วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 06:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 151  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 17:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
สำรวมจักษุมองดูนาง ลำดับนั้นกิเลสของข้าพระองค์ก็กำเริบ
เหตุนั้นข้าพระองค์จึงกระสัน พระเจ้าข้า. พระศาสดาตรัสกะ
เธอว่าดูก่อนภิกษุ การที่เธอทำลายอินทรีย์ มองดูวิสภาคารมณ
์ด้วยอำนาจแห่งความงาม กิเลสกำเริบนี้ไม่อัศจรรย์ ในครั้งก่อน
แม้พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ข่มกิเลสได้

แล้วด้วยกำลังฌาน มีจิตบริสุทธิ์ เที่ยวไปในอากาศได้ เมื่อ
ทำลายอินทรีย์มองดูวิสภาคารมณ์ ก็เสื่อมจากฌาน กิเลสกำเริบ
เสวยทุกข์อย่างใหญ่หลวง ลมมีกำลังถอนภูเขาสิเนรุได้ ที่ไหน
จะไม่พัดภูเขาโล้น เพียงเท้าช้างให้ปลิวไป ลมที่โค่นต้นหว้าใหญ่
่ที่ไหนเล่า จะไม่พัดกอไม้อันงอกขึ้นที่ตลิ่งนั้นให้ลอยไปได้ อนึ่ง

เล่า ลมที่พัดมหาสมุทรให้แห้งได้ ไฉนเล่าจึงจะไม่พัดน้ำในบ่อน้อย
ให้เหือดแห้งไป กิเลสอันกระทำความไม่รู้ แก่พระโพธิสัตว์ ผู้
มีความรู้สูงส่ง ผู้มีจิตผ่องแผ้วได้ปานนี้ จักยำเกรงอะไรในเธอ
เล่า สัตว์แม้นบริสุทธิ์ต้องเศร้าหมอง แม้เพรียบพร้อมด้วยยศ
อันสูงส่ง ก็ยังถึงความสิ้นยศได้ ทรงนำเรื่องในอดีตมาสาธก
ดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุง-
พาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลพราหมณ์ มีสมบัติมาก
ตระกูลหนึ่ง ในแคว้นกาสี บรรลุความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว เรียนจบ
ศิลปะทุกประเภท ละกามเสียแล้วไปบวชเป็นฤาษี กระทำกสิณบริกรรม

ให้อภิญญาสมาบัติเกิดขึ้น แล้วยับยั้งอยู่ด้วยความสุขในฌาน
พำนักอาศัยอยู่ในหิมวันตประเทศ กาลครั้งหนึ่งท่านเข้ามา ท่าน
มาจากป่าหิมพานต์ เพื่อบริโภคโภชนะมีรสเค็ม รสเปรี้ยวบ้าง
บรรลุถึงกรุงพาราณสีพำนักอยู่ในพระราชอุทยาน รุ่งขึ้น
กระทำสรีรกิจเสร็จแล้ว ครองผ้าเปลือกไม้ ห่มหนังสือเฉวียงบ่า

เกล้าผมเรียบร้อยแล้ว ทรงบริขาร เที่ยวภิกษาจารอยู่ในกรุง-
พาราณสี ถึงประตูพระราชนิเวศน์. พระราชทรงเลื่อมใสใน
อิริยาบถของท่าน รับสั่งให้นิมนต์มา ให้นั่งเหนืออาสนะอันมีค่า
มากทรงอังคาสด้วยขาทนียโภชานียาหารอันประณีต ท่านกระทำ
อนุโมทนาแล้ว ทรงอาราธนาให้พำนักในพระราชอุทยาน. พระ-

ดาบสก็รับพระราชอายาจนการ ฉันในพระราชวัง ถวายโอวาท
ราชสกุล พำนักอยู่ในพระราชอุทยาน ๑๖ ปี. อยู่มาวันหนึ่ง
พระราชาเสด็จไปปราบปรามปัจจันตชนบทอันกำเริบ ตรัสสั่ง
พระมเหษีพระนามว่า มุทุลักขณา ว่า เธอจงอย่าประมาท จง
ปรนนิบัติพระผู้เป็นเจ้า ดังนี้ แล้วเสด็จไป.

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 17:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
พระโพธิสัตว์ ตั้งแต่เวลาที่พระราชาเสด็จไปแล้ว ก็ไปสู่
พระราชวัง ตามเวลาที่ตนพอใจ. อยู่มาวันหนึ่ง พระนางมุทุลักขณา
ทรงเตรียมอาหารสำหรับพระโพธิสัตว์เสร็จ ทรงดำริว่า วันน
ี้พระคุณเจ้า คงช้า ก็ทรงสรงสนานด้วยพระสุคันโธทก ตกแต่ง
พระองค์ด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง ให้ลาดพระยี่ภู่น้อย ณ พื้น

ท้องพระโรง ประทับเอนพระกายรอพระโพธิสัตว์จะมา ฝ่าย
พระโพธิสัตว์ กำหนดเวลาของตนแล้ว ออกจากฌานเหาะไปส
ู่พระราชนิเวศน์ทันที พระนางมุทุลักขณา ทรงสดับเสียงผ้า
เปลือกไม้ รับสั่งว่า พระผู้เป็นเจ้ามาแล้ว รีบเสด็จลุกขึ้น. เมื่อ
พระนางรีบเสด็จลุกขึ้น ผ้าที่ทรงเป็นผ้าเนื้อเกลี้ยงก็หลุดลง.

พอดีพระดาบสเข้าทางช่องพระแกล แลเห็นรูปารมณ์อันเป็น
วิสภาคของพระเทวี ก็ทำลายอินทรีย์เสียตลึงดูด้วยอำนาจความ
งาม ที่นั้นกิเลสที่อยู่ภายในของท่านก็กำเริบเป็นเหมือนต้นไม้
มียางที่ถูกมีดกรีด ทันใดนั้นเอง ฌานของท่านก็เสื่อม เป็นเหมือน
กาปีกหักเสียแล้ว. พระโพธิสัตว์ยืนตลึงรับอาหารแล้ว ก็หา

บริโภคไม่ เสียวสะท้านไปเพราะกิเลสทั้งหลาย ลงจากปราสาท
เดินไปพระราชอุทยาน เข้าบรรณศาลา วางอาหารไว้ใต้ที่นอน
อันเป็นกระดานเลียบ วิสภาคารมณ์ติดตาตรึงใจ ไฟกิเลสแผดเผา
ซูบเซียวเพราะขาดอาหาร นอนซมบนกระดานเลียบถึง ๗ วัน.

ในวันที่ ๗ พระราชาทรงปราบปรามปัจจันตชนบทราบคาบ
แล้ว เสด็จกลับมา ทรงประทักษิณพระนครแล้ว ยังไม่เสด็จไป
พระราชนิเวศน์ทีเดียว ทรงพระดำริว่า เราจักพบพระผู้เป็นเจ้า
ก่อน ดังนี้แล้ว เสด็จเลยไปพระราชอุทยาน ทอดพระเนตรเห็น
ท่านนอน ทรงดำริว่า ชะรอยจะเกิดความไม่สำราญสักอย่างหนึ่ง

รับสั่งให้ทำความสะอาดบรรณศาลา พลางทรงนวดเฟ้นเท้าทั้งสอง
รับสั่งถามว่า พระผู้เป็นเจ้าไม่สบายไปหรือ ? พระดาบสถวาย
พระพรว่า มหาบพิตร ความไม่สำราญอย่างอื่นไม่มีแก่อาตมาภาพ
แต่เพราะอำนาจกิเลส อาตมาภาพมีจิตกำหนัดเสียแล้ว. รับสั่ง

ถามว่า พระคุณเจ้าข้าจิตของพระคุณเจ้า ปฏิพัทธ์ในนางคน
ไหน ? ถวายพระพรว่า จิตของอาตมาภาพปฏิพัทธ์ในพระนาง-

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 17:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
มุทุลักขณา. รับสั่งว่า ดีแล้วพระคุณเจ้าข้า ข้าพเจ้ายินดีถวาย
พระนางมุทุลักขณาแด่พระคุณเจ้าแล้วทรงพาพระดาบสเข้า
พระราชนิเวศน์ ให้พระเทวีประดับพระองค์ด้วยเครื่องต้น เครื่อง
ทรง งามสรรพ และได้พระราชทานแก่พระดาบส แต่เมื่อจะ

พระราชทานนั้น ได้ทรงพระราชทานสัญญาลับแด่พระนางมุทุ-
ลักขณาว่า เธอต้องพยายามป้องกันพระผู้เป็นเจ้าด้วยกำลังของ
ตน. พระนางรับสนองพระราชโองการว่า พะยะค่ะ กระหม่อมฉัน
จักรักษาตนให้พ้นมือพระคุณเจ้า. ดาบสก็พาพระเทวีลงจาก

พระราชนิเวศน์ เวลาที่จะออกพ้นประตูใหญ่ พระนางตรัสกะ
ท่านว่า ท่านเจ้าค่ะ เราควรจะได้เรือน ท่านจงไปกราบทูลขอ
พระราชทานเรือนสักหลังหนึ่งเถิด ดาบสก็ไปกราบทูลขอพระ-
ราชทานเรือน. พระราชาพระราชทานเรือนร้างหลังหนึ่ง ซึ่ง
มนุษย์ใช้เป็นวัจจกุฏิ ท่านก็พาพระเทวีไปที่เรือนนั้น พระนาง

ไม่ทรงประสงค์จะเข้าไป ท่านทูลถามว่าเหตุไร จึงไม่เสด็จเข้า
ไป ? พระนางรับสั่งว่า เพราะเรือนสกปรก.พระดาบสทูลถาม
ว่า บัดนี้เราควรจะทำอย่างไร ? พระนางรับสั่งว่า ต้องทำความ
สะอาดเรือนนั้นแล้วส่งดาบสไปสู่ราชสำนัก มีพระเสาวนีย์ว่า
ท่านจงไปเอาจอบมา เอาตะกร้ามา ครั้นดาบสนำมาแล้ว ก็ให้

โกยสิ่งสกปรกและขยะเอาไปทิ้ง เสร็จแล้วให้ไปขนเอาโคมัย
มาฉาบไว้ ครั้นแล้วก็ตรัสว่า ท่านต้องไปขนเตียงมา ขนตั่งมา
แล้วให้พระดาบสขนมาทีละอย่าง มิหนำซ้ำ ยังแกล้งใช้ให้ตักน้ำ
เป็นต้นอีกด้วย. พระดาบสเอาหม้อไปตักน้ำมาจนเต็มตุ่ม เตรียม

น้ำสำหรับอาบ ปูที่นอน. ที่นั้น พระนางเทวีทรงจับพระดาบส
ผู้กำลังนั่งร่วมกันบนที่นอน ที่สีข้าง ฉุดให้ก้มลงมาตรงหน้า
พลางตรัสว่า ท่านไม่รู้ตัวว่า เป็นสมณะหรือเป็นพราหมณ์เลยหรือเจ้าคะ ?

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 17:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
พระดาบส กลับได้สติในเวลานั้นเอง. แต่ตลอดเวลาที่
ผ่านมา ท่านไม่รู้ตัวเอาเสียเลย. ขึ้นชื่อว่ากิเลสทั้งหลาย กระทำ
ความไม่รู้ตัวได้ถึงอย่างนี้. ก็ในอธิการนี้ ควรกล่าวอ้างพระ-
พุทธพจน์มีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กามฉันทนิวรณ์ กระทำ
ให้มืด กระทำให้ไม่รู้ตัว ดังนี้ ไว้ด้วย. พระดาบสกลับได้สติ

คิดว่า ตัณหานี้เมื่อเจริญขึ้น จักไม่ให้เรายกศีรษะขึ้นได้จาก
อบายทั้ง ๔ เราควรถวายคืนพระนางเทวีนี้แด่พระราชา แล้ว
กลับเข้าสู่ป่าหิมวันต์ในวันนี้ทีเดียว ดังนี้แล้ว พาพระนางเทวี
เข้าเฝ้าพระราชาถวายพระพรว่า ขอถวายพระพร อาตมาภาพ

ไม่มีความต้องการพระเทวีของมหาบพิตร เพราะอาศัยพระนาง
ผู้เดียว ตัณหาจึงเจริญแก่อาตมาภาพทุกอย่างเลย แล้วกล่าว
คาถานี้ ความว่า :-

"ครั้งก่อน เรายังไม่ได้ประสบพระนาง-
มุทุลักขณา ความปรารถนามีอย่างเดียว ครั้นได้
พบพระนางผู้มีพระเนตรแวววาวเข้าแล้ว ความ
ปรารถนาช่วยให้ความปรารถนาเกิดได้ต่าง ๆ"
ดังนี้.

ในคาถานั้นประมวลอรรถาธิบายได้ดังนี้ :- ขอถวาย
พระพรมหาบพิตร ครั้งก่อนอาตมาภาพยังไม่ได้รับพระราชทาน
พระเทวีมุทุลักขณา ของมหาบพิตรองค์นี้ อาตมาภาพมีความ
ปรารถนาอย่างเดียว เกิดความต้องการขึ้นอย่างเดียวเท่านั้นว่า

โอหนอ เราพึงได้พระนาง แต่พออาตมาภาพได้รับพระราชทาน
พระนาง ผู้มีพระเนตรแวววาว มีพระเนตรกว้าง มีดวงพระเนตร
งามขำเข้าแล้ว ทีนั้นความปรารถนาข้อแรกของอาตมา ช่วยให้
้กำเนิดเกิดความปรารถนาสืบต่อเนื่องขึ้นไป เช่น ความ

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 17:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
ปรารถนาเรื่องเรือน ความปรารถนาในเครื่องอุปกรณ์ ความ
ปรารถนาในเครื่องอุปโภคเป็นต้น ก็ความปรารถนาของอาตมา
นั้นเล่า เมื่อพอกพูนเข้าอย่างนี้จักไม่ยอมให้อาตมาภาพยกศรีษะ
ขึ้นได้จากอบาย พอกันทีสำหรับพระนางนี้ ที่จะเป็นภรรยาของ
อาตมาภาพ ขอมหาบพิตร จงรับมเหษีของมหาบพิตรคืนไป
ส่วนอาตมาภาพจักไปหิมพานต์.

ทันใดนั้นเอง พระดาบสก็ทำฌานที่เสื่อมไปให้เกิดขึ้น
นั่งในอากาศแสดงธรรม ถวายโอวาทแด่พระราชา แล้วไปสู่
ป่าหิมพานต์ทางอากาศทันที ไม่มาสู่ประเทศ ที่ชื่อว่าเป็นถิ่น
ของมนุษย์อีกเลยแต่เจริญพรหมวิหาร ไม่เสื่อมจากฌาน บังเกิด
ในพรหมโลกแล้ว.

พระบรมศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว
ทรงประกาศสัจธรรม เมื่อจบสัจจะ ภิกษุนั้นประดิษฐานใน
พระอรหัตผล. พระศาสดาทรงสืบต่ออนุสนธิ ประชุมชาดกว่า
พระราชาในครั้งนั้น ได้มาเป็นพระอานนท์ในครั้งนี้ มุทุลักขณา
ได้มาเป็นอุบลวัณณา ส่วนฤาษีได้มาเป็นเราตถาคตฉะนี้แล.
จบ อรรถกถามุทุลักขณาชาดกที่ ๖

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 17:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภหญิงชาวชนบทคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเ
ริ่มต้นว่า อุจฺฉงฺเค เทฺว เม ปุตฺโต ดังนี้

ความพิสดารว่า ในแคว้นโกศล มีคน ๓ คน ไถนาอยู่ที่
ปากดงแห่งหนึ่ง. ในสมัยนั้น พวกโจรในดง คุมพวกปล้นหมู่มนุษย์
แล้วพากันหนีไป พวกมนุษย์สืบจับโจรพวกนั้น เมื่อไม่พบ จึง
ตามมาจนถึงที่นั่น กล่าวว่า พวกเจ้าเที่ยวปล้นเขาในดงแล้ว
เดี๋ยวนี้แสร้งทำเป็นชาวนา จับคนเหล่านั้น ด้วยสำคัญว่า พวกนี้
ี้
เป็นโจร นำมาถวายพระเจ้าโกศล. ครั้งนั้นมีหญิงคนหนึ่ง มา
ร่ำไห้ว่า โปรดพระราชทานเครื่องนุ่งห่มแก่หม่อมฉันเถิด เดิน
วนเวียนพระราชนิเวศน์ไป ๆ มา ๆ. พระราชาทรงสดับเสียง
ของนางแล้ว รับสั่งว่า พวกเจ้าจงให้ผ้าห่มแก่นาง. พวกราชบุรุษ
พากันหยิบผ้าสาฎกส่งให้. นางเห็นผ้านั้นแล้วกล่าวว่า ดิฉันไม่ได้

ขอพระราชทานผ้านี้ดอก ดิฉันขอพระราชทานเครื่องนุ่งห่มคือสามี
พวกมนุษย์พากันไปกราบบังคมทูลแด่พระราชา ว่า พระเจ้าข้า
นัยว่าหญิงผู้นี้มิได้พูดถึงผ้านุ่งห่มนี้ นางพูดเครื่องนุ่งห่มคือสามี.
พระราชาจึงรับสั่งให้นางเข้าเฝ้า มีพระราชดำรัสถามว่า ได้
ยินว่าเจ้าขอผ้าคือสามีหรือ ? นางกราบทูลว่า พระเจ้าค่ะ พระองค์

ผู้สมมติเทพ สามีชื่อว่าเป็นผ้าห่มของสตรีโดยแท้ เพราะเมื่อ
ไม่มีสามี แม้สตรีจะนุ่งผ้าราคาตั้งพันกระษาปณ์ จะต้องชื่อว่า
เป็นหญิงเปลือยอยู่นั่นเอง พระเจ้าค่ะ. ก็เพื่อจะให้เนื้อความนี้
สำเร็จประโยชน์ บัณฑิตพึงนำเรื่องมาสาธกดังนี้ว่า :-

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 17:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
"แม่น้ำที่ไม่มีน้ำ ชื่อว่า เปลือย แว่นแคว้น
ที่ปราศจากพระราชาชื่อว่าเปลือย หญิงปราศจาก
ผัวถึงจะมีพี่น้องตั้ง ๑๐ คน ก็ชื่อว่าเปลือย ดังนี้".
พระราชาทรงเลื่อมใสนาง รับสั่งถามว่า คนทั้ง ๓ เหล่านี้
เป็นอะไรกับเจ้า ?

นางกราบทูลว่า ขอเดชะข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ คนหนึ่ง
เป็นสามี คนหนึ่งเป็นพี่ คนหนึ่ง
เป็นบุตร พระเจ้าค่ะ.

พระราชารับสั่งถามว่า เราพอใจเจ้า ในคน ๓ คนนี้ เรา
จะยกให้เจ้าคนหนึ่ง เจ้าปรารถนาคนไหนเล่า ?

นางกราบทูลว่า ขอเดชะ พระกรุณาเป็นล้นพ้น เมื่อ
หม่อมฉันยังมีชีวิตอยู่ สามีคนหนึ่งต้องหาได้แม้บุตรก็ต้องได้ด้วย.
แต่เพราะมารดาบิดาของหม่อมฉันเสียชีวิตแล้ว พี่ชาย
คนเดียวหาได้ยาก พระเจ้าค่ะ จงโปรดพระราชทานพี่ชายแก่
กระหม่อมฉันเถิด พระเจ้าค่ะ. พระราชาทรงยินดีแล้ว โปรด

ให้ปล่อยไป ทั้ง ๓ คน เพราะอาศัยหญิงนั้นผู้เดียว คนทั้ง ๓ จึง
พ้นจากทุกข์ได้ ด้วยประการฉะนี้. เรื่องนั้นรู้กันทั่วในหมู่ภิกษุ.
อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในโรงธรรม นั่งสนทนา
สรรเสริญคุณของหญิงนั้นว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย อาศัยหญิงคนเดียว
คน ๓ คน พ้นทุกข์หมด. พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อน

ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอประชุมสนทนากันด้วยเรื่องอะไรเล่า ?
เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย มิใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ที่หญิงผู้นี้จะปลดเปลื้องคนทั้ง ๓
ให้พ้นจากทุกข์ ถึงแม้ในปางก่อน ก็ปลดเปลื้องแล้วเหมือนกัน
ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 18:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุง-
พาราณสี คนทั้ง ๓ พากันไถนาอยู่ที่ปากดง ดังนี้ ต่อนั้นไป
เรื่องทั้งหมดก็เหมือนกับเรื่องก่อนนั่นแหละ. (แต่ที่แปลกออกไป
มีดังนี้) :- เมื่อพระราชาตรัสถามว่า ในคนทั้ง ๓ เจ้าต้องการ
ใครเล่า ? นางกราบทูลว่า ขอเดชะพระบารมีเป็นล้นพ้น พระองค์

ไม่สามารถจะพระราชทานหมดทั้ง ๓ คน หรือพระเจ้าค่ะ ?
พระราชาตรัสว่า เออเราไม่อาจให้ได้ทั้ง ๓ คน. นางกราบทูล
ว่าขอเดชะพระกรุณาเป็นล้นพ้น แม้นไม่ทรงสามารถพระราชทาน
ได้ทั้ง ๓ คนไซร้ ได้ทรงพระกรุณาพระราชทานพี่ชายแก่หม่อมฉัน

เถิด เจ้าต้องการพี่ชาย เพราะเหตุไรๆ ? จึงกราบทูลว่า ขอเดชะ
พระบารมีล้นเกล้า ธรรมดาคนเหล่านี้หาได้ง่าย แต่พี่ชาย
กระหม่อมฉันหาได้ยากพระเจ้าค่ะ แล้วกราบทูลคาถานี้ว่า :-

"ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ บุตรอยู่
ในพกของเกล้ากระหม่อมฉัน สามีเล่าเมื่อเกล้า
กระหม่อมฉันไปตามทาง (ก็หาได้) แต่ประเทศ
ที่หม่อมฉันจะหาพี่น้องร่วมอุทรได้ เกล้า-
กระหม่อมฉันมองไม่เห็นเลย" ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุจฺฉงฺเค เทว เม ปุตฺโต ความว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ บุตรอยู่ในพกของเกล้ากระหม่อมฉัน
แล้วทีเดียว โดยเปรียบความว่า เมื่อหม่อมฉันเข้าป่าทำผ้าเป็น
พกไว้เก็บผักใส่ในพกนั้น ผักจึงชื่อว่า เป็นของหาง่าย เพราะ

มีอยู่ในพก ฉันใด แม้หญิงก็หาบุตรได้ง่ายฉันนั้น เป็นเช่นกับผัก
ในพกนั่นทีเดียว ด้วยเหตุนั้น หม่อมฉันจึงกล่าวว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้สมมติเทพบุตรอยู่ในพกของหม่อมฉัน. ดังนี้.

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 18:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
บทว่า ปเถ ธาวนฺติยา ปติ ความว่า ธรรมดาว่าสามี
สตรีย่างขึ้นสู่หนทาง เดินไปคนเดียวประเดี๋ยวก็ได้ ชายที่พบเห็น
เป็นสามีได้ทั้งนั้น ด้วยเหตุนั้นหม่อมฉันจึงกล่าวว่า "สามีเล่า
เมื่อเกล้ากระหม่อมฉันเที่ยวไปตามทาง (ก็หาได้) ดังนี้.

บทว่า ตญฺจ เทสํ น ปสฺสามิ ยโต โสทริยมานเย ความว่า
แต่เพราะมารดาบิดาของหม่อมฉันไม่มีเสียแล้ว เพราะฉะนั้น
บัดนี้ประเทศอื่นกล่าวคือท้องของมารดา ที่หม่อมฉันจะหาพี่น้อง
ซึ่งกล่าวว่าร่วมท้องกัน เพราะเกิดร่วมอุทรนั้น หม่อมฉันมอง
ไม่เห็นเลย พระเจ้าค่ะ เพราะเหตุนั้นขอพระองค์ทรงพระกรุณา
โปรดพระราชทานพี่ชายแก่หม่อมฉันเถิดพระเจ้าค่ะ

พระราชาทรงพระดำริว่า นางนี้พูดจริง ดังนี้แล้วมี
พระทัยยินดี แล้วโปรดให้นำคนทั้ง ๓ มาจากเรือนจำ พระราชทาน
ให้นางไป. นางจึงพาคนทั้ง ๓ กลับไป.

พระบรมศาสดาก็ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มิใช่แต่
ในบัดนี้เท่านั้น แม้ในครั้งก่อน นางก็เคยช่วยคนทั้ง ๓ นี้ให้พ้น
จากทุกข์แล้วเหมือนกัน ดังนี้ ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้
มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า คนทั้ง ๔ ในอดีตได้มา
เป็นคนทั้ง ๔ ในปัจจุบัน ส่วนพระราชาในครั้งนั้น ได้มาเป็น
เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาอุจฉังคชาดกที่ ๗

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 18:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
พระศาสดาทรงอาศัยเมืองสาเกต ประทับ ณ พระวิหาร-
อัญชนวัน ทรงปรารภพราหมณ์ผู้หนึ่งตรัสพระธรรมเทศนานี้
มีคำเริ่มต้นว่า ยสฺมึ มโน นิวีสติ ดังนี้.

ได้ยินว่า ในเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้า แวดล้อมด้วยหมู่
ภิกษุ เสด็จเข้าเมืองสาเกตเพื่อบิณฑบาตพราหมณ์แก่ชาวเมือง
สาเกตุผู้หนึ่ง กำลังเดินไปนอกพระนคร เห็นพระทศพลระหว่าง
ประตู ก็หมอบลงแทบพระยุคลบาท ยึดข้อพระบาททั้งคู่ไว้แน่น
พลางกราบทูลว่า พ่อมหาจำเริญ ธรรมดาว่าบุตรต้องปรนนิบัติ

มารดาบิดาในยามแก่มิใช่หรือ เหตุไรพ่อจึงไม่แสดงตนแก่เรา
ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ เราเห็นพ่อก่อนแล้ว แต่พ่อจงมาพบ
กับมารดา แล้วพาพระศาสดาไปเรือนของตน. พระศาสดา
เสด็จไปที่เรือนของพราหมณ์ ประทับนั่งเหนืออาสนะที่เขาจัดไว้
พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์. ฝ่ายพราหมณีได้ข่าวว่า บัดนี้บุตรของเรา

มาแล้ว ก็มาหมอบแทบบาทยุคลของพระบรมศาสดา แล้วร่ำไห้ว่า
พ่อคุณทูลหัว พ่อไปไหนเสียนานถึงปานนี้ ธรรมดาบุตรต้องบำรุง
มารดาบิดายามแก่มิใช่หรือ แล้วบอกให้บุตรธิดา พากันมาไหว้
ด้วยคำว่า พวกเจ้าจงไหว้พี่ชายเสีย. พราหมณ์ทั้งสองผัวเมีย
ดีใจ ถวายมหาทาน. พระศาสดาครั้นเสวยเสร็จแล้ว ก็ตรัส

ชราสูตร แก่พราหมณ์แม้ทั้งสองเหล่านั้น. ในเวลาจบพระสูตร
คนแม้ทั้งสองก็ตั้งอยู่ในพระอนาคามิผล. พระศาสดาเสด็จลุก
จากอาสนะเสด็จไป พระวิหารอัญชนวันตามเดิม. พวกภิกษุนั่ง
ประชุมกันในโรงธรรม สนทนากันขึ้นว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย

พราหมณ์ก็รู้อยู่ว่า พระบิดาของพระตถาคต คือพระเจ้าสุทโธทนะ
พระมารดา คือพระนางมหามายาทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ ก็ยังบอกพระ-

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 18:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
ตถาคตกับนางพราหมณีว่า บุตรของเรา ถึงพระศาสดา ก็ทรงรับ
ข้อนี้เป็นเพราะเหตุไรหนอ ? พระศาสดาทรงสดับถ้อยคำของ
ภิกษุเหล่านั้น แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พราหมณ์แม้
ทั้งสองเรียกบุตรของตน นั่นแหละว่าบุตร แล้วทรงนำอดีต
นิทานมาตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พราหมณ์นี้ในอดีตกาล

ได้เป็นบิดาของเราตลอด ๕๐๐ ชาติ. เป็นอาของเรา ๕๐๐ ชาติ
เป็นปู่ของเรา ๕๐๐ ชาติ ติดต่อกันไม่ขาดสาย แม้นางพราหมณี
นี้เล่า ก็ได้เป็นมารดาของเรา ๕๐๐ ชาติ เป็นน้า ๕๐๐ ชาติ
เป็นย่า ๕๐๐ ชาติ ติดต่อกันไม่ขาดสายเลยดุจกัน เราเจริญแล้ว

ในมือของพราหมณ์ ๑๕๐๐ ชาติจำเริญแล้วในมือของนาง-
พราหมณี ๑๕๐๐ ชาติอย่างนี้ เป็นอันทรงตรัสถึงชาติในอดีต
๓๐๐๐ ชาติครั้นตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว จึงตรัส
พระคาถานี้ ความว่า :-

"ใจจดจ่ออยู่ในผู้ใด แม้จิตเลื่อมใสในผู้ใด
บุคคลพึงคุ้นเคยสนิทสนมแม้ในผู้นั้น ทั้ง ๆ ที่
ไม่เคยเห็นกันมาก่อน" ดังนี้

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยสฺมึ มโน นิวีสติ ความว่า
ใจจดจ่ออยู่ในบุคคลใด ผู้เพียงแต่เห็นกันเท่านั้น.
บทว่า จิตฺตญฺจาปิ ปสีทติ ความว่า อนึ่งจิตย่อมเลื่อมใส
อ่อนโยน ในบุคคลใด ผู้พอเห็นเข้าเท่านั้น.

บทว่า อทิฏฺฐปุพฺพเก โปเส ความว่า ในบุคคลแม้นั้น
ถึงในยามปกติ จะเป็นบุคคลที่ไม่เคยเห็นกันเลยในอัตภาพนั้น
บทว่า กามํ ตสฺมึปิ วิสฺสเส มีอธิบายว่า ย่อมคุ้นเคยกัน
โดยส่วนเดียว คือถึงความคุ้นกันทันทีแม้ในบุคคลนั้น ด้วย
อำนาจความรักที่เคยมีในครั้งก่อนนั่นเอง.

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาอย่างนี้แล้ว ทรง
สืบอนุสนธิประชุมชาดก ว่า พราหมณ์และพราหมณีในครั้งนั้น
ได้มาเป็นพราหมณ์ และนางพราหมณีคู่นี้ นั่นแล ฝ่ายบุตร
ได้แก่เราตถาคตนั่นเอง ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาสาเกตชาดกที่ ๘


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 18:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
พระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหา-
วิหาร ทรงปรารภพระธรรมเสนาบดี ตรัสพระธรรมเทศนานี้
มีคำเริ่มต้นว่า ธิรตฺถุ ตํ วิสํ วนฺตํ ดังนี้.

ได้ยินว่าในคราวที่พระสารีบุตร์เถระขบฉันของเคี้ยวที่
ทำด้วยแป้ง พวกมนุษย์พากันนำของเคี้ยวที่ทำด้วยแป้งเป็น
จำนวนมาก มาสู่วิหารเพื่อพระสงฆ์ ของที่เหลือจากที่ภิกษุสงฆ์
รับเอาไว้ ยังมีมากพวกมนุษย์พากันพูดว่า พระคุณเจ้าทั้งหลาย

โปรดรับไว้ เพื่อภิกษุที่ไปในบ้านด้วยเถิด. ขณะนั้นภิกษุหนุ่ม
สัทธิวิหาริกของพระเถระเจ้าไปในบ้าน พวกภิกษุรับส่วนของ
เธอไว้ เมื่อเธอยังไม่มา เห็นว่าเป็นเวลาสายจัด ก็ถวายแด่พระ-
เถระเจ้า. เมื่อท่านฉันแล้ว ภิกษุหนุ่มจึงไปถึง. ครั้งนั้นพระเถระ
กล่าวกะเธอว่า ผู้มีอายุ ฉันบริโภคของเคี้ยวที่เก็บไว้เพื่อเธอ

หมดแล้ว. ภิกษุนั้นกล่าวว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า ธรรมดาของอร่อย
ใครจะไม่ชอบเล่าขอรับ. ความสลดใจ เกิดขึ้นแก่พระมหาเถระเจ้า
ท่านเลยอธิษฐานไว้ว่า ตั้งแต่บัดนี้ไป เราจักไม่ฉันของเคี้ยว
ที่ทำด้วยแป้ง. ข่าวว่า ตั้งแต่บัดนั้นพระสารีบุตร์เถระเจ้าไม่เคย
ฉันของที่ชื่อว่า ของเคี้ยวทำด้วยแป้งเลย. ความที่ท่านไม่ฉัน

ของเคี้ยวทำด้วยแป้ง เกิดแพร่หลายไปในหมู่ภิกษุ. ภิกษุทั้งหลาย
นั่งในธรรมสภา พูดกันถึงเรื่องนั้น. ครั้งนั้นพระบรมศาสดา
เสด็จมา ตรัสถามว่า ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอประชุมสนทนากัน
ด้วยเรื่องอะไรเล่า ?เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบ

แล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรแม้จะเสียชีวิตก็ไม่
ยอมรับสิ่งที่ตนทิ้งเสียครั้งหนึ่งอีกทีเดียว แล้วทรงนำเรื่องราว
ในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 18:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุง-
พาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลหมอรักษาพิษ เลี้ยง
ชีวิตด้วยเวชกรรม. ครั้งนั้นงูกัดชาวชนบทคนหนึ่ง พวกญาติ
ของเขาไม่ประมาท รีบนำมาหาหมอโดยเร็ว. หมอถามว่า จะ
พอกยาถอนพิษก่อน หรือจะให้เรียกงูตัวที่กัดมา แล้วให้มัน
นั่นแหละ ดูดพิษออกจากแผลที่มันกัด. พวกญาติพากันกล่าวว่า
โปรดเรียกงูมาให้มันดูดพิษออกเถิด. หมอจึงเรียกงูมาแล้ว
กล่าวว่า เจ้ากัดคนผู้นี้หรือ ?

ู งู. ใช่แล้ว เรากัด.
หมอ. เจ้านั่นแหละจงเอาปากดูดพิษจากปากแผล ที่เจ้า
กัดแล้ว.
งู. เราไม่เคยกลับดูดพิษที่เราทิ้งไปครั้งหนึ่งแล้วเลย.
เราจักไม่ยอมดูดพิษที่เราคายไปแล้วหมอให้คนหาฟืนมาก่อไฟ
พลางบังคับว่า ถ้าเจ้าไม่ดูดคืนพิษของเจ้า ก็จงเข้าไปสู่กองไฟ
นี้เถิด. งูกล่าวตอบว่า เราจะขอเข้ากองไฟ แต่ไม่ขอยอมดูดคืน
ซึ่งพิษที่ตนปล่อยไปแล้วครั้งหนึ่ง เป็นอันขาด แล้วกล่าวคาถานี้
ความว่า :-

"พิษที่คายแล้วนั้น น่ารังเกียจนัก การที่
เราต้องดูดพิษที่ตายแล้ว เพราะเหตุแห่งความ
อยู่รอดนั้น ให้เราตายเสียยังดีกว่า" ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ธิรตฺถุ เป็นนิบาต ลงในอรรถ
ว่า ติเตียน.

บทว่า ตํ วิสํ ความว่า พิษที่เราคายแล้ว จักต้องกลับดูดคืน
เพราะเหตุแห่งการอยู่รอดนั้นน่าขยะแขยงนัก.
บทว่า มตํ เม ชีวิตา วรํ ความว่า การเข้าสู่กองไฟแล้วตาย
นั้นประเสริฐกว่าความเป็นอยู่ของเรา เพราะเหตุดูดคืนพิษนั้น
มากมาย.

ก็และครั้นงูกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็เลื้อยเข้าไปสู่กองไฟ.
ครั้งนั้น หมอจึงห้ามงูนั้นไว้ จัดแจงรักษาบุรุษนั้นให้หายพิษ
ให้หายโรค ด้วยโอสถและมนต์ แล้วให้ศีลแก่งู กล่าวว่า จำเดิม
แต่นี้ไป เจ้าอย่าเบียดเบียนใคร ๆดังนี้แล้วก็ปล่อยไป.

พระบรมศาสดาจึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สารีบุตร
แม้จะต้องสละชีวิต ก็ไม่ยอมรับคืนสิ่งที่ตนทิ้งเสียแล้วครั้งหนึ่ง
เลย ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงสืบอนุสนธิประชุม
ชาดกว่า งูในครั้งนั้นได้มาเป็นพระสารีบุตร ส่วนหมอได้มาเป็น
เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาวิสวันตชาดกที่ ๙


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 18:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร
ทรงปรารภพระจิตหัตถสารีบุตร ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำ
เริ่มต้นว่า น ตํ ชิตํ สาธุ ดังนี้.

ได้ยินว่า พระจิตหัตถสารีบุตร เป็นเด็กที่เกิดในตระกูล
ผู้หนึ่งในพระนครสาวัตถี อยู่มาวันหนึ่งไถนาแล้ว ขากลับเข้า
ไปสู่วิหาร ได้โภชนะประณีตอร่อย มีรสสนิทจากบาตรพระเถระ
องค์หนึ่ง คิดว่า ถึงแม้เราจะกระทำงานต่าง ๆ ด้วยมือของตน
ตลอดคืนตลอดวัน ก็ยังไม่ได้อาหารอร่อยอย่างนี้ แม้เราก็สมควร

จะเป็นสมณะ ดังนี้. เขาบวชแล้วอยู่มาได้ประมาณครึ่งเดือน
เมื่อไม่ใส่ใจโดยแยบคาย ตกไปในอำนาจกิเลส สึกไป พอลำบาก
ด้วยอาหารก็มาบวชอีก เรียนพระอภิธรรม ด้วยอุบายนี้ สึก
แล้วบวชถึง ๖ ครั้ง ในความเป็นภิกษุครั้งที่ ๗ เป็นผู้ทรง
พระอภิธรรม ๗ พระคัมภีร์ ได้บอกธรรมแก่ภิกษุเป็นอันมาก

บำเพ็ญวิปัสสนาได้บรรลุพระอรหัตถ์แล้ว. ครั้งนั้นภิกษุผู้เป็น
สหายของท่าน พากันเยาะเย้ยว่า อาวุโส จิตหัตถ์ เดี๋ยวนี้กิเลส
ทั้งหลายของเธอ ไม่เจริญ เหมือนเมื่อก่อนดอกหรือ ? ท่าน
ตอบว่า ผู้มีอายุ ตั้งแต่บัดนี้ไป ผมไม่เหมาะเพื่อความเป็นคฤหัสถ์.

ก็เมื่อท่านบรรลุพระอรหัตอย่างนี้แล้ว เกิดโจทย์กันขึ้น ใน
ธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย เมื่ออุปนิสัยแห่งพระอรหัต
เห็นปานนี้มีอยู่ ท่านพระจิตหัตถสารีบุตร ต้องสึกถึง ๖ ครั้ง
โอ ! ความเป็นปุถุชน มีโทษมากดังนี้ พระศาสดาเสด็จมาแล้ว
ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอสนทนากันด้วย

เรื่องอะไร ? เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าจิตของปุถุชน เมา ข่มได้ยาก
คอยไปติดด้วยอำนาจแห่งอารมณ์ ลงติดเสียครั้งหนึ่งแล้ว ก็ไม่
อาจปลดเปลื้องได้โดยเร็ว การฝึกฝนจิตเห็นปานนี้ เป็นความดี
จิตที่ฝึกฝนดีแล้วเท่านั้น จะนำประโยชน์เกื้อกูลและความสุขมาให้
แล้วตรัสพระคาถานี้ ความว่า :-

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 พ.ย. 2018, 18:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2007, 16:58
โพสต์: 7548

แนวปฏิบัติ: พุทธานุสติ
งานอดิเรก: ทำหลายอย่างแต่ตอนนี้ไฟฟ้า
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม ศึกษาธรรม และแบ่งปันต่อไป
อายุ: 0
ที่อยู่: จาก ลาว ครับ

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:
อ้างคำพูด:
"การฝึกฝนจิต ที่ข่มได้ยาก เมา มีปกติ
ตกไปตามอารมณ์ที่ปรารถนาเป็นการดี เพราะจิต
ที่ฝึกฝนแล้ว ย่อมนำสุขมาให้" ดังนี้.
ครั้นแล้วตรัสต่อไปว่า ก็เพราะเหตุที่จิตนั้นข่มได้โดยยาก
บัณฑิตทั้งหลาย แม้ในกาลก่อนอาศัยจอบเล่มเดียว ไม่อาจทิ้ง
มันได้ ต้องสึกถึง ๖ ครั้ง ด้วยอำนาจความโลภ ในเพศแห่ง
บรรพชิตครั้งที่ ๗ ทำฌานให้เกิดขึ้นแล้ว จึงข่มความโลภนั้น
ได้ดังนี้แล้ว ทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธกดังต่อไปนี้ :-

ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุง-
พาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลคนปลูกผัก ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสา
แล้ว ได้นามว่า "กุททาลบัณฑิต" ท่านกุททาลบัณฑิต กระทำ
การฟื้นดินด้วยจอบ เพาะปลูกพืชพันธ์และผัก มีน้ำเต้า ฟักเขียว
ฟักเหลือง เป็นต้น เก็บผักเหล่านั้นขาย เลี้ยงชีพด้วยการเบียดกรอ.

แท้จริงท่านกุททาลบัณฑิต นอกจากจอบเล่มเดียวเท่านั้น ทรัพย์
สมบัติอย่างอื่นไม่มีเลย. ครั้นวันหนึ่งท่านดำริว่า จะมีประโยชน์
อะไรด้วยการอยู่ครองเรือน เราจักบวช ดังนี้. ครั้นวันหนึ่ง
ท่านซ่อนจอบนั้นไว้ ในที่ซึ่งมิดชิด แล้วบวชเป็นฤาษี ครั้น

หวลนึกถึงจอบเล่มนั้นแล้ว ก็ไม่อาจตัดความโลภเสียได้ เลย
ต้องสึก เพราะอาศัยจอบกุด ๆ เล่มนั้น. แม้ครั้งที่ ๒ แม้ครั้ง
ที่ ๓ ก็เป็นอย่างนี้ เก็บจอบนั้นไว้ในที่มิดชิด บวช ๆ สึก ๆ
รวมได้ถึง ๖ ครั้ง ในครั้งที่ ๗ ได้คิดว่า เราอาศัยจอบกุด ๆ
เล่มนี้ ต้องสึกบ่อยครั้ง คราวนี้เราจักขว้างมันทิ้งเสียในแม่น้ำ

ใหญ่ แล้วบวช ดังนี้แล้ว เดินไปสู่ฝั่งแม่น้ำ คิดว่า ถ้าเรายังเห็นที่ตก
ของมัน ก็จักต้องอยากงมมันขึ้นมาอีก แล้วจับจอบที่ด้าม ท่าน
มีกำลังดังช้างสาร สมบูรณ์ด้วยเรี่ยวแรง ควงจอบเหนือศรีษะ
๓ รอบ หลับตาขว้างลงไปกลางแม่น้ำ แล้วบรรลือเสียงกึกก้อง
๓ ครั้งว่า "เราชนะแล้ว เราชนะแล้ว".

• บุคคลที่บอกว่าไม่มีเวลารักษาศีล คือบุคคลที่ยังไม่เห็นคุณค่าของศีล
• ไม่ควรปล่อยเวลาให้ไหลผ่านไป โดยไม่เกิดประโยชน์อันใด
• เวลาชีวิตยังเหลือน้อยเต็ม คุณมีความดีมากแค่ไหนแล้วที่จะติดตัวไปเมื่อตาย
• ความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก เมื่อขาดเป็นเวลา ๕ นาทีแล้วคงต้องตายแน่
• ต่างคนต่างก็กำลังเดินไปสู่ความตาย แล้วจะสร้างความวุ้นวายให้เกิดทำไม
• อยากรู้ก็ต้องเรียน อยากพากเพียรก็ต้องฝึกฝนตนเอง

:b8:

.....................................................
เมื่อความเห็นใดมีการหัวเราะ ผมขออนุญาตไม่ยุ่ง และตอบนะครับ

สนทนาธรรมโปรดเคารพในพระธรรม และเพื่อนสมาชิกด้วย

เจริญ สติ และปัญญา


เพื่อลดละเลิก ป้องกันสิ่งที่เป็นอกุศลทาง กาย วาจา ใจ
เพื่อเจริญและรักษาไว้ชึ่งสิ่งที่เป็นกุศลทาง กาย วาจา ใจ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2252 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6, 7, 8 ... 151  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร