วันเวลาปัจจุบัน 05 ต.ค. 2024, 19:17  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2014, 11:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2775


 ข้อมูลส่วนตัว


นิทานธรรม : พระมหากัปปินะ

ตอนที่ ๑ : อดีตชาติที่ ๑

ในกาลหนึ่ง ณ กรุงพาราณสี
ครั้งนั้นมีพระปัจเจกพุทธเจ้า
อยู่ร่วมกันพันรูปมากมิเบา
ส่งตัวแทนไปเฝ้าพระราชา

เพราะฤดูฝนนั้นใกล้จะถึง
พระท่านจึงดั้นด้นเพื่อค้นหา
สถานที่แอบฝนยามหล่นมา
จึงได้พากันเดินทางเข้าเมืองกรุง

บังเอิญว่าพระราชาทรงไม่ว่าง
เพราะต้องวางแผนการณ์งานวันพรุ่ง
คือมงคลแรกนาขวัญอันจรุง
ภาระยุ่งพระองค์ผลัดอีกสามวัน

พระปัจเจกพุทธเจ้าจึงคิดว่า
จะไปหาอนุเคราะห์ที่อื่นนั่น
คิดแล้วจึงหลบหลีกปลีกไปพลัน
ระหว่างทางนั้นได้พบสบสตรี

นางคือภรรยาหัวหน้า (ช่าง) หูก
บ้านสร้างปลูกอยู่ในพาราณสี
เมื่อทราบความนางใคร่ไป่ยินดี
วันพรุ่งนี้นิมนต์ไปยังบ้านตน

เรามีกันพันรูปนะแม่หญิง
โปรดอย่ากริ่งเกรงใดให้สับสน
ข้าพเจ้ามีกันเป็นพันคน
อย่ากังวลโปรดรับอาราธนา

เมื่อพระท่านขานถ้อยร้อยคำรับ
นางก็กลับบ้านไปใจหรรษา
ป่าวประกาศเรื่องตนรับปากมา
เพื่อนอาสาจัดที่นั่งทั้งอาหาร

ตรงกลางบ้านนางสร้างปะรำใหญ่
สร้างเอาไว้เพื่อเป็นเช่นสถาน
พระปัจเจกฯ จำพรรษายามถึงกาล
ถวายทานร่วมกันนั่นสิ่งดี

ออกพรรษานางชวนเพื่อนทั้งหลาย
ร่วมถวายจีวรเพื่อพรศรี
อนุโมทนาแล้วพระก็จรลี
ผลบุญนี้นำเกิด ณ ดาวดึงส์ ๚


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2014, 11:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2775


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนที่ ๒ : อดีตชาติที่ ๒...สร้างเสนาสนะ

มาสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า
ชนกลุ่มเก่าได้เกิดอีกครั้งหนึ่ง
พิสุทธิ์ทานทำไว้คงไล้รึง
อีกดวงจิตติดตรึงซึ่งความดี

พวกเพื่อนเกิดในกุฎุมพีบริวาร
เกิดพร้อมกัน ณ สถานพาราณสี
หัวหน้าช่างหูกเป็นบุตรคนมั่งมี
ภรรยาเกิดในกุฏุมพีใหญ่เหมือนกัน

เมื่อถึงวัยได้แต่งงานคู่กาลก่อน
ผลแห่งกรรมนำย้อนดั่งพรสรรค์
จึ่งพรั่งพร้อมเพียบสุขทุกวารวัน
คราหนึ่งนั้นวัดประกาศให้ไปฟังธรรม

เมื่อพวกเขาไปถึงลานวัดนั้น
ในฉับพลันฝนเทเห่กระหน่ำ
พวกมีญาติเป็นพระไม่ตรากตรำ
แต่กุฎุมพีช้ำระกำใจ

เขาทั้งพันต้องฝืนยืนตากฝน
หัวหน้าล้นละอายขายหน้าไซร้
จึงกล่าวกับบริวารถึงปัจจัย
ร่วมเรี่ยไรสร้างเสนาสนะกัน

บริวารฟังแล้วยินดีด้วย
จึงได้ช่วยบริจาคทรัพย์ลงขัน
หัวหน้าเองออกไปให้หนึ่งพัน
ลูกน้องนั้นออกคนละห้าร้อย

ผู้หญิงคนละสองร้อยห้าสิบ
รวบรวมหยิบมอบให้ช่างเพื่อใช้สอย
สร้างปราสาทพันหลังเรือนยอดน้อย
แม้กว้างหน่อยถือเป็นที่ (ประทับ) พระศาสดา

เพราะสิ่งสร้างเสริมก่อต่อจนใหญ่
ทรัพย์จึงไม่พอเพียงเยี่ยงคิดหนา
ต้องเติมทรัพย์ครึ่งจากเดิมเพิ่มออกมา
ทุกถ้วนหน้าเบิกบานสำราญใจ ๚


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2014, 11:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2775


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ
ดอกอโนชา (ดอกอังกาบ) สีขาว


ตอนที่ ๓ : อดีตชาติที่ ๒...ดอกอังกาบ

แล้วพร้อมกันถวายมหาทาน
ณ วิหารสถานสร้างสำเร็จไซร้
ถวายจีวรแก่สงฆ์ทุกรูปไป
พระพุทธเจ้าได้เป็นประมุขทั้งเจ็ดวัน

ส่วนภรรยาหัวหน้ากุฏุมพี
นางนั้นมีดวงจิตคิดสร้างสรรค์
ถือผอบบรรจุดอกอังกาบนั้น
พร้อมผ้าสีเดียวกันถวายพระศาสดา

เมื่อไปถึงนางบูชาดอกอังกาบ
แล้วหมอบกราบบาทมูลทูลปรารถนา
เกิดชาติใดขอสรีระคล้ายดอกอโนชา
ทั้งนามหนาข้าพเจ้าขอเป็นเช่นดอกนั้น

พระพุทธองค์ทรงอนุโมทนา
ดำรัสว่าจงสำเร็จสมมาดมั่น
ยามพวกเขาตายไปเกิดเทวโลกพลัน
เสพสุขสันต์ตลอดหนึ่งพุทธันดร ๚


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2014, 11:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2775


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนที่ ๔ : คำทำนาย

ในสมัยพระปทุมุตตรพุทธเจ้า
ผองชนเข้าฟังธรรมคำสั่งสอน
ณ วิหารหังสวดีนคร
บุรุษหนึ่งซึ้งซ้อนซ่อนยินดี

บุรุษท่านนั้นคือผู้พิพากษา
กอปรกิจจาในพระนครนี่
ฟังธรรมแล้วให้เกิดความปีตี
แหละท่านมีความคิดพิสิฐนัย

เพราะระหว่างกำลังฟังพระธรรมนั้น
สายตาพลันเหลือบเห็นสงฆ์หนึ่งไซร้
มีตำแหน่งเหนือพระรูปอื่นใด
ฐานะนั้นท่านได้จากพระศาสดา

คืออยู่ในเอตทัคคะตำแหน่ง
ที่เลิศแห่งให้โอวาทภิกษุหนา
เมื่อยินแล้วให้เกิดความศรัทธา
จึงนิมนต์พระมาฉันที่บ้านตน

เมื่อพระพุทธองค์ทรงแล้วเสวยอาหาร
ผู้พิพากษาหมอบคลานประสานสน
ถึงตำแหน่งแฝงเฝ้าเคล้ากมล
พระองค์กล่นเกริ่นกล่าวราวทำนาย

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่า
ดูมหาอำมาตย์แกล้วกล้าการณ์ทั้งหลาย
หมอบอยู่แทบเท้าเราเหมือนเดียวดาย
แต่สหายเขามีมากหลากบริวาร

มีวรรณะนัยน์ตาหน้าผ่องใส
มีความปลาบปลื้มใจในสถาน
มียศใหญ่ในกิจราชการ
จะพบพานเสวยสุขทุกภพไป

ด้วยการบริจาคบิณฑบาตนี้
พร้อมทั้งมีความปรารถนาพิสมัย
เขาจะสบพบทุกสิ่งที่ตั้งใจ
ทั้งแสนกัปนับไว้ตลอดกาล

แต่ในกัปซึ่งมีพระศาสดา
พระนามว่า “โคดม” ทรงสถาน
มหาอำมาตย์นี้ได้เป็นธรรมบริวาร
ละสงสารทุกข์ได้ในกัปนี้

เมื่อเขาเป็นสาวกของพระศาสดา
จะชื่อว่า “กัปปินะ” เลิศวิถี
ได้ตำแหน่งสมปรารถนาพายินดี
จะสุขีจวบถึงซึ่ง “นิพพาน” ๚


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2014, 11:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2775


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนที่ ๕ : กำเนิดพระเจ้ามหากัปปินะ

กลุ่มหัวหน้าช่างหูกแลลูกน้อง
คงเที่ยวท่องล่องในวัฏสงสาร
เกิดครั้งใดฝักใฝ่ในบุญทาน
เพื่อนร่วมสานภรรยาช่วยเสริมเติมความดี

ครั้นมาถึงซึ่งสมัย “พระโคดม”
บุญสั่งสมส่งให้ใสราศี
เกิดมาร่วมกันอีกในชาตินี้
ทุกชีวีมีความสุขไร้ทุกข์ใจ

หัวหน้าช่างเกิดแห่งตระกูลราช
ลูกน้องเกิดแก่อำมาตย์สกุลไซร้
ภรรยาเกิดแห่งราชตระกูลต่างเมืองไป
เพื่อนเกิดในสกุลอำมาตย์มิคลาดกัน

พระนางเคยอธิฐานครั้งกาลก่อน
บัดนี้พรย้อนหาพาสุขสันต์
สีผิวดั่งดอกอังกาบฉาบผ่องพรรณ
ด้วยเหตุนั้นได้พระนาม “อโนชา”

ครั้นถึงวัยได้ขึ้นบัลลังก์ราชย์
มีอำมาตย์บริพารเก่าเฝ้ารักษา
“พระเจ้ามหากัปปินะ” นามราชา
กาลต่อมาชนทั้งหมดสมรสกัน ๚


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2014, 11:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2775


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนที่ ๖ : พระเจ้ามหากัปปินะ...ออกผนวช ๑

พระราชาทรงฝักใฝ่ในบุญทาน
เสมือนกาลในอดีตมิผิดผัน
พระองค์ส่งอำมาตย์ออกทุกวัน
เพื่อสืบสรรพสิ่งใหม่ในโลกา

ในวันหนึ่งพระองค์ทรงม้า “สุปัตตะ”
เป็นพาหนะโปรดมากจากทั้งห้า
ส่วนที่เหลือให้อำมาตย์นั้นขี่มา
พบพ่อค้าห้าร้อยคนสนพระทัย

เพราะพวกเขาแลร่างไร้แววผ่อง
ทั้งหน้าตาแลหมองมิส่องใส
พระดำริคงมาจากแดนไกล
ทรงสั่งให้อำมาตย์นำพวกเขามา

แล้วพระองค์ทรงถามถึงความใหม่
พวกพ่อค้าตอบไปไม่มีหนา
จะมีก็สาวัตถีนครา
สิ่งใหม่อุบัติมาคือพระรัตนตรัย

เมื่อพระองค์ทรงสดับกับความนั้น
พระองค์พลันนั่งนิ่งมิติงไหว
เกิดปีติโสมนัสรัดพระทัย
พระองค์ให้รางวัลงามตามข่าวดี

พระองค์ทรงแลมองเหล่าอำมาตย์
ทรงตรัสมาดปรารถนาพาผ่องศรี
จะเดินทางออกนอกราชธานี
มุ่งไปที่สำนักของพระศาสดา

แล้วพระองค์ทรงจารึกพระอักษร
ก่อนทรงจรจากไปไม่คืนหา
ส่งสาสน์ถึงพระราชเทวีอโนชา
ใจความว่า “เสวยราชแทนพระองค์”

เหล่าอำมาตย์เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น
เขียนสารพลันผันความตามประสงค์
ฝากพ่อค้าถึงภรรยาก่อนเดินดง
แล้วขึ้นม้าตามองค์ราชาไป ๚


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2014, 11:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2775


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนที่ ๗ : พระเจ้ามหากัปปินะ...ออกผนวช ๒

เส้นทางเดินลำบากแลกันดาร
เพราะต้องผ่านภูผาแลป่าใหญ่
อีกทั้งมีแม่น้ำ (สามสาย) กั้นขวางไว้
จะข้ามได้ต้องอาศัยเรือหรือแพ

พาหนะเหล่านั้นคงยากหา
พระองค์ทรงดำริว่าล่าช้าแน่
หากต้องรอพาหนะจะพ่ายแพ้
ต่อเกิดแก่เจ็บตายวายชีวา

จึงทรงตั้งพระสัตยาธิษฐาน
ขอดวงแก้วสามประการผ่านรักษา
ขอผิวน้ำแกร่งดุจพสุธา
ขอทัพม้าพาข้ามอย่างปลอดภัย

ครั้นทรงสิ้นพระสัตยาธิษฐาน
ทรงประสานอารมณ์มั่นคงไซร้
ระลึกถึง .....พระพุทธคุณ..... หนุนนำชัย
เสด็จข้ามแม่น้ำ (สายแรก) ได้ดั่งปรารถนา

เมื่อมาถึงซึ่งแม่น้ำสายที่สอง
พระองค์ทรงตรึกตรองมองเวหา
รำลึกถึง .....พระธรรมคุณ..... เกื้อหนุนพา
แล้วทรงม้าเสด็จข้ามแม่น้ำไป

สายที่สามสมความตามที่นึก
ทรงระลึกถึง .....พระสังฆคุณ..... ไซร้
ทั้งสามสายพากันข้ามอย่างปลอดภัย
ด้วยพระรัตนตรัยใคร่คุ้มครองผองคนดี ๚


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2014, 11:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2775


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนที่ ๘ : เอหิภิกขุอุปสัมปทา

กล่าวถึงเมืองเรืองนามเขตคามนั่น
คือวิหารเชตวันสาวัตถี
ร้อยยี่สิบโยชน์ห่างจากฝั่งนที
ซึ่งเป็นที่ประทับของพระศาสดา

ทุกเช้ามืดพระองค์ทรงพระจริยวัตร
ทรงตรวจดูเวไนยสัตว์ในโลกหล้า
หากสัตว์ใดเข้าข่ายพระญาณมา
พระพุทธองค์ทรงเมตตาพาพบชัย

ราตรีนั้นพระเจ้ากัปปินะพร้อมบริวาร
เข้าข้องข่ายพระญาณพระองค์ไซร้
พระพุทธองค์ทรงรู้แจ้งแห่งเวไนย
ว่าจักได้บรรลุถึงซึ่ง.....อรหันต์

พระดำริควรออกไปต้อนรับ
เมื่อเสด็จถึงจึ่งประทับ ณ ไพรสัณฑ์
ใต้ต้นนิโครธใกล้ฝั่งแม่น้ำนั้น
ทรงแผ่พระรัศมีวิลาวัณย์อันอำไพ

ครั้นพระราชาเสด็จมาถึงยังที่
ทอดพระเนตรเห็นรัศมีสว่างไสว
ทรงดำริว่าแสงนี้มิใช่ใคร
แน่นอนไซร้คือแสงแห่ง.....พระศาสดา

จึ่งเสด็จลงจากหลังม้านั่น
เหล่าอำมาตย์ทั้งพันทำตามหนา
จากนั้นเดินตามหลังพระราชา
เข้าเฝ้าองค์พระศาสดาตามต้องการ

เมื่อพระราชาถวายบังคมแล้ว
ทรงประทับนั่งแถวหน้าสถาน
ซึ่งเป็นที่อันควรพร้อมบริวาร
พระพุทธเจ้าโปรดประทานพระวาจา

พระพุทธองค์ทรงตรัสตามวาระ
ด้วยธรรมะ.....อนุปุพพิกถา.....
คือไล่ลำดับจากขั้นต่ำเรื่อยขึ้นมา
เพราะปัญญาแต่ละคนไม่เหมือนกัน

ครั้นพระองค์ทรงจบพระเทศนา
พระราชาและอำมาตย์เกษมสันต์
บรรลุถึงซึ่งพระโสดาบัน
พร้อมกันนั้นทูลขอบวชในทันที

.....เอหิภิกขุอุปสัมปทา.....
พระศาสดาทรงพระญาณสานวิถี
ทรงทราบว่าบาตรจีวรในที่นี้
ได้มาจากกรรมดีที่ทำไว้

ดั่งนั้นแล้วทรงเหยียดพระหัตถ์ขวา
ทรงตรัสว่ามาเถิดเป็นภิกษุไซร้
จงประพฤติพรหมจรรย์ทุกวันไป
เพื่อจักได้สิ้นสุดแห่ง.....เวทนา

บริขารแปดพึงได้แก่ภิกษุนั้น
หากเปรียบกันคล้ายเถระหลายพรรษา
ภิกษุเหล่านั้นเหาะสู่ท้องนภา
กลับลงมาถวายบังคมพระพุทธองค์ ๚


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2014, 11:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2775


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนที่ ๙ : พระนางอโนชาเทวีเสด็จออกผนวช

กล่าวย้อนถึงพระนางอโนชา
ครั้นรับสาสน์จากพ่อค้าพาพิศวง
จึ่งตรัสความถามเหตุเจตน์จำนง
พระประสงค์องค์ราชันย์นั้นอย่างไร

พ่อค้าทูลเล่าเรื่องราวทั้งหมด
พระราชินีทรงลดละสงสัย
ทรงปีติปลาบปลื้มเปี่ยมฤทัย
ทรงประทานรางวัลใหญ่ให้พ่อค้า

แล้วตรัสแก่ภรรยาเหล่าอำมาตย์
พระองค์ทรงมุ่งมาดปรารถนา
จะออกบวชอุทิศถวายพระศาสดา
ดุจดั่งพระราชาทรงพาเดิน

ภรรยาเหล่านั้นครั้นฟังแล้ว
ให้ผ่องแผ้วพากันสรรเสริญ
ทั้งทูลขอพระนางร่วมดำเนิน
เพื่อมุ่งสู่ความเจริญจวบนิพพาน

เมื่อเดินทางถึงแม่น้ำสายแรกนี้
พระราชินีทรงตั้งสัตย์อธิษฐาน
ยึด “พระพุทธ” คือบรมครูอาจารย์
ดลบันดาลข้ามแม่น้ำอย่างปลอดภัย

แม้แม่น้ำสายที่สองแลที่สาม
พระองค์ก็ทรงข้ามมาได้ไซร้
สายที่สองยึด “พระธรรม” นำข้ามไป
สายที่สามข้ามได้โดย (ยึด) “พระสงฆ์”

เพราะว่าการระลึกถึง “พระรัตนตรัย”
หวังสิ่งใดมักประสบสมประสงค์
แต่ก็มีอุปสรรคให้พะวง
พระพุทธองค์ทรงบันดาลให้.....ไม่เห็นกัน

เหตุและผลที่ทรงบันดาลฤทธิ์
เพื่อปกปิดอันตรายหลายเสกสรร
ที่ปวงชนสร้างขึ้นมาเองนั้น
เป็นเครื่องกั้นการกระทำนำความดี

ครั้นพระนางเสด็จมาถึงแล้ว
พระพักตร์แผ้วผ่องใสไร้หมองศรี
ทรงกราบทูลถามถึงพระสวามี
พระพุทธองค์ตรัสว่า “ที่นี่” ได้พบกัน

แล้วทรงแสดง.....อนุปุพพิกถา.....
เหล่าบรรดาภิกษุถึง.....พระอรหันต์
กลุ่มพระราชินีบรรลุ.....โสดาบัน
ณ กาลนั้นพระพุทธองค์ทรงคลายมนต์

พระราชาทรงเห็นพระมเหสี
หญิงเหล่านั้นเห็นสามีไม่สับสน
ครองผ้าเหลืองเป็นสงฆ์แล้วทุกคน
หมด กังวลพ้นทุกข์เป็นสุขใจ

เมื่อพระนางทรงเห็นเหตุเช่นนั้น
จึ่งพร้อมกันกับบริวารกรานกราบไหว้
แหละทูลขอบวชตามพระวินัย
เพื่อสะสมบ่มไว้ในกรรมดี

พระพุทธองค์ทรงคำนึงรำพึงหา
พระอุบลวรรณา (เถรี).....กรุงสาวัตถี
ท่านบวชอยู่สำนักภิกษุณี
แหละท่านมี.....เจโตปริยญาณ

จึ่งรับรู้พระดำริพระพุทธเจ้า
จึ่งได้เหาะเข้าเฝ้า ณ สถาน
พระพุทธองค์ทรงตรัสสิ่งต้องการ
ทรงประทานการบวชแก่พระเถรี

ทรงตรัสบอกกับเหล่าอุบาสิกา
ไปเถิดหนาไปสู่สาวัตถี
บรรพชาในสำนักภิกษุณี
พระอุบลวรรณาเถรีจะพาไป

ระยะทางหนึ่งร้อยยี่สิบโยชน์
ก็ถึงที่ที่ทรงโปรดประทานให้
ประพฤติพรตพรหมจรรย์ทุกวันไป
วันหนึ่งได้สำเร็จเป็น .....พระอรหันต์..... ๚ ๛


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2014, 11:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2775


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนที่ ๑๐ : ผู้เป็นเลิศในทางการให้โอวาทแก่ภิกษุ

ขอกล่าวย้อนไปยังพระวิหาร (เชตวัน)
คือสถานที่สงบสงัดนั่น
พระมหากัปปินะพักอยู่ที่นั้น
บรรลุเป็นพระอรหันต์ (องค์หนึ่ง) ในโลกา

เพราะเหตุนั้นท่านเกิดความทุกข์จิต
มีความคิดเรื่องอุโบสถเคยรักษา
อีกทั้งกิจสังฆกรรมเคยทำมา
ท่านคิดว่าควรมิควรทำต่อไป

บัดดลนั้นพระพุทธเจ้าทรงรู้วาระจิต
ว่าความคิดนั้นหนาพาหวั่นไหว
พระพุทธองค์ทรงมีความห่วงใย
ทรงแสดง (พุทธานุภาพ) ออกไปในทันที

แลเสมือนปรากฏองค์อยู่ตรงหน้า
ของพระมหา-กัปปินะผู้ผ่องศรี
แล้วพระองค์ทรงพุทธพจนี
พระกัปปินะเห็นแจ้งดีมีสุขใจ

พระพุทธพจน์นั้นมีใจความว่า
หากพวกเธอมิบูชาอุโบสถไซร้
อีกสังฆกรรมเลิกทำกันต่อไป
ก็จะไม่มีผู้ใดไหนทำเลย ๚

ในครั้งหนึ่งพระพุทธองค์ทรงทอดพระเนตรเห็น
พระกัปปินะนั่งเด่นหน้าวางเฉย
กายตั้งตรงทรงสติไว้อย่างเคย
ทรงกล่าวเอ่ยถามความในทันใด

“ดูก่อนเหล่าภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย”
เธอเห็นกายของกัปปินะไหม
พระเถระรูปนั้นนั่งอย่างไร
มีการไหวเอนเอียงหรือตั้งตรง

ภิกษุว่ามิเคยเห็นความเอนไหว
ของพระเถระรูปนี้ไซร้ในหมู่สงฆ์
แม้ท่านอยู่เพียงลำพังยังดำรง
กายตั้งตรงคงอยู่ตลอดเวลา

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าดีแล้วหนอ
ความไหวต่อกายและใจไม่มีหนา
แก่ผู้ที่ดับกิเลสด้วยปัญญา
คือเจริญ “อานาปานสติ” อย่างมั่นคง

พระกัปปินะยินแล้ว (จึง) ประกาศว่า
การเจริญอานาปานสติมิมีหลง
เป็นคำสอนของพระศาสดามาโดยตรง
จิตดำรงคงสติมิแกว่งไกว

หากผู้ใดเจริญอานาฯ สมบูรณ์ดี
ทำตามที่พระองค์ทรงวางให้
จิตจะผ่องดุจจันทร์ผันอำไพ
โลกนี้ไซร้ (ก็) ใสสุกทุกทิศา ๚

พระมหากัปปินะมิว่าอยู่แห่งใด
ท่านจักได้เปล่งเสียงอุทานหา
“สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ” ตลอดเวลา
ภิกษุพากันหวั่นวิตกใจ

เพราะคิดว่า (พระเถระ) นึกถึงสมบัติเก่า
จึงพากันเข้าเฝ้ากราบทูลไซร้
แม้พระองค์ทรงรู้แจ้งเหตุเป็นไป
แต่ยังรับสั่งให้เรียกพระเถระมา

พระองค์ทรงตรัสถามถึงสาเหตุ
พระกัปปินะตอบเจตน์แห่งกังขา
ท่านเอิบอิ่มปริ่มสุขด้วยธรรมา
ใช่มหา-สมบัติที่เคยมี

พระพุทธองค์จึงตรัสแก่ภิกษุว่า
สุขจากธรรมนำมาพาผ่องศรี
พระกัปปินะเป็นผู้ประพฤติดี
เป็นผู้ที่ปรารภถึง “อมตมหานิพพาน”

แล้วพระองค์ทรงตรัสถามพระกัปปินะ
เธอผู้ละกิเลสทุกสถาน
เคยบ้างไหมแสดงธรรมบางประการ
สั่งสอนศิษย์พ้นมารปราศจากภัย

พระเถระกราบทูล “ไม่เคยพระเจ้าข้า”
พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าอย่ากระนั้นไซร้
นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
เธอจงได้สอนภิกษุทั้งหลายนี้

พระกัปปินะน้อมรับพุทธฎีกา
กาลต่อมายกธรรมแสดงแจงวิถี
เพียงครั้งเดียวศิษย์ทั้งหลายเข้าใจดี
จึงเกิดมี “พระอรหันต์” เพิ่มขึ้นมา

พระกัปปินะใช่สอนเพียงภิกษุนั่น
ภิกษุณีเช่นกันท่านสอนหนา
เป็นธรรมะเกี่ยวเนื่องเรื่องปัญญา
เป็นทรัพย์ที่มีค่ากว่าเงินทอง ๚


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2014, 11:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2775


 ข้อมูลส่วนตัว


ตอนที่ ๑๑ : พระธรรมเทศนา-พระเถระปรินิพพาน

.....ผู้มีปัญญา.....

หากผู้ใดเห็นกิจมีประโยชน์
แล้วรีบโลดแล่นทำนำสนอง
ก่อนศัตรูแลอมิตรคิดครอบครอง
ชนยกย่องว่าเป็นผู้ “มีปัญญา”

บุคคลใดสิ้นทรัพย์ได้รับทุกข์
จะพบสุขสักครั้งมิได้หนา
บุคคลนั้นถือเป็นผู้ “ไร้ปัญญา”
ขาดพินิจคิดพาตนให้พ้นภัย

ตรงกันข้ามกับผู้ที่มีปัญญา
แม้สิ้นทรัพย์กลับหาความสุขได้
เพราะปัญญาพาดำเนินเดินต่อไป
ชีวิตไม่อับจนพ้นทรมาน

.....“ความไม่เที่ยง” สอนภิกษุณี.....

ความไม่เที่ยงเลี่ยงไม่ได้ในโลกนี้
ก็คือมีความเกิดดับจับสถาน
ไม่มีใครไป่ดำรงยงอยู่นาน
ยามถึงกาลก็ต้องตายวายชีวัน

ชีวิตที่มีประโยชน์ต่อใครใคร
ก็จักไร้คุณค่าแก่คนตายนั่น
การร้องไห้ถึงคนที่ตายแล้วนั้น
เป็นการบั่น-ทอน (ความ) คิดแลจิตใจ

การร้องไห้ไร้ประโยชน์แลคุณค่า
อันดวงตาก็จักเสียไม่สดใส
อีกร่างกายก็ถอยลดกำลังไป
ผิวพรรณไซร้ก็จะเสื่อมมิน่ามอง

สมณะพราหมณ์ก็จักไม่สรรเสริญ
ความเจริญจักไร้ผลสนสนอง
ศัตรูย่อมยินดีด้วยคอยครอง
มิตรพลอยหมองทุกข์ใจไปด้วยกัน

ภิกษุณีเหล่านั้นครั้นฟังแล้ว
ก็เพริศแพร้วสุขใจไร้โศกศัลย์
ปฏิบัติในกิจถูกต้องพลัน
ประโยชน์นั้นก็บังเกิดแก่ภิกษุณี

พระบรมศาสดาจึงได้ทรงยกย่อง
พระกัปปินะผู้ใสส่องผ่องราศี
เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายนี้
ในด้านที่ “สั่งสอนแลอบรม”

พระมหากัปปินะเถระละสังขาร
เพราะถึงกาลอายุขัยได้สุขสม
ท่านดับขันธ์เข้าสู่แดนเหนือชั้นพรหม
ณ บรมศานติสุข ....คือนิพพาน.... ๚ ๛


------------ จบบริบูรณ์ ------------


:b8: ที่มา : http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=4440


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ย. 2014, 22:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 13:34
โพสต์: 1654

งานอดิเรก: ฟังเพลง และฟังธรรมตามกาลเวลา
สิ่งที่ชื่นชอบ: อภัยทาน
อายุ: 39
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว


หากผู้ใดเจริญอานาฯ สมบูรณ์ดี
ทำตามที่พระองค์ทรงวางให้
จิตจะผ่องดุจจันทร์ผันอำไพ
โลกนี้ไซร้ (ก็) ใสสุกทุกทิศา ๚


:b42: :b42: :b42:

:b44: (♡✿◕‿◕✿♡) กราบอนุโมทนาบุญกับผู้เจริญในธรรมและกัลยาณมิตรทุกท่าน มีดวงตาเห็นธรรม มีความสว่างทั้งทางโลกและทางธรรม รู้แจ้งเห็นจริง มีความสุขความเจริญ และอยู่เย็นเป็นสุขนะเจ้าค่ะ :b8: :b8: :b8: :b20: :b20: (♡✿◕‿◕✿♡)

.....................................................
ธรรมอำนวยพร
ขอให้.....มีจิตที่รู้ ที่ตื่น ที่เบิกบาน (พุทธะ)
ขอให้.....ทำการงานด้วยความสุข (อิทธิบาทสี่)
ขอให้.....ขจัดทุกข์ได้ด้วยปัญญา (อริยสัจสี่)
ขอให้.....มีดวงตาที่เห็นความจริง (ไตรลักษณ์)
ขอให้.....เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยไตรสิกขา (ศีล, สมาธิ, ปัญญา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ม.ค. 2015, 12:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 พ.ย. 2008, 09:20
โพสต์: 349


 ข้อมูลส่วนตัว


tongue :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ส.ค. 2018, 11:01 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2884


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2019, 13:26 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b39: :b44: ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร