วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 08:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 19:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
พระราชาตรัสถามว่า โอรสของเราไปไหน ? พวกอำมาตย
์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ไม่ทราบเกล้า เมื่อเมฆตั้งเค้าขึ้น พวกข้าพระพุทธเจ้าก็สำคัญว่า
พระราชกุมารคงเสด็จล่วงหน้ามาแล้ว จึงพากันกลับมาพระเจ้าข้า.

พระราชารับสั่งให้เปิดประตู เสด็จไปถึงฝั่งน้ำ ตรัสว่า พวกเจ้า
จงค้นดู แล้วรับสั่งให้ค้นหาในที่นั้น ๆ ไม่มีใครเห็นพระกุมาร
ฝ่ายพระกุมารนั้นเล่า ในเวลาที่เมฆมืดครึ้ม ฝนตกกระหน่ำ
ลอยไปในแม่น้ำ เห็นท่อนไม้ท่อนหนึ่ง จึงเกาะท่อนไม้ อันมรณภัย
คุกคามแล้ว ร้องคร่ำครวญลอยไป.

ก็ในกาลนั้น เศรษฐีชาวเมืองพาราณสีผู้หนึ่ง ฝังทรัพย์
๔๐ โกฏิไว้ที่ฝั่งแม่น้ำ เพราะความเป็นห่วงทรัพย์ ตายไปจึง
ไปเกิดเป็นงูอยู่เหนือขุมทรัพย์. ยังมีอีกผู้หนึ่งฝังสมบัติไว้ตรงนั้น
เหมือนกัน ๓๐ โกฏิ เพราะความเป็นห่วงทรัพย์ ตายไปบังเกิด
เป็นหนูอยู่ในที่นั้นเหมือนกัน. น้ำเซาะเข้า ไปถึงที่อยู่ของงูและ

หนูทั้งสองนั้น. สัตว์ทั้งสองก็ออกมาตามทางที่น้ำเซาะเข้าไป
นั้นแหละ ว่าย ตัดกระแสน้ำไป ถึงท่อนไม้ที่พระราชกุมารเกาะ
อยู่นั้น ต่างตัวต่างขึ้นสู่ปลายท่อนไม้คนละข้าง นอนอยู่เหนือ
ท่อนไม้นั้นแล. ก็ที่ริมฝั่งแม่น้ำนั้นเอง มีต้นงิ้วอยู่ต้นหนึ่ง ลูกนก

แขกเต้าตัวหนึ่งอาศัยอยู่ที่ต้นงิ้วนั้น ถึงต้นงิ้วนั้น ก็ถูกน้ำเซาะราก
โค่นลง เหนือแม่น้ำ เมื่อฝนกำลังตก ลูกนกแขกเต้าไม่สามารถบิน
ไปได้ ก็ลอยไปเกาะแอบอยู่ด้านหนึ่ง ของท่อนไม้นั้น. ด้วยประการ
ดังกล่าวมานี้ จึงเป็นอันว่ารวมกันเป็น ๔ คน ล่องลอยไป.

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง
• ตัดความสงสัยด้วยการลงมือทำ เพิ่มความทรงจำด้วยการทำความเข้าใจและสังเกต

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 19:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
ในกาลนั้น แม้พระโพธิสัตว์ บังเกิดในตระกูลอุทิจจพราหมณ์
ในแคว้นกาสี เจริญวัยแล้วบวชเป็นฤๅษี สร้างศาลาอาศัยอยู่
ที่คุ้งน้ำตอนหนึ่ง. ท่านกำลังจงกรมอยู่ในเวลาเที่ยงคืน ได้ยิน
เสียงร่ำไห้ดังสนั่นของพระราชกุมาร ก็ดำริว่า ในเมื่อดาบส
ผู้สมบูรณ์ด้วยเมตตากรุณายังอยู่ จะปล่อยให้บุรุษนี้ตายไม่ควร

เลย เราจักช่วยเขาให้ขึ้นจากน้ำ ให้เขารอดชีวิต แล้วก็ปลอบ
พระราชกุมารว่า อย่ากลัวเลย ว่ายตัดกระแสน้ำไปเกาะท่อนไม
้ที่ปลายข้างหนึ่งฉุดมา ท่านมี กำลังดังช้างสาร สมบูรณ์ด้วย
เรี่ยวแรง พักเดียวก็ถึงฝั่ง อุ้มพระกุมารขึ้นไว้บนฝั่ง ครั้นเห็น
สัตว์ ทั้งหลายมีงูเป็นต้น ก็ช่วยนำขึ้นไปสู่อาศรมบท ก่อไฟแล้ว

คิดว่า สัตว์เหล่านี้อ่อนแอกว่า ก็ให้ งูเป็นต้นผิงไฟก่อน ให้พระ-
ราชกุมารผิงไฟทีหลัง กระทำให้หายหนาว ถึงเมื่อจะให้อาหาร
ก็ให้แก่ งูเป็นต้นก่อน แล้วนำผลไม้ไปให้พระราชกุมารทีหลัง.
พระราชกุมารทรงพระดำริว่า ดาบสโกง ผู้นี้ มิได้นับถือเรา
ผู้เป็นพระราชกุมาร กลับยกย่องพวกสัตว์เดียรัจฉาน จึงผูก

อาฆาตในพระโพธิ สัตว์. แต่ต่อจากนั้นล่วงไปได้สอง-สามวัน
ครั้นพระกุมารและสัตว์เหล่านั้นแม้ทั้งหมด มีเรี่ยว แรงเป็นปกติ
แล้ว กระแสน้ำในแม่น้ำก็แห้งแล้ว งูไหว้พระดาบสแล้วกล่าวว่า
ข้าแต่พระคุณท่าน ผู้เจริญ พระคุณเจ้าได้กระทำอุปการะอย่าง
ใหญ่หลวงแก่ข้าพเจ้า ก็แลข้าพเจ้ามิใช่ผู้ขัดสน ฝัง เงินไว้ ๔๐

โกฏิ ในที่ชื่อโน้น เมื่อพระคุณเจ้าจะใช้สอยทรัพย์ ข้าพเจ้า
สามารถถวายทรัพย์แม้ ทั้งหมดนั้นแด่พระคุณเจ้าได้ พระคุณเจ้า
จงไปที่นั้น แล้วเรียกข้าพเจ้าว่า ทีฆะ เถิด แล้วก็ลาไป. ฝ่ายหนู
ก็ปวารณาพระดาบสไว้อย่างนั้นเหมือนกัน กล่าวว่า เมื่อพระ-

คุณเจ้าต้องการจะใช้สอย จงไปยืนอยู่ในที่ชื่อโน้น เรียกข้าพเจ้า
ว่า "อุนทุระ" เถิด ดังนี้แล้วก็ลาไป. ส่วนนกแขกเต้า ไหว้พระ-
ดาบสแล้วกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ข้าพเจ้าไม่มีทรัพย์
แต่เมื่อ พระคุณเจ้าจะต้องการข้าวสาลีแดงละก็ โปรดไปที่อยู่
ของข้าพเจ้า ในที่ชื่อโน้น เรียกข้าพเจ้าว่า "สุวะ" ข้าพเจ้า

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง
• ตัดความสงสัยด้วยการลงมือทำ เพิ่มความทรงจำด้วยการทำความเข้าใจและสังเกต

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 19:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
สามารถจะบอกแก่ฝูงญาติ ให้ช่วยขนข้าวสาลีแดงมาถวายได้
หลายเล่มเกวียน แล้วลาไป. ฝ่ายพระราชกุมาร เพราะฝังใจใน
ธรรมของผู้ประทุษร้ายมิตร เป็นสันดาน คิดได้ว่า การที่เรา
จะไม่พูดอะไร ๆ บ้าง ไปเสียเฉย ๆ ไม่เหมาะเลย เราจักฆ่า
ดาบสเสียเวลาที่ท่านมาหาเรา จึงกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า
ผู้เจริญ เมื่อข้าพเจ้าดำรงอยู่ในราชสมบัติแล้ว นิมนต์มาเถิด
กระผมจักบำรุงพระคุณเจ้าด้วยปัจจัย ๔ แล้วก็ลาไป. พระกุมาร
นั้นเสด็จไปได้ไม่นาน ก็ดำรงอยู่ในราชสมบัติ.

พระโพธิสัตว์ดำริว่า เราจักทดสอบคนเหล่านั้น ดังนี้แล้ว
จึงไปสู่สำนักงูก่อน ยืนอยู่ไม่ห่าง เรียกว่า "ทีฆะ". เพียงคำเดียว
เท่านั้น งูก็เลื้อยออกมาไหว้พระโพธิสัตว์กล่าวว่า ข้าแต่พระคุณ-
เจ้าผู้เจริญ ที่ตรงนี้มีทรัพย์อยู่ ๔๐ โกฏิ นิมนต์พระคุณเจ้าขุด
ค้นขนเอาไปให้หมดเถิด. พระโพธิสัตว์กล่าวว่า เอาไว้อย่างนี้แหละ

เมื่อมีกิจเกิดขึ้นจึงจะรู้กัน บอกให้งูกลับไปแล้วเลยไปสำนัก
ของหนู เอ่ยเสียงเรียก. แม้หนูก็ปฏิบัติดังนั้นเหมือนกัน. พระ-
โพธิสัตว์ก็บอกให้หนูกลับไป. เลยไปสำนักนกแขกเต้า เรียกว่า
"สุวะ" เพียงคำเดียวเท่านั้นเหมือนกัน นกแขกเต้าก็โผลงจาก

ยอดไม้ ไหว้พระโพธิสัตว์แล้วถามว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ
กระผมจักต้องไปหาพวกญาติของกระผมให้ช่วยขนข้าวสาลี
ที่เกิด เอง จากหิมวันตประเทศ มาถวายพระคุณเจ้าหรือขอรับ ?
พระโพธิสัตว์กล่าวว่า เมื่อต้องการค่อยรู้กัน บอกให้นกแขกเต้า

กลับไป แล้วคิดว่า คราวนี้เราจักทดสอบพระราชา จึงไปพัก
อยู่ที่ พระราชอุทยาน รุ่งขึ้นก็สำรวมมรรยาทเรียบร้อย เข้าไปสู่
พระนคร ด้วยภิกขาจารวัตร. ในขณะนั้น พระราชาผู้ทำลาย
มิตรพระองค์นั้น ประทับเหนือคอพระคชาธารอันตกแต่งแล้ว

กระทำปทักษิณพระนคร ด้วยข้าราชบริพารขบวนใหญ่ เห็น
พระโพธิสัตว์แต่ไกลทีเดียว ทรงพระดำริว่า ดาบสผู้นี้ คือ
ดาบสโกงคนนั้น คงประสงค์จะอยู่ในสำนักของเรา จึงได้มา ต้อง
ให้ราชบุรุษตัดศีรษะเสียทันที มิทันให้แกประกาศคุณที่ทำไว้
แก่เรา ในท่ามกลางฝูงคนได้ แล้วทรงมองดูราชบุรุษ ในเมื่อ

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง
• ตัดความสงสัยด้วยการลงมือทำ เพิ่มความทรงจำด้วยการทำความเข้าใจและสังเกต

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 19:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
ราชบุรุษกราบทูลถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ต้องทำอะไร พระเจ้าข้า ? จึงรับสั่งว่า ดาบสโกงนั้น ชะรอย
จะมามุ่งขออะไรเราสักอย่าง พวกเจ้าต้องไม่ให้ดาบสกาลกรรณ
ีผู้นั้น เห็นเรา จับมันไปมัดมือไพร่หลัง เฆี่ยนทุก ๔ แยก นำออก
จากพระนคร ตัดหัวมันเสียที่ตะแลงแกง แล้วเอาตัวเสียบหลาวไว้

ราชบุรุษเหล่านั้นรับสนองพระบรมราชโองการแล้ว พากันไป
มัดพระโพธิสัตว์ ผู้ปราศจากความผิด เฆี่ยนไปทุก ๔ แยก
แล้วเตรียมจะนำไปสู่ตะแลงแกง. พระโพธิสัตว์มิได้คร่ำครวญ
เลยว่า พ่อแม่ทั้งหลาย ในสถานที่ถูกเฆี่ยนทุกแห่ง ปราศจาก
ความสะทกสะท้าน กล่าวคาถานี้ ความว่า

"เป็นความจริง ดังที่ได้ยินมาว่า คนบาง
จำพวกในโลกนี้ เคยกล่าวว่าไม้ลอยน้ำยัง
ประเสริฐกว่า แต่คนบางคนไม่ประเสริฐเลย"
ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สจฺจํ กิเรวมาหํสุ ความว่า
ได้ยินว่า บัณฑิตทั้งหลายกล่าวไว้อย่าง นี้ไม่ผิดเลย.
บทว่า นรา เอกจฺจิยา อิธ ความว่า บุรุษผู้เป็นบัณฑิต
บางพวกในโลกนี้.

บทว่า กฏฺฐํ นิปฺผวิตํ เสยฺโย ความว่า ได้ยินว่าบุรุษผู้
เป็นบัณฑิตเหล่านั้น ที่กล่าวว่า ไม้แห้งที่เป็นไม้เบา ๆ ลอยอยู่
ในแม่น้ำ เอาขึ้นวางไว้บนบก นั้นประเสริฐกว่า คือมันยังดี นั้น
กล่าวไว้เป็นความจริง. เพราะเหตุไร ? เพราะว่าไม้นั้น ยังเป็น

อุปการะแก่ความต้องการ ในอันจะต้มจะหุงข้าวยาคู และข้าวสวย
ก็ได้ เป็นอุปการะแก่ความต้องการในอันจะผิงไฟของหมู่ชน
ผู้เดือดร้อนด้วยความหนาวก็ได้ เป็นอุปการะแก่ความต้องการ
ในอันกำจัดอันตรายอื่น ๆ ก็ได้

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง
• ตัดความสงสัยด้วยการลงมือทำ เพิ่มความทรงจำด้วยการทำความเข้าใจและสังเกต

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 19:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
บทว่า น เตฺวเวกจฺจิโย นโร ความว่า ส่วนบุคคลบางคน
คือ คนทำลายมิตร คนอกตัญญู คนใจบาป ถูกกระแสน้ำพัด
ลอยไป ช่วยฉุดมือให้ขึ้นจากแม่น้ำได้ ไม่ประเสริฐเลย เป็น
ความจริงทีเดียว เราช่วยคนใจบาปนี้ให้รอดชีวิตได้ กลับเป็น
อันนำทุกข์มาให้ตน.

พระโพธิสัตว์กล่าวคาถานี้ในที่ที่ถูกเฆี่ยนทุกแห่ง ด้วย
ประการฉะนี้. ฝูงชนต่างได้ยินคำเป็นคาถานั้น ท่านพวกที่เป็น
บัณฑิตในหมู่นั้น พากันกล่าวว่า ข้าแต่ท่านนักพรตผู้เจริญ ท่าน
กระทำคุณอะไรไว้แก่พระราชาของพวกเราหรือ ? พระโพธิสัตว์
จึงเล่าเรื่องนั้นแล้วกล่าวว่า เราเองเป็นผู้ช่วยพระราชานี้ให้ขึ้น

จากห้วงน้ำใหญ่ กลับเป็นการทำทุกข์ให้แก่ตนอย่างนี้ เรามา
หวลรำลึกได้ว่า เราไม่ได้กระทำตามคำของบัณฑิต แต่ครั้งก่อน
สิหนอ จึงกล่าวอย่างนี้. ชาวพระนคร มีกษัตริย์และพราหมณ์
เป็นต้น ฟังคำนั้นแล้ว พากันกล่าวว่า เพราะอาศัยพระราชา
ผู้ทำลายมิตรมิได้รู้แม้มาตรว่าคุณของท่านผู้ถึงพร้อมด้วย

พระคุณ ผู้ให้ชีวิตแก่ตนอย่างนี้ พระองค์นี้ พวกเราจะมีความ
เจริญได้แต่ที่ไหน จับมันเถิด ดังนี้แล้วต่างโกรธแค้น ลุกฮือขึ้น
โดยรอบ ฆ่าพระราชานั้นเสีย ทั้ง ๆ ที่ยังอยู่บนคอช้างนั่นเอง
ด้วยเครื่องประหาร มีลูกศร หอกซัด ก้อนหิน และไม้ค้อนเป็นต้น
แล้วจับเท้ากระชากลงมาโยนทิ้งไปเหนือสันคู แล้วอภิเษกพระ-
โพธิสัตว์ให้ดำรงราชย์สืบแทน.

ส่วนพระโพธิสัตว์ ดำรงราชย์โดยธรรม วันหนึ่งทรง
ปรารภจะทดลองสัตว์มีงูเป็นต้น จึงเสด็จไปที่อยู่ของงู ตรัส
เรียกว่า "ทีฆะ" งูเลื้อยมาซบไหว้ กล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้มีพระคุณ
เชิญมาขนทรัพย์ของท่านไปเสียเถิด. พระราชามีพระดำรัส

ให้อำมาตย์มารับมอบทรัพย์ ๔๐ โกฏิ แล้วเสด็จไปสำนักของ
หนูตรัสเรียกว่า "อุนทูร" หนูก็มาซบไหว้แล้วมอบถวายสมบัติ
๓๐ โกฏิ พระราชามีดำรัสให้อำมาตย์รับมอบทรัพย์แม้นั้นไว้.

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง
• ตัดความสงสัยด้วยการลงมือทำ เพิ่มความทรงจำด้วยการทำความเข้าใจและสังเกต

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 19:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
เสด็จไปที่อยู่ของนกแขกเต้า รับสั่งเรียกว่า "สุวะ" แม้นกแขกเต้า
ก็บินมาซบไหว้ พระบาทยุคลกราบทูลว่า ข้าแต่ท่านเจ้าพระคุณ
ข้าพเจ้าจะไปนำข้าวสาลีมาให้. พระราชารับสั่งว่า เมื่อจะต้อง
การข้าวสาลี จึงค่อยนำมา มาเถิด เรามาพากันไป แล้วทรง
พาสัตว์ทั้ง ๓ กับทรัพย์ ๗๐ โกฏิ ไปพระนคร รับสั่งให้ทำ
ทะนานทอง พระราชทานเป็นที่อยู่ของงู ถ้ำแก้วผลึกเป็นที่อยู่

ของหนู กรงทองเป็นที่อยู่ของนกแขกเต้า พระราชทานข้าวตอก
คลุกน้ำผึ้งใส่จานทองให้งูและนกแขกเต้ากิน พระราชทาน
ข้าวสารสาลีให้หนูกินทุกวัน ทรงกระทำบุญมีให้ทานเป็นต้น.
คนทั้ง ๔ แม้นั้นต่างสมัครสมานกัน ร่าเริงบันเทิงอยู่ชั่วชีวิต
ครั้นสิ้นชีวิตแล้ว ต่างก็ไปตามยถากรรม.

พระบรมศาสดาก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่
ในบัดนี้เท่านั้น ที่พระเทวทัตพยายามจะฆ่าเราเสีย แม้ในครั้งก่อน
ก็พยายามมาแล้วเหมือนกัน ดังนี้ ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนา
นี้มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า พระราชาผู้ร้ายกาจ

ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระเทวทัตในครั้งนี้ งูได้มาเป็นพระสารีบุตร
หนูได้มาเป็นพระโมคคัลลานะ นกแขกเต้าได้มาเป็นอานนท์
ธรรมราชาผู้เถลิงราชย์ในภายหลังได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาสัจจังกิรชาดกที่ ๓


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 19:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงทราบความพินาศใหญ่ กำลังจะเกิดแก่พระญาติทั้งหลาย
ของพระองค์ เพราะทะเลาะกันเรื่องน้ำ ก็เสด็จเหาะไปในอากาศ
ประทับนั่งโดยบัลลังก์ เบื้องบนแม่น้ำโรหิณี ทรงเปล่งรัศมี
สีขาบ ให้พระญาติทั้งหลายสลดพระทัย แล้วเสด็จลงจากอากาศ
ประทับนั่ง ณ ฝั่งแม่น้ำ ทรงปรารภการทะเลาะนั้น ตรัสพระ-
ธรรมเทศนานี้มีคำเริ่มต้นว่า สาธุ สมฺพหุลา ญาตี ดังนี้.

ในชาดกที่ยกมานี้เป็นสังเขปนัย ส่วนวิตถานัยจักปรากฏ
แจ้งในกุณาลชาดก ก็และในครั้งนั้น พระศาสดาตรัสเรียก
พระญาติทั้งหลายมาตรัสว่า มหาบพิตรทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย
ได้นามว่าเป็นญาติกัน ควรจะสมัครสมานสามัคคีร่วมใจกัน

เพราะว่าเมื่อพระญาติทั้งหลาย ยังสามัคคีกันอยู่ หมู่ปัจจามิตร
ย่อมไม่ได้โอกาส อย่าว่าแต่หมู่มนุษย์เลย แม้ต้นไม้ทั้งหลาย
อันหาเจตนามิได้ ยังควรจะได้ความสามัคคีกัน เพราะในอดีตกาล
ที่หิมวันตประเทศ มหาวาตภัยรุกรานป่ารัง แต่เพราะป่ารังนั้น

เกี่ยวประสานกันและกันแน่นขนัดไปด้วยลำต้น กอพุ่มและ
ลดาวัลย์ ไม่อาจจะให้ต้นไม้แม้ต้นเดียวโค่นลงได้ พัดผ่านไป
ตามยอด ๆ เท่านั้น แต่ได้พัดเอาไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ที่ขึ้นอยู่บนเนิน
แม้จะสมบูรณ์ด้วยกิ่งก้าน ค่าคบไม้ล้มลงที่พื้นดิน ถอนราก
ถอนโคนขึ้น เพราะไม่เกี่ยวประสานกันกับต้นไม้อื่น ๆ ด้วยเหตุน
ี้
จึงควรที่พวกท่านทั้งหลาย จะสมัครสมานสามัคคีร่วมใจกัน
อันพระญาติเหล่านั้น กราบทูลอารธนา จึงทรงนำเรื่องในอดีต
มาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง
• ตัดความสงสัยด้วยการลงมือทำ เพิ่มความทรงจำด้วยการทำความเข้าใจและสังเกต

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 19:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
กรุงพาราณสี ท้าวเวสวรรณมหาราชที่ทรงอุบัติพระองค์แรก
จุติ ท้าวสักกะทรงตั้งท้าวเวสสวรรณองค์ใหม่ ในคราวเปลี่ยน-
แปลงท้าวเวสสวรรณนี้ ท้าวเวสสวรรณองค์หลัง ส่งข่าวไปแก่
หมู่เทพยดาว่า จงจับจองต้นไม้ กอไผ่พุ่มไม้ และลดาวัลย์
เป็นวิมานในสถานที่อันพอใจแห่งตน ๆ เถิด. ครั้งนั้น พระโพธิสัตว

์เสวยพระชาติเป็นรุกขเทวดา ณ ป่ารังแห่งหนึ่ง ในหิมวันตประเทศ
ทรงประกาศบอกเทพที่เป็นหมู่ญาติว่า เมื่อท่านทั้งหลายจะจับ
จองวิมาน จงอย่าจับจองที่ต้นไม้อันตั้งอยู่บนเนิน แต่จงจับจอง
วิมานที่ต้นไม้ตั้งล้อมรอบวิมานที่เราจับจองแล้ว ในป่ารังนี้เถิด.

บรรดาเทวดาเหล่านั้น พวกที่เป็นบัณฑิต ก็กระทำตามคำของ
พระโพธิสัตว์ จับจองวิมานต้นไม้ที่ตั้งล้อมวิมานของพระโพธิสัตว์
ฝ่ายพวกที่มิใช่บัณฑิต ต่างพูดกันว่า พวกเราจะต้องการอะไร
ด้วยวิมานในป่า จงพากันจับจองวิมานที่ประตูบ้าน นิคม และ

ราชธานี ในถิ่นมนุษย์กันเถิด ด้วยว่าพวกเทวดาที่อยู่อาศัยบ้าน
เป็นต้น ย่อมประสบลาภอันเลิศ และยศอันเลิศ แล้วพากันจับจอง
วิมานที่ต้นไม้ใหญ่ ๆ อันเกิด ณ ที่อันเป็นเนิน ในถิ่นมนุษย์
ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง เกิดลมฝนใหญ่แม้ถึงต้นไม้ที่ใหญ่ ๆ ในป่า
มีรากมั่นคง ต่างมีกิ่งก้าน ค่าคบ หักล้มระเนระนาดทั้งราก

ทั้งโคน เพราะโต้ลมเกินไป. แต่พอถึงป่ารัง ซึ่งตั้งอยู่ชิดติด
ต่อกัน ถึงจะพัดกระหน่ำ ทุก ๆ ด้านไม่ส่างซา ก็ไม่อาจทำให้
ต้นไม้ล้มได้สักต้นเดียว. หมู่เทวดาที่มีวิมานหักต่างก็ไม่มีที่
พำนัก พากันจูงมือเด็ก ๆ ไปป่าหิมพานต์ แจ้งเรื่องราวของตน

แก่เทวดาผู้อยู่ในป่ารัง เทวดาเหล่านั้นก็พากันบอกเรื่องที่พวก
เหล่านั้นพากันกระเซอะกระเซิงมาแด่พระโพธิสัตว์. พระโพธิสัตว์
กล่าวว่า ขึ้นชื่อว่า ผู้ที่ไม่เชื่อถือถ้อยคำของหมู่บัณฑิต แล้วพากัน
ไปสู่สถานที่อันหาปัจจัยมิได้ ย่อมเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น เมื่อจะ
แสดงธรรม จึงกล่าวคาถาความว่า :-

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง
• ตัดความสงสัยด้วยการลงมือทำ เพิ่มความทรงจำด้วยการทำความเข้าใจและสังเกต

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 19:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
"หมู่ญาติยิ่งมีมากได้ ยิ่งดี แม้ถึงไม้เกิด
ในป่า เป็นหมวดหมู่ได้เป็นดี (เพราะ) ต้นไม้
ที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว แม้จะใหญ่โตเป็นเจ้าป่า ย่อม
ถูกลมแรง โค่นได้" ดังนี้

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมฺพหุลา ความว่า ญาตินับ
แต่ ๔ คน ชื่อว่า มาก แม้ยิ่งกว่านั้น ขนาดนับร้อย นับพัน
ชื่อว่ามากมูล เมื่อหมู่ญาติมากมายอย่างนี้ ต่างถ้อยทีถ้อยอาศัย
กันอยู่ ก็ยิ่งดี คืองดงาม ประเสริฐสุด ศัตรูหมู่อมิตรจะกำจัด
ไม่ได้.

บทว่า อปิ รุกฺขา อรญฺญชา ความว่า อย่าว่าแต่ชุมชนที่
รวมกันเป็นหมู่มนุษย์เลย แม้ถึงต้นไม้ที่เกิดในป่าที่มีมากมาย
ตั้งอยู่โดยอาการต่างฝ่ายต่างค้ำจุนสนับสนุนกันเป็นการดีแท
้เพราะแม้ถึงต้นไม้ทั้งหลาย ก็ควรจะได้เป็นปัจจัยสนับสนุน
กันและกัน.

บทว่า วาโต วหติ เอกฏฺฐํ ความว่า ลมมีลมที่พัดมาแต่
ทิศตะวันออกเป็นต้น พัดมา จะทำให้ต้นไม้ที่ตั้งตระหง่านอย
ู่บนเนิน เด่นโดดเดี่ยว ลำพังต้นเดียว ถอนไปได้.

บทว่า พฺรหนฺตมฺปิ วนปฺปตฺตึ ความว่า ลมย่อมพัดต้นไม้
ใหญ่ แม้จะสมบูรณ์ด้วยกิ่งก้านและค่าคบ ให้หักโค่นถอนราก
ถอนโคนไปได้.

พระโพธิสัตว์ บอกกล่าวเหตุนี้ เมื่อสิ้นอายุ ก็ไปตาม
ยถากรรม. แม้พระบรมศาสดาก็ตรัสว่า มหาบพิตรทั้งหลาย
หมู่ญาติควรจะต้องได้ความสามัคคีกันก่อนอย่างนี้ทีเดียว เพราะ
เหตุนั้น ท่านทั้งหลาย จงสมัครสมานปรองดองกัน อยู่กันด้วยความ
รักใคร่กลมเกลียวกันเถิด ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว
ทรงประชุมชาดกว่า ฝูงเทพในครั้งนั้นได้มาเป็นพุทธบริษัท
ส่วนเทวดาผู้เป็นบัณฑิต ได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถารุกขธัมมชาดกที่ ๔

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 19:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
พระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหา-
วิหาร ทรงปรารภฝนที่พระองค์ทรงบันดาลให้ตกลง ตรัสพระ-
ธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อภิตฺถนย ปชฺชุนฺนา ดังนี้

ดังได้สดับมา ในสมัยหนึ่ง ในแคว้นโกศล ฝนไม่ตกเลย.
ข้าวกล้าทั้งหลายเหี่ยวแห้ง ตระพังสระโบกขรณีและสระใน
ที่นั้น ๆ ก็เหือดแห้ง แม้โบกขรณีเชตวัน ณ ที่ใกล้ซุ้มพระทวาร
เชตวัน ก็ขาดน้ำ. ฝูงกาและนกเป็นต้น รุมกันเอาจะงอยปาก
อันเทียบได้กับปากคีม จิกทึ้งฝูงปลาและเต่าอันหลบคุดเข้าสู่

เปือกตม ออกมากิน ทั้ง ๆ ที่กำลังดิ้นอยู่ พระศาสดา
ทอดพระเนตรเห็นความพินาศของฝูงปลาและเต่า พระมหากรุณา
เตือนพระทัยให้ทรงอุตสาหะ จึงทรงพระดำริว่า วันนี้เราควรจะ
ให้ฝนตก ครั้นราตรีสว่างแล้ว ทรงกระทำการปฏิบัติพระสรีระ
เสร็จ ทรงกำหนดเวลาภิกษาจาร มีพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่แวดล้อม

เสด็จเข้าไปบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี ด้วยพระพุทธลีลา
ภายหลังภัตรเสด็จกลับจากบิณฑบาตแล้ว เมื่อเสด็จจากพระนคร
สาวัตถี สู่พระวิหาร ประทับยืนที่บันไดโบกขรณีเชตวัน ตรัส
เรียกพระอานนทเถรเจ้ามาว่า ดูก่อนอานนท์ เธอจงเอาผ้า

อาบน้ำมา เราจักสรงน้ำในสระโบกขรณีเชตวัน พระอานนท-
เถรเจ้า กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น้ำในโบกขรณี
เชตวันแห้งขอด เหลือแต่เพียงเปือกตมเท่านั้น มิใช่หรือพระ-
เจ้าข้า ? ตรัสว่า อานนท์ ธรรมดาว่า กำลังของพระพุทธเจ้า

ใหญ่หลวงนัก เธอจงนำเอาผ้าอาบน้ำมาเถิด พระเถรเจ้าได้นำมา
ทูลถวาย พระศาสดาทรงนุ่งผ้าอุทกสาฎก ด้วยชายข้างหนึ่ง
อีกชายหนึ่งทรงคลุมพระสรีระ ประทับยืนที่บันได ตั้งพระทัย
ว่า เราจักสรงน้ำในสระโบกขรณีเชตวัน.

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง
• ตัดความสงสัยด้วยการลงมือทำ เพิ่มความทรงจำด้วยการทำความเข้าใจและสังเกต

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 19:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
ทันใดนั้นเอง บัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ของท้าวสักกะ ก็
สำแดงอาการร้อน ท้าวเธอรำพึงว่า อะไรเล่าหนอ ทรงทราบ
เหตุนั้น จึงมีเทวบัญชาเรียกวลาหกเทวราชเจ้าแห่งฝนมาเฝ้า
พลางตรัสว่า พ่อเทพบุตร พระบรมศาสดา ทรงตั้งพระทัยว่า
เราจักสรงน้ำในสระโบกขรณีเชตวัน ประทับยืนอยู่ ณ บันได

เธอจงกระทำแคว้นโกศลทั้งสิ้น ให้มีเมฆพะยับพะโยมเป็น
อันเดียวกัน บันดาลให้ฝนตกโดยเร็วเถิด วลาหกเทวราช รับ
เทวบัญชาแล้ว นุ่งก้อนเมฆก้อนหนึ่ง ห่มก้อนหนึ่ง ขับเพลง
เมฆสังคีต(๑) บ่ายหน้าไปทางโลกธาตุด้านตะวันออก เหาะไปแล้ว
ณ ทิศาภาคตะวันออก ก็ปรากฏกลุ่มเมฆกลุ่มหนึ่ง มีขนาดเท่า

ลานนวดข้าว ซ้อนเป็นชั้น ๆ ตั้งร้อยชั้นพันชั้น คำรณคำราม
ฟ้าแลบแปลบปลาบ ฝนก็ตกลงมา ด้วยอาการประหนึ่งว่า คว่ำหม้อ
เทลงมา แคว้นโกศลทั้งสิ้น ท่วมท้นเหมือนห้วงน้ำไหลบ่าท่วมอยู่
ฝนตกอยู่ไม่ขาดสาย ครู่เดียวเท่านั้น ก็เต็มสระโบกขรณีเชตวัน
น้ำท่วมจดถึงแคร่บันได.

พระบรมศาสดาลงสรงในสระโบกขรณีเชตวันแล้ว ทรง
ครองผ้าสองชั้นสีแดง คาดรัดประคด ทรงครองสุคตจีวรเฉวียง
พระอังสา แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสด็จพระดำเนินไป ประทับนั่ง
เหนือพระบวรพุทธาอาสน์ที่ปูลาดไว้ในบริเวณพระคันธกุฏี

เมื่อภิกษุสงฆ์แสดงวัตรปฏิบัติแล้ว ก็เสด็จอุฏฐาการ ประทับยืน
ณ พื้นขั้นบันไดแก้วมณี ประทานโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์ แล้วทรง
ส่งกลับไป เสด็จเข้าสู่พระคันธกุฏีที่มีกลิ่นจรุงใจ ทรงบรรทม
สีหไสยา ด้วยพระปรัศว์เบื้องขวา ต่อเวลาเย็น พวกภิกษุประชุม

กันในธรรมสภา ยกเรื่องขึ้นสนทนากันว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ
ทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงดู พระคุณสมบัติคือ ขันติ พระเมตตา
๑. ขับเพลิงในคัมภีร์เมฆฑูต และคัมภีร์ภาควัตคีตา
และพระกรุณาของพระทศพล ในเมื่อข้าวกล้าต่าง ๆ กำลังเหี่ยว-
แห้ง ชลาลัยทุกแห่งก็เหือดหายฝูงปลาและเต่า ประสบทุกข์

ใหญ่หลวง พระองค์ทรงอาศัยพระกรุณา ทรงครองผ้าอุทกสาฎก
ด้วยมุ่งพระทัยจักให้มหาชนพ้นจากความทุกข์ ประทับยืน ณ
บันไดขั้นแรกแห่งโบกขรณีเชตวัน ทรงบันดาลให้ฝนตก เหมือน
ห้วงน้ำใหญ่ไหลบ่าท่วมโกศลรัฐทุกส่วน โดยเวลาเพียงครู่เดียว
ทรงปลดเปลื้องมหาชนจากทุกข์กาย ทุกข์ใจ แล้วเสด็จเข้า

พระวิหาร. พระศาสดาเสด็จออกจากพระคันธกุฏี เสด็จมาสู่
ธรรมสภา ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอนั่งประชุม
สนทนากันด้วยเรื่องอะไร ? ครั้นภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรง
ทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น
ที่ตถาคตทำให้ฝนตก ในเมื่อมหาชนพากันลำบาก แม้ในกาลก่อน

เมื่อตถาคตเกิดในกำเนิดสัตว์เดรัจฉาน แม้ในคราวเป็นราชา
ของฝูงปลา ก็ได้ทำให้ฝนตกแล้วเหมือนกัน แล้วทรงนำเรื่อง
ในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ : -

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง
• ตัดความสงสัยด้วยการลงมือทำ เพิ่มความทรงจำด้วยการทำความเข้าใจและสังเกต

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 19:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
ในอดีตกาล มีลำห้วยแห่งหนึ่ง ล้อมรอบด้วยชัฏแห่ง
เถาวัลย์ อยู่ตรงโบกขรณีเชตวันนี้ ณ เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล
นี้แหละ ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์บังเกิดในกำเนิดปลา มีฝูงปลาเป็น
บริวารอยู่ในลำห้วยนั้น แม้ในคราวนั้น แคว้นนั้นฝนก็ไม่ตก
เหมือนคราวนี้ ข้าวกล้าของพวกมนุษย์เหี่ยวแห้ง ในบึงเป็นต้น

ขาดน้ำ ฝูงปลาและเต่าพากันคุดเข้าเปือกตม. แม้ที่ลำห้วยนั้น
ฝูงปลาก็พากันคุดเข้าโคลนตม ซุกซ่อนในที่นั้น ๆ ฝูงกาเป็นต้น
ก็พากันรุมจิกทึ้งออกมาจิกกินด้วยจะงอยปาก. พระโพธิสัตว์
เห็นความพินาศของหมู่ญาติ ก็ดำริว่า ผู้อื่นเว้นเราเสียแล้ว
ใครเล่าที่จะได้ชื่อว่าสามารถปลดเปลื้องทุกข์ของพวกปลา

เหล่านี้ เป็นไม่มี เราจักทำสัจจกิริยาให้ฝนตก ปลดเปลื้องฝูง
ญาติ จากทุกข์คือความตายให้จงได้ แล้วแหวกตมสีดำออก
พญาปลาใหญ่ สีกายเหมือนปุ่มต้นอัญชัน ลืมตาทั้งคู่ อันเปรียบ
ได้กับแก้วมณี สีแดงที่เจียรนัยแล้ว มองดูอากาศ บรรลือเสียง
กล่าวแก่เทวราชปัชชุนนะว่า ข้าแต่พระปัชชุนนะผู้เจริญ ข้าพเจ้า

อาศัยหมู่ญาติเดือดร้อนมาก ในเมื่อข้าพเจ้าผู้ทรงศีลลำบากอยู่
ทำไมท่านไม่ช่วยให้ฝนตกลงมาเล่า ข้าพเจ้าบังเกิดในฐานะที่
จะกัดกินพวกเดียวกัน แต่ก็ยังไม่เคยได้ชื่อว่า กัดกินมัจฉาชาติ
ตั้งต้นแต่ปลาเล็กแม้มีขนาดเท่าเมล็ดข้าวสาร ถึงสัตว์มีปราณ

อื่น ๆ เล่า ข้าพเจ้าก็มิได้เคยแกล้งปลงชีวิตเลย ด้วยสัจจวาจานี้
ขอท่านจงให้ฝนตกลงมา ปลดเปลื้องหมู่ญาติของข้าพเจ้าจากทุกข์
เทอญ เมื่อจะเรียกเทวราชปัชชุนนะ ประหนึ่งสั่งงานคนรับใช้
กล่าวคาถานี้ ความว่า :-

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง
• ตัดความสงสัยด้วยการลงมือทำ เพิ่มความทรงจำด้วยการทำความเข้าใจและสังเกต

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 19:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
"ข้าแต่พระปัชชุนนะ ท่านจงคำรณคำราม
ให้ขุมทรัพย์ของกาพินาศไป จงทำลายฝูงกาด้วย
ความโศก และจงปลดเปลื้องข้าพเจ้าจากความ
โศกเถิด" ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อภิตฺถนย ปชฺชุนฺน ความว่า
เมฆเรียกกันว่า ท้าวปัชชุนะ ก็พญาปลานี้ เรียกวลาหกเทวราช
เจ้าแห่งฝน ผู้ได้นามด้วยอำนาจแห่งเมฆ. ได้ยินว่า พญาปลานั้น
มีความประสงค์ดังนี้ว่า ธรรมดาว่าฝนไม่คำรณคำราม ไม่ให
้สายฟ้าแลบแปลบปลาบ แม้จะตกกระหน่ำก็ไม่งาม เพราะฉะนั้น
ท่านจงคำรณคำราม ให้สายฟ้าแลบแปลบปลาบ ให้ฝนตกเถิด.

บทว่า นิธึ กากสฺส นาสย ความว่า ฝูงกาพากันจิกทึ้ง
ฝูงปลาที่พากันคุดเข้าเปือกตมซุกอยู่ ออกมาด้วยจะงอยปาก
กินเป็นอาหาร เพราะเหตุนั้นฝูงปลาที่คุดอยู่ในเปือกตม จึง
เรียกว่า ขุมทรัพย์ของกาเป็นต้นเหล่านั้น เมื่อท่านให้ฝนตก
ปกปิดเสียด้วยน้ำแล้ว ก็เป็นอันทำลายขุมทรัพย์ของฝูงกานั้นเสีย.

บทว่า กากํ โสกาย รนฺเธหิ ความว่า ฝูงกาเมื่อลำห้วย
มีน้ำเต็มแล้ว ไม่ได้ฝูงปลาเป็นอาหารก็ต้องเศร้าโศก เมื่อท่าน
กระทำให้ลำห้วยนี้เต็มเปี่ยม ก็เป็นอันทำลายฝูงกานั้นด้วยความ
โศก ท่านจงยังฝนให้ตก เพื่อระงับความโศก คือเพื่อความโล่งใจ

ของปลา. อธิบายว่า ฝูงกาจะถึงความเศร้าโศก อันมีลักษณะ
หม่นไหม้ในภายใน ได้ด้วยวิธีใด ท่านโปรด กระทำวิธีนั้นเถิด.

จ อักษร ในบทคาถาว่า มญฺจ โสกา ปโมจย นี้ มีการ
ประมวลมาเป็นอรรถ ความก็ว่า ท่านโปรดให้ข้าพเจ้าและฝูง
ญาติทั้งหมด พ้นจากความเศร้าโศก อันเกิดแต่ความตายนี้เถิด.

พระโพธิสัตว์เรียกท้าวปัชชุนนะ เหมือนสั่งบังคับคนรับใช้
อย่างนี้ ให้ฝนห่าใหญ่ตกทั่วแคว้นโกศล ให้มหาชนพ้นจาก
มรณทุกข์ ในปริโยสานกาลของชีวิตก็ได้ไปตามยถากรรม.

พระบรมศาสดา จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่
แต่ในบัดนี้เท่านั้นที่ตถาคตยังฝนให้ตก แม้ในกาลก่อน ถึงเกิด
ในกำเนิดปลา ก็ให้ฝนตกแล้วเหมือนกัน ดังนี้ ครั้นทรงนำ
พระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า ฝูงปลา
ในครั้งนั้น ได้มาเป็นพุทธบริษัท ปัชชุนนะเทวราชได้มาเป็น
พระอานนท์ ส่วนพญาปลาได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถามัจฉชาดกที่ ๕


• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง
• ตัดความสงสัยด้วยการลงมือทำ เพิ่มความทรงจำด้วยการทำความเข้าใจและสังเกต

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 19:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
พระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหา-
วิหาร ทรงปรารภอุบาสกชาวเมืองสาวัตถีผู้หนึ่ง ตรัสพระธรรม-
เทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อสงฺกิโยมฺหิ คามมฺหิ ดังนี้.

ได้ยินว่า อุบาสกนั้นเป็นพระอริยสาวกผู้โสดาบัน เดินทาง
ไปกับกองเกวียนขบวนหนึ่ง ครั้นพ่อค้าเกวียนทั้งหลายปลดเกวียน
ตั้งเพิงพักในที่ป่าตำบลหนึ่ง ก็เดินจงกรมอยู่ที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่ง.
พวกโจร ๕๐๐ กำหนดเวลาของตนแล้ว คบคิดกันว่า พวกเรา

จักปล้นที่พัก ต่างถือธนูและไม้พลองเป็นต้น พากันไปล้อมที่นั้น
ไว้ แม้อุบาสกนั้นก็คงเดินจงกรมอยู่นั่นเอง โจรทั้งหลายเห็น
อุบาสกนั้นแล้วคิดว่า ผู้นี้ต้องเป็นยามเฝ้าที่พักแน่นอน คอยให้
บุรุษผู้นี้หลับเสียก่อน พวกเราถึงจักปล้น เมื่อยังไม่อาจจู่โจม
ก็ตั้งมั่นอยู่ในที่นั้น ๆ. แม้อุบาสกนั้น ก็คงยังอธิษฐาน เดินจงกรม

อยู่นั่นเอง ทั้งในปฐมยามมัชฌิมยาม และแม้ในปัจฉิมยาม จน
ถึงเวลารุ่งสว่าง. พวกโจรไม่ได้โอกาส ก็ทิ้งก้อนหินและไม้พลอง
เป็นต้น ที่ต่างก็ถือกันมาแล้ว พากันหลบไป แม้อุบาสกกระทำกิจ
ของตนสำเร็จแล้ว กลับมาสู่พระนครสาวัตถี เข้าเฝ้าพระศาสดา
ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ผู้ที่กำลังรักษาตน ก็เป็นผู้

รักษาผู้อื่นด้วยหรือ พระเจ้าข้า ? พระศาสดาตรัสว่า ถูกละ
อุบาสก ผู้รักษาตนชื่อว่ารักษาผู้อื่น รักษาผู้อื่นก็ชื่อว่ารักษา
ตน นั่นแหละ. อุบาสกนั้น กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
คำนี้สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว ข้าพระองค์
เดินทางไปกับกองเกวียนขบวนหนึ่ง เดินจงกรมอยู่ที่โคนไม้

ด้วยคิดว่าจักรักษาตน (กลายเป็น) รักษาหมู่เกวียนทั้งหมดไว้แล้ว
พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนอุบาสก แม้ในครั้งก่อน
บัณฑิตทั้งหลายรักษาตนอยู่ เป็นอันรักษาผู้อื่นด้วยดังนี้แล้ว
ทูลอาราธนา ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง
• ตัดความสงสัยด้วยการลงมือทำ เพิ่มความทรงจำด้วยการทำความเข้าใจและสังเกต

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 19:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน
พระนครพาราณสี ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์เกิดในสกุลพราหมณ์
เจริญวัยแล้ว เห็นโทษในกาม จึงบวชเป็นฤๅษีอยู่ในป่าหิมพานต์
มาสู่ชนบทเพื่อต้องการเสพรสเปรี้ยวรสเค็มบ้าง เมื่อท่องเที่ยว
ไปตามชนบท เดินทางไปกับกองเกวียนขบวนหนึ่ง เมื่อขบวน

เกวียนพักที่ป่าแห่งหนึ่ง ก็ยับยั้งอยู่ด้วยความสุขเกิดแต่ฌาน
ไม่ห่างกองเกวียน จงกรมอยู่ที่โคนไม้แห่งหนึ่งแล้วยืนอยู่. ครั้งนั้น
พวกโจร ๕๐๐ พากันมาด้วยคิดว่า จักปล้นหมู่เกวียนในเวลาที่
กินข้าวเย็นแล้ว โอบล้อมไว้ พวกโจรเหล่านั้นเห็นพระดาบส

คิดว่า ถ้าพระดาบสนี้จักเห็นพวกเรา คงบอกชาวเกวียนเป็นแน่
ต่อเวลาท่านหลับ พวกเราค่อยปล้นกันเถิด แล้วพากันตั้งมั่น
อยู่ ณ ที่นั้นเอง ฝ่ายพระดาบสคงเดินไปมาอยู่เรื่อย ๆ ตลอดคืน
พวกโจรไม่ได้โอกาส ก็พากันทิ้งไม้พลองและก้อนหินที่ถือกันมา
ตะโกนบอกชาวเกวียนว่า ชาวเกวียนผู้เจริญ ถ้าดาบสผู้ที่เดิน

ไปมาอยู่ที่โคนต้นไม้องค์นี้ ไม่มีในวันนี้แล้ว พวกท่านทุกคน
จักต้องประสบการปล้นอย่างขนานใหญ่เป็นแน่ พรุ่งนี้ พวกท่าน
ควรกระทำสักการะใหญ่แด่พระดาบส. ดังนี้แล้วพากันหลีกไป
ครั้นสว่างแจ้งแล้ว พวกกองเกวียน เห็นไม้พลองและก้อนหิน
เป็นต้น ที่พวกโจรพากันทิ้งไว้ ต่างกลัวพากันไปสำนักพระ-
โพธิสัตว์ ถามว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ พระคุณเจ้าเห็น

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง
• ตัดความสงสัยด้วยการลงมือทำ เพิ่มความทรงจำด้วยการทำความเข้าใจและสังเกต

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1 ... 4, 5, 6, 7, 8, 9, 10 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 30 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร