วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 18:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 179  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2018, 14:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อ้างคำพูด:
ต่างก็แทรกขึ้นมา เขาคิดว่า ที่ทุก ๆ มุม ขอให้หม้อนํ้าแทรกขึ้นมามุมละใบ
หม้อนํ้าก็แทรกขึ้นมา เขาเนรมิตสิ่งต่าง ๆมีประมาณเท่านี้ เสร็จแล้วจึงไปยัง
สำนักของพราหมณ์แล้วกล่าวว่า มานี่แน่ะท่าน ท่านจงตรวจดูมณฑปแล้วให้
ค่าจ้างแก่เรา. พระมหาบุรุษไปตรวจดูมณฑปแล้ว. เมื่อเขากำลังตรวจดูอยู่
นั่นแหละทั่วตัวได้สัมผัสกับปีติ ๕ ชนิดตลอดเวลา. ทีนั้นเมื่อเขามองดูมณฑป
อยู่ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า มณฑปนี้คนเป็นมนุษย์กระทำไม่ได้ แต่เพราะ

อาศัยอัธยาศัยของเรา คุณของเรา ภพของท้าวสักกะจะร้อนแน่นอน ต่อนั้น
ท้าวสักกเทวราชจักสร้างมณฑปนี้ขึ้น ดังนี้. เขาคิดว่า การถวายทานเพียงวัน
เดียวเท่านั้น ในมณฑปเห็นปานนี้ ไม่สมควรแก่เราเลย เราจักถวายทาน
ตลอด ๗ วัน จริงอยู่ทานภายนอก แม้มีประมาณสักเท่าไร ก็ไม่สามารถที่
จะทำความยินดีให้แก่พระโพธิสัตว์ได้ แต่ในเวลาที่เขาตัดศีรษะที่ประดับประดา
แล้ว ควักลูกตาทั้งสองข้างที่หยอดยาตาแล้ว ฉีกเนื้อหัวใจออกแล้วให้ไป

พระโพธิสัตว์จะมีความยินดีนักเพราะอาศัยการบริจาคนี้ เมื่อพระโพธิสัตว์แม้
ของพวกเราสละกหาปณะห้าแสนทุกวัน ให้ทานอยู่ที่ประตูทั้ง ๔ และที่ท่าม
กลางพระนคร ในเรื่องสิวิราชชาดก ทานนั้นก็หาสามารถให้เกิดความยินดีใน
การบริจาคไม่. แต่ในกาลใด ท้าวสักกเทวราชปลอมตัวมาในรูปของพราหมณ์
ขอลูกตาทั้งสองข้างของเขา ในกาลนั้นเมื่อเขาควักลูกตาเหล่านั้นให้อยู่นั่นแหละ

ความร่าเริงได้เกิดขึ้นแล้ว จิตมิได้เป็นอย่างอื่นแม้เท่าปลายเส้นผม. ขึ้นชื่อว่า
อิ่มใจเพราะอาศัยทานที่ให้แล้วโดยอาการอย่างนี้หามีแก่พระโพธิสัตว์ไม่. เพราะ
ฉะนั้น พระมหาบุรุษแม้นั้นจึงคิดว่า เราควรจะถวายทานแก่ภิกษุทั้งหลาย
นับได้แสนโกฏิตลอด ๗ วัน จึงให้พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
ประทับนั่งในมณฑปนั้น ได้ถวายทานชื่อควปานะตลอด ๗ วัน ที่เรียกว่า

ควปานะนั้นได้แก่ โภชนะที่เขาใส่นมจนเต็มหม้อใหญ่แล้ว ยกขึ้นตั้งบนเตาไฟ
ใส่ข้าวสารนิดหน่อยในนํ้านมที่ต้มสุกแล้วในหม้อต้ม แล้วปรุงรสด้วยนํ้าผึ้ง
ผงนํ้าตาลกรวดและเนยใสที่ต้มแล้ว ก็มนุษย์นี้แหละไม่สามารถที่จะเลี้ยงดูได้
แม้แต่เทวดาก็ต้องสลับกันจึงจะเลี้ยงดูได้. แม้ที่มีประมาณ ๑๒ และ๑๓ โยชน์
ก็ไม่เพียงพอที่จะบรรจุภิกษุทั้งหลายได้เลย แต่ภิกษุเหล่านั้นนั่งได้ด้วยอานุภาพ
ของตน.

ในวันสุดท้าย เขาให้ล้างบาตรของภิกษุทุกรูปแล้ว ใส่เนยใส เนย
ข้น นํ้าผึ้งและนํ้าอ้อยเป็นต้นจนเต็มบาตร เพื่อต้องการให้เป็นเภสัช พร้อม
ด้วยไตรจีวร ผ้าสาฎกที่เป็นจีวร ซึ่งภิกษุนวกะในหมู่สงฆ์ได้รับไปได้มีราคา
ถึงหนึ่งแสน. พระศาสดาเมื่อจะทรงกระทำอนุโมทนาทรงใคร่ครวญดูว่า บุรุษ
นี้ได้ถวายมหาทานเห็นปานนี้ เขาจักได้เป็นอะไรหนอ ทอดพระเนตร

เห็นว่า เขาจักได้เป็นพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าโคดม ในที่สุดแห่งสอง
อสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปในอนาคต ดังนี้ จึงตรัสเรียกพระมหาบุรุษมาแล้ว
ทรงพยากรณ์ว่า ท่านล่วงกาลมีประมาณเท่านี้แล้ว จักได้เป็นพระพุทธเจ้า
ทรงพระนามว่าโคดม.

• ผู้อ่านมิควรสงสัยจนเกินเหตุ เพราะจะเป็นเหตุให้หยุดอ่านต่อ
• ผิดก็บ้างเพียงเล็กน้อย อย่าปล่อยใจให้ค่อยตามจนเป็นเหตุต้องหยุดอ่าน
• บุคคลมิควรคิดท้อ ก่อนลงมือกระทำ
• การงานจะสำเร็จได้ เพราะมีใจเด็ดเดียวไม่ย่อท้อ
• ของดีอยู่ใกล้ แต่ก็มิได้ใส่ใจ หันไปมองหาสิ่งที่ไกลออกไป
• อยู่กับของดียังมิรู้ตัว ยังเมามัววิ่งค้นหาที่ไหนกัน

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2018, 14:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อ้างคำพูด:
พระมหาบุรุษได้ฟังคำพยากรณ์แล้วคิดว่า นัยว่าเราจักได้เป็นพระ-
พุทธเจ้า จะประโยชน์อะไรของเราด้วยการอยู่ครองเรือน เราจักบวช จึง
ทอดทิ้งสมบัติเห็นปานนั้น ประดุจก้อนเขฬะ แล้วบวชในสำนักของพระศาสดา
ครั้นบวชแล้วเล่าเรียนพระพุทธวจนะ ให้อภิญญาและสมาบัติเกิดขึ้นแล้วใน
เวลาสิ้นอายุได้ไปบังเกิดในพรหมโลก.

ก็พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่ามังคละ มีชื่อว่า
อุตตระ แม้พระราชมารดาก็ทรงพระนามว่า อุตตรา แม้พระราชบิดาทรง
เป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่า อุตตระ พระอัครสาวกสององค์นามว่า สุเทวะ-
หนึ่ง ธรรมเสนะหนึ่ง พระอุปฐากนามว่า ปาลิตะ พระอัครสาวิกาสององค์
นามว่า สิมพลี ๑ นามว่า อโสกา ๑ ต้นไม้ตรัสรู้ ชื่อนาคพฤกษ์
( ต้นกากะทิง ). พระสรีระสูงได้ ๘๘ ศอก. พระองค์ทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่

๙๐,๐๐๐ พรรษา ก็ปรินิพพาน. ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นปรินิพ-
พานแล้ว จักรวาลหมื่นหนึ่งได้มืดเป็นอันเดียว โดยพร้อมกันทีเดียว. พวก
มนุษย์ทั้งหลายในจักรวาลทั้งสิ้นต่างร้องไห้ครํ่าครวญกันไปหมด.

กาลภายหลังของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า
โกณฑัญญะ พระนายกทรงพระนามว่ามังคละ ทรง
ถือดวงประทีปธรรม กำจัดความมืดในโลกแล้วด้วย
ประการฉะนี้.

ในกาลภายหลังแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้ปรินิพพาน
กระทำหมื่นโลกธาตุให้มืดอย่างนี้แล้ว พระศาสดาทรงพระนามว่า สุมนะ
เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. สาวกสันนิบาตแม้ของพระองค์ก็มีสามครั้ง ในสันนิบาต
ครั้งแรก มีภิกษุแสนโกฏิ ครั้งที่ ๒ ที่กาญจนบรรพตมีภิกษุเก้าสิบแสนโกฏิ
ครั้งที่ ๓ แปดสิบแสนโกฏิ. ในกาลนั้น พระมหาสัตว์ได้เป็นนาคราชนามว่า

อตุละมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก. พระยานาคนั้นได้ยินว่า พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น
แล้ว มีหมู่ญาติห้อมล้อมแล้ว ออกจากนาคพิภพ ให้กระทำการบรรเลงถวาย
ด้วยทิพยดนตรี แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์บริวารแสนโกฏิ
ถวายผ้าคู่เฉพาะองค์แล้วตั้งอยู่ในสรณะ พระศาสดาแม้นั้นก็ทรงพยากรณ์เขา
ว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระ-
องค์นั้นชื่อ เมขลา พระราชาทรงพระนามว่า สุทัตตะ เป็นพระราชบิดา
พระราชมารดาทรงพระนามว่า สิริมา พระอัครสาวกสององค์ นามว่าสรณะ

หนึ่ง นามว่าภาวิตัตตะหนึ่ง พระอุปฐากนามว่า อุเทนะ พระอัครสาวิกาสอง
องค์นามว่า โสณาหนึ่ง นามว่าอุปโสณาหนึ่ง และต้นนาคพฤกษ์เป็นไม้
ตรัสรู้ พระสรีระสูงได้ ๙๐ ศอก ประมาณพระชนมายุได้ ๙๐,๐๐๐ ปี ด้วย
ประการฉะนี้.

กาลภายหลังของพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า
มังคละ พระนายกทรงพระนามว่าสุมนะ หาผู้เสมอ
มิได้โดยธรรมทั้งปวง สูงสุดกว่าสัตว์ทั้งปวง.

• ผู้อ่านมิควรสงสัยจนเกินเหตุ เพราะจะเป็นเหตุให้หยุดอ่านต่อ
• ผิดก็บ้างเพียงเล็กน้อย อย่าปล่อยใจให้ค่อยตามจนเป็นเหตุต้องหยุดอ่าน
• บุคคลมิควรคิดท้อ ก่อนลงมือกระทำ
• การงานจะสำเร็จได้ เพราะมีใจเด็ดเดียวไม่ย่อท้อ
• ของดีอยู่ใกล้ แต่ก็มิได้ใส่ใจ หันไปมองหาสิ่งที่ไกลออกไป
• อยู่กับของดียังมิรู้ตัว ยังเมามัววิ่งค้นหาที่ไหนกัน

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2018, 14:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อ้างคำพูด:
ในกาลภายหลังแห่งพระองค์ พระศาสดาทรงพระนามว่า เรวตะ
ได้เสด็จอุบัติขึ้น แม้สาวกสันนิบาตของพระองค์ก็ได้มีสามครั้ง ในสันนิบาต
ครั้งแรก นับไม่ได้ ครั้งที่ ๒ มีภิกษุแสนโกฏิ ครั้งที่ ๓ ก็เช่นกัน. ใน
ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพราหมณ์ชื่อ อติเทพ ฟังพระธรรมเทศนาของ
พระศาสดาแล้ว ตั้งอยู่ในสรณะ ประคองอัญชลีเหนือศีรษะแล้ว ได้ฟัง
พระคุณในการละกิเลสของพระศาสดานั้น ได้กระทำการบูชาด้วยผ้าห่ม แม้

พระองค์ก็ทรงพยากรณ์เขาว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้า. ก็พระนครของพระผู้มี
พระภาคเจ้าพระองค์นั้นมีชื่อว่า สุธัญญวดี แม้พระราชบิดาก็เป็นกษัตริย์
ทรงพระนามว่า วิปุละพระราชมารดาทรงพระนามว่า วิมลา พระอัคร-
สาวก ๒ องค์นามว่า วรุณะหนึ่ง นามว่า พรหมเทวะหนึ่ง พระอุปฐากนาม
ว่า สัมภวะ พระอัครสาวิกา ๒ องค์นามว่า ภัททาหนึ่ง นามว่า สุภัททา
หนึ่ง และต้นนาคพฤกษ์เป็นไม้ตรัสรู้ พระสรีระสูงได้ ๘๐ ศอก ประมาณ
พระชนมายุได้ ๖๐,๐๐๐ ปี ด้วยประการนี้.

กาลภายหลังแห่งพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า
สุมนะ พระนายกทรงพระนามว่า เรวตะ เป็นพระ-
ชินเจ้า หาผู้เปรียบปานมิได้ หาผู้เสมอมิได้ ไม่มี
ผู้เทียมทัน เป็นผู้สูงสุด ด้วยประการฉะนี้.

ในกาลภายหลังพระองค์ พระศาสดาทรงพระนามว่า โสภิตะ ได้
เสด็จอุบัติขึ้นในโลก. แม้สาวกสันนิบาตของพระองค์ก็ได้มีสามครั้ง
ในสันนิบาตครั้งแรก ได้มีภิกษุร้อยโกฏิ ในครั้งที่ ๒ เก้าสิบโกฏิ
ในครั้งที่ ๓ แปดสิบโกฏิ. ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์เป็นพราหมณ์ชื่อว่า อชิตะ

ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้ว ตั้งอยู่ในสรณะ ได้ถวายมหาทานแด่
พระภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข แม้พระองค์ก็ได้ทรงพยากรณ์เขาว่า
จักได้เป็นพระพุทธเจ้า. ก็พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์นั้นชื่อ
สุธรรม พระราชาทรงพระนามว่า สุธรรม ได้เป็นพระราชบิดา พระราช
มารดาทรงพระนามว่า สุธรรมา พระอัครสาวกนามว่าอสมะองค์หนึ่ง นามว่า

สุเนตตะองค์หนึ่ง พระอุปฐากนามว่า อโนมะ พระอัครสาวิกา นามว่านกุลา
องค์หนึ่ง นามว่าสุชาดาองค์หนึ่ง ต้นนาคพฤกษ์เป็นไม้ตรัสรู้ พระสรีระ
สูงได้ ๕๘ ศอก ประมาณพระชนมายุได้ ๙๐,๐๐๐ ปี ฉะนี้แล.

ต่อจากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าเรวตะ พระ
นายกทรงพระนามว่าโสภิตะ มีพระทัยตั้งมั่น มีพระ-
ทัยสงบ หาผู้เสมอมิได้ หาผู้เปรียบปานมิได้ ด้วย
ประการฉะนี้.

ในกาลภายหลังของพระองค์ครั้นล่วงได้อสงไขยหนึ่ง ในกัปเดียวกัน
มีพระพุทธเจ้าสามพระองค์ เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว คือพระอโนมทัสสี พระ-
ปทุมะ พระนารทะ สำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า อโนมทัสสี
มีสาวกสันนิบาตสามครั้ง ครั้งแรกมีภิกษุแปดแสน ครั้งที่ ๒ เจ็ดสิบแสน ครั้ง
ที่ ๓ แปดสิบหกพันโกฏิ. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ได้เป็นเสนาบดีของยักษ์

ตนหนึ่ง มีฤทธิ์มากมีอานุภาพมาก เป็นอธิบดีของยักษ์แสนโกฏิเป็นอันมาก.
เขาได้ยินว่า พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วจึงมา แล้วได้ถวายมหาทานแด่

• ผู้อ่านมิควรสงสัยจนเกินเหตุ เพราะจะเป็นเหตุให้หยุดอ่านต่อ
• ผิดก็บ้างเพียงเล็กน้อย อย่าปล่อยใจให้ค่อยตามจนเป็นเหตุต้องหยุดอ่าน
• บุคคลมิควรคิดท้อ ก่อนลงมือกระทำ
• การงานจะสำเร็จได้ เพราะมีใจเด็ดเดียวไม่ย่อท้อ
• ของดีอยู่ใกล้ แต่ก็มิได้ใส่ใจ หันไปมองหาสิ่งที่ไกลออกไป
• อยู่กับของดียังมิรู้ตัว ยังเมามัววิ่งค้นหาที่ไหนกัน

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2018, 14:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อ้างคำพูด:
ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข. แม้พระศาสดาก็ทรงพยากรณ์เขาว่า จัก
ได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต. ก็พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าอโนมทัสสี
ชื่อว่า จันทวดี พระราชาทรงพระนามว่า ยสวา เป็นพระราชบิดา พระราช-
มารดาทรงพระนามว่า ยโสธรา พระอัครสาวกนามว่า นิสภะองค์หนึ่ง นาม
ว่า อโนมะองค์หนึ่ง พระอุปฐากนามว่าวรุณะ พระอัครสาวิกา นามว่าสุนทรี
องค์หนึ่ง นามว่าสุมนาองค์หนึ่ง อัชชุนพฤกษ์ ( ต้นรกฟ้า ) เป็นไม้ตรัสรู้
พระสรีระสูงได้ ๕๘ ศอก พระชนมายุได้ ๑๐๐,๐๐๐ ปี.

ต่อจากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โสภิตะ
พระสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า อโนมทัสสี ผู้สูงสุด
แห่งทวีป มีพระยศอันประมาณมิได้ มีพระเดชยากที่
คนจะก้าวล่วงได้ ฉะนี้แล.

ในกาลภายหลังของพระองค์ พระศาสดาทรงพระนามว่า ปทุมะ
เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. แม้สาวกสันนิบาตของพระองค์ก็มีสามครั้ง ในสันนิบาต
ครั้งแรก มีภิกษุแสนโกฏิ ครั้งที่ ๒ มีสามแสน ครั้งที่ ๓ มีภิกษุผู้อยู่ในชัฎ
แห่งป่ามหาวันในป่าที่มิใช่บ้านสองแสน. ในคราวนั้น เมื่อพระตถาคต
ประทับอยู่ในชัฎแห่งป่านั้น พระโพธิสัตว์เป็นราชสีห์ เห็นพระศาสดา

เข้านิโรธสมาบัติอยู่ มีจิตเลื่อมใสไหว้กระทำประทักษิณ เกิดปีติและโสมนัส
บันลือสีหนาทสามครั้ง ตลอดเจ็ดวันมิได้ละปีติมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์เพราะ
สุขอันเกิดจากปีตินั่นเองไม่ออกไปหากิน กระทำการบริจาคชีวิต ได้เข้าไปเฝ้า
ยืนอยู่. พระศาสดาเสด็จออกจากนิโรธสมาบัติเมื่อล่วงได้เจ็ดวันแล้ว ทอดพระ-
เนตรเห็นราชสีห์ ทรงดำริว่า เขาจักให้จิตเลื่อมใสแม้ในภิกษุสงฆ์แล้วไหว้
ขอภิกษุสงฆ์จงมา ในทันใดนั้นเองภิกษุทั้งหลายก็มา ราชสีห์ทำจิตให้เลื่อมใส

แล้วในพระสงฆ์. พระศาสดาทรงตรวจดูใจของเขาแล้ว ทรงพยากรณ์ว่า จัก
ได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต. ก็พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมะ ชื่อ
จัมปกะ พระราชาทรงพระนามว่าปทุมะเป็นพระราชบิดา พระราชมารดาทรง
พระนามว่า อสมา พระอัครสาวกนามว่าสาละองค์หนึ่ง นามว่าอุปสาละองค์
หนึ่ง พระอุปฐากนามว่าวรุณะ พระอัครสาวิกานามว่า รามาองค์หนึ่ง นามว่า

สุรามาองค์หนึ่ง โสณพฤกษ์เป็นต้นไม้ที่ตรัสรู้ พระสรีระสูงได้ ๕๘ ศอก
พระชนมายุได้แสนปี ฉะนี้แล.

ต่อจากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า อโนมทัสสี
พระสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมะ เป็นผู้สูงสุด
แห่งทวีป หาผู้เสมอมิได้ ไม่มีผู้ใดเปรียบปาน ฉะนี้
แล.

ในกาลภายหลังของพระองค์ พระศาสดาทรงพระนามว่า นารทะเสด็จ
อุบัติขึ้นแล้ว. แม้สาวกสันนิบาตของพระองค์ก็มีสามครั้ง ในสันนิบาตครั้งแรก
มีภิกษุแสนโกฏิ ครั้งที่ ๒ มีภิกษุเก้าสิบแสนโกฏิ ครั้งที่ ๓ มีภิกษุแปดสิบแสน
อภิญญา ๕ ในสมาบัติ ๘ ถวายมหาทานแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข
ได้กระทำการบูชาด้วยจันทน์แดง. แม้พระองค์ก็ได้พยากรณ์ฤาษีนั้นว่าจักเป็น
พระพุทธเจ้าในอนาคต. พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นชื่อธัญญวดี

กษัตริย์ทรงพระนามว่า สุเมธะเป็นพระราชบิดา พระราชมารดาทรงพระนามว่า
อโนมา พระอัครสาวกพระนามว่าภัททปาละองค์หนึ่ง นามว่าชิตมิตตะองค์หนึ่ง
่พระอุปฐากนามว่าวาเสฏฐะ พระอัครสาวิกนามว่าอุตตราองค์หนึ่ง นามว่า
ผัคคุณีองค์หนึ่ง ต้นมหาโสณพฤกษ์เป็นไม้ตรัสรู้ พระสรีระสูงได้ ๘๘ ศอก
พระชนมายุ ๙๐,๐๐๐ ปี
ต่อจากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมะ พระ

• ผู้อ่านมิควรสงสัยจนเกินเหตุ เพราะจะเป็นเหตุให้หยุดอ่านต่อ
• ผิดก็บ้างเพียงเล็กน้อย อย่าปล่อยใจให้ค่อยตามจนเป็นเหตุต้องหยุดอ่าน
• บุคคลมิควรคิดท้อ ก่อนลงมือกระทำ
• การงานจะสำเร็จได้ เพราะมีใจเด็ดเดียวไม่ย่อท้อ
• ของดีอยู่ใกล้ แต่ก็มิได้ใส่ใจ หันไปมองหาสิ่งที่ไกลออกไป
• อยู่กับของดียังมิรู้ตัว ยังเมามัววิ่งค้นหาที่ไหนกัน

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2018, 14:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อ้างคำพูด:
สัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า นารทะ ผู้สูงสุดแห่งทวีป
หาผู้เสมอมิได้ หาผู้เปรียบปานมิได้ ฉะนี้แล.

ในกาลต่อจากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า นารทะ ในกัปหนึ่งในที่
สุดแห่งแสนกัปแต่นี้ ล่วงได้อสงไขยหนึ่ง พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งพระนามว่า
ปทุมุตตระ เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. แม้สาวกสันนิบาตของพระองค์ก็มีสามครั้ง
ในครั้งแรก มีภิกษุแสนโกฏิ ครั้งที่ ๒ ที่เวภารบรรพต มีภิกษุเก้าสิบแสนโกฏิ
ครั้งที่ ๓ มีภิกษุแปดสิบพันโกฏิ ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์เป็นชฏิลนามว่า
มหารัฏฐิยะ ได้ถวายจีวรทานแก่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข. แม้พระ-

องค์ก็ได้พยากรณ์เขาว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต. ก็ในกาลแห่งพระ
ผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระ พวกเดียรถีย์ยังมิได้มี. พวกเทวดาและมนุษย์ทั้ง
ปวง ได้ถึงพระพุทธเจ้าเท่านั้นเป็นสรณะ พระนครของพระองค์นามว่าหังสวดี
กษัตริย์ทรงพระนามว่าอานันทะเป็นพระราชบิดา พระมารดาทรงพระนามว่า
สุชาดา พระอัครสาวกนามว่า เทวละองค์หนึ่ง นามว่าสุชาตะองค์หนึ่ง พระ

อุปฐากนามว่าสุมนะ พระอัครสาวิกานามว่า อมิตตาองค์หนึ่ง นามว่าอสมา
องค์หนึ่ง ต้นสาลพฤกษ์เป็นไม้ที่ตรัสรู้ พระสรีระสูงได้ ๘๘ ศอก รัศมีจาก
พระสรีระพุ่งไปจดที่ ๑๒ โยชน์โดยรอบ พระชนมายุได้ แสนปี ฉะนี้แล.

ต่อจากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า นารทะ พระ
สัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ผู้สูงสุดแห่ง
นระเป็นพระชินะ อุปมาด้วยสาครที่ไม่กระเพื่อม
ฉะนี้แล.

ในกาลต่อจากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ ล่วงไปได้
สามหมื่นกัป ในกัปหนึ่งมีพระพุทธเจ้าสองพระองค์คือ พระสุเมธะและพระ-
สุราตะ เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. แม้สาวกสันนิบาตของพระพุทธเจ้าทรงพระนาม
สุเมธะก็มีสามครั้ง ในสันนิบาตครั้งที่ ๑ ในสุทัสสนนคร ได้มีพระขีณาสพร้อย
โกฏิ ครั้งที่ ๒ มีเก้าสิบโกฏิ ครั้งที่ ๓ มีแปดสิบโกฏิ. ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์
เป็นมาณพชื่อ อุตตระ สละทรัพย์แปดสิบโกฏิที่ฝังเก็บไว้หมด ถวายมหา

ทานแต่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ฟังธรรมแล้วตั้งอยู่ในสรณะออก
บวช แม้พระองค์ก็ทรงพยากรณ์เขาว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต.
พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า สุเมธะ ชื่อสุทัสสนะ พระราชา
ทรงพระนามสุทัตตะ เป็นพระราชาบิดา พระราชมารดาทรงพระนามว่าสุทัตตา
พระอัครสาวกสององค์นามว่าสุมนะองค์หนึ่ง นามว่าสัพพกามะองค์หนึ่ง พระ

• ผู้อ่านมิควรสงสัยจนเกินเหตุ เพราะจะเป็นเหตุให้หยุดอ่านต่อ
• ผิดก็บ้างเพียงเล็กน้อย อย่าปล่อยใจให้ค่อยตามจนเป็นเหตุต้องหยุดอ่าน
• บุคคลมิควรคิดท้อ ก่อนลงมือกระทำ
• การงานจะสำเร็จได้ เพราะมีใจเด็ดเดียวไม่ย่อท้อ
• ของดีอยู่ใกล้ แต่ก็มิได้ใส่ใจ หันไปมองหาสิ่งที่ไกลออกไป
• อยู่กับของดียังมิรู้ตัว ยังเมามัววิ่งค้นหาที่ไหนกัน

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2018, 14:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อ้างคำพูด:
อุปฐากนามว่าสาคระ พระอัครสาวิกาสององค์ นามว่ารามาองค์หนึ่ง นามว่า
สุรามาองค์หนึ่ง มหานิมพพฤกษ์ต้นสะเดาใหญ่ เป็นต้นไม้ที่ตรัสรู้ พระสรีระ
สูงได้ ๘๘ ศอก พระชนมายุได้ ๙๐,๐๐๐ ปี ฉะนี้แล.

ต่อจากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ
พระนายกทรงพระนามว่า สุเมธะ หาผู้ที่จะต่อกรได้
ยาก มีพระเดชาแก่กล้า เป็นพระมุนีผู้สูงสุดในโลก
ทั้งปวง ฉะนี้แล.

ในกาลต่อจากพระองค์ พระศาสดาทรงพระนามว่า สุชาตะอุบัติขึ้น
แล้ว. แม้สาวกสันนิบาตของพระองค์ก็มีสามครั้ง ในสันนิบาตครั้งที่ ๑ มีภิกษุ
หกหมื่น ครั้งที่ ๒ มีห้าหมื่น ครั้งที่ ๓ มีสี่หมื่น. ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์เป็น
พระเจ้าจักรพรรดิ ได้ยินว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าฟังธรรม
แล้วถวายราชสมบัติในสี่ทวีป พร้อมด้วยรัตนะ ๗ ประการแด่สงฆ์ มีพระพุทธ-
เจ้าเป็นประมุข แล้วบวชในสำนักของพระศาสดา ชาวแว่นแคว้นทั้งสิ้นต่างถือ

เอาเงินที่เกิดขึ้นของรัฐรับหน้าที่เป็นคนทะนุบำรุงวัด. ได้ถวายมหาทานแด่
ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขเป็นนิตย์. แม้พระศาสดาก็ทรงพยากรณ์เขา
ว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต. พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
มีชื่อว่า สุมังคละ พระราชาทรงพระนามว่า อุคคตะ เป็นพระราชบิดา พระ
ราชมารดาทรงพระนามว่า ประภาวดี พระอัครสาวกมีนามว่า สุทัสสนะองค์

หนึ่ง มีนามว่าสุเทวะองค์หนึ่ง พระอุปฐากมีนามว่านารทะ พระอัครสาวิกา
มีนามว่า นาคาองค์หนึ่ง มีนามว่า นาคสมาลาองค์หนึ่ง มหาเวฬุพฤกษ์ ( ต้น
ไผ่ใหญ่ ) เป็นต้นไม้ตรัสรู้ ได้ยินว่าต้นไม้นั้นไม่ใคร่มีรูโปร่ง ลำต้นแข็งแรง
มีกิ่งใหญ่พุ่งขึ้นเบื้องบนแลดูงดงาม ราวกะกำแววหางนกยูง. พระสรีระของ
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นสูงได้ ๕๐ ศอก พระชนมายุ ๙๐,๐๐๐ ปี ฉะนี้แล

ในมัณฑกัปนั้นนั่นแหละ มีพระนายกทรงพระ-
นามว่าสุชาตะ ผู้มีพระหนุดังคางราชสีห์ ( ผึ่งผาย )
มีพระวรกายดังโคอุสภะ ( สง่างาม ) หาผู้เปรียบมิได้
หาผู้ต่อกรได้ยาก ฉะนี้แล.

ในกาลต่อจากพระสุชาตพุทธเจ้า ในกัปหนึ่งในที่สุดแห่งสิบแปดกัป
แต่นี้ มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นสามองค์คือ พระปิยทัสสี พระอัตถทัสสี
พระธรรมทัสสี. แม้สาวกสันนิบาตของพระปิยทัสสีก็มีสามครั้ง ครั้งแรกมี
ภิกษุแสนโกฏิ ครั้งที่ ๒ มีเก้าสิบโกฏ ครั้งที่ ๓ มีแปดสิบโกฏิ. ในกาลนั้น

พระโพธิสัตว์เป็นมาณพนามว่า กัสสปะ เรียนจบเวททั้งสาม ได้ฟังพระธรรม
เทศนาของพระศาสดา ได้บริจาคทรัพย์แสนโกฏิสร้างสังฆาราม ตั้งอยู่ในสรณะ
และศีลแล้ว ทีนั้นพระศาสดาทรงพยากรณ์เขาว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้า
เมื่อล่วงไปพันแปดร้อยกัป. พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นนาม
อโนปมะ พระราชาทรงพระนามว่า สุทินนะ เป็นพระราชบิดา พระราช-

มารดาทรงพระนามว่า จันทา พระอัครสาวกนามว่า ปาลิตะองค์หนึ่ง นามว่า
สัพพทัสสีองค์หนึ่ง พระอุปฐากนามว่า โสภิตะ พระอัครสาวิกานามว่า สุชาตา
องค์หนึ่ง นามว่า ธรรมทินนาองค์หนึ่ง กกุธพฤกษ์ ( ต้นกุ่ม ) เป็นไม้ที่
ตรัสรู้. พระสรีระสูงได้ ๘๐ ศอก พระชนมายุได้ ๙๐,๐๐๐ ปี.

• ผู้อ่านมิควรสงสัยจนเกินเหตุ เพราะจะเป็นเหตุให้หยุดอ่านต่อ
• ผิดก็บ้างเพียงเล็กน้อย อย่าปล่อยใจให้ค่อยตามจนเป็นเหตุต้องหยุดอ่าน
• บุคคลมิควรคิดท้อ ก่อนลงมือกระทำ
• การงานจะสำเร็จได้ เพราะมีใจเด็ดเดียวไม่ย่อท้อ
• ของดีอยู่ใกล้ แต่ก็มิได้ใส่ใจ หันไปมองหาสิ่งที่ไกลออกไป
• อยู่กับของดียังมิรู้ตัว ยังเมามัววิ่งค้นหาที่ไหนกัน

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2018, 18:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อ้างคำพูด:
ต่อจากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า สุชาตะ
พระปิยทัสสี ผู้เป็นพระโลกนาถ ผู้เป็นพระสยัมภู ยาก
ที่ใครจะต่อกรได้ หาใครเสมอมิได้ ผู้มีพระยศใหญ่
ฉะนั้นแล.

ในกาลต่อจากพระองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า อัตถทัสสี
เสด็จอุบัติขึ้นแล. แม้สาวกสันนิบาตของพระองค์ก็มีสามครั้ง ในสันนิบาต
ครั้งแรก มีภิกษุเก้าล้านแปดแสน ครั้งที่ ๒ แสนแปด ครั้งที่ ๓ ก็เท่ากัน
ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์เป็นดาบสผู้มีฤทธิ์มากชื่อว่า สุสิมะ นำฉัตรดอก
มณฑารพ มาจากเทวโลก บูชาพระศาสดา แม้พระองค์ก็ได้ทรงพยากรณ์เขา
ว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้า นาม
ว่า โสภิตะ พระราชาทรงพระนามว่า สาคระ เป็นพระราชบิดา พระ-

ราชมารดาทรงพระนามว่า สุทัสสนา พระอัครสาวกนามว่า สันตะองค์หนึ่ง
นามว่า อุปสันตะองค์หนึ่ง พระอุปฐากนามว่า อภยา. พระอัครสาวิกานามว่า
ธรรมาองค์หนึ่ง นามว่า สุธรรมาองค์หนึ่ง จัมปกพฤกษ์ ( ต้นจัมปา )
เป็นต้นไม้ที่ตรัสรู้. พระสรีระสูงได้ ๘๘ ศอก รัศมีจากพระสรีระแผ่ไปโดย
รวมประมาณโยชน์หนึ่ง ตั้งอยู่ตลอดเวลา พระชนมายุได้ แสนปี.

ในมัณฑกัปนั้นนั่นแล พระนราสภ อัตถทัสสี
ทรงกำจัดความมืดอย่างใหญ่แล้ว บรรลุพระสัมโพธิ-
ญาณอันอุดม.

ในกาลต่อจากพระองค์ พระศาสดาทรงพระนามว่า ธรรมทัสสี
เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. แม้สาวกสันนิบาตของพระองค์ก็มีสามครั้ง ครั้งแรกมีภิกษุ
ร้อยโกฏิ ครั้งที่ ๒ เจ็ดสิบโกฏิ ครั้งที่ ๓ แปดสิบโกฏิ. ในครั้งนั้น พระ
มหาสัตว์ เป็นท้าวสักกเทวราช ได้กระทำการบูชา ด้วยดอกไม้มีกลิ่นอันเป็น
ทิพย์ และด้วยเครื่องดนตรีทิพย์ แม้พระองค์ก็ได้ทรงพยากรณ์เขาว่า จักได้

เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต. พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นนาม
ว่า สรณะ พระราชาทรงพระนามว่า สรณะ เป็นพระราชบิดา พระราช-
มารดาทรงพระนามว่า สุนันทา พระอัครสาวกนามว่า ปทุมะองค์หนึ่ง นาม
ว่า ปุสสเทวะองค์หนึ่ง พระอุปฐากนามว่า สุเนตตะ พระอัครสาวิกานามว่า
เขมาองค์หนึ่ง นามว่า สัพพนามาองค์หนึ่ง ต้นรัตตกุรวกพฤกษ์เป็นไม้ตรัสรู้.
ต้นพิมพชาละ ๑ ( ไม้มะกลํ่าเครือ ) ก็เรียก. ก็พระสรีระของพระองค์สูงได้ ๘๐
ศอก พระชนมายุได้ แสนปี.

ในมัณฑกัปนั้นนั่นแหละ พระธรรมทัสสี ผู้มี
พระยศใหญ่ ทรงกำจัดความมืดมนอนธการแล้ว รุ่ง-
โรจน์อยู่ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก.

ในกาลต่อจากพระองค์ ในกัปหนึ่งในที่สุดแห่งเก้าสิบกัปแต่กัปนี้ พระ-
พุทธเจ้าพระองค์เดียวทรงพระนามว่า สิทธัตถะ เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. แม้สาวก
๑. บาลีพุทธวงศ์ เป็น ติมพชาละ ( ไม้พลับ )
สันนิบาตของพระองค์ก็มีสามครั้ง ในสันนิบาตครั้งแรกมีภิกษุแสนโกฏิ
ครั้งที่ ๒ เก้าสิบโกฏิ ครั้งที่ ๓ แปดสิบโกฏิ. ในครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เป็น
ดาบส นามว่า มังคละ มีเดชกล้าสมบูรณ์ด้วยอภิญญาพละ ได้นำผลหว้า

ใหญ่มาถวายแด่พระตถาคต. แม้พระศาสดาเสวยผลไม้นั้นแล้ว ได้ทรงพยากรณ์
พระโพธิสัตว์ว่า ในที่สุดแห่งกัปเก้าสิบสี่กัป ท่านจักได้เป็นพระพุทธเจ้า.
พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นนามว่า เวภาระ พระราชาทรง
พระนามว่า ชยเสนะ เป็นพระราชบิดา พระราชมารดาทรงพระนามว่า

• ผู้อ่านมิควรสงสัยจนเกินเหตุ เพราะจะเป็นเหตุให้หยุดอ่านต่อ
• ผิดก็บ้างเพียงเล็กน้อย อย่าปล่อยใจให้ค่อยตามจนเป็นเหตุต้องหยุดอ่าน
• บุคคลมิควรคิดท้อ ก่อนลงมือกระทำ
• การงานจะสำเร็จได้ เพราะมีใจเด็ดเดียวไม่ย่อท้อ
• ของดีอยู่ใกล้ แต่ก็มิได้ใส่ใจ หันไปมองหาสิ่งที่ไกลออกไป
• อยู่กับของดียังมิรู้ตัว ยังเมามัววิ่งค้นหาที่ไหนกัน

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2018, 18:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อ้างคำพูด:
สุผัสสา พระอัครสาวกนามว่า สัมพละองค์หนึ่ง นามว่า สุมิตตะองค์หนึ่ง
พระอุปฐากนามว่า เรวตะ พระอัครสาวิกานามว่า สิจลาองค์หนึ่ง นามว่า
สุรามาองค์หนึ่ง กัณณิกพฤกษ์ เป็นต้นไม้ที่ตรัสรู้ พระสรีระสูงได้ ๖๐ ศอก
พระชนมายุได้ แสนปี.

หลังจากพระธรรมทัสสี พระโลกนายกทรงพระ-
นามว่าสิทธัตถะ ทรงกำจัดความมืดเสียสิ้น เหมือน
ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาแล้ว ฉะนั้น.

ในกาลต่อจากพระองค์ ในที่สุดแห่งกัปที่เก้าสิบสอง มีพระพุทธเจ้า
เสด็จอุบัติขึ้นสององค์ในกัปหนึ่งคือ ทรงพระนามว่าติสสะ ทรงพระนามว่า
ปุสสะ สำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระนามว่า ติสสะ มีสาวกสันนิบาต
สามครั้ง ในครั้งแรกมีภิกษุร้อยโกฏิ ครั้งที่ ๒ มีเก้าสิบโกฏิ ครั้งที่ ๓ มี
แปดสิบโกฏิ ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์เป็นกษัตริย์มีโภคสมบัติมาก มียศ

ใหญ่นามว่า สุชาตะ ทรงผนวชเป็นฤาษี ถึงความเป็นผู้มีฤทธิ์มาก ได้สดับ
ว่า พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ถือเอาดอกมณฑารพ ดอกบัวหลวงและ
ดอกปาริฉัตรอันเป็นทิพย์มาบูชาพระตถาคต ผู้ประทับอยู่ในท่ามกลางบริษัท
สี่ ในอากาศได้กระทำเพดานดอกไม้ไว้. แม้พระศาสดาพระองค์นั้นก็ทรง
พยากรณ์เขาว่า ในกัปที่เก้าสิบแต่กัปนี้ จักได้เป็นพระพุทธเจ้า. พระนครของ
พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น นามว่า เขมะ กษัตริย์ทรงพระนามว่า ชนสันธะ

เป็นพระราชบิดา พระราชมารดาทรงพระนามว่า ปทุมา พระอัครสาวกนาม
ว่า พรหมเทวะองค์หนึ่ง นามว่าอุทยะองค์หนึ่ง พระอุปฐากนามว่า สัมภวะ
พระอัครสาวิกา นามว่าปุสสาองค์หนึ่ง นามว่า สุทัตตาองค์หนึ่ง อสนพฤกษ์
( ต้นประดู่ลาย ) เป็นต้นไม้ที่ตรัสรู้ พระสรีระสูงได้ ๖๐ ศอก พระชนมายุได้
แสนปี.

กาลต่อจากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าสิทธัตถะ
ก็มาถึงพระนายกผู้เลิศในโลก ทรงพระนามว่าติสสะ
หาผู้เสมอมิได้ หาผู้เปรียบมิได้ ทรงมีศีลหาที่สุดมิได้
ทรงมีพระยศนับไม่ได้.

กาลต่อจากพระองค์ พระศาสดาทรงพระนามว่า ปุสสะ เสด็จอุบัติ
ขึ้นแล้ว. แม้สาวกสันนิบาตของพระองค์ก็มีสามครั้ง ในสันนิบาตครั้งแรก มี
ภิกษุหกสิบแสน ครั้งที่ ๒ ห้าสิบแสน ครั้งที่สาม สามสิบสองแสน. ใน
กาลนั้น พระโพธิสัตว์เป็นกษัตริย์ ทรงพระนามว่า วิชิตาวี ทรงสละราช-
สมบัติอันใหญ่ แล้วผนวชในสำนักของพระศาสดา ทรงเล่าเรียนพระไตรปิฎก
แล้วทรงแสดงธรรมกถาแก่มหาชน ทรงบำเพ็ญศีลบารมี. แม้พระปุสสะก็

พยากรณ์เขาว่า จักเป็นพระพุทธเจ้า. พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์
นั้นนามว่า กาสี พระราชาทรงพระนามว่า ชยเสนะ เป็นพระราชบิดา
พระราชมารดาทรงพระนามว่า สิริมา พระอัครสาวกนามว่า สุรักขิตะองค์
หนึ่ง นามว่า ธรรมเสนะองค์หนึ่ง พระอุปฐากนามว่า โสภิยะ พระอัคร-
สาวิกานามว่า จาลาองค์หนึ่ง นามว่า อุปจาลาองค์หนึ่ง อามลกพฤกษ์ (ต้น
มะขามป้อม) เป็นต้นไม้ตรัสรู้ พระสรีระสูงได้ ๕๘ ศอก พระชนมายุ
๙๐,๐๐๐ ปี.

ในมัณฑกัปนั้นนั่นแหละ ได้มีพระศาสดาผู้
ยอดเยี่ยมหาผู้เทียมมิได้ ไม่เป็นเช่นกับใคร ผู้เป็น
พระนายกผู้ยอดเยี่ยมในโลก ทรงพระนามว่า ปุสสะ.

• ผู้อ่านมิควรสงสัยจนเกินเหตุ เพราะจะเป็นเหตุให้หยุดอ่านต่อ
• ผิดก็บ้างเพียงเล็กน้อย อย่าปล่อยใจให้ค่อยตามจนเป็นเหตุต้องหยุดอ่าน
• บุคคลมิควรคิดท้อ ก่อนลงมือกระทำ
• การงานจะสำเร็จได้ เพราะมีใจเด็ดเดียวไม่ย่อท้อ
• ของดีอยู่ใกล้ แต่ก็มิได้ใส่ใจ หันไปมองหาสิ่งที่ไกลออกไป
• อยู่กับของดียังมิรู้ตัว ยังเมามัววิ่งค้นหาที่ไหนกัน

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2018, 18:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อ้างคำพูด:
กาลต่อจากพระองค์ ในกัปที่เก้าสิบเจ็ดแต่กัปนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงพระนามว่า วิปัสสี เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว. แม้สาวกสันนิบาตของพระองค์ก็มี
สามครั้ง ในสันนิบาตครั้งแรกมีภิกษุหกสิบแปดแสน ครั้งที่ ๒ มีเก้าสิบเจ็ด
แสน ครั้งที่ ๓ มีแปดหมื่น. ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพระยานาคนาม
ว่า อตุละ มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ได้ถวายตั่งใหญ่ทำด้วยทองคำขจิต
ด้วยแก้วเจ็ดประการ แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. แม้พระองค์ท่านก็ได้ทรงพยากรณ์
เขาว่า ในกัปที่เก้าสิบเอ็ดแต่กัปนี้ ท่านจักได้เป็นพระพุทธเจ้า. พระนครของ

พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น นามว่า พันธุมดี พระราชาทรงพระนามว่า พันธุมะ
เป็นพระราชบิดา พระราชมารดาทรงพระนามว่า พันธุมดี พระอัครสาวก
นามว่า ขันธะองค์หนึ่ง นามว่า ติสสะองค์หนึ่ง พระอุปฐากนามว่า อโศกะ
พระอัครสาวิกานามว่า จันทาองค์หนึ่ง นามว่า จันทมิตตาองค์หนึ่ง ปาตลิ-
พฤกษ์ (ต้นแคฝอย) เป็นต้นไม้ตรัสรู้ พระสรีระสูงได้ ๘๐ ศอก พระ-
รัศมีจากพระสรีระแผ่ออกไปจด ๗ โยชน์ พระชนมายุ ๘๐,๐๐๐ ปี.

ต่อจากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ปุสสะ
พระสัมพุทธเจ้า ผู้สูงสุดในทวีป ทรงพระนามว่า
วิปัสสี ผู้มีพระจักษุ ได้เสด็จอุบัติขึ้นในโลก.

ในกาลต่อจากพระองค์ ในกัปที่สามสิบเอ็ดแต่กัปนี้ ได้มีพระพุทธเจ้า
สองพระองค์คือ พระสิขีและพระเวสสภู. แม้สาวกสันนิบาตของพระสิขีก็มี
สามครั้ง ในสันนิบาตครั้งแรกมีภิกษุแสนหนึ่ง ครั้งที่ ๒ มีแปดหมื่น ครั้ง
ที่ ๓ มีเจ็ดหมื่น. ในกาลครั้งนั้น พระโพธิสัตว์เป็นพระราชาทรงพระนามว่า
อรินทมะ ได้ถวายมหาทานพร้อมด้วยจีวรแด่พระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็น
ประมุข ถวายช้างแก้วซึ่งตกแต่งด้วยแก้วเจ็ดประการ ได้ถวายกัปปิยภัณฑ์

ทำให้มีขนาดเท่าตัวช้าง. แม้พระองค์ก็ได้ทรงพยากรณ์เขาว่า จักได้เป็นพระ-
พุทธเจ้าในกัปที่สามสิบเจ็ดแต่กัปนี้ พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์
นั้น มีนามว่า อรุณวดี กษัตริย์นามว่า อรุณะ เป็นพระราชบิดา พระราช-
มารดาทรงพระนามว่า ปภาวดี พระอัครสาวกนามว่า อภิภูองค์หนึ่ง นาม
ว่า สัมภวะองค์หนึ่ง พระอุปฐากนามว่า เขมังกระ พระอัครสาวิกานามว่า
เขมาองค์หนึ่ง นามว่า ปทุมาองค์หนึ่ง ปุณฑรีกพฤกษ์ ( ต้นมะม่วง )

เป็นต้นไม้ตรัสรู้ พระสรีระสูงได้ ๓๗ ศอก พระรัสมีจากพระสรีระแผ่ซ่าน
ไปจด ๓๐๐ โยชน์ พระชนมายุได้ ๓๗,๐๐๐ ปี

ในกาลต่อจากพระวิปัสสี พระสัมพุทธเจ้าผู้สูง
สุดในทวีป เป็นพระชินเจ้าทรงพระนามว่า สิขี หา
ผู้เสมอมีได้ หาบุคคลเปรียบปานมิได้.

• ผู้อ่านมิควรสงสัยจนเกินเหตุ เพราะจะเป็นเหตุให้หยุดอ่านต่อ
• ผิดก็บ้างเพียงเล็กน้อย อย่าปล่อยใจให้ค่อยตามจนเป็นเหตุต้องหยุดอ่าน
• บุคคลมิควรคิดท้อ ก่อนลงมือกระทำ
• การงานจะสำเร็จได้ เพราะมีใจเด็ดเดียวไม่ย่อท้อ
• ของดีอยู่ใกล้ แต่ก็มิได้ใส่ใจ หันไปมองหาสิ่งที่ไกลออกไป
• อยู่กับของดียังมิรู้ตัว ยังเมามัววิ่งค้นหาที่ไหนกัน

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2018, 18:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อ้างคำพูด:
ในกาลต่อจากพระองค์ พระศาสดาทรงพระนามว่า เวสสภู เสด็จ
อุบัติขึ้น แม้สาวกสันนิบาตของพระองค์ก็มีสามครั้ง ในสันนิบาตครั้งแรกได้มี
ภิกษุแปดล้าน ครั้งที่ ๒ มีเจ็ดล้าน ครั้งที่ ๓ มีหกล้าน ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์
เป็นพระราชาทรงพระนามว่า สุทัสนะ ถวายมหาทานพร้อมทั้งจีวร แด่พระ-
สงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข แล้วทรงผนวชในสำนักของพระองค์ได้เป็นผู้

สมบูรณ์ด้วยอาจารคุณ มากไปด้วยความยำเกรงและปีติในพระพุทธรัตนะ แม้
พระองค์ก็ได้ทรงพยากรณ์พระองค์ว่า ในกัปที่สามสิบเอ็ดแต่กัปนี้ จักได้เป็น
พระพุทธเจ้า ก็พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นนามว่า อโนมะ
พระราชาทรงพระนามว่า สุปปติตะ เป็นพระราชบิดา พระราชมารดาทรงพระ
นามว่า ยสวดี พระอัครสาวกนามว่า โสณะองค์หนึ่ง นามว่า อุตตระองค์หนึ่ง
พระอุปฐากนามว่า อุปสันตะ พระอัครสาวิกานามว่า รามาองค์หนึ่ง นามว่า
สมาลาองค์หนึ่ง สาลพฤกษ์เป็นต้นไม้ที่ตรัสรู้ พระสรีระสูงได้ ๖๐ ศอก
พระชนมายุได้ ๖๐,๐๐๐ ปี

ในมัณฑกัปนั้นนั่นแล พระชินเจ้าผู้หาใครเสมอ
มิได้ หาใครเปรียบปานมิได้ ทรงพระนามว่า เวสสภู
เสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก.

ในกาลต่อจากพระองค์ในกัปนี้มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นสี่พระองค์ คือ
พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ พระกัสสปะ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ของพวกเรา สำหรับพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า กกุสันธะ มี
สาวกสันนิบาตครั้งเดียว ในสาวกสันนิบาตนั้นนั่นแหละมีภิกษุสี่หมื่น ในกาล
นั้นพระโพธิสัตว์เป็นพระราชาทรงพระนามว่า เขมะ ถวายมหาทานพร้อมด้วย

จีวรและเภสัชมียาหยอดตาเป็นต้นแก่พระสงฆ์มี พระพุทธเจ้าเป็นประมุขสดับ
พระธรรมเทศนาของพระศาสดาแล้วทรงผนวช แม้พระศาสดาพระองค์นั้นก็ได้
ทรงพยากรณ์เขาไว้แล้ว ก็พระนครของพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า
กกุสันธะนามว่า เขมะ พราหมณ์นามว่า อัคคิทัตตะ เป็นพระบิดา นาง
พราหมณีนามว่า วิสาขา เป็นพระมารดา พระอัครสาวกนามว่าวิธุระองค์หนึ่ง

นามว่า สัญชีวะองค์หนึ่ง พระอุปฐากนามว่าพุทธิชะ พระอัครสาวิกานามว่า
สาขาองค์หนึ่ง นามว่า สารัมภาองค์หนึ่ง มหาสิริสพฤกษ์ [ ต้นซึกใหญ่ ] เป็น
ต้นไม้ตรัสรู้ พระสรีระสูงได้ ๔๐ ศอก พระชนมายุได้ ๔๐,๐๐๐ ปี.

ต่อจากพระเวสสภูก็มาถึง พระสัมพุทธเจ้าผู้เป็น
ใหญ่ในทวีป ทรงพระนามว่า กกุสันธะ หาคนเทียบ
เคียงมิได้ ยากที่ใคร ๆ จะต่อกรได้.

ในกาลต่อจากพระองค์ พระศาสดาทรงพระนามว่า โกนาคมนะ
เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว แม้สาวกสันนิบาตของพระองค์ก็มีครั้งเดียว ในสันนิบาตนั้น
ได้มีภิกษุสามหมื่นรูป ในกาลนั้นพระโพธิสัตว์เป็นพระราชาทรงพระนามว่า
ปัพพตะ มีหมู่อำมาตย์แวดล้อมเสด็จไปยังสำนักของพระศาสดา สดับพระ-
ธรรมเทศนาแล้วนิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ถวายมหาทานแล้ว
ถวายผ้าปัตตุณณะ [ ผ้าไหม ] จีนปฏะ [ ผ้าขาวในเมืองจีน ] ผ้าไหมผ้ากัมพล

และผ้าเปลือกไม้เนื้อดี รวมทั้งผ้าที่ทอด้วยทองคำ แล้วทรงผนวชในสำนัก
ของพระศาสดา แม้พระองค์ก็ทรงพยากรณ์เขาไว้ พระนครของพระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าพระองค์นั้นนามว่า โสภวดี พราหมณ์นามว่า ยัญญทัตตะ เป็น
พระบิดา นางพราหมณ์นามว่า อุตตรา เป็นพระมารดา พระอัครสาวกนามว่า
ภิยโยสะองค์หนึ่ง นามว่าอุตตระองค์หนึ่ง อุทุมพรพฤกษ์ [ ต้นมะเดื่อ ] เป็น
ต้นไม้ตรัสรู้ พระสรีระสูงได้ ๒๐ ศอก พระชนมายุได้ ๓๐, ๐๐๐ ปี.

• ผู้อ่านมิควรสงสัยจนเกินเหตุ เพราะจะเป็นเหตุให้หยุดอ่านต่อ
• ผิดก็บ้างเพียงเล็กน้อย อย่าปล่อยใจให้ค่อยตามจนเป็นเหตุต้องหยุดอ่าน
• บุคคลมิควรคิดท้อ ก่อนลงมือกระทำ
• การงานจะสำเร็จได้ เพราะมีใจเด็ดเดียวไม่ย่อท้อ
• ของดีอยู่ใกล้ แต่ก็มิได้ใส่ใจ หันไปมองหาสิ่งที่ไกลออกไป
• อยู่กับของดียังมิรู้ตัว ยังเมามัววิ่งค้นหาที่ไหนกัน

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2018, 18:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อ้างคำพูด:
ต่อจากพระกกุสันธะ พระสัมพุทธเจ้าผู้สูงสุดกว่า
นระทรงพระนามว่า โกนาคมนะ ผู้เป็นพระชินเจ้า ผู้
เป็นพระโลกเชษฐ์พระนราสภ.

ในกาลต่อจากพระองค์ พระศาสดาทรงพระนามว่ากัสสปะเสด็จอุบัติ
ขึ้นแล้ว แม้สาวกสันนิบาตของพระองค์ก็มีครั้งเดียวเท่านั้น ในสันนิบาตนั้นมี
ภิกษุสองหมื่น ในคราวนั้นพระโพธิสัตว์เป็นมาณพชื่อ โชติปาละ เรียนจบ
ไตรเทพ เป็นผู้มีชื่อเสียงทั้งบนแผ่นดินและกลางหาว ได้เป็นมิตรของช่างหม้อ
ชื่อฆฏิการะ เขาพร้อมกับช่างหม้อนั้นเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ฟังธรรมกถาแล้ว

บวชลงมือทำความเพียร เล่าเรียนพระไตรปิฎก ดูงดงามในพระพุทธศาสนา
เพราะถึงพร้อมด้วยวัตรปฏิบัติ พระศาสดาก็ได้ทรงพยากรณ์เขาไว้แล้ว พระ
นครอันเป็นที่ประสูติของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นมีนามว่า พาราณสี พราหมณ์
นามว่า พรหมทัต เป็นพระบิดา นางพราหมณีนามว่า ธนวดี เป็นพระ
มารดา พระอัครสาวกนามว่า ติสสะองค์หนึ่ง นามว่า ภารทวาชะองค์หนึ่ง

พระอุปฐากนามว่า สัพพมิตตะ พระอัครสาวิกานามว่าอนุลาองค์หนึ่ง นามว่า
อุรุเวลาองค์หนึ่ง ต้นนิโครธพฤกษ์ [ ต้นไทร ] เป็นต้นไม้ตรัสรู้ พระสรีระ
สูงได้ ๒๐ ศอก พระชนมายุได้ ๒๐,๐๐๐ ปี

ต่อจากพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โกนาคมนะ
พระสัมพุทธเจ้า ผู้สูงสุดกว่านระ ทรงพระนามว่า
กัสสปะ ผู้เป็นพระชินเจ้า เป็นพระธรรมราชา ทรงทำ
โลกให้สว่าง.

ก็ในกัปที่พระทศพลทีปังกรเสด็จอุบัติขึ้น แม้พระพุทธเจ้าจะมีถึง
สามองค์ พระโพธิสัตว์ไม่ได้รับการพยากรณ์จากสำนักพระพุทธเจ้าเหล่านั้น
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ท่านจึงมิได้แสดงไว้ในที่นี้ แต่ในอรรถ-
กถา เพื่อที่จะแสดงพระพุทธเจ้าทั้งหมดจำเดิมแต่กัปนั้น ท่านจึงกล่าวคำนี้
ไว้ว่า

พระสัมพุทธเจ้าเหล่านี้คือ พระตัณหังกร พระ-
เมธังกรและพระสรณังกร พระทีปังกรสัมพุทธเจ้า
พระโกณฑัญญะผู้สูงสุดกว่านระ พระมังคละ พระสุ-
มนะ พระเรวตะ พระมุนีโสภิตะ พระอโนมทัสสี
พระปทุมะ พระนารทะ พระปทุมุตตระ พระสุเมธะ
พระสุชาตะ พระปิยทัสสีผู้มีพระยศใหญ่ พระอัตถ-
ทัสสี พระธรรมทัสสี พระสิทธัตถะผู้เป็นโลกนายก

พระติสสะ พระปุสสสัมพุทธเจ้า พระวิปัสสี พระสิขี
พระเวสสภู พระกกุสันธะ พระโกนาคมนะ และ
พระนายกกัสสปะ ล้วนทรงมีราคะกำจัดได้แล้ว มี
พระหทัยตั้งมั่นทรงกำจัดความมืดอย่างใหญ่หลวงได้
ประหนึ่งดวงอาทิตย์เสด็จอุบัติขึ้นแล้ว ลุกโพลงอยู่
ราวกะว่ากองไฟ เสด็จปรินิพพานแล้ว พร้อมทั้งสาวก
ดังนี้.

• ผู้อ่านมิควรสงสัยจนเกินเหตุ เพราะจะเป็นเหตุให้หยุดอ่านต่อ
• ผิดก็บ้างเพียงเล็กน้อย อย่าปล่อยใจให้ค่อยตามจนเป็นเหตุต้องหยุดอ่าน
• บุคคลมิควรคิดท้อ ก่อนลงมือกระทำ
• การงานจะสำเร็จได้ เพราะมีใจเด็ดเดียวไม่ย่อท้อ
• ของดีอยู่ใกล้ แต่ก็มิได้ใส่ใจ หันไปมองหาสิ่งที่ไกลออกไป
• อยู่กับของดียังมิรู้ตัว ยังเมามัววิ่งค้นหาที่ไหนกัน

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2018, 18:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อ้างคำพูด:
ในเรื่องนั้น พระโพธิสัตว์ของพวกเราสร้างคุณงามความดีในสำนัก
ของพระพุทธเจ้ายี่สิบสี่องค์ มีพระทีปังกรเป็นต้นมาถึงตลอดสี่อสงไขยยิ่งด้วย
แสนกัป ต่อจากพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ ไม่มีพระพุทธเจ้า
องค์อื่น เว้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์นี้ ก็พระโพธิสัตว์ได้รับคำพยากรณ์ใน
สำนักของพระพุทธเจ้ายี่สิบสี่องค์ มีพระทีปังกรเป็นต้นด้วยประการฉะนี้ เพราะ
เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า

เพราะประมวลธรรม ๘ ประการ คือ ความ
เป็นมนุษย์ ความสมบูรณ์ด้วยเพศ ด้วยเหตุ การได้พบ
พระศาสดา การบรรพชา การถึงพร้อมด้วยคุณ การ
กระทำยิ่งใหญ่ ความพอใจ ความปรารถนาที่ตั้งใจจริง
ย่อมสำเร็จได้.

พระมหาสัตว์ผู้ได้กระทำความปรารถนาที่ตั้งใจจริงไว้แทบบาทมูลของ
พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ทีปังกร ประมวลธรรม ๘ ประการเหล่านี้มาแล้ว
กระทำอุตสาหะว่า เอาเถอะ เราจะเลือกเฟ้นธรรมที่กระทำให้เป็นพระพุทธเจ้า
จากที่โน้นบ้างที่นี้บ้าง ได้เห็นพุทธการกธรรมมีทานบารมีเป็นต้นด้วยกล่าวว่า
ในกาลเมื่อเราเลือกเฟ้นอยู่ได้เห็นทานบารมีเป็นข้อแรก เขาบำเพ็ญธรรมเหล่า

นั้นอยู่มาจนถึงอัตภาพเป็นพระเวสสันดร และเมื่อมาถึงก็ได้มาบรรลุอานิสงส์
สำหรับพระโพธิสัตว์ผู้ได้กระทำความปรารถนาที่ตั้งใจจริง ดังที่ท่านพรรณนา
ไว้มากมายว่า

นรชนผู้สมบูรณ์ด้วยองค์คุณทุกประการผู้เที่ยง
ต่อโพธิญาณ ตลอดสงสารอันมีระยะกาลยาวนาน แม้
นับด้วยร้อยโกฏิกัป จะไม่เกิดในอเวจี แม้ในโลกกันตร-
นรกก็เช่นกัน แม้เมื่อเกิดในทุคติ จะไม่เกิดเป็นนิช-
ฌามตัณหิกเปรต ขุปปิปาสาเปรต กาลกัญชิกาสูร

ไม่เป็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ เมื่อจะเกิดในมนุษย์ ก็ไม่เป็น
คนบอดแต่กำเนิด ไม่เป็นคนหูหนวก ไม่เป็น
คนใบ้ ไม่เกิดเป็นสตรี ไม่เป็นอุภโตพยัญชนก ( คน
สองเพศ ) และกะเทย นรชนผู้เที่ยงต่อโพธิญาณจะไม่
มีใจติดพันในสิ่งใด พ้นจากอนันตริยกรรม เป็นผู้มี
โคจรสะอาดในที่ทั้งปวง ไม่ซ่องเสพมิจฉาทิฏฐิ เพราะ

เห็นผลในการกระทำกรรม แม้จะอยู่ในพวกสัตว์ทั้ง
หลายก็ไม่เกิดเป็นอสัญญีสัตว์ ในพวกที่อยู่ในสุทธา-
วาส ก็ไม่มีเหตุไปเกิด เป็นสัตบุรุษน้อมใจไปในเนก-
ขัมมะ ปลดเปลื้องภพน้อยใหญ่ออก ประพฤติแต่
ประโยชน์แก่โลก มุ่งบำเพ็ญบารมีทุกประการเที่ยวไป.

เมื่อพระมหาสัตว์ทรงบำเพ็ญบารมีอยู่นั่นแหละ อัตภาพที่บำเพ็ญทาน
บารมีคือในกาลเป็นพราหมณ์ชื่อ อกิตติ ในกาลเป็นพราหมณ์ชื่อสังขะ ใน
กาลเป็นพระราชาทรงพระนามว่า ธนัญชยะ ในกาลเป็นพระเจ้ามหาสุทัสสนะ
ในกาลเป็นมหาโควินทะ ในกาลเป็นนิมิมหาราช ในกาลเป็นจันทกุมาร ใน
กาลเป็นวิสัยหเศรษฐี ในกาลเป็นพระเจ้าสิวิราช ในกาลเป็นพระเวสสันดรก็

เหลือที่จะนับได้ แต่ทานบารมีของพระโพธิสัตว์ผู้กระทำการบริจาคตน ใน
สสบัณฑิตชาดก อย่างนี้ว่า

• ผู้อ่านมิควรสงสัยจนเกินเหตุ เพราะจะเป็นเหตุให้หยุดอ่านต่อ
• ผิดก็บ้างเพียงเล็กน้อย อย่าปล่อยใจให้ค่อยตามจนเป็นเหตุต้องหยุดอ่าน
• บุคคลมิควรคิดท้อ ก่อนลงมือกระทำ
• การงานจะสำเร็จได้ เพราะมีใจเด็ดเดียวไม่ย่อท้อ
• ของดีอยู่ใกล้ แต่ก็มิได้ใส่ใจ หันไปมองหาสิ่งที่ไกลออกไป
• อยู่กับของดียังมิรู้ตัว ยังเมามัววิ่งค้นหาที่ไหนกัน

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2018, 18:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อ้างคำพูด:
เราเห็นเขาเข้ามาเพื่อขอ จึงได้บริจาคตัวของตน
สิ่งที่เสมอด้วยทานของเราไม่มี นี้เป็นทานบารมีของ
เรา ดังนี้.
จัดเป็น ปรมัตถบารมีแน่นอน.
ก็เช่นเดียวกัน อัตภาพที่บำเพ็ญศีลบารมี คือ ในกาลเป็นสีลวนาคราช
ในกาลที่เป็นจัมเปยยนาคราช ในกาลที่เป็นภูริทัตตนาคราช ในกาลที่เป็น
ฉัททันตนาคราช ในกาลเป็นชัยทิสราชบุตร ในกาลที่เป็นอลีนสัตตุกุมาร
ก็เหลือที่จะนับได้ แต่ศีลบารมีของพระโพธิสัตว์ผู้ทำการบริจาคตน ใน
สังขปาลชาดกอย่างนี้ว่า

เราเมื่อถูกทิ่มแทงอยู่ด้วยหลาว แม้จะถูกตีซํ้า
ด้วยหอกก็มิได้โกรธเคืองลูกผู้ใหญ่บ้านเลย นี้เป็นศีล-
บารมีของเรา ดังนี้.
จัดเป็น ปรมัตถบารมีแน่นอน.

ก็เช่นเดียวกัน อัตภาพที่พระโพธิสัตว์สละราชสมบัติอย่างใหญ่บำเพ็ญ
เนกขัมบารมีคือ ในกาลที่เป็นโสมนัสกุมาร ในกาลที่เป็นหัตถิปาลกุมาร ในกาล
ที่เป็นอโยฆรบัณฑิต ก็เหลือที่จะนับได้. แต่เนกขัมมบารมีของพระโพธิสัตว์ผู้
ทิ้งราชสมบัติออกบวช เพราะเป็นผู้ปราศจากเครื่องข้องใน จูฬสุตโสมชาดก
อย่างนี้ว่า

เราละทิ้งราชสมบัติอย่างใหญ่หลวง ที่อยู่ใน
เงื้อมมือแล้วไปดุจก้อนเขฬะ เมื่อเราสละแล้ว ไม่มี
ความข้องอยู่เลย นี้เป็นเนกขัมมบารมีของเรา ดังนี้.
จัดเป็น ปรมัตถบารมีแน่นอน.
ก็เช่นเดียวกัน อัตภาพที่บำเพ็ญปัญญาบารมีคือ ในกาลที่เป็นวิธูร-
บัณฑิต ในกาลที่เป็นมหาโควินทบัณฑิต ในกาลที่เป็นขุททาลบัณฑิต ในกาล
ที่เป็นอรกบัณฑิต ในกาลที่เป็นโพธิปริพพาชก ในกาลที่เป็นมโหสถบัณฑิต
ก็เหลือที่จะนับได้ แต่ปัญญาบารมีของพระโพธิสัตว์ผู้แสดงงูที่อยู่ข้างในกระ-
สอบ ในกาลที่เป็นเสนกบัณฑิต ในสัตตุภัตตชาดกอย่างนี้ว่า

เราเมื่อใคร่ครวญอยู่ด้วยปัญญา ปลดเปลื้อง
พราหมณ์ให้พ้นจากทุกข์ได้ ผู้ที่เสมอด้วยปัญญาของ
เราไม่มี นี้เป็นปัญญาบารมีของเรา ดังนี้.
จัดเป็น ปรมัตถบารมีแน่นอน.
ก็เช่นเดียวกัน อัตภาพที่บำเพ็ญแม้วิริยบารมีเป็นต้น ก็เหลือที่จะ
นับได้. แต่วิริยบารมีของพระโพธิสัตว์ผู้ข้ามมหาสมุทร ในมหาชนกชาดก
อย่างนี้ว่า

ในท่ามกลางนํ้าเราไม่เห็นฝั่งเลย พวกมนุษย์ถูก
ฆ่าตายหมด ความเป็นอย่างอื่นแห่งจิตไม่มีเลย นี้เป็น
วิริยบารมีของเรา ดังนี้.
จัดเป็น ปรมัตถบารมี.
ขันติบารมีของพระโพธิสัตว์ผู้อดกลั้นทุกข์หนัก เพราะทำเป็นเหมือนกับ
ไม่มีจิตใจในขันติวาทีชาดก อย่างนี้ว่า
เราไม่โกรธในพระเจ้ากาสิกราช ผู้ทุบตีเราผู้
เหมือนกับไม่มีจิตใจ ด้วยขวานอันคมกริบ นี้เป็น
ขันติบารมีของเรา ดังนี้.

• ผู้อ่านมิควรสงสัยจนเกินเหตุ เพราะจะเป็นเหตุให้หยุดอ่านต่อ
• ผิดก็บ้างเพียงเล็กน้อย อย่าปล่อยใจให้ค่อยตามจนเป็นเหตุต้องหยุดอ่าน
• บุคคลมิควรคิดท้อ ก่อนลงมือกระทำ
• การงานจะสำเร็จได้ เพราะมีใจเด็ดเดียวไม่ย่อท้อ
• ของดีอยู่ใกล้ แต่ก็มิได้ใส่ใจ หันไปมองหาสิ่งที่ไกลออกไป
• อยู่กับของดียังมิรู้ตัว ยังเมามัววิ่งค้นหาที่ไหนกัน

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2018, 18:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อ้างคำพูด:
จัดเป็นปรมัตถบารมี.
สัจบารมีของพระโพธิสัตว์ ผู้สละชีวิตตามรักษาอยู่ซึ่งสัจจะ ในมหา
สุตโสมชาดก อย่างนี้ว่า
เราเมื่อตามรักษาอยู่ซึ่งสัจวาจา สละชีวิตของเรา
ปลดเปลื้องกษัตริย์ ๑๐๑ พระองค์ได้แล้ว นี้เป็นสัจ-
บารมีของเรา ดังนี้.
จัดเป็นปรมัตถบารมี.
อธิฐานบารมีของพระโพธิสัตว์ ผู้ถึงกับสละชีวิตอธิฐานวัตร ใน
มูคปักขชาดก อย่างนี้ว่า

มารดาบิดามิได้เป็นที่เกลียดชังของเรา ทั้งยศ
ใหญ่เราก็มิได้เกลียดชัง แต่พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่
รักของเรา เพราะฉะนั้นเราจึงอธิฐานวัตร ดังนี้.
จัดเป็นปรมัตถบารมี.
เมตตาบารมีของพระโพธิสัตว์ผู้ไม่เหลียวแลแม้แต่ชีวิต ยังคงมีเมตตาอยู่
ในเอกราชชาดก อย่างนี้ว่า

ใคร ๆ ก็ทำให้เราสะดุ้งไม่ได้ ทั้งเราก็มิได้หวาด
ต่อใคร ๆ เราไม่แข็งกระด้างเพราะกำลังเมตตา จึง
ยินดีอยู่ในป่าเขาทุกเมื่อ ดังนี้.
จัดเป็นปรมัตถบารมี.
อุเบกขาบารมีของพระโพธิสัตว์ ผู้ไม่ประพฤติล่วงอุเบกขา เมื่อพวก
เด็กชาวบ้าน แม้จะก่อให้เกิดทุกข์และสุขด้วยการถ่มนํ้าลายใส่เป็นต้นบ้าง ด้วย
การนำดอกไม้และของหอมมาให้บ้าง ในโลมหังสชาดกอย่างนี้ว่า

เราหนุนซากศพเหลือแต่กระดูกสำเร็จการนอน
ในป่าช้า พวกเด็กต่างพากันกระโดดจากสนามวัวแล้ว
แสดงรูปต่าง ๆ เป็นอันมาก ดังนี้.
จัดเป็นปรมัตถบารมี.
ความสังเขปในที่นี้มีเพียงเท่านี้. ส่วนโดยพิศดารพึงถือใจความนั้นจาก
จริยาปิฎก. พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีอย่างนี้แล้ว ดำรงอยู่ในอัตภาพเป็น
พระเวสสันดร กระทำบุญใหญ่ อันเป็นเหตุให้แผ่นดินใหญ่ไหวอย่างนี้ว่า

แผ่นดินนี้ไม่มีจิตใจ ไม่รับรู้สุขทุกข์ แม้แผ่น-
ดินนั้นก็ได้ไหวแล้วถึง ๗ ครั้ง เพราะอำนาจแห่งทาน
ของเรา ดังนี้
ในเวลาสิ้นสุดแห่งอายุ จุติจากนั้นได้ไปเกิดในดุสิตพิภพ. จำเดิมแต่
บาทมูลของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าทีปังกร จนถึงพระโพธิสัตว์นี้เกิดใน
ดุสิตบุรี ข้อนั้นพึงทราบว่า ชื่อทูเรนิทาน.

อวิทูเรนิทาน
ก็เมื่อพระโพธิสัตว์อยู่ในดุสิตบุรีนั่นแล ความแตกตื่นเรื่องพระพุทธ-
เจ้าได้บังเกิดขึ้นแล้ว. จริงอยู่ ในโลกย่อมมีโกลาหล ๓ อย่างเกิดขึ้นคือ
โกลาหลเรื่องกัป ๑ โกลาหลเรื่องพระพุทธเจ้า ๑ โกลาหลเรื่องพระ
เจ้าจักรพรรดิ ๑

พวกเทวดาชั้นกามาวจรที่ชื่อว่าโลกพยุหะทราบว่า เหตุที่จะเกิด
เมื่อสิ้นกัปจักมีโดยล่วงไปได้แสนปีนั้น ดังนี้ ต่างมีศีรษะเปียก สยายผมมีหน้า
ร้องไห้ เอามือทั้งสองเช็ดนํ้าตา นุ่งผ้าแดง มีรูปร่างแปลก เที่ยวเดิน
บอกกล่าวไปในเมืองมนุษย์ว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย โดยกาลล่วงไป
แห่งแสนปีแต่นี้ เหตุที่จะเกิดเมื่อสิ้นกัปจักมีขึ้น แม้โลกนี้ก็จักพินาศไป แม้
มหาสมุทรก็จักพินาศ แผ่นดินใหญ่นี้และพญาแห่งภูเขาสิเนรุ จักถูกไฟไหม้
จักพินาศไป ความพินาศจักมีจนถึงพรหมโลก ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย
ขอพวกท่านจงเจริญเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาจงบำรุงมารดาบิดา จงเป็น
ผู้นอบน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูลดังนี้ นี้ชื่อว่าโกลาหลเรื่องกัป.

• ผู้อ่านมิควรสงสัยจนเกินเหตุ เพราะจะเป็นเหตุให้หยุดอ่านต่อ
• ผิดก็บ้างเพียงเล็กน้อย อย่าปล่อยใจให้ค่อยตามจนเป็นเหตุต้องหยุดอ่าน
• บุคคลมิควรคิดท้อ ก่อนลงมือกระทำ
• การงานจะสำเร็จได้ เพราะมีใจเด็ดเดียวไม่ย่อท้อ
• ของดีอยู่ใกล้ แต่ก็มิได้ใส่ใจ หันไปมองหาสิ่งที่ไกลออกไป
• อยู่กับของดียังมิรู้ตัว ยังเมามัววิ่งค้นหาที่ไหนกัน

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ย. 2018, 18:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

อ้างคำพูด:
พวกเทวดาชื่อว่าโลกบาลทราบว่า ก็โดยล่วงไปแห่งพันปี พระสัพพัญญู
พุทธเจ้าจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ดังนี้ แล้วพากันเที่ยวป่าวร้อง นี้ชื่อว่าโกลา-
หลเรื่องพระพุทธเจ้า.
เทวดาพวกนั้นแหละทราบว่า โดยล่วงไปแห่งร้อยปีพระเจ้าจักรพรรดิ
จักเสด็จอุบัติขึ้นพากันเที่ยวป่าวประกาศว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ทั้งหลาย โดย
ล่วงไปแห่งร้อยปีแต่นี้ พระเจ้าจักรพรรดิจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ดังนี้.
นี้ชื่อว่าโกลาหลเรื่องพระเจ้าจักรพรรดิ.

โกลาหลทั้งสามประการนี้นับว่าเป็นของใหญ่. บรรดาโกลาหลทั้งสาม
นั้น เทวดาในหมื่นจักรวาลทั้งสิ้นได้ฟังเสียงโกลาหลเรื่องพระพุทธเจ้าแล้ว จึง
ร่วมประชุมพร้อมกันทราบว่า สัตว์ชื่อโน้นจักเป็นพระพุทธเจ้า เข้าไปหาเขา
แล้วต่างจะอ้อนวอนและเมื่ออ้อนวอนอยู่ก็จะอ้อนวอนในเมื่อบุรพนิมิตเกิดขึ้น
แล้ว. ก็ในกาลนั้นเทวดาแม้ทั้งปวง พร้อมกับท้าวจาตุมมหาราช ท้าวสักกะ

ท้าวสุยาม ท้าวสันดุสิต ท้าวนิมมานรดี ท้าวปรนิมมิตวสวัตดี และท้าวมหา-
พรหม ในแต่ละจักรวาลมาประชุมพร้อมกันในจักรวาลหนึ่ง แล้วพากันไปยัง
สำนักของพระโพธิสัตว์ ในภพดุสิตต่างอ้อนวอนว่า "ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์
ท่านเมื่อบำเพ็ญบารมีสิบ ก็มิได้ปรารถนาสมบัติของท้าวสักกะ สมบัติของมาร
สมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ สมบัติของพรหมบำเพ็ญ แต่ท่านปรารถนาพระ
สัพพัญญุตญาณบำเพ็ญแล้ว เพื่อต้องการจะขนสัตว์ออกจากโลก ข้าแต่ท่านผู้

นิรทุกข์ บัดนี้ถึงเวลาที่ท่านจะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ถึงสมัยที่ท่านจะเป็นพระ
พุทธเจ้าแล้ว".

ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ยังไม่ให้ปฏิญาณ แก่เทวดาทั้งหลาย จะตรวจดู
มหาวิโลกนะ คือที่จะต้องเลือกใหญ่ ๕ ประการคือ กาล ทวีป ประเทศ ตระกูล
และการกำหนดอายุของมารดา.. ใน ๕ ประการนั้น พระโพธิสัตว์จะตรวจดูกาล
ก่อนว่า เป็นกาลสมควรหรือไม่สมควร. ในข้อนั้นกาลแห่งอายุที่เจริญขึ้นถึง

แสนปีจัดว่า เป็นกาลไม่สมควร. เพราะเหตุไร. เพราะในกาลนั้น ชาติชราและ
มรณะไม่ปรากฏแก่สัตว์ทั้งหลาย และพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ที่จะพ้นจากไตรลักษณ์ไม่มี เมื่อพระองค์ตรัสว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พวก
เขาก็จะคิดว่า พระองค์ตรัสข้อนั้นทำไม แล้วจะไม่เห็นเป็นสำคัญว่าควรจะฟัง
ควรจะเชื่อ ต่อนั้นก็จะไม่มีการตรัสรู้ เมื่อไม่มีการตรัสรู้ศาสนาก็จะไม่เป็นสิ่งนำ
ออกจากทุกข์ เพราะฉะนั้น จึงเป็นกาลที่ยังไม่ควร. แม้กาลแห่งอายุหย่อน

กว่าร้อยปี ก็จัดเป็นกาลที่ยังไม่ควร. เพราะเหตุไร. เพราะในกาลนั้น สัตว์
ทั้งหลายมีกิเลสหนา และโอวาทที่ให้แก่ผู้มีกิเลสหนาจะไม่ตั้งอยู่ในที่เป็นโอวาท
โอวาทนั้น ก็จะพลันปราศไปเร็วพลันเหมือนรอยไม้เท้าในนํ้าฉะนั้น เพราะฉะนั้น
แม้กาลนั้นก็จัดได้ว่าเป็นกาลไม่ควร. กาลแห่งอายุตํ่าลงมาตั้งแต่แสนปี สูงขึ้น
ไปตั้งแต่ร้อยปี จัดเป็นกาลอันควร. และในกาลนั้นก็เป็นกาลแห่งอายุร้อยปี.
ทีนั้นพระมหาสัตว์ก็มองเห็นว่าเป็นกาลที่ควรจะเกิดได้แล้ว. ต่อจากนั้นเมื่อจะ

ตรวจดูทวีปก็ตรวจดูทวีปใหญ่ ๔ ทวีป เห็นทวีปหนึ่งว่า ในทวีปทั้งสามพระพุทธ
เจ้าทั้งหลายย่อมไม่เสด็จอุบัติขึ้น เสด็จอุบัติขึ้นในชมพูทวีปเท่านั้น. ต่อจากนั้น
ก็ตรวจดูประเทศว่า ธรรมดาชมพูทวีปกว้างใหญ่มาก มีปริมาณถึงหมื่นโยชน์
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เสด็จอุบัติขึ้นในประเทศไหนหนอ. จึงมองเห็นมัชฌิม
ประเทศ. ชื่อว่ามัชฌิมประเทศ คือประเทศที่ท่านกล่าวไว้ในวินัยอย่างนี้ว่า ใน

ทิศตะวันออกมีนิคมชื่อกชังคละ ที่อื่นจากนิคมนั้นเป็นที่กว้างขวาง อื่นไปจาก
ที่นั้นเป็นชนบทตั้งอยู่ในชายแดน ร่วมในเป็นมัชฌิมประเทศ ในทิศใต้ มีแม่นํ้า
ชื่อสัลลวดี ต่อจากนั้นเป็นชนบทตั้งอยู่ชายแดน ร่วมในเป็นมัชฌิมประเทศ ใน

• ผู้อ่านมิควรสงสัยจนเกินเหตุ เพราะจะเป็นเหตุให้หยุดอ่านต่อ
• ผิดก็บ้างเพียงเล็กน้อย อย่าปล่อยใจให้ค่อยตามจนเป็นเหตุต้องหยุดอ่าน
• บุคคลมิควรคิดท้อ ก่อนลงมือกระทำ
• การงานจะสำเร็จได้ เพราะมีใจเด็ดเดียวไม่ย่อท้อ
• ของดีอยู่ใกล้ แต่ก็มิได้ใส่ใจ หันไปมองหาสิ่งที่ไกลออกไป
• อยู่กับของดียังมิรู้ตัว ยังเมามัววิ่งค้นหาที่ไหนกัน

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2685 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 179  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร