วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 05:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2014, 16:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


smiley smiley smiley

นิทานหลังโบสถ์
เรื่อง นางปัญจปาปา ขี้เหร่

ณ.หมู่บ้านชนบท
เด็กหญิงคนหนึ่งกำลังตำดินเหนียวให้ละเอียด
เพื่อจะนำไปฉาบทาฝาเรือน ขณะที่ตำอยู่อย่าง
ขะมักเขม้นนั้นพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งมายืน
ถือบาตรอยู่ตั้งแต่เมื่อไรไม่ทันสังเกต นางมอง
เห็นแล้ว แต่ทำเป็นไม่สนใจ ยังคงตำดินเหนียว
ต่อไป

ชำเลืองมองอีกที พระคุณเจ้าก็ยังยืนอุ้มบาตร
อยู่นั่นแล ไม่มีทีท่าจะไปไหน นางรู้สึกขัดใจ จึง
ปั้นดินเหนียวที่ตำละเอียดแล้วก้อนใหญ่ เอาไป
โยนใส่บาตรให้ พร้อมทำหน้านิ่วคิ้วขมวด

" เอ้า เอาไป "

พระปัจเจกพุทธเจ้าเมื่อได้ดินเหนียวแล้วจึงให้
ศีลให้พรแก่นาง แล้วนำดินเหนียวไปฉาบทาอุด
ช่องโหว่ที่ฝากุฎิ เพื่อกันลมกันฝนดังเดิม

กาลต่อมา เมื่อนางสิ้นชีวิตแล้วไปเกิดในตระกูล
ยากจน แถมรูปร่างหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่สุดพรรณนา
มีส่วนอัปลักษณ์ 5 แห่งเช่นตาเข ปากเบี้ยว จมูก
แหว่ง ขาลีบ เขาจึงเรียกแกว่า

ปัญจปาปา (ขี้เหร่ห้าแห่ง)

เรียกว่าไม่มีสิทธิ์ไปวัด แต่ประหลาด นางกลับมี
ผิวละเอียดมาก แถมมีสัมผัสเป็นทิพย์ คือถ้าชาย
ใดมาแตะต้องตัวจะรู้สึกซาบซ่านอย่างบอกไม่ถูก

วันหนึ่ง
ขณะที่นางปิดตาเล่นซ่อนหาอยู่กับเพื่อนๆอยู่
พระราชาองค์หนึ่งเสด็จผ่านมา หลังจากไปล่า
สัตว์ กำลังจะเข้าเมืองแวะพักที่หมู่บ้านนั้น ยืน
ทอดพระเนตรดูเด็กๆ เล่นซ่อนหากันอยู่ ปัญจ
ปาปาซึ่งปิดตาควานหาเพื่อนๆ ที่หลบซ่อนคว้า
พระกรพระราชาเข้า จึงร้องว่า "จับตัวได้แล้ว"
พอเปิดตารู้อะไรเป็นอะไร จึงรีบวิ่งหนีไป

ส่วนพระราชา ผู้ถูกจับพระกร ทรงรู้สึกซาบซ่าน
ทั่วทั้งสรรพางค์กาย ทรงประหลาดพระทัยมาก
ว่าเด็กหญิงคนนี้ช่างมีสัมผัสอันเป็นทิพย์ทำให้
เกิดความหลงใหลอะไรปานนั้น จึงทรงถามไถ่
พวกเด็กๆ ว่านางเป็นใคร อยู่เรือนไหน

เมื่อทรงทราบ จึงเสด็จไปขอลูกสาวพ่อแม่ของ
เด็กหญิงปัญจปาปา พ่อแม่ของนางนึกไม่ถึงว่า
ลูกสาวขี้ริ้วขี้เหร่ของตนจะเป็นที่สนใจของชาย
หนุ่มใหญ่ท่าทางภูมิฐานปานนี้ จึงตกปากรับคำ
อย่างง่ายดาย

พระราชาอยู่กับนางเวลากลางคืนรุ่งเช้าก็หายไป
อ้างว่าไปทำงานข้างนอก เย็นก็กลับ เหตุการณ์
ดำเนินไปสักระยะหนึ่ง ทรงคิดจะหาทางนำนาง
เข้าไปยังพระราชวัง แต่เกรงจะได้รับการคัดค้าน
จากเหล่าเสนาอำมาตย์ ก็ขี้เหร่ปานนั้น จะนำมา
เป็นมเหสี ใครรู้เข้าก็คงจะหัวเราะเยาะในใจ

คืนวันหนึ่ง
พระราชาพระราชทานปิ่นมณีให้นาง เช้ามาก็หาย
ไปตามเดิม พอตอนกลางวันมีตำรวจจากพระราช
สำนักมาค้นหาสิ่งของมีค่าโดยอ้างว่าโจรขโมยมา
จากพระราชวัง ค้นไปค้นมาไปพบปิ่นมณีเข้า จึง
จับนางพร้อมพ่อแม่ไปชำระความ

นางกล่าวว่า นางมิได้ขโมย ปิ่นมณีนี้สามีให้มา
เมื่อถามว่าสามีคือใคร อยู่ที่ไหน นางบอกแต่ว่า
ไม่ทราบ ทราบแต่ว่าเขามากลางคืน เช้าก็หายไป
แต่ถ้าได้จับแขนเขาจะรู้ทันทีว่าเป็นใคร

จากนั้นก็มีการพิสูจน์กันขึ้น คือ ให้ขึงม่าน แล้วนำ
ชายทั้งหนุ่มและแก่มายื่นแขนให้นางจับอยู่นอก
ม่าน ผู้ที่ถูกนางปัญจปาปาจับก็ซาบซ่านทั้งทรวง
ไปตามๆ กัน แต่นางก็บอกว่าไม่ใช่สามีนางสักคน

พระราชาตรัสว่า หรือเป็นเรา ว่าแล้วก็ยื่นพระหัตถ์
ผ่านม่านให้นางจับ ทันใดนั้นนางก็ร้องว่า ใช่แล้ว
คนนี้คือผัวของข้า ความจริงก็เลยปรากฏขึ้น

นางก็ถูกนำตัวเข้ากรุง ได้รับอภิเษกเป็นมเหสีท้ายๆ
แต่เป็นที่โปรดปรานมาก โปรดปรานจนกระทั่ง พระ
ราชาไม่เหลียวแลมเหสีอื่นเลย

ทีนี้กระบวนการจองเวรก็เกิดขึ้น นางถูกใส่ไฟจนถูก
เนรเทศลอยแพไปตามน้ำ พระราชาอีกเมืองพบนาง
นำไปเป็นมเหสีของตน เรื่องรู้ถึงพระสวามีองค์ก่อน
ก็นึกเสียดายไปขอคืน ตกลงกันไม่ได้ จึงต้องยกทัพ
ไปแย่งกันไม่มีใครแพ้ใครชนะ จึงหย่าศึกตกลงแบ่ง
กัน ให้นางอยู่กับพระราชาทั้งสองเมือง ผลัดเปลี่ยน
หมุนเวียนไป นางก็เลยเป็น "มเหสีสองเมือง"
ด้วยประการฉะนี้

มีผู้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า
เหตุใดนางจึงเกิดมาขี้เหร่ และเหตุใดคนขี้เหร่ปานนั้น
จึงมีเสน่ห์แรง ถึงขั้นแย่งชิงกัน พระพุทธองค์ตรัสว่า

๑. นางให้ทานด้วยความโกรธ หน้านิ่วคิ้วขมวด
จึงเกิดมาขี้เหร่

๒. นางถวายดินเหนียวที่ตำละเอียดแก่พระปัจเจกพุทธ
ผู้เพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ จึงเกิดมามีผิวละเอียด
มีสัมผัสเป็นทิพย์

การให้สิ่งของโดยไม่เคารพ ให้อย่างเสียไม่ได้ ให้เพื่อ
ตะเพิดให้พ้นความรำคาญ ย่อมไม่เป็นมงคล
คือ ไม่เป็นเหตุให้ได้รับผลอันพึงปรารถนา

ไม่ทราบแหล่งที่มา
ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน๊ต

tongue tongue tongue

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ธ.ค. 2014, 14:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 พ.ค. 2013, 10:07
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 24 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร