยนแปลงแห่งตนเองเป็นยิ่งนัก จึงค่อยพิจารณาดูว่า

“เราได้ประกอบการกุศลสิ่งใดหนอ จึงมาได้สมบัติในเทวโลกเห็นปานฉะนี้”

เมื่อพิจารณาดูไปก็ทราบได้ด้วยอำนาจแห่งเทพวิสัยโดยตลอดว่า


“เราได้สมบัติอันประเสริฐนี้ก็เพราะอาศัยพระผู้เป็นเจ้าจูฬปิณฑปาติยติสสเถระ ท่านมีเมตตากรุณามาให้พระไตรสรณาคมน์แก่อาตมา อนึ่ง ทิพยสมบัติทั้งปวงที่อาตมาได้นี้ ก็เพราะความที่อาตมามีจิตศรัทธารับเอาพระไตรสรณาคมน์มาเป็นที่พึ่งแห่งชีวิต ตามคำแนะนำของพระผู้เป็นเอาตมาจะสำแดงคุณของพระผู้เป็นเจ้าให้ปรากฏในกาลบัดนี้”

เมื่อมาถึงได้ทอดทัศนาเห็นพระผู้เป็นเจ้าจูฬปิณฑปาติยติสสเถระกำลังเดินจงกรมอยู่ในตอนบ่ายที่ชายป่าใกล้คิรีวิหารจึงเข้าไปถวายนมัสการพระมหาเถรเจ้าด้วยเคารพอย่างสูงแล้ว ก็ประดิษฐานอยู่ในที่สุดแห่งที่จงกรม

“ดูกรเทวดา! ท่านนี้มีนามว่ากระไรและสถิตอยู่เทวโลกชั้นไหน?” พระมหาเถรเจ้าผู้มีทิพยจักษุเห็นเทวดาร่างใหญ่ทะมึน กล่าวถามขึ้นด้วยความแปลกใจ

“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า! ข้าพเจ้านี้ใช่ใครอื่น ที่แท้คือบุรุษชั่วช้าชื่อว่า โทวาริกะ ซึ่งพระผู้เป็นเจ้ามีเมตตากรุณาไปโปรดเมื่อเช้านี้อย่างไรเล่า” เทวดาผู้มีกายใหญ่งามสง่ารุ่งเรืองไปด้วยรัศมีกล่าวตอบ

“อ้อ! ท่านดอกหรือ ท่านไปบังเกิดที่ไหนเล่านี่?”

“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า! ข้าพเจ้าตายจากโลกนี้แล้วไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาเทวโลกซึ่งเป็นสวรรค์ชั้นต่ำเท่านั้นเอง เจ้าข้า”

“ดีแล้ว เทวดา! อาตมาขออนุโมทนาด้วยที่ท่านได้ไปเกิดในสุคติภูมิ”

“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า! ข้าพเจ้าคิดว่า เมื่อเช้านี้หากพระผู้เป็นเจ้าให้ศีล ๕ แก่ข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าคงจักมีโอกาสได้ไปบังเกิดในเทวโลกชั้นสูงกว่านี้แน่นอน แต่นี่พระผู้เป็นเจ้าให้ข้าพเจ้ารับเพียงไตรสรณาคมน์ ข้าพเจ้าจึงได้ทิพยสมบัติเพียงแค่สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เจ้าข้า”

เทวดาอดีตพรานเบ็ดใจบาปหยาบช้ากล่าวเหมือนจะต่อว่าพระมหาเถระกลายๆด้วยความเสียหายที่ตนไม่ได้ประกอบกองการกุศลอะไรไว้เมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่

พระมหาเถรเจ้าผู้มีเมตตากรุณาแก่เขา จึงกล่าวตอบว่า


“ดูกรเทวดาเอ๋ย! จะทำอย่างไรได้เล่า เพราะเมื่อเช้านี้พอท่านรับพระไตรสรณาคมน์เสร็จแล้ว ท่านก็มีอาการหนักชักตาตั้ง ลิ้นแข็งกระด้างไม่สามารถที่จะรับศีลต่อไปได้ ทั้งๆ ที่อาตมาก็ตั้งใจไว้ว่าจักให้ศีล ๕ ท่านอยู่แล้ว แต่ก็จนใจเพราะความไม่ได้สติสัมปชัญญะแห่งท่านเอง”

“แค่นี้ก็เป็นพระเดชพระคุณแก่ข้าพเจ้าอย่างหาที่สุดมิได้แล้ว” เทวดาใหม่ในชั้นจาตุมหาราชิกาสวรรค์ ผู้อุบัติด้วยอานุภาพแห่งอาสันนกรรมฝ่ายกุศล กล่าวดังนี้แล้วก็ถวายนมัสการลสพระมหาเถระผู้มีคุณกลับไปสู่ทิพยวิมาน อันเป็นสถานที่อยู่แห่งตน ณ จาตุมหาราชิกาสวรรค์ ด้วยประการฉะนี้

.....................................................
ขอน้อม กาย วาจา จิต บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในกาลทุกเมื่อ
ในทุกทุกขณะจิต ไม่ว่าจะระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สรณังคัจฉามิ

https://www.facebook.com/Dhammalungta


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ธ.ค. 2013, 08:21 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: สาธุค่ะ คุณปราชญ์บ้านนอก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2015, 19:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2008, 09:20
โพสต์: 349


 ข้อมูลส่วนตัว


Kiss tongue :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร