ลานธรรมจักร
http://dhammajak.net/forums/

สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง
http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=5&t=47170
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ปราชญ์บ้านนอก [ 16 ม.ค. 2014, 17:20 ]
หัวข้อกระทู้:  สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง

รูปภาพ

มีพี่น้อง ๒ คน ชื่อจุลกาล และมหากาล เห็นชาวบ้านทั้งหลายชาวกรุงสาวัตถี ในมือถือระเบียบดอกไม้และของหอมเป็นต้น ไปเพื่อฟังธรรมในเวลาเย็น จึงถามว่า “ท่านทั้งหลายจะไปไหนกัน?” ได้ฟังความนั้นแล้วคิดว่า “แม้เราก็จักไป” เรียกน้องชายมาแล้วบอกว่า “พ่อ! เจ้าจงเป็นผู้ไม่ประมาทในเกวียนทั้งหลาย, ส่วนเราจักไปฟังธรรม” ดังนี้แล้ว ไปถวายบังคมพระตถาคต นั่งที่สุดบริษัทแล้ว. วันนั้น พระศาสดา เมื่อจะตรัสอนุปุพพีกถาตามอัธยาศัยของมหากาลนั้น จึงตรัสโทษความเลวทรามและความเศร้าหมองแห่งกามทั้งหลาย โดยปริยายเป็นอันมาก. มหากาลได้สดับพระธรรมเทศนานั้นแล้ว จึงคิดว่า

“นัยว่า คนเราจำต้องละสิ่งทั้งปวงไป, โภคะและ ญาติทั้งหลาย ย่อมไม่ติดตามบุคคลผู้ไปปรโลกเลย, เราจะต้องการอะไรด้วยการครองเรือน เราจักบวชละ,”

เมื่อมหาชนถวายบังคมแล้วหลีกไป, ทูลขอบรรพชากะพระศาสนา, เมื่อพระศาสดารับสั่งว่า “ผู้ที่ท่านควรลาไรๆ ไม่มีหรือ?” ทูลว่า “น้องชายของข้าพระองค์มี พระเจ้าข้า” เมื่อพระองค์ตรัสว่า “ถ้ากระนั้น เธอจงลาเขาเสีย,” ทูลรับว่า “ดีละ พระเจ้าข้า” กลับมาบอกน้องชาย ดังนี้ว่า “พ่อ เจ้าจงปกครองสมบัติทั้งหมดนี้เถิด.”

จุลกาล. ก็พี่เล่า? ขอรับ.

มหากาล. พี่จักบวชในสำนักของพระศาสดา.

เขาอ้อนวอนพี่ชายนั้นด้วยประการต่างๆ ก็ไม่อาจให้กลับได้, จึงกล่าวว่า “ดีละพี่ ขอพี่จงทำตามอัธยาศัยเถิด” มหากาลไปบวชในสำนักของพระศาสดาแล้ว.

ฝ่ายจุลกาลก็ไปบวช ด้วยตั้งใจว่า “เราจักชวนพี่ชายสึก”


ในกาลต่อมา มหากาลได้อุปสมบทแล้ว เข้าไปเฝ้าพระศาสดา ทูลถามถึงธุระในพระศาสนา, เมื่อพระศาสดาตรัสบอกธุระ ๒ อย่างแล้ว, ทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักไม่สามารถบำเพ็ญคันถธุระได้ เพราะข้าพระองค์บวชในกาลเป็นคนแก่, แต่จักบำเพ็ญวิปัสสนาธุระให้บริบูรณ์” ทูลให้พระองค์ตรัสบอกโสสานิกธุดงค์ (อยู่ป่าช้าเป็นวัตร) จนถึงพระอรหัต, ครั้นล่วงปฐมยาม เมื่อชนทั้งหลายนอนหลับหมดทุกคนแล้ว, ท่านก็เข้าไปสู่ป่าช้า เวลาจวนรุ่ง เมื่อชนทั้งหมดยังไม่ทันลุกขึ้นท่านก็ กลับมายังวิหาร.

ครั้งนั้น หญิงสัปเหร่อคนหนึ่งชื่อกาลี ผู้เฝ้าป่าช้า เห็นที่ยืนที่นั่งและที่จงกรมของพระเถระเข้า คิดว่า “ใครหนอมาในที่นี้? เราจักคอยจับตัว” เมื่อไม่อาจจับได้, วันหนึ่ง จึงตามประทีปไว้ที่กระท่อมใกล้ป่าช้า พาบุตรธิดาไปแอบอยู่ในที่ส่วนข้างหนึ่ง เห็นพระเถระเดินมาในมัชฌิมยาม จึงไปไหว้แล้วพูดว่า

“ท่านผู้เจริญ พระผู้เป็นเจ้าพำนักอยู่ในที่ของพวกดิฉันนี้หรือ?”

พระเถระ. จ้ะ อุบาสิกา.

กาลี. ท่านผู้เจริญ ธรรมดาผู้อยู่ในป่าช้าทั้งหลายเรียนระเบียบก่อนจึงจะควร.

พระเถระไม่กล่าวว่า “ก็ข้าพเจ้าจักประพฤติในระเบียบที่เจ้าบอกแล้วอย่างไรเล่า?” กลับกล่าวว่า “ทำอย่างไรเล่าจึงจะควร? อุบาสิกา.”

กาลี. ท่านผู้เจริญ ธรรมดาผู้อยู่ในป่าช้าทั้งหลาย ควรแจ้งความที่ตนอยู่ในป่าช้าแก่ผู้เฝ้าป่าช้า พระมหาเถระในวิหาร และนายบ้าน.

พระเถระ. เพราะเหตุไร?

กาลี. เพราะพวกโจรทำกรรมแล้ว ถูกพวกเจ้าของทรัพย์ สะกดตามรอยเท้าไป จึงทิ้งห่อภัณฑะไว้ในป่าช้าแล้วหลบหนีไป; เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกมนุษย์ก็รุมกัน ทำอันตรายแก่คนที่อยู่ในป่าช้า แต่เมื่อได้แจ้งความแก่เจ้าหน้าที่เหล่านั้นแล้ว, เจ้าหน้าที่เหล่านั้นย่อมช่วยกันป้องกันอันตรายได้ ด้วยกล่าวรับรองว่า ‘พวกข้าพเจ้าทราบความที่ท่านผู้เจริญนี้อยู่ในที่นี้สิ้นกาลประมาณเท่านี้, ท่านผู้เจริญรูปนี้มิใช่โจร’ เพราะฉะนั้น ควรบอกแก่เจ้าหน้าที่เหล่านั้น.

พระเถระ. กิจอื่นอะไรเล่า? ที่ข้าพเจ้าควรทำ.

กาลี. ท่านผู้เจริญ ธรรมดาพระผู้เป็นเจ้า ผู้อยู่ในป่าช้า จำต้องเว้นวัตถุทั้งหลายมีปลา เนื้อ แป้ง งาและน้ำอ้อยเป็นต้นเสีย, ไม่ควรจำวัดกลางวัน ไม่ควรเป็นผู้เกียจคร้าน ควรปรารภความเพียร, ควรเป็นผู้ไม่โอ้อวด ไม่ใช่เจ้าเล่ห์ เป็นผู้มีอัธยาศัยงาม,

เวลาเย็น เมื่อชนหลับหมดแล้ว พึงมาจากวิหาร, เวลาจวนรุ่ง เมื่อหมู่ชนทุกคนยังไม่ลุกขึ้นตื่นนอน เลย พึงไปวิหาร, ท่านผู้เจริญ ถ้าพระผู้เป็นเจ้าอยู่ในที่นี้ด้วยอาการอย่างนี้ไซร้ จักอาจยังกิจแห่งบรรพชิตให้ถึงที่สุดได้,

ถ้าหมู่ชนนำศพมาทิ้ง, ดิฉันจะยกขึ้นสู่เรือนยอด ดิฉันจะยกขึ้นสู่เชิงตะกอนแล้วติดไฟเผา เอาขอเกี่ยวลาก ศพ ออกมาวางไว้ภายนอก ทอนด้วยขวาน เฉือนให้เป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่แล้วใส่ในไฟ แสดงแก่ท่าน แล้วจึงค่อยเผา

พระเถระสั่งนางกาลีนั้นว่า “ดีละ นางผู้เจริญ ก็นางเห็นรูปารมณ์อย่างหนึ่งแล้ว จงบอกแก่ข้าพเจ้านะ.”

นางกาลีรับว่า “จ้ะ.” พระเถระทำสมณธรรมอยู่ในป่าช้าตามอัธยาศัย (ของตน).

สตรีนางหนึ่งได้ตายในเวลาเย็น พวกญาติหามศพสตรีนางนั้นไปสู่ป่าช้าในเวลาเย็น พร้อมด้วยเครื่องเผาต่างๆ มีฟืนและน้ำมันเป็นต้น ให้ค่าจ้างแก่หญิงเฝ้าป่าช้า ด้วยคำว่า “นางจงจัดการเผาศพนี้” ดังนี้แล้ว มอบ (ศพ) ให้แล้วหลีกไป.

นางจึงเดอนทางไปนิมนต์พระเถระพิจารณาศพ

พระเถระรับว่า “จ้ะ” แล้วพูดว่า “รูปนี้ประณีตยิ่งนัก มีสีดุจทองคำ, นางพึงใส่รูปนั้นในไฟ ในกาลที่รูปนั้นถูกเปลวไฟใหญ่ลวกแล้ว จึงบอกแก่ข้าพเจ้า” ดังนี้แล้ว ไปยังที่อยู่ของตนนั่นแล นั่งแล้ว. นางทำอย่างนั้นแล้วจึงแจ้งแก่พระเถระ, พระเถระไปพิจารณา. ในที่ถูกเปลวไฟกระทบแล้วๆ สีแห่งสรีระได้เป็นดังแม่โคด่าง. เท้าทั้งสองงอหงิกห้อยลง มือทั้งสองกำเข้า หน้าผากได้มีหนังปอกแล้ว.พระเถระพิจารณาว่า


“สรีระนี้เป็นธรรมชาติทำให้ไม่วายกระสันแก่บุคคลผู้แลดูอยู่ในบัดเดี๋ยวนี้เอง, แต่บัดนี้ (กลับ) ถึงความสิ้นถึงความเสื่อมไปแล้ว.” กลับไปที่พักกลางคืน นั่งพิจารณาถึงความสิ้นและความเสื่อมอยู่ กล่าวคาถาว่า

“สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีอันเกิดขึ้นและ เสื่อมไปเป็นธรรมดา, เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไปความสงบแห่งสังขารนั้นเป็นสุข”


เจริญวิปัสสนาได้บรรลุพระอรหัต พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย.

“ผู้ตามเห็นอารมณ์ว่างาม ไม่สำรวมในอินทรีย์ทั้งหลาย ไม่รู้ประมาณในโภชนะ เกียจคร้าน มีความเพียรเลวทรามอยู่ ผู้นั้นแล มารย่อมรังควานได้, เปรียบเหมือนต้นไม้ที่มีกำลังไม่แข็งแรง ลมรังควานได้ฉะนั้น. ส่วนผู้ตามเห็นอารมณ์ว่าไม่งาม สำรวมดีในอินทรีย์ทั้งหลายรู้ประมาณในโภชนะ มีศรัทธาและปรารภความเพียรอยู่ ผู้นั้นแล มารย่อมรังควานไม่ได้, เปรียบเหมือนภูเขาหินลมรังควานไม่ได้ ฉะนั้น.”

ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ :
http://www.84000.org/tipitaka/attha/att ... 5&i=11&p=6

เจ้าของ:  sirinpho [ 18 ม.ค. 2014, 11:12 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง

:b8: :b8: :b8: สาธุค่ะ คุณปราชญ์บ้านนอก

เจ้าของ:  ศิษย์หลวงปู่ทา [ 24 ม.ค. 2014, 08:07 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง

สาธุครับ ติดตามผลงานคุณปราชญ์บ้านนอก ตลอดนะครับ :b8:

เจ้าของ:  Duangtip [ 03 ต.ค. 2019, 08:44 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง

Kiss

เจ้าของ:  ฟ้าใสใส [ 13 ธ.ค. 2022, 23:44 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง

:b8: :b8: :b8:

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/