วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 04:58  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


อ่านนิทาน จากบอร์ดเก่า
http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=5



กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2020, 07:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2012, 08:47
โพสต์: 27


 ข้อมูลส่วนตัว


กุสราชมหาสัตว์ ๑

กุสราจอมราชัน ๑

สมัยหนึ่งขณะที่พระศาสดาประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร อารามที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างถวาย มีอยู่คราหนึ่งพระองค์ได้ทรงปรารภถึงภิกษุรูปหนึ่งผู้ไม่ยินดีในธรรม มีใจใคร่จะสึกว่า “ เราได้ยินว่ากุลบุตรชาวสาวัตถีผู้หนึ่งถวายตนมาบรรพชาแล้ว ขณะบิณฑบาตเห็นสตรีแต่งกายงดงามก็เก็บเอาไปคิดถึงขนาดไม่หลับไม่ฉัน ปล่อยจีวรเศร้าหมองเล็บงอกยาว จนกายผ่ายผอมอุปมาดั่งเทวบุตรเห็นนิมิตบ่งบอกว่าตนใกล้ถึงกาลจุติแล้วฉันใดก็ฉันนั้น ” บรรดาสงฆ์เมื่อฟังต่างก็ร้อนใจ จึงให้พระรูปหนึ่งไปตามภิกษุรูปดังกล่าวมาเข้าเฝ้าทันที เมื่อพระที่ถูกพาดพิงมาถึง แลได้ถวายอภิวาทสมเด็จพระผู้มีพระภาคแล้ว พระศาสดาจึงตรัสถามเขา “ ดูก่อนภิกษุ เราได้ยินว่าเธอจะสึกหรือ? ”

ภิกษุผู้มีใจเบื่อหน่ายในสมณเพศทูลว่า“ เป็นเช่นนั้นพระพุทธเจ้าข้า ” องค์บรมครูครั้นทรงสดับ จึงตรัส “ ดูก่อนสมณ ขอเธอจงอย่าให้กิเลสเข้าครอบงำดวงจิตเลย อันสตรีย่อมเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ ขอเธอจงห้ามใจอย่าไปคิดถึงมาตุคามเถิด บุรุษใดแม้ได้รับยกย่องว่าเป็นผู้มีฤทธิ์มาก แต่ฤทธิ์ของเขาก็ต้องเสื่อมเพราะมีใจไปหลงใหลในสตรี สุดท้ายต้องถึงความพินาศก็เพราะมาตุคามเป็นเหตุ ” เมื่อตรัสดังนี้พระองค์ก็ทรงนิ่งเฉย มิได้ทรงเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใดอีก บรรดาภิกษุเมื่อฟังพระดำรัสอย่างครึ่งๆกลางๆก็ปรารถนาจักทราบความนัยโดยละเอียด จึงอาราธนาองค์บรมครูให้ทรงขยายความ สมเด็จพระศาสดาครั้นทรงสดับคำขออาราธนาของเหล่าสงฆ์จึงทรงยกเอานิทานในอดีตมาแสดง โดยเนื้อหาที่ทรงแสดงครั้งนั้นมีดังนี้

ย้อนไปเมื่อครั้งอดีตยังมีราชาพระองค์หนึ่งนามว่า พระเจ้าโอกกากราช ครอง กรุงกุสาวดี แคว้น มัลละ ทรงเป็นกษัตริย์ที่ประชาชนต่างให้ความเคารพเทิดทูนเป็นอย่างยิ่ง ด้วยพระองค์ทรงใช้หลักทศพิธราชธรรมในการปกครองแผ่นดิน ดังนั้นภายใต้บรมโพธิสมภารของพระเจ้าโอกกากราชแผ่นดินแคว้นมัลละจึงมีแต่ความสงบสุขมาโดยตลอด ราชาโอกกากราชทรงมีพระมเหสีนางหนึ่งชื่อว่า สีลวดี ทรงเป็นสตรีที่มีความงามทั้งกายและใจ โดยเฉพาะศีลาจารวัตรที่พระนางทรงปฏิบัติ ได้เป็นที่เลื่องลือจนคนทั่วแคว้นต่างก็ทราบกันดี จอมราชันทรงรักมเหสีนางนี้ยิ่งกว่าชีวิตจิตใจ

แต่ทุกสิ่งล้วนไม่มีอะไรสมบูรณ์ หลังจากมเหสีสีลวดีได้ทรงอภิเษกสมรสกับจอมกษัตริย์ หลายปีผ่านไปก็ยังไม่มีทีท่าว่าพระนางจะทรงให้กำเนิดพระโอรสแก่พระเจ้าโอกกากราชได้ ดังนั้นจึงทำให้ชาวเมืองไม่พอใจ วันหนึ่งหลังจากชาวเมืองต่างรอแล้วรอเล่ามาเป็นเวลานาน ในที่สุดพวกเขาก็มิอาจทนรอต่อไปได้อีก จึงมารวมกันที่ลานหน้าพระบรมมหาราชวังเพื่อร้องเรียนพระราชาว่าบ้านเมืองจักถึงกาลพินาศหากพระองค์ยังทรงไร้ซึ่งรัชทายาทสืบสันตติวงศ์ องค์ราชาเมื่อทรงสดับก็ทรงชี้แจงว่าพระองค์ทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม เหตุไฉนบ้านเมืองจึงจักพินาศเล่า แต่ชาวเมืองแย้งว่าถึงจักทรงใช้หลักทศพิธราชธรรมในการปกครองแผ่นดินก็จริง แต่การที่ทรงไร้ซึ่งรัชทายาทอาจเป็นเหตุให้ชนเหล่าอื่นคิดช่วงชิงเอาพระราชสมบัติได้ แล้วก็จักกลายเป็นสงครามจนนำไปสู่ความพินาศของบ้านเมืองได้ ฉะนั้นขอพระองค์ทรงรีบขวนขวายให้ได้มาซึ่งรัชทายาทโดยไวเถิด

พระราชาครั้นทรงสดับก็ทรงเห็นด้วยกับเหตุผลชาวเมือง แต่จักให้พระองค์ทรงทำอย่างไร ก็ในเมื่อสนมทุกนางล้วนไม่ตั้งครรภ์เอง ทั้งที่ร่างกายพวกนางก็แข็งแรงสมบูรณ์ ตัวแทนชาวเมืองพอฟังจึงทูลว่าหากสนมทุกนางของพระองค์มีสุขภาพดีจริง อย่างนั้นขอโปรดทรงอนุญาตให้นางสนมวัยสาวออกจากวังไปมีสัมพันธ์กับบุรุษนอกวังเป็นเวลาสักเจ็ดวันเถิด จากนั้นให้กลับเข้าวังมาเก็บตัวเป็นเวลาหนึ่งเดือนเพื่อรอดูว่านางตั้งครรภ์หรือไม่ หากครบหนึ่งเดือนแล้วยังไม่ตั้งครรภ์ก็ให้สนมคนถัดไปทดลองดู ทำอย่างนี้ไปเรื่อยจนถึงสนมรุ่นกลางแลรุ่นใหญ่ ในบรรดาสนมทั้ง ๑๖,๐๐๐ นางที่ทรงมี เชื่อว่าต้องมีสักนางที่สามารถให้กำเนิดรัชทายาทแก่พระองค์ได้แน่

จอมราชาครั้นทรงสดับก็ทรงเห็นด้วย พระองค์มิได้ทรงรู้สึกหวงแหนบรรดาสนมของตนแต่อย่างใด แต่หลายปีผ่านไปก็ยังไม่มีข่าวคราวขององค์รัชทายาทแพร่ออกมาแม้แต่น้อย ทุกอย่างยังคงเงียบเชียบเหมือนเดิม บรรดาชาวเมืองที่ตั้งตารอเมื่อเห็นว่ากาลมันก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้วแต่ยังไร้วี่แววขององค์รัชทายาท จึงอดเกิดความสงสัยไม่ได้ ดังนั้นจึงพากันมารวมตัวที่ลานหน้าพระบรมมหาราชวังกันอีกครั้ง ครั้งนี้จอมราชาได้ตรัสว่าพระองค์ได้ทรงทำตามที่พวกเขาบอกทุกประการจนไม่เหลือสนมสักนางจะให้ทดลองแล้ว แต่ก็หาได้มีนางใดจักให้กำเนิดพระโอรสแก่พระองค์ได้ จนพระองค์เองก็ทรงหมดพระปัญญาแล้วเช่นกัน

ชาวเมืองเมื่อฟังก็ให้ประหลาดใจ จึงทำการประชุมปรึกษาหารือกัน หลังประชุมก็ได้ข้อสรุปจึงทูลพระราชาว่า สนมทั้งหมื่นหกพันนางที่พระองค์ทรงมีคงจักเป็นผู้ทุศีลเสียทั้งหมดแน่ ดังนั้นจึงไม่มีนางใดตั้งครรภ์ ด้วยผู้มีบุญจักมาเกิดได้มารดาจักต้องเป็นผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ เอาอย่างนี้ขอพระองค์โปรดทรงอนุญาตให้พระนางสีลวดีผู้เป็นอัครมเหสีได้ทรงทดลองเถิด ด้วยพระนางทรงเป็นผู้ที่มีศีลสมบูรณ์ หากพระนางทรงยอมทดลองเชื่อว่าจักต้องทรงสามารถให้กำเนิดรัชทายาทแก่พระองค์ได้แน่

จอมราชาเมื่อทรงสดับก็ถึงกับตรัสไม่ออก ทรงปวดร้าวพระทัยขึ้นมาทันที ด้วยมเหสีสีลวดีทรงเปรียบได้กับชีวิตจิตใจพระองค์ แต่เพื่อบ้านเมือง จำต้องทรงตัดพระทัยปล่อยให้นางทดลองดู หลังชาวเมืองกลับไปราชาโอกกากราชได้ทรงรับสั่งให้ทหารไปป่าวประกาศทั่วพระนคร นับจากนี้เป็นเวลา ๗ วันพระองค์จะทรงอนุญาตให้พระนางสีลวดีออกจากวังไปเลือกบุรุษที่นางพึงใจให้กำเนิดรัชทายาทแก่แคว้น บุรุษใดอยากถูกรับเลือกให้มารวมกันที่ลานหน้าพระบรมมหาราชวังโดยพร้อมเพรียงกัน!

เมื่อถึงเช้าวันที่แปดราชาโอกกากราชได้ทรงให้นางกำนัลตกแต่งพระมเหสีสีลวดีด้วยเครื่องทรงอันอลังการ จากนั้นทรงให้นายทวารเปิดบานประตูพระบรมมหาราชวังออกจนสุด อัญเชิญองค์เทวีเสด็จพระราชดำเนินออกสู่ภายนอกในเวลาเดียวกัน ณ ภพดาวดึงส์อันเป็นที่อยู่ของมเหสักขจอมเทพนามว่าท้าวสักกเทวราช ด้วยอานุภาพแห่งศีลที่พระนางสีลวดีได้ทรงรักษาทันทีที่พระนางทรงย่างพระบาทพ้นทวารของพระบรมมหาราชวัง ภพของเทพราชันก็เกิดเร่าร้อนขึ้นมาทันใด จอมเทพผู้เลื่องชื่อพอทรงเห็นก็ทรงรู้ว่าบัดนี้แดนมนุษยโลกคงมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นเป็นแน่ จึงทรงกำหนดจิตดู

ทันใดก็ทราบพระนางสีลวดีผู้เปี่ยมด้วยศีลกำลังจะเสียสละตนเพื่อบ้านเมือง โดยทรงยอมไปมีความสัมพันธ์กับบุรุษอื่นที่มิใช่สามี เพื่อให้กำเนิดรัชทายาทแก่พระเจ้าโอกกากราช พอทรงทราบดังนั้นจอมเทพแห่งตาวติงสาก็มิอาจจักทรงนิ่งเฉยได้ ทรงคำนึงขึ้น “ เราจะปล่อยให้ศีลของนางต้องมาด่างพร้อยเพราะเรื่องเช่นนี้ไม่ได้ แลจักต้องให้นางได้พระโอรสสมปรารถนาด้วย! แต่ว่าจักทำอย่างไรดีหนอ? ” ทันใดภาพของพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งซึ่งถึงกาลใกล้จักต้องจุติจากดาวดึงส์ภพไปบังเกิดยังเทวภูมิชั้นที่สูงกว่า ก็ปรากฏขึ้นในมโนทวารขององค์เทพราชัน พอทรงเห็นดังนั้นจอมเทพผู้เก่งกาจก็ไม่รอช้า รีบเสด็จไปยังวิมานของพระมหาสัตว์พร้อมเทพผู้ติดตามทันที

พอถึงก็ทรงรวบรัดตรัสกับเทพโพธิสัตว์ว่า “ ดูก่อนพระมหาสัตว์ ขอท่านจงลงไปเกิดยังภพมนุษย์ในครรภ์ของพระมเหสีสีลวดีเถิด ” แลยังมิทันที่เทพโพธิสัตว์จะได้อ้าปากโต้แย้ง องค์เทพราชันก็ทรงหันไปตรัสกับเทพผู้ติดตามข้างๆ “ ดูก่อนท่านมาตาลี ถึงท่านก็เหมือนกัน จงลงไปเกิดเป็นพระโอรสของพระนางสีลาวดีร่วมกับพระมหาสัตว์เถิด” ทันทีที่ทรงรับสั่งจบท้าวสหัสนัยน์ก็ไม่รอช้า รีบเสด็จลงจากดาวดึงส์เทวโลกมาปรากฏกายยังลานหน้าพระบรมมหาราชวังกรุงกุสาวดี ในร่างของพราหมณ์แก่ผู้หนึ่งทันที

เวลานั้น ณ ลานหน้าพระบรมมหาราชวังอันกว้างใหญ่ ซึ่งบัดนี้ดูจักคับแคบไปถนัดตา เนื่องจากมีเหล่าบุรุษมารวมกันจนแทบจะหาที่ยืนมิได้ ไม่ว่าจะเป็นบุรุษน้อยบุรุษใหญ่ ไล่ไปจนถึงบุรุษวัยใกล้ขึ้นเมรุ ต่างก็พากันมายืนอวดโฉมรอให้พระนางสีลวดีเลือกตนไปเป็นคู่อภิรมย์กันให้สลอน บุรุษเหล่านั้นพอเห็นท้าวสักกะในร่างพราหมณ์ชราก็มายืนปิดท้ายรอเลือกกับเขาด้วย ต่างก็พากันหัวเราะขึ้นมา ไม่เพียงเท่านั้น ซ้ำยังพูดจาเยาะเย้ยถากถางกันไปต่างๆนานาอีก พราหมณ์เฒ่าเมื่อถูกบรรดาฉกรรจ์ดูถูกก็เกิดให้มีโมโห จึงตะกุกตะกักโต้กลับไปด้วยเสียงที่สั่นพร่า “ ชิ ชะ! เจ้า พวก ผู้เยาว์ ถึง กาย เรา จักแก่ แต่ความ กระชุ่ม กระชวย มันหาได้แก่ตาม ไปด้วย เสียเมื่อไหร่ ครั้ง นี้ เราจัก แสดงให้เห็นว่า พระนาง สี ลวดี จักต้อง เป็น ของเรา ขอพวกท่าน จงรอดูเถอะ! ”

เหล่าบุรุษเมื่อฟังคำโต้ตอบติดๆขัดๆของพราหมณ์ชราผู้มีใจหนุ่มก็ยิ่งหัวเราะขบขันกันเข้าไปใหญ่ แต่พราหมณ์แก่หาสนใจไม่ เขากำลังคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจักมิให้ศีลของพระนางสีลวดีต้องด่างพร้อย ทันใดนั้นเขาก็นึกได้ จึงตะโกนออกไปด้วยเสียงอันกึกก้อง “ ดูก่อนท่านทั้งหลาย ขอจงเปิดทางให้ กับข้าพเจ้าบัดเดี๋ยวนี้! ” พอสิ้นเสียงตะโกนขรัวพราหมณ์ก็ไม่รอช้า กระโจนพรวดขึ้นไปข้างหน้าสุดตัวราวกับอาชาชำนาญศึกยังไงก็ยังงั้น แต่น่าประหลาดเสียงที่พราหมณ์แก่ตะโกนออกไปครานี้ไฉนมันจึงมิได้สั่นพร่าแลตะกุกตะกักเหมือนดั่งที่พูดคราแรก แต่กลับกังวานราวกับระฆังเงินใบใหญ่ที่ถูกตีโดยผู้ที่มีพละกำลัง จนคนรอบข้างที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็หูอื้อกันไปตามๆกัน บรรดาบุรุษที่ยืนขวางหน้าไม่มีผู้ใดได้ทันเตรียมตัว พอสิ้นเสียงตะโกนพวกเขาก็รู้สึกเหมือนถูกแรงไร้สภาพอะไรสักอย่างที่มีพลังมหาศาลกระแทกเข้าใส่ จนต้องกระเด็นกระดอนกันไปคนละทิศคนละทาง เพียงชั่วกระพริบตาพราหมณ์แก่ที่ยืนปิดท้ายอยู่แถวหลังสุด ฉับพลันก็ขึ้นมายืนโอดโฉมอยู่แถวหน้าสุดได้อย่างง่ายดาย จนเป็นที่อัศจรรย์!

ขณะนั้นพระนางสีลวดีได้เสด็จมาถึงเบื้องหน้าพราหมณ์เฒ่าพอดี ดังนั้นเขาจึงไม่รอช้า เอื้อมมือคว้าเข้าที่ข้อพระหัตถ์ของนางทันใด จากนั้นก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบจูงพระนางออกจากลานหน้าพระบรมมหาราชวังหายลับไปในหมู่ผู้คน ฝ่ายบรรดาบุรุษที่มัวแต่หันไปดูผู้ที่นอนครวญครางอยู่บนพื้น จนไม่มีผู้ใดได้ทันสังเกตว่าด้านหน้ามันเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น พอหันกลับมาอีกทีก็ไม่เห็นร่างของมเหสีสีลวดีและพราหมณ์ชราแล้ว จึงต่างพากันผรุสวาทออกไปต่างๆนาๆ “ ดูเถิดท่านผู้เจริญ! พราหมณ์แก่ได้พาพระเทวีผู้เลอโฉมหนีไปเสียแล้ว ตาเฒ่านี่ช่างไม่รู้เลยว่าสิ่งใดควรฤามิควรกับตน ถึงองค์เทวีก็เช่นกัน ไฉนจึงทรงยินยอมไปกับพราหมณ์ชราคราวปู่กันง่ายๆเยี่ยงนี้ มันช่างน่าแค้นใจจริงๆ! ” ด้านพระเจ้าโอกกากราชซึ่งทรงเฝ้าแอบมองนางอันเป็นที่รักอยู่ทางช่องพระแกล ครั้นทรงเห็นพราหมณ์ชราพาพระชายาของตนจากไปก็ทรงเสียพระทัยไม่แพ้เหล่าบุรุษเช่นกัน!

กล่าวถึงพราหมณ์เฒ่า หลังพามเหสีสีลวดีแยกจากฝูงชนแล้ว เขาก็รีบพานางมายังเรือนไม้ที่ตนได้เนรมิตไว้แล้วก่อนหน้านี้ พอมาถึงก็เชิญนางขึ้นเรือน ลำดับนั้นพระเทวีพอทรงทอดพระ เนตรเห็นเรือนไม้ของพราหมณ์ชราพระนางก็ทรงรู้สึกกังขาขึ้นมาทันที เนื่องจากมันช่างใหญ่โตโอฬารเกินกว่าฐานะที่พรามหณ์แก่อย่างเขาจักมีได้ ดังนั้นจึงตรัสถามไป “ พ่อเอย นี่เรือนของพ่อรึ? ” จอมเทพในร่างพราหมณ์แก่ตอบว่า “ ใช่แล้วน้องหญิง กาลก่อนพี่อยู่คนเดียว บัดนี้มีน้องมาอยู่ด้วย ฉะนั้นเดี๋ยวพี่ต้องออกไปหาข้าวสารมาเพิ่มก่อน ขอน้องจงพักให้สบายบนเครื่องลาดนี้เถิด ” ไม่เพียงแต่พูด ว่าแล้วท้าวสุรบดีในร่างพราหมณ์เฒ่าก็ทรงยื่นพระหัตถ์ไปแตะที่พระกรขององค์เทวี มเหสีสีลวดีพอทรงถูกฝ่าพระหัตถ์ของจอมเทพแตะใส่ บัดนั้นก็ทรงรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนขึ้นมาทันใด ไม่ถึงอึดใจก็ทรงเผลอหลับไปโดยไม่รู้พระองค์ ลำดับนั้นท้าวโกสีย์พอทรงเห็นมเหสีของพระเจ้าโอกกากราชทรงหมดสติแล้ว จึงทรงอุ้มนางเข้าไว้ในอ้อมพระอุระ จากนั้นก็ไม่รอช้า ทรงทะยานขึ้นท้องฟ้าเหาะกลับดาวดึงส์เทวโลกไปทันใด เมื่อถึงภพดาวดึงส์ก็ทรงวางนางลงบนทิพอาสน์ในไพชยนต์ปราสาท จากนั้นจึงเสด็จออกมาพักผ่อนคลายพระอิริยาบถในสวนอุทยานทิพย์ปุณฑริกวันเพื่อรอนางตื่น

กล่าวถึงมเหสีสีลวดี หลังจากที่ทรงหลับใหลไปพักใหญ่พระนางก็ทรงฟื้นสติ พอทรงตื่นมาเห็นห้องบรรทมที่งามเหนือคำบรรยาย ข้าวของแต่ละชิ้นล้วนไม่เคยทรงพบจากที่ใดมาก่อน ก็ทรงทราบว่าพราหมณ์ชราผู้นี้คงจักมิใช่มนุษย์เสียเป็นแน่ เห็นทีคงเป็นท้าวสักกะจำแลงมา ดังนั้นจึงทรงลุกจากพระแท่นบรรทมเสด็จออกไปยังนอกปราสาท เพลานั้นสมเด็จพระอมรินทร์กำลังประทับอยู่บนพระแท่นบัณฑุกัมศิลาอาสน์ใต้ร่มปาริฉัตร มีเหล่านางฟ้านับพันรายล้อม

องค์เทพราชาพอทรงเห็นพระนางสีลวดีเสด็จออกมาจึงทรงกวักพระหัตถ์เรียก องค์เทวีพอทรงเห็นจึงเสด็จเข้าไป เมื่อทรงไปถึงจอมเทพแห่งตาวติงสาได้ตรัส “ ดูก่อนสีลวดีน้องพี่ บัดนี้เจ้าคงทราบแล้วว่าพี่เป็นใคร การที่พี่พาเจ้ามายังภพดาวดึงส์ก็เพราะไม่ปรารถนาให้ศีลของเจ้าต้องด่างพร้อย แลเพื่อจักให้เจ้าได้สมปรารถนาพี่จะให้พรเจ้าข้อหนึ่ง จงบอกมาเถิดว่าน้องต้องการสิ่งใด? ” มเหสีสีลวดีพอทรงสดับก็ทรงตื้นตันพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จึงทูลมเหสักเทวราชไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “ ขอเดชะพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ หม่อมฉันปรารถนาจักได้พระโอรสองค์หนึ่งเพคะ ขอพระองค์โปรดทรงประทานพระโอรสให้แก่หม่อมฉันด้วยเถิด ”

ท้าวสักกะครั้นทรงสดับจึงตรัส “ ดูก่อนน้องหญิง อย่าว่าแต่โอรสหนึ่งองค์เลย พี่จักให้เจ้า ๒ พระองค์เลยก็แล้วกัน แต่โอรสทั้งสองนี้ องค์หนึ่งจักเป็นผู้เรืองปัญญามากสามารถ แต่ว่ามีรูปไม่งาม ส่วนอีกองค์จักเป็นผู้ที่มีรูปงามแต่ด้อยสามารถ ไม่ทราบโอรสทั้งสองนี้เจ้าปรารถนาองค์ใดก่อนฤา? ” มเหสีแคว้นมัลละพอทรงสดับก็ให้ทรงตื่นเต้นพระทัยเป็นอย่างยิ่ง รีบทูลว่า “ ขอเดชะ หม่อมฉันปรารถนาพระโอรสที่เรืองปัญญาก่อนเพคะ ” ท้าววาสพทรงตอบไปทันที “ ดูก่อนน้องหญิง เจ้าจักได้ตามที่เจ้าต้องการ แลนอกจากพรแล้วพี่ยังจักประทานสิ่งของให้เจ้าอีก ๕ อย่าง คือ หญ้าคาทิพย์ ผ้าทิพย์ จันทน์ทิพย์ ดอกปาริฉัตรทิพย์ แลพิณโกกนท ”

พอตรัสจบจอมเทพแห่งดาวดึงส์ก็ทรงบันดาลให้มเหสีสีลวดีทรงหมดสติไปทันใด จากนั้นก็ทรงอุ้มนางเหาะกลับยังโลกมนุษย์ พอถึงก็ทรงวางนางลงบนพระแท่นบรรทมของพระเจ้าโอกากราช ก่อนจักเสด็จกลับพระองค์ได้ทรงใช้พระอังคุฐ(นิ้วหัวแม่มือ) ลูบพระนาภี (ท้อง) ขององค์เทวีขึ้นแลลงหนึ่งครั้ง จากนั้นจึงเสด็จกลับดาวดึงส์ภพ ทันทีที่ท้าวโกสีย์ทรงลูบพระนาภีของมเหสีสีลวดีเท่านั้น บัดนั้นพระโพธิสัตว์เทพบุตรก็ถึงกาลจุติจากเทวโลกลงมาปฏิสนธิในครรภ์ของนางในเวลานั้น ทันทีทันใดเช่นกัน แหละองค์เทวีก็ทรงฟื้นพระสติขึ้นมา แหละทรงทราบว่าบัดนี้พระนางได้ทรงตั้งพระครรภ์แล้ว!

ครั้นถึงรุ่งเช้าพอพระเจ้าโอกกากราชทรงตื่นจากบรรทม แลทรงเห็นพระชายาทรงหลับอยู่ข้างๆก็ให้ทรงประหลาดพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงรีบปลุกนางขึ้นมาถามไถ่ทันใด “ ดูก่อนพระชายา เจ้ากลับมาถึงนี่ตั้งแต่เมื่อใดรึ? ใครเป็นคนพาเจ้าเข้ามา? ” องค์เทวีซึ่งกำลังบรรทมอยู่อย่างเป็นสุข ครั้นทรงถูกปลุกจึงทรงค่อยๆลืมพระเนตรทูลไปว่า “ หม่อมฉันมาถึงตั้งแต่เมื่อคืน ท้าวสักกะทรงพาหม่อมฉันมาเพคะ ” จอมราชาเมื่อทรงสดับก็ถึงกับทรงประหลาดพระทัยเป็นล้นพ้น หลังจากทรงตั้งพระสติได้จึงตรัสถามนางไปด้วยสีพระพักตร์ที่งุนงง “ ดูก่อนเทวี เราเห็นเจ้าถูกพราหมณ์ชราพาไป ไฉนจึงต้องมากล่าวความเท็จต่อเราด้วยเล่า? ” มเหสีสีลวดีทูลว่า “ ขอพระองค์โปรดทรงเชื่อหม่อมฉันเถิดองค์อมรินทร์ทรงพาหม่อมฉันไปยังดาวดึงส์ภพแล้วก็ทรงพาหม่อมฉันกลับมายังโลกมนุษย์ จริงๆเพคะ! ”

แต่ถึงมเหสีสีลวดีจะทรงอธิบายเพียงใดจอมราชาก็หาได้ทรงยอมเชื่อไม่ จนในที่สุดนางต้องนำของวิเศษ ๕ อย่างที่ท้าวสักกะทรงประทานให้ ออกมาแสดงต่อพระพักตร์ เมื่อนั้นแลพระเจ้าโอกกากราชจึงทรงยอมเชื่อ จากนั้นจึงทรงถามถึงเรื่องที่ทรงร้อนพระทัยว่า “ ดูก่อนสีลวดีน้องพี่ พักเรื่องท้าวสักกะไว้ก่อนเถิด พี่อยากทราบว่าการที่เจ้าหายไปหลายวันนี้เจ้าได้บุตรกลับมาหรือไม่? ” องค์เทวีเมื่อทรงถูกถามตรงๆเช่นนี้ก็ให้ทรงรู้สึก
ขวยเขิน จึงทรงก้มพระพักตร์ตอบจอมราชาไปด้วยน้ำพระเสียงที่แผ่วเบาว่าพระนางได้ทรงตั้งพระครรภ์แล้ว จอมกษัตริย์ครั้นทรงสดับก็ถึงกับทรงปลาบปลื้มพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงบัญชาให้นางกำนัลรีบไปนำเครื่องบำรุงครรภ์มาถวายพระชายาเป็นการด่วนทันที หลังจากนั้นก็ทรงรับสั่งให้ทหารไปป่าวประกาศข่าวดีนี้ให้ประชาชนทั้งแคว้นได้รับทราบโดยทั่วกัน และให้ทุกครัวเรือนร่วมเฉลิมฉลองให้กับองค์รัชทายาทที่เพิ่งจักปฏิสนธิในพระครรภ์นี้ เป็นเวลาถึงเจ็ดวันเจ็ดคืนทีเดียว

กาลเวลาไม่เคยหยุดนิ่ง ทุกสรรพสิ่งเมื่อเกิดแล้วย่อมเปลี่ยนแปลงแลสลายไปเป็นธรรมดา เมื่อครบกำหนด ทศมาสพระนางสีลวดีก็ทรงประสูติพระโอรสที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ให้กับพระเจ้าโอกกากราชสมดังพระทัยปรารถนา นามว่า กุสติณราชกุมาร (กุสราชกุมาร) ถัดจากนั้นอีก ๑๐ เดือนก็ทรงประสูติพระโอรสองค์ที่สองนามว่า ชยัมบดีราชกุมาร พระกุมารทั้งสองพระองค์ต่างก็ทรงเจริญพระชันษามาด้วยพระอิสริยยศอันยิ่งใหญ่ด้วยกันทั้งคู่ พระเชษฐากุสราชนั้นทรงได้รับการยกย่องว่าทรงเป็นผู้ที่มีพละกำลังแลพระสติปัญญาเป็นเลิศ ไม่ว่าจักทรงศึกษาศิลปะแขนงใดก็ทรงถึงซึ่งความสำเร็จไปเสียทั้งหมด ฝ่ายพระอนุชาชยัมบดีนั้นก็ทรงได้รับการการยกย่องว่าเป็นบุรุษที่มีรูปงามเหนือชายใดทั้งหมดในแผ่นดิน พระเชษฐากุสราชครั้นพอพระชนมายุได้ ๑๖ พระชันษาพระบิดาก็ทรงปรารถนาจะมอบราชสมบัติให้

จนวันหนึ่งหลังจากที่จอมราชันได้ทรงตัดสินพระทัยเด็ดขาดแล้ว จึงทรงรับสั่งให้นางกำนัลไปทูลอัญเชิญพระมเหสีสีลวดีมาพบ เมื่อองค์เทวีเสด็จมาถึงจอมกษัตริย์ได้ตรัสว่า “ ดูก่อนสีลวดีน้องพี่ บัดนี้พี่ตัดสินใจแล้วว่าจะมอบราชสมบัติให้แก่ลูกกุสราช แลจักให้เหล่านางฟ้อนมาบำรุงบำเรอความสุขให้เขาขณะที่เราทั้งคู่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ลูกเราคิดชอบใจพระธิดากษัตริย์แคว้นใดในชมพูทวีป พี่ก็จะไปขอพระธิดานั้นให้มาเป็นมเหสีของเขา น้องเห็นเป็นเช่นไร? ” พระนางสีลวดีเมื่อทรงสดับก็ทรงเห็นด้วย หลังจากกลับจากเข้าเฝ้าเพื่อจักทรงหยั่งเชิงบุตรชายดู พระนางจึงทรงรับสั่งให้นางกำนัลไปทูลเรื่องการยกราชสมบัติให้กับพระโอรสกุสราชรับทราบ

พระมหาสัตว์เมื่อทรงสดับก็ทรงดำริว่าตนนั้นมีรูปไม่งาม พระธิดาผู้สมบูรณ์ด้วยรูปหากมาเห็นก็คงจักตอบปฏิเสธเสียเป็นแน่ เรื่องอะไรจะมาทนอยู่กับสามีหน้าตาขี้ริ้ว เห็นทีเราควรอยู่เป็นโสดคอยบำรุงบิดามารดาให้มีความสุขจึงจักดีกว่า แลเมื่อท่านทั้งสองทรงสิ้นพระชนม์เราก็จักออกบวชเพื่อประกอบกิจสำหรับโลกหน้าอย่างไม่ประมาท หนทางนี้ท่าจักดีที่สุด! เมื่อทรงดำริดังนี้จึงตรัสกับนางกำนัล “ ดูก่อนพี่สาว เราไม่ต้องการราชสมบัติดอก แลก็ไม่ต้องการนางฟ้อนด้วยเช่นกัน เมื่อพระชนกแลพระชนนีทรงสิ้นพระชนม์เราก็จักออกบวช ขอพี่สาวจงไปตอบพระมารดาตามนี้เถิด ” นางกำนัลพอฟังดังนั้นจึงกลับมาทูลพระมเหสีสีลวดีตามที่พระมหาสัตว์ตรัส

องค์เทวีพอทรงสดับก็ทรงรู้สึกเสียพระทัยเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็หาได้ทรงยอมแพ้ไม่! ผ่านไปสองวันพระนางก็ทรงรับสั่งให้นางกำนัลไปถามเรื่องการยกราชสมบัติต่อราชบุตรใหม่ แต่พระมหาสัตว์ก็ยังทรงยืนยันคำเดิม เป็นอยู่อย่างนี้ถึงสามครั้งสามครา ครั้นถึงครั้งที่สี่พระโอรสกุสราชได้ทรงดำริ “ ธรรมดาบุตรจะขัดขืนบิดามารดาอยู่ร่ำไปนั้นหาควรไม่ จำเราจักทำอุบายสักอย่างให้พระมารดาทรงเปลี่ยนพระทัยดีกว่า ” เมื่อทรงดำริดังนี้จึงทรงรับสั่งให้มหาดเล็กไปขนทองคำจากท้องพระคลังมาที่ตำหนักพระองค์ ๒ คันรถ พอมหาดเล็กนำรถทองคำมาถึงพระองค์ก็ทรงบัญชาให้ทหารไปตามช่างทองมาพบ เมื่อช่างทองมาถึงพระมหาสัตว์ได้ตรัสกับเขา “ ดูก่อนท่านนายช่าง เราอยากจักได้รูปหล่อสตรีมาตั้งในห้องนอนสักองค์ ขอท่านจงนำทองคำนี้หนึ่งคันรถไปหล่อเป็นรูปสตรีเถิด เสร็จเมื่อใดจงนำมาให้เราดู ” ช่างทองพอรับพระบัญชาก็เข็นรถทองคำคันหนึ่งจากไป ฝ่ายพระโอรส กุสราชหลังจากที่นายช่างไปแล้ว พระองค์ก็ทรงเข็นรถทองคำคันที่เหลือไปยังด้านหลังพระตำหนัก จากนั้นก็ทรงหล่อรูปสตรีขึ้นมาบ้าง

ธรรมดาความปรารถนาของพระโพธิสัตว์ ย่อมสำเร็จทุกประการ! หลังจากองค์รัชทายาททรงหล่อรูปสตรีเสร็จ รูปหล่อพระองค์ก็มีความงามราวกับมีชีวิต และยิ่งเมื่อทรงนำเอาเครื่องทรงธิดากษัตริย์มาสวมให้อีก ก็ยิ่งทำให้รูปหล่อนั้นดูคล้ายกับพระธิดาผู้สูงศักดิ์องค์หนึ่งจริงๆ! หลังจากที่ทรงตกแต่งเสื้อผ้าเครื่องประดับให้กับรูปหล่อแล้ว พระมหาสัตว์ก็ทรงเข็นเอารูปหล่อไปเก็บไว้ในห้องบรรทม จนกาลล่วงไปเดือนเศษช่างทองจึงหล่อรูปสตรีของเขาเสร็จ แลได้เข็นรูปหล่อของเขามาแสดงต่อพระพักตร์ พระมหาสัตว์พอทรงทอดพระเนตรเห็นรูปหล่อของช่างทองจึงตรัสให้เขาไปเข็นเอารูปหล่อของพระองค์ในห้องบรรทมออกมา เพื่อจักทรงเทียบดูว่าของใครงดงามกว่ากัน

ช่างทองพอรับพระบัญชาก็รีบลุกไปตามรับสั่งทันที เมื่อเขาเข้าไปในห้องบรรทมเนื่องจากพระมหาสัตว์มิได้ทรงเปิดบานพระแกลไว้ ดังนั้นภายในจึงดูสลัว ช่างทองพอเห็นรูปหล่อสตรีที่สวมเครื่องทรงธิดากษัตริย์ก็สำคัญผิดคิดว่าเป็นนางอัปสร จำแลงกายมาร่วมอภิรมย์กับพระราชโอรส จึงรีบลนลานกลับมาทูลพระมหาสัตว์อย่างปากคอสั่น “ ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า! ข้าพระบาทมิทราบว่าในห้องมีพระแม่เจ้าประทับอยู่จึงละลาบละล้วง ขอพระองค์โปรดทรงงดโทษให้กับข้าพระบาทด้วยเถิดพระเจ้าข้า ” พระโอรสกุสราชครั้นทรงสดับก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ จากนั้นจึงตรัส “ ดูก่อนท่านนายช่าง สตรีที่ไหนรึ? ที่ท่านเห็นนั้นคือรูปหล่อสตรีที่เราหล่อขึ้นต่างหาก หาใช่สตรีจริงๆเสียเมื่อไหร่ ขอท่านจงไปเข็นออกมาเถิด ” ช่างทองพอฟังก็ยังแสดงอาการกลัวๆกล้าๆอยู่ แต่พอพระโอรสตรัสซ้ำเขาจึงกลับเข้าไปอีกครั้ง

ครั้งนี้พอไปถึงเขาลองค่อยๆยื่นมือออก ไปแตะที่ผิวรูปหล่อก่อน พอสัมผัสถึงความเย็นเฉียบของเนื้อโลหะจึงยอมเชื่อว่านางมิใช่มนุษย์ จึงเข็นเอารูปหล่อออกมา พระมหาสัตว์พอทรงทอดพระเนตรเห็นรูปหล่อของพระองค์นั้นงดงามกว่าของช่างทองอย่างชนิดเทียบกันไม่ได้ จึงทรงรับสั่งให้ช่างทองเข็นรูปหล่อของเขาไป เก็บไว้ในท้องพระคลัง จากนั้นก็ทรงบัญชาให้ทหารยกรูปหล่อของพระองค์ขึ้นตั้งบนแคร่ส่งไปยังตำหนักพระมารดา พร้อมกับทรงฝากพระดำรัสให้ทหารให้ไปทูลพระมารดาว่าหากแผ่นดินอันกว้างใหญ่มีสตรีที่งามเหมือนดังรูปหล่อนี้ เมื่อนั้นแลพระองค์จึงจักทรงยอมอยู่ครองเรือน!

องค์เทวีพอทรงสดับคำรายงานแลทรงเห็นรูปหล่อที่งามเหนือคำบรรยาย ก็ให้ทรงรู้สึกท้อพระทัย แต่ก็หาได้ทรงยอมหยุดไม่ ทรงดำริ “ ฤาแผ่นดินอันกว้างใหญ่จักไม่มีสตรีที่งามเทียบเท่ารูปหล่อนี้ เป็นไปไม่ได้ ย่อมต้องมีสักนางที่งามเทียบได้แน่! แต่จักรู้อย่างไรว่าสตรีที่ว่านี้นางพำนักอยู่แว่นแคว้นไหนหรือว่ามีชื่อเรียงเสียงไร? ” จอมเทวีทรงพยายามนึกวิธีเพื่อจักให้ได้มาซึ่งหญิงนางนี้ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังทรงนึกไม่ออก หลังจากที่ทรงย่างพระบาทวนไปเวียนมาอยู่พักใหญ่ในที่สุดพระนางก็ทรงผุดความคิดขึ้น จึงทรงรีบให้นางกำนัลไปตามท่านอำมาตย์มาพบเป็นการด่วน เมื่อท่านอำมาตย์มาถึงมเหสีสีลวดีได้ทรงบัญชาให้เขารีบไปจัดเตรียมขบวนคณะทูต พร้อมเมื่อใดก็ให้นำรูปหล่อทองคำเบื้องหน้านี้ขึ้นรถม้า ปิดผ้าคลุมเอาไว้อย่าให้ผู้ใดเห็น จากนั้นให้เขาพาคณะฑูตท่องไปยังแว่นแคว้นต่างๆทั่วชมพูทวีป หากพบพระธิดาแคว้นใดมีรูปโฉมงดงามปานรูปหล่อก็จงถวายรูปหล่อนี้แด่พระ ราชาแคว้นนั้น แล้วให้ทูลว่าพระเจ้าโอกกากราชแห่งแคว้นมัลละ จักขอกระทำอาวาหวิวาหมงคล (การแต่งงานที่ฝ่ายหญิงต้องย้ายมาอยู่กับฝ่ายชาย) พร้อมกันนั้นให้เขานัดหมายวันที่จะทำพิธีกันให้เป็นที่เรียบร้อย จากนั้นให้กลับกรุงกุสาวดีมารายงานให้พระนางรับทราบเป็นการด่วน ท่านอำมาตย์พอรับพระบัญชาก็รีบไปดำเนินการตามรับสั่งทันที

ถัดจากนั้นไม่กี่วันขบวนคณะทูตแห่งแคว้นมัลละก็ออกเดินทางจากกรุงกุสาวดีท่องไปยังแว่นแคว้นต่างๆตามพระราชเสาวนีย์ เมื่อขบวนคณะทูตไปถึงเมืองหรือแหล่งชุมชนใดพวกเขาก็นำดอกไม้แลเครื่องประดับมาแต่งให้กับรูปหล่อ ครั้นถึงยามโพล้เพล้ก็นำรูปหล่อไปตั้งไว้ริมทางก่อนจะลงสู่ท่าน้ำ จากนั้นก็พากันแอบซุ่มคอยดักฟังคำสนทนาของผู้คน ว่าจักพูดถึงรูปหล่ออย่างไร บรรดาผู้ที่มาอาบน้ำพอเห็นรูปหล่อสตรีตั้งอยู่บนวอต่างก็คิดว่าคงเป็นสตรีสูงศักดิ์จากต่างเมืองจะมาอาบน้ำ หามีผู้ใดคิดว่าจักเป็นรูปหล่อทองคำไม่ ต่างเอ่ยปากชมกันว่าหญิงนางนี้ช่างมีผิวพรรณงามนัก แม้เทพอัปสรก็คงมิได้งามเกินกว่านี้แน่ แต่ไฉนจึงมานั่งในสถานที่เช่นนี้ได้ก็มิทราบ เมืองเราไม่เคยได้ยินว่ามีสตรีที่งามปานนี้ หลังซุบซิบกันพวกเขาก็พากันลงไปอาบน้ำ ฝ่ายพวกอำมาตย์ที่ซุ่มอยู่ พอได้ยินชาวเมืองวิจารณ์รูปหล่อก็รู้ว่าเมืองนี้คงไม่มีสตรีที่งามเทียบเท่ารูปหล่อแน่ จึงพากันเดินทางไปยังเมืองอื่นต่อ

พวกเขาเที่ยวทำอุบายลักษณะนี้ไปตามแว่นแคว้นต่างๆจนกระทั่งมาถึง กรุงสาคละ เมืองหลวงแคว้น มัททะ มี พระเจ้ามัททราช ทรงเป็นกษัตริย์ปกครองแคว้น ราชา มัททราชทรงมีพระธิดาที่มีรูปโฉมงดงามอยู่ถึง ๘ นาง โดยเฉพาะธิดาองค์โตที่มีนามว่า ประภาวดี กล่าวได้ว่าทั่วทั้งชมพูทวีปหาได้มีสตรีใดจักมีรูปโฉมเสมอนาง แม้ยามราตรีในห้องที่มืดมิด หากว่ามีนางประทับอยู่ห้องนั้นก็ยังเรืองรองไปด้วยรัศมีที่แผ่ออกมาจากกายนาง ดุจดังแสงอาทิตย์อ่อนๆยามรุ่งอรุณยังไงก็ยังงั้น!

พระธิดาประภาวดีทรงมีพระพี่เลี้ยงนางหนึ่งเป็นหญิงหลังค่อม ทุกเย็นพี่เลี้ยงค่อมจักให้หญิงรับใช้ ๘ นางถือหม้อไปตักน้ำจากท่าน้ำนำกลับมาให้พระธิดาทรงสรงสนานที่พระตำหนัก โพล้เพล้วันหนึ่งขณะที่เหล่านางรับใช้กำลังไปตักน้ำที่ท่าน้ำเหมือนเคย หญิงรับใช้นางหนึ่งก็เหลือบไปเห็นรูปหล่อที่คณะทูตแคว้นมัลละนำมาตั้งไว้โดยบังเอิญ พอเห็นนางก็เข้าใจว่ารูปหล่อนั้นเป็นพระธิดาประภาวดีทรงแอบหนีมาสรงน้ำเพียงลำพัง ดังนั้นจึงพูดขึ้น “ พวกท่านจงดูเถิด พระธิดาประภาวดีนี้ช่างเป็นผู้ว่ายากเสียเหลือเกิน ตรัสว่าจักทรงสรงน้ำอยู่ที่พระตำหนัก แต่ไฉนจึงมาประทับอยู่ข้างทางก่อนจะลงท่าน้ำไปเสียได้? ” เหล่าหญิงรับใช้พอฟังต่างก็หันไปมองทันที แลก็เห็นพระธิดาประทับอยู่จริงเหมือนคำนาง ดังนั้นจึงพากันเดินเข้าไป พอไปถึงนางผู้เป็นพี่ใหญ่ได้พูดขึ้น “ พระธิดาประภาวดีเพคะ เหตุไฉนจึงมาประทับอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ช่างเป็นการที่ไม่สมควรเลยนะเพคะ เพราะหากมีใครมาเห็นเข้าอาจทำให้ราชวงศ์ต้องเสื่อมเสียได้! ”

มิเพียงแต่แค่พูด ว่าแล้วนางก็ยื่นมือไปแตะที่พระกร แต่พอนิ้วของนางสัมผัสกับผิวรูปหล่อเท่านั้น บัดนั้นนางก็ถึงกับสะดุ้งโหยงจนต้องยกมือหนีแทบไม่ทัน เพราะมันช่างเย็นเฉียบราวกับเกล็ดของหิมะยังไงก็ยังงั้น! บรรดานางรับใช้พอเห็นอากัปกิริยาที่ตกใจของพี่ใหญ่ ต่างก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน นางรับใช้ผู้หนึ่งอดปากไม่อยู่จึงร้องถามไป “ ท่านพี่เป็นอะไรรึ? ไฉนจึงต้องตกใจถึงปานนั้น? ” ผู้เป็นพี่ใหญ่ซึ่งยังไม่คลายจากอาการสะดุ้งหน้าซีดตอบไปว่า “ จักไม่ตกใจได้ยังไง พวกเจ้าดูซิ! เราสำคัญผิดคิดว่ารูปหล่อนี้คือพระธิดาประภาวดีไปเสียได้ ช่างน่าขันจริงๆ! ” พอนางพูดจบพุ่มไม้ข้างๆก็เกิดสั่นไหวขึ้นมาทันที พร้อมกันนั้นก็ได้ยินเสียงของผู้คนคุยกัน จากนั้นไม่ถึงอึดใจก็มีกลุ่มคนกรูกันออกมาจากพุ่มไม้ตรงมาที่พวกนาง

กลุ่มคนเหล่านี้ที่แท้ก็คือคณะทูตแคว้นมัลละที่แอบซ่อนตัวอยู่นั่นเอง พวกเขาพอได้ยินพี่ใหญ่หญิงรับใช้บอกตนเข้าใจผิดคิดว่ารูปหล่อเป็นพระธิดาประภาวดีจึงพลุ่งพล่านใจ รีบพากันออกมาจากพุ่มไม้ทันที เมื่อเข้ามาถึงท่านอำมาตย์ได้ถามหญิงรับใช้ผู้เป็นพี่ใหญ่ว่า “ ดูก่อนน้องหญิง ที่ท่านกล่าวว่าพระธิดาประภาวดีนั้น ท่านหมายถึงผู้ใดรึ? ” เหล่าหญิงรับใช้พอฟังต่างก็มองไปที่หน้าเขา เหมือนดั่งจักถามว่าไฉนเขาจึงไม่รู้จักพระธิดาประภาวดี อย่างไรก็ตามผู้เป็นพี่ใหญ่ได้ตอบ “ ก็หมายถึงพระธิดาองค์โตของพระเจ้ามัททราชน่ะซิ จะหมายถึงผู้ใดได้ รูปหล่อนี้หากเปรียบกับพระรูปโฉมขององค์เทวี ยังเทียบไม่ได้แม้เพียงเศษเสี้ยว! ” ท่านอำมาตย์พอฟังก็ให้แสนลิงโลด รีบบอกว่าตนเป็นใครมาจากไหน จากนั้นก็ขอให้นางพาพวกตนไปเข้าเฝ้าพระเจ้ามัททราชเป็นการด่วนทันที

เมื่อขบวนคณะทูตมาถึงพระราชวังกรุงสาคละ มหาดเล็กได้พาพวกเขาไปยังท้องพระโรงเพื่อรอเสด็จองค์เหนือหัวมัททราช ผ่านไปสักครูราชามัททราชก็เสด็จมายังท้องพระโรง พอองค์ราชาเสด็จมาถึงแลทรงขึ้นประทับเรียบร้อย ท่านอำมาตย์แห่งแคว้นมัลละจึงกราบบังคมทูล “ ข้าแต่มหาราช พระเจ้าโอกกากราชแห่งแคว้นมัลละได้ฝากพระดำรัสมาถามพระองค์ ว่าพระองค์ทรงพระสำราญดีฤาพระเจ้าข้า ” ราชามัททะตรัสว่า “ เราสบายดี พวกท่านมาเยือนแคว้นเรามีธุระอันใดรึ? ” หัวหน้าคณะทูตพอฟังจึงกราบทูลว่าพระเจ้าโอกกากราชทรงมีพระประสงค์จะมอบราชสมบัติให้แก่องค์รัชทายาทกุสราชผู้มีพระสุรเสียงประดุจราชสีห์คำราม มีพละกำลังประดุจพญาคชสาร ดังนั้นจึงทรงมอบหมายพวกตนมาถวายบังคมแด่พระองค์เพื่อแจ้งความประสงค์จักทรงขอพระราชทานพระนางประภาวดีผู้เป็นพระธิดาองค์โตของพระองค์ให้แก่พระราชโอรสกุสราช ไม่ทราบพระองค์ทรงมีความเห็นเช่นไร? พอกล่าวจบตัวแทนคณะทูตก็ได้ถวายเครื่องราชบรรณาการและรูปหล่อสตรีทองคำแด่พระเจ้ามัททราช

ราชามัททะพอทรงได้รับเครื่องราชบรรณาการเป็นจำนวนมาก แถมยังมีรูปหล่อสตรีทองคำที่งดงามเกินกว่าจักพรรณนาอีก ก็ให้ทรงปลาบปลื้มพระ ทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงดำริอยู่ภายใน “ แคว้นเล็กอย่างเราจักได้เกี่ยวดองกับแคว้นใหญ่อย่างมัลละ มันช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ! ” ดังนั้นจึงทรงตกปากรับคำทันที หัวหน้าคณะทูตเมื่อเห็นราชามัททะไม่ทรงขัดข้อง จึงแจ้งหมายกำหนดการวันที่จะมารับพระธิดาประภาวดีกลับแคว้นมัลละให้กับพระองค์ได้ทรงรับทราบ จากนั้นก็ขอพระราชอนุญาตลากลับยังแคว้นมัลละเพื่อแจ้งข่าวดีนี้ให้กับพระเจ้าโอกกากราชได้ทรงรับทราบเป็นการด่วน

เมื่อคณะทูตกลับถึงกรุงกุสาวดีท่านอำมาตย์ได้เข้าถวายรายงานพระเจ้าโอกกากราชให้ทรงรับทราบถึงรายละเอียดของภารกิจ หลังทรงรับทราบรายละเอียดราชาโอกกากราชก็ทรงรับสั่งให้จัดขบวนขันหมากขึ้นเป็นการด่วน เพื่อไปรับพระธิดาประภาวดีกลับมาเป็นพระสุณิสา (ลูกสะใภ้) ของพระองค์ ถัดจากนั้นไม่กี่วันขบวนเสด็จที่ยิ่งใหญ่อลังการก็ออกเดินทางจากแคว้นมัลละมุ่งตรงสู่แคว้นมัททะทันที ฝ่ายราชามัททะผู้ซึ่งไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้เกี่ยวดองกับแคว้นมัลละ พอทรงทราบข่าวการเสด็จมาของพระเจ้าโอกกากราชพระองค์ก็ทรงปลาบปลื้มพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงจัดเตรียมการต้อนรับไว้อย่างเต็มที่ไม่แพ้กัน

ขบวนขันหมากของพระเจ้าโอกากราชหลังจากเสด็จรอนแรมมาเป็นเวลาครึ่งเดือน ในที่สุดก็มาถึงกรุงสาคละ หลังจากเข้าพักเรียบร้อย ถัดจากนั้นสองวันราชวงศ์ทั้งสองแคว้นก็ทรงมีพระปฏิสันถารต่อกันและกัน ระหว่างการสนทนามเหสีสีลวดีได้ทรงปรารภ “ ดูก่อนมหาบพิตร ตั้งแต่หม่อมฉันมาพักที่แคว้นพระองค์นี่ก็เข้าวันที่สามแล้ว แต่หม่อมฉันก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นพระพักตร์ของพระธิดาประภาวดีเลยเพคะ ” ราชามัททะพอทรงสดับก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ จากนั้นจึงตรัสให้นางกำนัลไปทูลอัญเชิญพระธิดาประภาวดีมาเข้าเฝ้า

สักครู่พระธิดาองค์โตแคว้นมัททะพร้อมด้วยหมู่พระพี่เลี้ยงก็เสด็จมาถึงท้องพระโรง เมื่อทรงมาถึงโฉมงามแห่งแคว้นมัททะก็ทรงทรุดพระองค์ลงถวายบังคมแทบเบื้องพระยุคลบาทของว่าที่พระสัสสุ (แม่ผัว) พระมเหสีสีลวดีพอทรงทอดพระ เนตรเห็นว่าที่ลูกสะใภ้แต่งองค์ด้วยเครื่องทรงอันอลังการ จึงทรงดำริ “ พระธิดาประภาวดีนางนี้ช่างเป็นหญิงที่งามจนยากจักหานางใดในแผ่นดินเทียบได้จริงๆ ส่วนโอรสของเราซิกลับมิได้มีรูปงามเสมอนางแม้เพียงเศษเสี้ยว หากให้นางได้เห็นใบหน้าลูกเรา เห็นทีคงจักไม่ยอมแต่งงานด้วยเป็นแน่ อย่ากระนั้นเลยจำเราจักต้องทำอุบายอะไรสักอย่าง! ”เมื่อทรงดำริดังนี้จอมเทวีแห่งแคว้นมัลละจึงตรัสกับราชามัททะ
“ ข้าแต่มหาราช พระธิดาประภาวดีนี้ช่างเป็นหญิงจนงามยากจักหาผู้ใดเสมอเหมือน คู่ควรแก่พระโอรสของหม่อมฉันเสียยิ่งนัก เพียงแต่จารีตแห่งสกุลหม่อมฉันที่มีมาแต่โบราณนั้น มีข้อกำหนดอยู่ข้อหนึ่ง หากพระธิดาประภาวดีสามารถปฏิบัติตามได้ หม่อมฉันก็ยินดีรับเป็นพระสุณิสาเพคะ ”

ราชามัททะเมื่อทรงสดับจึงตรัสถามถึงจารีตที่ว่า ว่าเป็นเช่นไร มเหสีสีลวดีจึงทรงอธิบาย “ อันธรรมเนียมราชวงศ์แคว้นมัลละเรา พระชายาจะพบหน้าพระสวามีในเวลากลางวันมิได้เป็นอันขาด จนกว่าจะตั้งครรภ์ หากพระธิดาประภาวดีสามารถปฏิบัติตามได้ หม่อมฉันก็จักรับนางไว้เป็นพระสุณิสาทันที ” พระเจ้ามัททราช
ครั้นทรงสดับจึงทรงหันไปถามบุตรสาว “ ดูก่อนลูกเรา เจ้าสามารถปฏิบัติได้หรือไม่? ” โฉมพิลาศแห่งแคว้น มัททะทรงเห็นว่าธรรมเนียมที่ว่าที่แม่สามีกล่าวมานั้นมิได้เป็นเรื่องที่ยากอันใด จึงทรงตอบมเหสีแคว้นมัลละว่านางสามารถปฏิบัติได้ ดังนั้นราชวงศ์ทั้งสองจึงต่างปลาบปลื้มยินดีเป็นอย่างยิ่ง

ฝ่ายพระเจ้าโอกกากราชครั้นทรงเห็นว่าเวลานี้ทั้งสองราชวงศ์ต่างก็กำลังอยู่ในอารมณ์ที่ชื่นมื่น ดังนั้นจึงทรงถือโอกาสถวายพระราชทรัพย์อันเป็นเครื่องสินสอดแก่พระเจ้ามัททราชทันที ถัดจากนั้นสองวันจอมราชันแห่งแคว้นมัลละก็ทรงพาพระธิดาแคว้นมัททะเสด็จกลับกรุงกุสาวดีเพื่อมาเข้าพระราชพิธีอภิเษกสมรสกับพระราชโอรสของตน

เมื่อขบวนเสด็จพระเจ้าโอกกากราชกลับถึงแคว้นมัลละ จอมราชาได้ทรงรับสั่งให้ทหารไปประกาศข่าวดีให้กับประชาชนทั่วแคว้นได้รับทราบ พร้อมกันนั้นก็ให้พวกเขาตกแต่งบ้านเรือนให้สว่างไสวเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้กับองค์รัชทายาทในพระราชพิธีมงคลที่จะมีขึ้น ไม่เพียงเท่านั้นยังทรงบำเพ็ญพระราชอภัยทานด้วยการปลดปล่อยนักโทษที่มีความประพฤติดีให้เป็นอิสระอีก ถัดจากนั้นสองวันก็ทรงโปรดเกล้าให้จัดพระราชพิธีอภิเษกสมรสระหว่างองค์รัชทายาทกุสราช และพระธิดาประภาวดีแห่งแคว้นมัททะ อย่างยิ่งใหญ่อลังการ โดยเชิญแขกเหรื่อที่เป็นกษัตริย์ ราชนิกุล ตลอดจนพ่อค้ากระฎุมพีจากแคว้นต่างๆทั่วชมพูทวีปมาร่วมงาน

หลังพระราชพิธีอภิเษกสมรสได้ไม่กี่วัน สมเด็จพระราชาธิบดีก็ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้พระราชโอรสกุสราชทรงขึ้นเป็นกษัตริย์ปกครองแคว้นมัลละแทนพระองค์เหมือนดั่งที่ทรงตั้งพระทัยไว้ และเพื่อเป็นการประกาศศักดาต่อแว่นแคว้นต่างๆ ราชสำนักแคว้นมัลละจึงส่งราชทูตนำพระราชสานส์ไปป่าวประกาศยังแคว้นทั้งหลายทั่วชมพูทวีปว่า บัดนี้แคว้นมัลละได้มีพระราชาองค์ใหม่พระนามว่าพระเจ้ากุสราชขึ้นครองราชย์แล้ว อาณาจักรใดมีพระธิดา ขอให้ส่งพระธิดาแคว้นตนมาถวายแด่พระเจ้ากุสราช อาณาจักรใดมีพระโอรส หากหวังความเป็นมิตร ขอให้ส่งพระโอรสมาเป็นพระราชอุปัฏฐากให้กับราชากุสราช ลำดับนั้นพระโพธิสัตว์เจ้าทรงมีพระสนมมากมายเป็นบริวาร ทรงปกครองประเทศด้วยพระอิสริยยศอันยิ่งใหญ่เหนือกษัตริย์ใดในชมพูทวีป ส่วนพระนางประภาวดี หลังพระราชพิธีราชาภิเษกได้ไม่กี่วัน พระนางก็ทรงได้รับการโปรดเกล้าให้เป็นพระอัครมเหสีของพระเจ้ากุสราชในเวลาถัดมา


แก้ไขล่าสุดโดย pinit เมื่อ 17 ม.ค. 2024, 16:07, แก้ไขแล้ว 8 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ม.ค. 2020, 07:12 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2012, 08:47
โพสต์: 27


 ข้อมูลส่วนตัว


กุสราชมหาสัตว์ ๒

กุสราชมหาสัตว์ ๒

กล่าวถึงพระนางประภาวดี ถึงจักทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระมเหสีแล้ว แต่องค์เทวีก็ยังไม่เคยทรงเห็นหน้าพระสวามีในยามกลางวันเลยแม้แต่เพียงครั้งเดียว! ถึงพระมหาสัตว์ก็เหมือนกัน ตั้งแต่ได้ทรงอภิเษกสมรสกับพระนางประภาวดีมา พระองค์ก็ยังไม่เคยทรงเห็นพระพักตร์ของพระชายาในยามกลางวันเลยเช่นกัน จนวันหนึ่งราชาโพธิสัตว์ก็มิอาจทรงทนต่อความอยากเห็นหน้าภรรยาต่อไปได้อีก จึงเสด็จไปเฝ้าพระมารดาเพื่ออ้อนวอนให้ทรงพาพระองค์ไปพบพระชายาในยามกลางวันบ้าง แต่มเหสีสีลวดีได้ทรงทัดทานไว้ ว่าอย่าทำตามอำเภอใจ รอจนพระชายาทรงตั้งพระครรภ์เสียก่อนจึงค่อยพบกัน แต่ความอยากเห็นหน้าภรรยานั้นมันช่างมีกำลังมากเสียเหลือเกิน เกินกว่าที่ราชาหนุ่มจักทรงหักห้ามพระทัยได้ ดังนั้นผ่านไปแค่สองวันพระองค์ก็ทรงเข้าไปรบเร้าพระมารดาใหม่ เป็นอยู่อย่างนี้หลายครั้งหลายครา

ในที่สุดพระมเหสีสีลวดีก็มิอาจทรงทนต่อการรบเร้าของราชบุตรได้ จึงตรัสให้พระมหาสัตว์ทรงไปคอยอยู่ที่
โรงช้างก่อน เดี๋ยวพระนางจักทรงพาพระนางประภาวดีไปดูช้างศึก แต่มีข้อแม้ ต้องอย่าทำให้พระนางประภาวดีทรงรู้พระองค์เป็นอันขาด ราชากุสราชครั้นทรงสดับคำพระมารดาก็ให้แสนลิงโลดพระทัย รีบตรัสให้ทหารไปนำชุดตะพุ่นหญ้าช้าง (คนเลี้ยงช้าง) มาให้พระองค์เป็นการด่วน จากนั้นก็รีบทูลลาพระมารดาเสด็จกลับตำหนักเพื่อทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นคนเลี้ยงช้างทันที ฝ่ายจอมเทวีพอลับหลังราชบุตรก็ทรงบัญชาให้ทหารไปทำความสะอาดโรงช้างไว้ก่อน จากนั้นก็เสด็จไปยังตำหนักพระสุณิสาเพื่อชวนนางมาทอดพระเนตรโรงช้างหลวง

กล่าวถึงพระเจ้ากุสราช หลังทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นตะพุ่นหญ้าช้างได้ก็รีบเสด็จมารอ พระมารดาแลพระชายาอยู่ที่โรงช้างด้วยพระทัยอันลิงโลด ผ่านไปสักครู่ก็ทรงทอดพระเนตรเห็นทั้งสองพระองค์กำลังเสด็จมาที่โรงช้าง พอทรงเห็นพระองค์ก็ทรงเกิดนึกสนุก คิดจักทรงแกล้งหยอกพระชายา จึงทรงเก็บเอามูลช้างที่แห้งติดพื้นขึ้นมาก้อนหนึ่ง พอพระนางประภาวดีเสด็จเข้ามาใกล้ได้ระยะ จอมราชาก็ทรงขว้างมูลช้างไปที่พระกรนาง ขณะนั้นพระธิดาแคว้นมัททะกำลังทรงตื่นเต้นพระทัยกับช้างศึกแคว้นมัลละที่มีขนาดใหญ่กว่าแคว้นนางอย่างชนิดเทียบกันไม่ได้ พอจู่ๆถูกคนเลี้ยงช้างปามูลช้างใส่ก็ทรงเกิดมีพระพิโรธขึ้นมาทันใด ทรงเผลอพระองค์ตวาดใส่เจ้าตะพุ่นหญ้าช้าง“ เหม่! เจ้าผู้บังอาจ เราจักให้พระราชาทรงลงโทษตัดมือเจ้าบัดเดี๋ยวนี้ คอยดูเถอะ! ” ตรัสบริภาษแล้วก็ทรงหันมาทูลพระสัสสุให้ลงโทษเจ้าคนเลี้ยงช้างสามหาวคนนี้ทันที พระมเหสีสีลวดีทรงเกรงว่าความจักแตก จึงทรงโผเข้าไปกอดพระสุณิสาเอาไว้พร้อมกับทรงปลอบโยน “ โถ..คนดีของแม่ อย่าขุ่นเคืองไปเลยลูก ไฉนจึงจักเอาพิมเสนไปแลกกับเกลือเล่า ” ตรัสพลางก็ทรงลูบพระปฤษฎางค์ (หลัง) ของพระสุณิสาไปพลาง ขณะเดียวกันก็ทรงถลึงพระเนตรไปที่พระมหาสัตว์ ด้านพระนางประภาวดีเมื่อทรงเห็นผู้เป็นแม่สามีให้ความรักความห่วงใยในพระองค์ถึงเพียงนี้ หากจักทรงถือโทษเอาความกับเจ้าคนชั้นต่ำอีก ก็เกรงจะทำให้พระมเหสีลวดีทรงไม่พอพระทัย จึงทรงยอมเลิกราไป

กล่าวถึงราชากุสราชนั้น หลังจากทรงเห็นพระพักตร์ของพระชายาแล้วก็ถึงกับทรงเก็บเอาภาพนางไปฝันจนถึงกับเสวยไม่ได้บรรทมไม่หลับทรงอยากจะเห็นพระพักตร์ของนางอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นผ่านไปสองวันจึงเสด็จเข้าไปรบเร้าพระมารดาใหม่ และก็เหมือนเคย จอมเทวีมิอาจทรงทนต่อการรบเร้าของราชบุตรได้ จึงตรัสให้ไปคอยอยู่ที่โรงม้า สักพักพระสัสสุก็ทรงพาพระสุณิสาเสด็จมาที่โรงม้าหลวง พอมาถึงโรงม้าพระมหาสัตว์ก็ทรงแกล้งพระชายาด้วยการเอามูลม้าปาใส่เหมือนคราเสด็จไปที่โรงช้าง เดือดร้อนถึงจอมเทวีต้องทรงทำหน้าที่ปลอบประโลมกันเป็นการใหญ่อีก

อยู่มาวันหนึ่งพระนางประภาวดีก็ทรงอยากจะเห็นพระพักตร์ของพระสวามีในยามกลางวันบ้าง จึงเสด็จไปเฝ้ามเหสีสีลวดีเพื่อจักทรงขอให้พระนางพาตนไปพบราชากุสราชบ้าง แต่จอมเทวีทรงห้ามว่าอย่าได้ทำผิดจารีตเลย ขอให้อดทนรอไปก่อน ดังนั้นจึงสงบไปได้พักหนึ่ง แต่ผ่านไปสองวันนางก็เสด็จเข้าไปรบเร้าจอมเทวีใหม่ เป็นอยู่อย่างนี้หลายครั้งหลายครา ในที่สุดมเหสีสีลวดีก็มิอาจทรงทนต่อการรบเร้าของพระสุณิสาได้ จึงตรัสว่า “ ดูก่อนลูกแม่ หากเจ้าปรารถนาจักเห็นสามีเจ้าจริงๆ อย่างนั้นพรุ่งนี้เจ้าจงเปิดสีหบัญชรคอยดูก็แล้วกัน ราชากุสราชพระสวามีเจ้าพร้อมเหล่าทหารองครักษ์ จักกระทำประทักษิณพระนครในเช้าวันพรุ่งนี้ ขอจงตั้งตาดูเถิด ”

พระชายาประภาวดีพอทรงสดับก็ให้ทรงตื่นเต้นพระทัยเป็นอย่างยิ่ง รีบเสด็จกลับตำหนักเพื่อจัดเตรียมฉลองพระองค์สำหรับวันพรุ่งนี้ทันที พอพระธิดาแคว้นมัททะเสด็จกลับ พระมเหสีสีลวดีก็ทรงรับสั่งให้ทหารไปป่าวประกาศทั่วพระนคร เช้าพรุ่งนี้ราชากุสราชจะเสด็จเยี่ยมเยี่ยนประชาชน ขอให้ทุกครัวเรือนตกแต่งบ้านเรือนตนให้งดงามเพื่อรอรับเสด็จ จากนั้นก็ตรัสให้นางกำนัลไปแจ้งต่อพระชยัมบดีว่า เช้าพรุ่งนี้ในพิธีเสด็จประทักษิณเลียบพระนคร ให้พระชยัมบดีทรงเครื่องต้นของกษัตริย์แทนพระเชษฐา และให้ประทับที่อาสน์ด้านหน้าช้าง ส่วนราชากุสราชให้ประทับที่อาสน์หลัง

ครั้นถึงรุ่งเช้ายังมิทันที่พระอาทิตย์จะเริ่มฉายแสง พระสัสสุและพระสุณิสาทั้งสองพระองค์ก็ทรงพากันเสด็จไปประทับรออยู่ที่สีหบัญชรตั้งแต่ย่ำรุ่ง เพื่อรอชมขบวนเสด็จพยุหยาตราทางสถลมารค เมื่อขบวนเสด็จเคลื่อนมาถึงด้านหน้าพระบรมมหาราชวัง พระมเหสีสีลวดีได้ตรัสให้พระนางประภาวดีทรงทอดพระเนตรดูพระชยัมบดีที่ประทับอยู่ที่อาสน์หน้า “ ดูก่อนลูกแม่ เจ้าจงดูความสง่างามของพระสวามีเจ้าเถิด ” พระนางประภาวดีพอทรงเห็นพระชยัมบดีซึ่งทรงมีพระรูปโฉมงดงามราวเทพบุตรประทับอย่างสง่าอยู่บนอาสน์ด้านหน้าช้าง ก็ทรงสำคัญผิดคิดว่าเป็นราชากุสราชพระสวามี จึงทรงรู้สึกโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง แต่พอทรงเหลือบไปเห็นทหารที่นั่งอยู่อาสน์หลังซึ่งมีใบหน้าขี้ริ้ว ความสุขเมื่อครู่ก็พลันเหือดหายลงไปจนสิ้น

เนื่องจากทรงจำได้ว่าเจ้าผู้นี้ก็คือเจ้าตะพุ่นหญ้าช้างผู้สามหาวนั่นเอง และยิ่งทรงเห็นเขาโบกไม้โบกมือแสดงอาการยั่วเย้ามาให้ พระนางก็ยิ่งทรงขัดเคืองพระทัยมากยิ่งขึ้นไปอีก จนสุดจักทรงข่มได้ จึงทรงหันไปถามพระสัสสุ “ เสด็จแม่เพคะ! ไฉนควาญช้างที่นั่งด้านหลังเสด็จพี่กุสราช จึงเป็นผู้ดื้อด้านเสียเหลือเกิน มิได้ยำเกรงพระราชอำนาจแห่งกษัตริย์แม้แต่น้อย บังอาจแสดงกิริยาสามหาวในงานพระราชพิธีเยี่ยงนี้ได้อย่างไร ผู้ใดฤาเป็นคนจัดให้เจ้าผู้ไม่มีสง่าราศีขึ้นไปนั่งด้านหลังพระเจ้าแผ่นดิน? ”

จอมเทวีพอทรงสดับก็ถึงกับทรงรู้สึกปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาทันใด แต่เพื่อจะทรงปิดบังฐานะของบุตรรักจึงเสตรัสว่า “ ดูก่อนลูกแม่ ธรรมดาการระวังหลังพระราชานั้นเป็นเรื่องที่มิอาจละเลยได้ เจ้าผู้นี้ถึงจะมีหน้าตาขี้ริ้วก็จริง แต่ฝีมือหาจักมีผู้ใดในแผ่นดินเทียบได้! ” พระสุณิสาครั้นทรงสดับพระสัสสุตรัสปกป้องเจ้าคนชั้นต่ำอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ทรงรู้สึกคลางแคลงพระทัยขึ้นมา “ เหตุไฉนเจ้าตะพุ่นผู้นี้จึงได้รับความเมตตาจากเสด็จแม่เสียเหลือเกิน ขนาดแสดงกิริยาหยาบช้าต่อเราก็ยังไม่ถูกลงโทษ หรือเขาจะเป็นราชากุสราช! ก็พระเจ้ากุสราชพระองค์นี้คงจักมีพระพักตร์ที่แสนน่าเกลียดเสียเป็นแน่ มิฉะนั้นเหตุใดจึงไม่ยอมแสดงพระองค์ให้เราเห็น! ”

พอทรงคิดดังนี้พระธิดาแคว้นมัททะก็ทรงก้มพระพักตร์ลงกระซิบกับนางค่อมที่หมอบข้างๆ “พี่ค่อมเอ๋ย ขอพี่จงรีบไปดักรออยู่ที่โรงช้างก่อนที่ขบวนเสด็จจักกลับถึงเถิด แหละจงดูว่าระหว่างพระเจ้ากุสราชที่ประทับอยู่อาสน์หน้ากับเจ้าตะพุ่นสามหาวที่นั่งอยู่อาสน์หลัง ผู้ใดลงจากหลังช้างก่อน หากผู้ใดลงก่อนผู้นั้นก็คือราชากุสราช! ” นางค่อมพอรับบัญชาก็ไม่รอช้า รีบลุกปลีกกายไปซุ่มอยู่ข้างโรงช้างทันที

หลังขบวนเสด็จได้วนจนรอบพระนครแล้วก็วกกลับไปยังโรงช้างหลวง พอไปถึงพระชยัมบดีซึ่งประทับอยู่อาสน์หน้าแทนที่จักเสด็จลงจากหลังช้างก่อน ที่ไหนได้เจ้าตะพุ่นขี้ริ้วผู้มีกิริยาสามหาวกลับชิงตัดหน้าลงเป็นคนแรกเสียยังงั้น จากนั้นพระชยัมบดีจึงค่อยเสด็จตามลงมา พระมหาสัตว์เมื่อทรงลงจากหลังช้างแล้วด้วยพระอุปนิสัยที่ทรงเป็นผู้รอบครอบ จึงทรงหันไปทอดพระเนตรรอบๆตามความเคยชิน ทันใดก็ทรงเห็นนางค่อมที่แอบอยู่มองมาพอดี จึงทรงรับสั่งให้ทหารไปพาตัวนางเข้ามา เมื่อทหารพานางถึงจอมราชันได้ตรัสกับนางว่าห้ามนำเรื่องที่เห็นนี้ไปทูลให้พระนางประภาวดีรับทราบเป็นอันขาด มิฉะนั้นศีรษะของนางอาจไม่อยู่บนบ่า นางค่อมด้วยความเกรงพระอาญาจึงรีบรับปากอย่างปากคอสั่น พอกลับถึงตำหนักก็ทูลผู้เป็นนายว่าพระเจ้ากุสราชที่ประทับอยู่อาสน์หน้าเสด็จลงจากหลังช้างก่อน พระนางประภาวดีพอทรงสดับก็ทรงคลายพระกังวล

หลายวันต่อมาพระมหาสัตว์ก็ทรงเกิดความปรารถนาอยากจะเห็นพระพักตร์ของพระชายาอีก จึงเสด็จเข้าไปรบเร้าพระมารดาเหมือนเคย พระมเหสีสีลวดีย่อมมิอาจทรงทนต่อการรบเร้าของราชบุตรได้ จึงตรัสให้จอมราชันไปซ่อนตัวอยู่ในสระนิลุบล เดี๋ยวพระนางจักทรงพาพระชายาอันเป็นที่รักไปชมสระบัว พอคล้อยหลังพระมหาสัตว์จอมเทวีก็เสด็จไปยังตำหนักของพระสุณิสาเพื่อจักทรงชวนนางมาชมดอกไม้ในสวนอุทยานด้วยกัน หลังจากทั้งสองพระองค์ทรงเดินดูสิ่งสวยๆงามๆจนทั่วอุทยานหลวงแล้ว ทั้งคู่ต่างก็ทรงรู้สึกเมื่อยล้าพระวรกายขึ้นมา พระนางสีลวดีจึงตรัสกับลูกสะใภ้ให้ไปนั่งพักเหนื่อยใต้ร่มไม้ริมสระบัวด้วยกัน

เมื่อทั้งคู่เสด็จไปถึงยังมิทันที่จอมเทวีจะทรงทรุดพระองค์ลงประทับ พระนางประภาวดีก็ทรงทอดพระเนตรไปเห็นสระโบกขรณีเข้าก่อน ขณะนั้นมวลโกมุทชาติหลากสีสันต่างถูกแรงลมพัดจึงส่ายก้านเอนไกวไปตามลม บวกกับระลอกน้ำที่พลิ้วเป็นประกายยามต้องแสงอาทิตย์ยามบ่ายแก่ เกิดเป็นภาพที่งดงามจับตาจับใจจนยากที่จักละสายตาได้ พระธิดาแคว้นมัททะเมื่อทรงเห็นเข้าความล้าที่มีก็พลันมลายหายไปจนสิ้น ทรงเกิดความปรารถนาอยากจะสรงน้ำขึ้นมาทันใด จึงตรัสชวนเหล่าพระพี่เลี้ยงให้ลงเล่นน้ำด้วยกัน

ขณะทรงสรงน้ำอย่างสนุกสนานสายพระเนตรก็ทรงเหลือบไปเห็นดอกจงกลนีดอกหนึ่งเข้าซึ่งมีสีสันสวยงามเกินดอกใด จึงทรงอยากจักเก็บเอามาเชยชม ดังนั้นจึงทรงค่อยๆแวกว่ายเข้าไป พอถึงก็ทรงเอื้อมพระหัตถ์ออกไปหมายจักเด็ดเจ้าดอกอุบลนี้ เวลานั้นราชากุสราชซึ่งทรงแอบอยู่หลังใบบัวใกล้กับดอกที่เทวีทรงหมายพระเนตร จอมราชันพอทรงเห็นพระชายาเอื้อมพระหัตถ์มาก็ทรงเกิดเผลอพระองค์คิดจักทรงหยอกล้อพระชายาเล่นจึงทรงโผล่พระพักตร์ออกไปคว้าเอาข้อพระหัตถ์ของนางไว้ ไม่เพียงเท่านั้น แถมยังทรงเปล่งพระสุรเสียงออกไปหมายจักทำให้นางตกใจ “ เราคือราชากุสราช! ”

โฉมงามซึ่งกำลังทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปเด็ดดอกโกเมศมิได้ทรงคาดคิดมาก่อนว่าสระหลวงที่มีทหารอารักขาจะมีคนแอบอยู่ พอมีคนโผล่พรวดออกมาจับข้อพระกรไว้ ซ้ำยังตะโกนเสียจนพระกรรณนางอื้อ ก็ให้ทรงตกพระทัยเป็นกำลัง และยิ่งพอทรงเห็นพระพักตร์คนจับเข้าอีกก็ทรงถึงซึ่งวิสัญญีภาพหมดสติไปทันใด เพราะทรงคิดไปว่าเป็นยักษ์จำแลงกายมาจับพระองค์ เกิดเป็นความโกลาหลจนพระมเหสีสีลวดีต้องทรงให้เหล่าพระพี่เลี้ยงอุ้มนางกลับตำหนักทันที หลังทรงฟื้นพระสติและทรงได้คิดทบทวน องค์เทวีก็ทรงทราบว่าผู้ที่จับนางก็คือเจ้าตะพุ่นหญ้าช้างที่มีใบหน้าขี้ริ้วนั่นเอง เห็นทีเขาคงต้องเป็นราชากุสราชเสียเป็นแน่มิฉะนั้นจักกล้าทำตามอำเภอใจได้ถึงเพียงนี้เทียวหรือ นางไม่ปรารถนาจะมีพระสวามีที่มีพระพักตร์ที่แสนจะน่าเกลียดน่าชังอย่างนี้ ดังนั้นจึงทรงคิดจักหนีไปจากแคว้นมัลละทันที หลังจากทรงครุ่นคิดอยู่พักใหญ่จึงตรัสให้เหล่าพระพี่เลี้ยงไปเตรียมรถม้าแลข้าวของให้พร้อม สองยามคืนนี้นางจะหนีไปจากเมืองนี้!

การเตรียมการเพื่อหนีของพระนางประภาวดีหาได้รอดพ้นไปจากการสังเกตของทหารคนสนิทที่พระเจ้ากุสราชทรงส่งไปอารักขาองค์เทวีไม่ พอเขาเห็นเหล่าพระพี่เลี้ยงจัดเตรียมข้าวของก็ทราบว่าเป็นเรื่องผิดปกติ จึงนำความเข้ากราบทูลให้จอมราชันได้ทรงรับทราบทันที พระมหาสัตว์ครั้นทรงสดับก็ทรงดำริ “ ครั้งนี้หากเราไม่ให้นางกลับแคว้นมัททะ เห็นทีนางคงต้องอกแตกตายเสียเป็นแน่ อย่ากระนั้นเลย เราควรปล่อยให้นางกลับบ้านเมืองนางไปก่อน จากนั้นค่อยไปพากลับ ทีหลัง วิธีนี้น่าจักดีที่สุด ” พอทรงดำริดังนี้จึงตรัสให้ทหารคนสนิทไปสั่งยามเฝ้าประตูวังว่าอย่าได้ขัดขวางขบวนเสด็จของพระชายาเป็นอันขาด ปล่อยให้นางเสด็จไป สองยามคืนนั้นขบวนเสด็จพระนางประภาวดีจึงออกจากกรุงกุสาวดีไปได้อย่างราบรื่น โดยไม่มีอุปสรรคใด!

เหตุอันใดจึงทำให้พระนางประภาวดีมิได้ทรงรักใคร่ในพระเจ้ากุสราช ทั้งๆที่ทรงเป็นพระชายา ทั้งนี้ก็เพราะชาติที่ผ่านมานางเคยตั้งจิตอธิษฐานเอาไว้ ฉะนั้นมาชาตินี้กรรมจึงให้ผล ถึงพระมหาสัตว์ก็เหมือกัน ที่ทรงเกิดมามีพระพักตร์ไม่งดงามก็เพราะอำนาจแห่งวิบาก(การให้ผลของกรรม)ที่เคยทรงทำไว้ให้ผลเช่นกัน หากจะเท้าความ เรื่องก็มีอยู่ว่า

ย้อนไปเมื่อครั้งอดีตอันเนิ่นนานยังมีหมู่บ้านหมู่บ้านหนึ่ง ตั้งอยู่ไม่ไกลจากประตูเมืองพาราณสีสักเท่าไหร่หมู่บ้านนี้มีตระกูลอยู่สองตระกูลที่รักใคร่สนิทสนมกัน ตระกูลหนึ่งมีบุตรชาย ๒ คน อีกตระกูลหนึ่งมีบุตรสาว ๑ คน พระโพธิสัตว์ในชาตินั้นทรงถือกำเนิดเกิดเป็นคนน้องของตระกูลที่มีบุตรชาย สองตระกูลนี้ต่างไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ วันหนึ่งเมื่อถึงวัยที่บุตรของทั้งสองตระกูลจักต้องมีคู่ ตระกูลฝ่ายชายจึงไปขอบุตรสาวของอีกฝ่ายให้มาเป็นภรรยาลูกชายคนโต ซึ่งฝ่ายหญิงก็มิได้ปฏิเสธอันใด

หลังแต่งมาอยู่บ้านฝ่ายชายผู้เป็นสะใภ้ก็ประพฤติตนได้อย่างเหมาะสม มิได้มีความขี้เกียจขี้คร้านแต่อย่างใด จนกระทั่งเช้าวันหนึ่งลูกสะใภ้ได้ทำขนมที่มีรสชาติอร่อยให้กับครอบครัวสามีรับประทาน ซึ่งขณะนั้นพระโพธิสัตว์ไม่อยู่บ้าน เขาออกไปหาของป่าตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง พี่สะใภ้เมื่อเห็นน้องสามีไม่อยู่จึงแบ่งขนมส่วนหนึ่งเก็บไว้ให้เขา ส่วนที่เหลือก็แจกจ่ายกันบริโภคในครัวเรือนจนสิ้น บังเอิญสายวันนั้นมีพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งท่านบิณฑบาตผ่านมาพอดี พี่สะใภ้พอเห็นก็เกิดศรัทธา จึงนำขนมส่วนของน้องสามีถวายให้ท่านไป ในใจคิดว่าเดี๋ยวค่อยทำให้เขาใหม่ก็แล้วกัน

พอพระคุณเจ้าจากไปนางก็เดินถือภาชนะที่ใส่ขนมเตรียมจักนำไปล้าง แต่ช่างประจวบนัก เวลานั้นพระมหาสัตว์กลับมาจากป่าพอดี เลยทันเห็นหลังพระคุณเจ้าอยู่ไวๆ ดังนั้นเขาจึงถามพี่สะใภ้ว่ามีใครมาบ้านรึ พี่สะใภ้บอกว่าไม่มีใครมาดอก เป็นสมณะรูปหนึ่งบิณฑบาตผ่านมา นางเห็นท่านมีกิริยาน่าเลื่อมใสจึงนำขนมส่วนของเขาถวายให้ไป ขอเขาจงทำใจให้ผ่องใสเถิด เดี๋ยวนางจะรีบทำให้ใหม่ แต่เวลานั้นพระมหาสัตว์กำลังถูกความหิวเข้าครอบงำ จึงไม่ฟังอีร้าค่าอีรม หันหลังได้ก็วิ่งตามพระคุณเจ้าไปทันใด ฝ่ายพี่สะใภ้เมื่อเห็นน้องสามีพรวดพราดออกไปก็รู้ว่าเขาจะทำอะไร จึงรีบออกจากเรือนสามีกลับไปยังเรือนตน

พอถึงก็ไปตักเอาก้อนมันเนยที่มารดานางเพิ่งจักทำเสร็จใหม่ๆมีสีประดุจดอกจำปาใส่ลงในภาชนะที่เตรียมจักนำไปล้างนั่นเอง จากนั้นก็ไม่รอช้า รีบวิ่งตามน้องสามีไปทันใดจนทันกัน เมื่อไปถึงนางเห็นเขาถือห่อขนมที่นางเพิ่งจะถวายพระคุณเจ้าไปอยู่ในมือ ส่วนพระเถระท่านก็กำลังหันหลังเตรียมจะจากไป ดังนั้นนางจึงร้องบอกให้ท่านหยุดก่อน จากนั้นก็เข้าไปเอาก้อนมันเนยที่ตักมาจากเรือนมารดาใส่ลงในบาตรท่าน ก้อนมันเนยพออยู่ในบาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า บัดนั้นมันก็เปล่งรัศมีเหลืองอร่ามแผ่ออกไปโดยรอบจนเป็นที่อัศจรรย์ พี่สะใภ้พอเห็นก็ให้ปลาบปลื้มยินดีเป็นอย่างยิ่ง รีบคุกเข่าพนมมืออธิษฐาน หากแม้นชาติหน้าฉันใดนางตายจากมนุษย์ ไม่ว่าจะเกิดในภพภูมิใด ก็ขอให้นางจงมีร่างกายที่ผ่องใสงดงาม มีรัศมีเรืองรองตระการ เกินกว่าหญิงใดในหล้าจักเทียบได้ แหละขอให้นางอย่าได้อยู่ร่วมกับคนที่เป็นอสัตบุรุษเยี่ยงน้องสามีผู้นี้ในที่แห่งเดียวกันเลย! ฝ่ายพระโพธิสัตว์ซึ่งยังมิได้จากไปไหนพอได้ยินพี่สะใภ้อธิษฐานเยี่ยงนั้นเขาก็ให้นึกโกรธนางขึ้นมา จึงนำขนมที่หยิบออกมาเมื่อครู่ใส่กลับไปในบาตรพระคุณเจ้าใหม่ พร้อมกันนั้นก็เปล่งวาจาอธิษฐานบ้างว่า “ข้าแต่พระคุณเจ้า ไม่ว่าพี่สะใภ้ของข้าพเจ้านางนี้จะไปเกิดในภพภูมิใด ใกล้ไกลเพียงไหน ก็ขอให้ข้าพเจ้าพึงมีความสามารถไปนำนางมาเป็นบาทบริจาริกาของข้าพเจ้าให้จงได้ด้วยเถิด! ”

แลด้วยอำนาจแห่งกุศลกรรมที่ทั้งคู่ได้ทำกับพระปัจเจกพุทธเจ้า มาชาตินี้พระนางประภาวดีจึงทรงมีพระวรกายที่เปล่งปลั่งงดงามเกินกว่าหญิงใดในแผ่นดินจักเทียบได้ ส่วนพระมหาสัตว์เนื่องจากทรงทำกุศลในขณะที่จิตมีโทสะ ดังนั้นพอมาชาตินี้พระองค์จึงทรงเป็นผู้ที่มีรูปโฉมขี้ริ้วไม่งดงาม ทั้งนี้ก็เพราะกรรมเก่าในอดีตชาติให้ผลนั่นเอง!

ย้อนมาเข้าเรื่อง หลังขบวนเสด็จพระนางประภาวดีออกจากเมืองกุสาวดีแล้ว ก็มุ่งตรงสู่แคว้นมัททะโดยมิได้แวะพักที่ใด จนล่วงครึ่งเดือนจึงถึงกรุงสาคละ ฝ่ายราชากุสราชหลังจากพระชายาเสด็จไปพระองค์ก็ทรงโศกเศร้าพระทัยเป็นอย่างยิ่ง แม้เหล่านางรำจะบำรุงบำเรอด้วยวิธีต่างๆนานาก็หาทำให้ทรงคลายจากความคิดถึงชายาได้ จนรุ่งสางวันหนึ่งเมื่อความอดทนได้ถึงที่สุด จอมราชาจึงเสด็จไปเข้าเฝ้าพระมารดาเพื่อทูลขอพระราชอนุญาตออกตามพระชายากลับคืนยังกรุงกุสาวดี มเหสีสีลวดีทรงเข้าพระทัยถึงความรู้สึกบุตรชาย จึงตรัสเตือนสติ “ ลูกเอ๋ย! หากเจ้าปรารถนาเยี่ยงนั้นแม่ก็มิขัดดอก แต่จงจำไว้ขึ้นชื่อมาตุคามย่อมเป็นผู้มีใจไม่บริสุทธิ์ ฉะนั้นไม่ว่าเจ้าจักทำการใดหากเกี่ยวด้วยสตรีขอจงพิจารณาให้รอบครอบก่อน ขอลูกแม่จงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด ” หลังตรัสเตือนสติองค์เทวีก็ทรงรับสั่งให้นางกำนัลนำไปจัดเตรียมของบริโภคเลิศรสชนิดต่างๆใส่ในโหลทองคำเพื่อให้บุตรชายนำไปบริโภคระหว่างทาง ราชากุสราชครั้นทรงรับของเสวยจากพระมารดาก็ทรงกระทำประทักษิณ ๓ รอบเพื่อแสดงถึงความเคารพที่ทรงมีให้ต่อจอมเทวี จากนั้นจึงเสด็จกลับตำหนักเพื่อทรงจัดเตรียมข้าวของ

พระองค์ทรงนำพระแสงเบญจาวุธห้าชนิดเหน็บไว้ที่พระกฤษฎี (สะเอว) จากนั้นก็ทรงหยิบกหาปณะหนึ่งพันใส่ย่าม และที่มิอาจลืมได้นั่นก็คือพิณโกกนุท ทรงยกถุงพิณโกกนุทขึ้นสะพายบนพระอังสา(ไหล่) เสร็จแล้วจอมราชันแห่งแคว้นมัลละก็มิได้ทรงรั้งรอแต่อย่างใด ทรงย่างพระบาทเสด็จออกจากกรุงกุสาวดีมุ่งตรงสู่แคว้นมัททะทันที เนื่องจากทรงเป็นผู้ที่มีพละกำลังมหาศาลมาตั้งแต่ประสูติ ดังนั้นเพียงชั่วเวลาจากเช้าถึงเที่ยงพระองค์ก็ทรงเดินทางได้ถึง ๕๐ โยชน์ แหละพอเสวยพระกระยาหารมื้อกลางวันเสร็จก็เสด็จต่อได้อีก ๕๐ โยชน์ ฉะนั้นเวลาเพียงหนึ่งวันพระองค์ก็ทรงเดินทางมาถึงชายแดนแคว้นมัททะได้อย่างเป็นที่อัศจรรย์!

เมื่อทรงมาถึงเขตแดนแคว้นมัททะขณะนั้นก็เย็นมากแล้ว ดังนั้นจอมราชันจึงทรงสรงน้ำในลำธารข้างทางเพื่อชำระพระวรกายให้สดชื่น จากนั้นจึงเสด็จเข้าเมือง แลด้วยเดชะแห่งพระโพธิสัตว์เจ้าทันทีที่ราชากุสราชทรงเหยียบแผ่นดินกรุงสาคละพระนางประภาวดีที่กำลังบรรทมอยู่บนพระแท่นบรรทมอย่างเป็นสุข บัดนั้นก็ทรงรู้สึกร้อนรุ่มพระวรกายขึ้นมาโดยมิทราบสาเหตุ จนมิอาจทรงฝืนบรรทมต่อไปได้ จำต้องเสด็จมานอนอยู่ที่พื้นแทน!

พระมหาสัตว์เมื่อทรงเข้าเมืองแล้วก็ทรงย่างพระบาทไปตามท้องถนนอย่างไร้จุดหมาย ขณะเสด็จพระราช ดำเนินสายพระเนตรก็ทรงมองดูสภาพบ้านเมืองกรุงสาคคะยามค่ำไปในตัว เวลานั้นมีหญิงชาวบ้านนางหนึ่งออกมานั่งรับลมอยู่หน้าบ้าน นางพอเห็นจอมราชาซึ่งเป็นคนต่างถิ่นเดินบนถนนยามนี้ จึงเรียกพระองค์ให้ทรงมาพักที่บ้านนางก่อน พระมหาสัตว์เมื่อทรงสดับจึงเสด็จเข้าไป เมื่อทรงไปถึงแลได้สบตากับนางก็ทรงรู้ว่าหญิงนางนี้เป็นผู้มีใจอารีหาได้มีจิตใจคิดร้ายแต่อย่างใดจึงทรงแสดงการคราวะนาง หญิงชาวบ้านพอเห็นกิริยาท่าทางของจอมกษัตริย์แตกต่างจากคนทั่วไป จึงรีบไปตักน้ำมาให้พระองค์ทรงใช้ล้างพระบาท จากนั้นก็เข้าเรือนไปจัดที่บรรทมถวาย

จอมราชันหลังจากทรงเร่งเดินทางมาอย่างแทบจักเรียกได้ว่ามิได้ทรงหายใจหายคอ พอทรงล้มพระวรกายลงบนที่นอนที่หญิงชาวบ้านจัดให้ ก็ทรงหลับใหลไปทันที ด้านหญิงมีน้ำใจพอเห็นพระ องค์ทรงหลับก็เข้าครัวไปสำรวจอาหารที่จักทำถวายในเพลาเช้า รุ่งขึ้นพอพระมหาสัตว์ทรงตื่นแลได้เสวยพระกายาหารที่หญิงชาวบ้านจัดให้ ก็ทรงรู้สึกซาบซึ้งในความกรุณาของนางเป็นอย่างยิ่ง จึงทรงพระราชทานทรัพย์หนึ่งพันกหาปณะให้ไป ไม่เพียงเท่านั้น แถมยังทรงมอบโหลทองคำที่พระมารดาทรงใช้ใส่ของเสวยระหว่างทางให้ไปอีก จากนั้นก็ทรงฝากพระแสงเบญจาวุธไว้กับนาง แล้วพระองค์ก็ทรงหยิบถุงพิณโกกนุทขึ้นสะพายบนพระอังสาเสด็จจากไป

เมื่อทรงออกจากเรือนของหญิงชาวบ้านราชาพลัดถิ่นก็ทรงถามผู้คนถึงที่ตั้งของโรงช้างหลวง ว่าอยู่ ณ ที่ใด จากนั้นก็เสด็จไปยังสถานที่นั้นทันที พอไปถึงก็ตรัสกับหัวหน้าโรงช้างว่าพระองค์จักทรงขอพักอยู่ที่นี่สักเวลาหนึ่ง แต่จะไม่ทรงอยู่เฉยๆ จะทรงช่วยเขาทำงานโดยไม่คิดค่าแรง นอกจากนั้นยังจักทำการขับร้องให้พวกเขาได้รื่นเริงบันเทิงใจเป็นการตอบแทนอีก หัวหน้าโรงช้างพอฟังว่าไม่ต้องจ่ายค่าจ้างจึงอนุญาตให้พักได้ ค่ำวันนั้นหลังจากเสร็จงานพระมหาสัตว์ก็ทรงหยิบพิณโกกนุทขึ้นมาพร้อมกับคำนึงในพระทัย “ ชาวสาคละเอ๋ย ขอพวกท่านจงดื่มด่ำกับเสียงพิณเถิด ” จากนั้นก็ทรงดีดพิณแลทรงขับร้องคลอไปด้วย ขณะนั้นพระนางประภาวดีซึ่งกำลังบรรทมอยู่ที่พื้นข้างๆพระแท่นบรรทม พอทรงสดับเสียงพิณของจอมราชันพระนางก็ทรงทราบทันทีว่าบัดนี้พระเจ้ากุสราชได้เสด็จตามนางมาถึงกรุงสาคละแล้ว!

เสียงพิณผสานเสียงร้องที่พระโพธิสัตว์เจ้าทรงร้องนั้น ได้กังวานแผ่ไปทั่วนครสาคละ จนพระเจ้ามัททราชที่กำลังบรรทมอยู่พอทรงสดับก็ถึงกับทรงรำพึงรำพันขึ้น “ ใครหนอช่างร้องเพลงได้ไพเราะนัก อย่ากระนั้นเลย พรุ่งนี้เราควรให้มหาดเล็กไปตามคนผู้นี้มาขับร้องให้เราฟังท่าจักดี ”จอมราชาหลังจากทรงขับร้องได้สักพักก็ทรงหยุด ด้วยทรงเกิดความคิดว่าการที่พระองค์ทรงมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้คงยากจักมีโอกาสได้พบพระชายา หากยังทรงฝืนอยู่ต่อก็คงมิเกิดประโยชน์อันใด รังแต่จักเสียเวลาไปเปล่าๆ ดังนั้นเช้ารุ่งขึ้นจึงเสด็จออกจากโรงช้างกลับไปยังเรือนของหญิงชาวบ้านเสวยพระกระยาหารเช้า พอเสวยเสร็จก็ทรงฝากพิณโกกนุทไว้กับนาง แล้วพระองค์ก็เสด็จไปยังโรงปั้นหม้อหลวงเป็นลำดับต่อไป

เมื่อทรงไปถึงพอช่างปั้นหม้อได้เห็นพระวรกายอันสูงใหญ่กำยำของพระองค์ก็รับเข้าทำงานทันที โดยวันแรกก็ประเดิมให้ทรงไปขนดินสำหรับปั้นภาชนะมาเก็บไว้ที่โรงปั้นเลย พอสั่งเสร็จเขาก็เดินออกไปอ้างว่ามีธุระจักต้องทำ เย็นวันนั้นพอช่างปั้นหม้อกลับมาถึงโรงปั้นแลได้เห็นกองดินที่พระมหาสัตว์ทรงขนมากองไว้ ก็ถึงกับปากอ้าตาค้างจนพูดไม่ออก ด้วยคิดไม่ถึงว่ามันจักมีขนาดใหญ่โตราวกับภูเขาเลากาถึงเพียงนี้ กองดินเบื้องหน้าหากให้คนทั่วไปขนกัน ก็ต้องใช้เป็นจำนวนอย่างน้อย ๑๐ ถึง ๒๐ คนถึงจักได้กองใหญ่ปานนี้ แต่นี่เกิดจากแรงงานของคนเพียงคนเดียว มันช่างอัศจรรย์จริงๆ!

หลังมีดินสำหรับปั้นหม้ออยู่ได้นานนับปี รุ่งขึ้นราชากุสราชได้ตรัสกับช่างปั้นหม้อว่าพระองค์อยากจักทรงแสดงฝีมือปั้นให้เขาดูเพื่อเขาจะได้ชี้แนะ ช่างปั้นหม้อพอฟังก็ไม่ขัดข้อง ดังนั้นจอมราชันจึงทรงลงมือปั้นทันที พระองค์ทรงปั้นภาชนะต่างๆขึ้นมามากมายหลายชนิด เล็กบ้างใหญ่บ้าง พอทรงปั้นเสร็จก็ทรงวาดลวดลายลงบนภาชนะเหล่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่พระองค์ทรงมีต่อพระนางประภาวดี เมื่อทรงวาดเสร็จก็ทรงอธิษฐานจิตให้มีแต่พระนางประภาวดีผู้เดียวที่มองเห็นลวดลายนี้ จากนั้นก็ทรงนำภาชนะเหล่านั้นไปผึ่งแดดก่อนจักทรงนำเข้าเตาเผา เมื่อเผาเสร็จพระองค์ได้ทรงนำภาชนะเหล่านั้นไปให้นายช่างดู

ช่างปั้นหม้อพอเห็นภาชนะดินเผาของพระมหาสัตว์ก็ถึงกับตกตะลึงจนพูดไม่ออก ด้วยตั้งแต่เขาทำงานด้านนี้มา ยังไม่เคยเห็นภาชนะใดจักมีความงดงามเท่านี้มาก่อนดังนั้นรุ่งขึ้นยังมิทันที่พระอาทิตย์จักโผล่พ้นขอบฟ้าเขาก็รีบขนเอาถ้วยโถโอชามที่พระมหาสัตว์ทรงปั้นขึ้นเกวียนขับไปให้พระเจ้ามัททราชทรงทอดพระเนตรดู ราชามัททะครั้นทรงทอดพระเนตรเครื่องปั้นดินเผาที่หมดจดงดงามอย่างที่ไม่เคยทรงเห็นจากไหนมาก่อนก็ทรงรู้สึกอัศจรรย์ ไม่แพ้กัน จึงตรัสถามช่างปั้นหม้อ

“ นี่ท่านนายช่าง ภาชนะเหล่านี้ใครเป็นคนปั้นฤา? ไฉนจึงงามปานนี้ ” ช่างปั้นหม้อคิดจะเอาความดีเข้าตน จึงกราบทูลว่า “ ขอเดชะ! ข้าพระบาทเป็นผู้ปั้นเองพระเจ้าข้า ” สมเด็จพระราชาธิบดีพอทรงสดับก็ทรงรู้ว่าช่างปั้นหม้อผู้นี้กล่าวความเท็จ จึงตรัสไปด้วยพระสุรเสียงที่แข็งกร้าว “ ดูก่อนคนปั้นหม้อ! ภาชนะที่เจ้าปั้นมีหรือเราจะจำฝีมือไม่ได้ จงตอบเรามาตามสัตย์ ว่าเป็นฝีมือใคร? ”

ช่างปั้นหม้อพอฟังก็ถึงกับเหงื่อกาฬตก รีบก้มลงกราบแทบเบื้องพระบาท พร้อมกันนั้นก็ตะกุกตะกักตอบจอมราชาไปอย่างปากคอสั่นว่า “ ขอ เดชะ พระ อาญามิพ้นเกล้า ภาชนะเหล่านี้ ลูกศิษย์คนใหม่ ของข้าพระบาท เป็นคนปั้นขึ้นพระเจ้าข้า! ” จอมกษัตริย์เมื่อทรงสดับจึงตรัส “ ฝีมือเยี่ยงนี้เขาไม่น่าจักเป็นลูกศิษย์เจ้า เจ้านั่นแหละควรจะเป็นลูกศิษย์เขา ไป! จงกลับไปบอกให้เขาปั้นภาชนะต่างๆเพิ่มขึ้นอีก เราจักนำไปให้ลูกเราทั้งแปดเก็บไว้เชยชม แลนี่! ทรัพย์หนึ่งพันกหาปณะ! จงนำไปมอบให้เขา แลจงบอกเขาด้วยนี่เป็นรางวัลที่เราประทานให้ ส่วนถ้วยโถโอชามเหล่านี้เจ้าจงนำไปมอบให้กับธิดาของเราทุกนาง ไป! ไสหัวไปได้ ” ช่างปั้นเมื่อเห็นจอมกษัตริย์มิได้ทรงติดพระทัยเอาความเรื่องที่ตนโกหกก็ให้โล่งใจเหมือนดั่งได้ยกภูเขาออกจากอก รีบนำภาชนะของพระมหาสัตว์ไปยังตำหนักพระธิดาทั้งแปดทันที!

กล่าวถึงพระนางประภาวดี ตั้งแต่ทรงทราบว่าราชากุสราชเสด็จมาถึงกรุงสาคละแล้วพระนางก็ทรงวิตกกังวลไม่เป็นอันกินอันนอน พอทรงเห็นช่างปั้นหม้อนำภาชนะดินเผามาถวายก็ให้ทรงดีพระทัย ทรงหยิบภาชนะเหล่านั้นขึ้นมาหวังจักเชยชมเล่น แต่พอทรงเห็นลวดลายบนภาชนะเท่านั้น ความดีพระทัยเมื่อครู่ก็พลันหายไปจนสิ้น ไม่เพียงเท่านั้น ซ้ำยังทรงเกิดความวิตกกังวลเพิ่มขึ้นกว่าเดิมอีก ทรงถามช่างปั้นหม้อทันทีว่าผู้ใดเป็นคนปั้นภาชนะเหล่านี้ ช่างปั้นหม้อซึ่งเพิ่งจักได้บทเรียนจากองค์เหนือหัวมาหมาดๆ พอฟังจึงมิกล้าแอบอ้างอีก รีบทูลว่าเป็นฝีมือของลูกศิษย์คนใหม่ตน พระนางประภาวดีพอทรงสดับก็ทรงรู้ว่าเป็นฝีมือใคร จึงทรงขว้างภาชนะที่ทรงถืออยู่ลงบนพื้นจนแตกกระจาย พร้อมกันนั้นก็ตรัสกับนายช่างด้วยพระสุรเสียงอันดังว่าพระนางไม่ทรงต้องการของเหล่านี้ ขอเขาจงนำไปให้กับผู้ที่ปรารถนาเถิด

เหล่าพระภคินีทั้งเจ็ดพอทรงสดับเสียงภาชนะแตกแลเสียงเอะอะโวยวาย ต่างก็พากันประหลาดใจจึงพากันเสด็จออกจากตำหนักตนมายังตำหนักพระพี่นาง พอทรงมาเห็นเศษกระเบื้องแตกอยู่เกลื่อนพื้น ก็ทรงแย้มยิ้มให้กัน พระขนิษฐานางหนึ่งทรงคิดจักปลอบพระทัยพระพี่นางจึงตรัส “ โถ.. เสด็จพี่ประภาวดีเพคะ ไฉนจึงทรงขว้างปาภาชนะเหล่านี้เล่า? หรือทรงเข้าพระทัยว่าถ้วยโถโอชามเหล่านี้พระสวามีกุสราชทรงปั้นขึ้น? ขออย่าทรงหวาดระแวงไปเลยเพคะ ภาชนะเหล่านี้ท่านนายช่างเป็นผู้ปั้นขึ้นต่างหาก ขอพระพี่นางโปรดทรงรับไว้เถิด ” องค์เทวีมิทรงต้องการให้บรรดาพระภคินีรู้เรื่องจึงทรงนิ่งเฉยเสีย มิได้ทรงเอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด

กล่าวถึงพระมหาสัตว์ พอช่างปั้นหม้อกลับมาพร้อมกับยื่นกหาปณะหนึ่งพันให้ แถมยังบอกว่าราชามัททะมีรับสั่งให้พระองค์ทรงทำภาชนะเพิ่มขึ้นอีก ก็ทรงดำริ “ ถึงเราอยู่ที่นี่ก็คงไม่มีโอกาสได้เห็นหน้าพระชายาเช่นกัน อย่ากระนั้นเลย ควรไปยังที่อื่นดีกว่า ” พอทรงดำริดังนี้จึงตรัสกับช่างปั้นหม้อให้เขาเก็บเงินนี้ไว้เถิด พระองค์นั้นทรงมีความปรารถนาอยากจักเรียนรู้ศิลปะแขนงใหม่ ดังนั้นจึงทรงลาเขาเสด็จออกจากโรงปั้นไปยังสำนักช่างสานหลวงเป็นลำดับต่อไป

ราชาพลัดถิ่นเมื่อทรงมาฝึกงานอยู่ที่โรงสานหลวงก็ทรงมีหน้าที่ช่วยช่างสานวาดลวดลายลงบนพัดใบตาล พระองค์ทรงวาดรูปต่างๆมากมายหลายอย่าง เช่นรูปเศวตฉัตร รูปสถานที่ที่พระนางประภาวดีทรงเสวย รูปสถานที่ที่พระนางประภาวดีทรงยืนเลือกผ้าเป็นต้น ช่างสานพอเห็นฝีพระหัตถ์ก็ถึงกับอัศจรรย์ใจ รีบนำพัดที่พระมหาสัตว์ทรงวาดไปให้ราชามัททะทรงทอดพระเนตรทันที พระเจ้ามัททราชพอทรงเห็นผลงานอันหมดจดงดงามก็ทรงอัศจรรย์พระทัยไม่แพ้กันจึงตรัสถามนายช่างว่าผู้ใดเป็นคนวาดพัดเหล่านี้ ช่างสานพอฟังก็คิดจะเอาดีเข้าตัวเหมือนช่างปั้นหม้อจึงตอบว่าตนเป็นคนวาด ซึ่งราชามัททะก็หาได้ทรงเชื่อไม่ จึงทรงคาดคั้นจนได้ความจริง เหตุการณ์ลักษณะนี้ยังเกิดขึ้นกับช่างร้อยมาลัยอีก ดังนั้นราชาพเนจรผู้ทรงตามหารักแท้ จึงต้องทรงย้ายที่อยู่เรื่อยไป จนสุดท้ายทรงมาสมัครเป็นลูกมือของสำนักห้องเครื่องต้นหลวง (ห้องครัว)

วันหนึ่งหลังจากเจ้าพนักงานเครื่องต้นปรุงอาหารเสร็จ เขาก็นำอาหารใส่กระเช้าเตรียมจะหาบไปให้พระราชาแลเหล่าพระราชธิดาเสวย ก่อนไปเขาได้ให้เนื้อติดกระดูกมีมันปนชิ้นหนึ่งแก่ลูกมือคนใหม่พร้อมกับบอกให้ไปย่างกินเอง จากนั้นเขาก็หาบกระเช้าเข้าวังไป ด้านลูกมือคนใหม่ซึ่งก็คือพระมหาสัตว์เมื่อทรงได้เนื้อติดกระดูกมาก็ทรงนำขึ้นย่างบนเตาทันที เนื้อย่างพอถูกเปลวไฟไขมันที่เห็นแข็งอยู่ก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นน้ำมันหยดลงบนถ่านเพลิงเสียงดังฉี่ ๆ ๆ ไม่เพียงเท่านั้น ซ้ำยังส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วพระราชวังอีก ราชามัททะขณะกำลังจักทรงเปิดฝาครอบพระกายาหารที่พนักงานเครื่องต้นนำถวาย พอทรงได้กลิ่นเนื้อย่างก็ถึงกับทรงกลืนพระเขฬะ (น้ำลาย) เสียงดังเอื๊อก! รีบตรัสถามพนักงานเครื่องต้น “ นี่ท่านพ่อครัว ท่านกำลังย่างอะไรอยู่รึไฉนจึงหอมเพียงนี้? ”

พนักงานเครื่องต้นพอฟังก็ประหลาดใจ แต่พอได้กลิ่นเนื้อย่างลอยเข้าจมูกก็รู้ทันทีว่าองค์เหนือหัวทรงหมายถึงเรื่องใด จึงทูลว่า “ หามิได้พระเจ้าข้า ข้าพระบาทมิได้ย่างอันใด กลิ่นที่หอมอยู่นี้เห็นทีคงจักเป็นเนื้อติดกระดูกที่ข้าพระบาทให้ลูกมือคนใหม่ย่างบริโภคกินเองพระเจ้าข้า ” ราชามัททะพอทรงสดับก็รับสั่งให้เขารีบไปนำเนื้อชิ้นนั้นมาให้พระองค์ทรงลองชิมดู พนักงาน เครื่องต้นพอรับบัญชาจึงวิ่งไปยังห้องครัวทันที พอถึงก็ฉวยเอาเนื้อย่างบนเตาที่พระมหาสัตว์กำลังทรงย่างอยู่ไปทันใด โดยมิได้บอกกล่าวใดๆทั้งสิ้น พอได้เนื้อแล้วก็หันหลังห้อแน่บกลับมายื่นให้องค์เหนือหัว ราชามัททะพอทรงรับชิ้นเนื้อจากพ่อครัวได้ก็ทรงค่อยๆยกขึ้นแตะที่พระชิวหา พอพระชิวหาสัมผัสกับความหอมมันของเนื้อเท่านั้น บัดนั้นรสชาติอันแสนเอร็ดอร่อยก็แผ่ซ่านไปทั่วพระวรกาย จนถึงกับทำให้พระองค์มิอาจที่จักทรงหยุดเสวยได้ กระทั่งเหลือแต่กระดูกขาวโพลนนั่นแลจึงทรงยอมวางลง

หลังเสวยเนื้อย่างที่มีรสชาติอร่อยที่สุดในชีวิตสมเด็จพระราชาธิบดีก็ตรัสให้มหาดเล็กนำทรัพย์มาหนึ่งพันกหาปณะฝากไปกับพนักงานเครื่องต้น ให้นำไปมอบให้กับลูกมือ คนใหม่ จากนั้นก็ตรัสกับพนักงานเครื่องต้น ว่านับแต่นี้ไปเขาไม่ต้องปรุงพระกายาหารให้พระองค์เสวยอีก แต่ให้เจ้าลูกมือคนใหม่เป็นคนทำแทน เมื่อกลับถึงห้องเครื่องต้น พนักงานเครื่องต้นจึงแจ้งพระดำรัสราชามัททะให้พระมหาสัตว์ทรงทราบ พร้อมกับยื่นทรัพย์ ๑ พันกหาปณะให้ ราชาพลัดถิ่นเมื่อทรงสดับก็ให้ทรงลิงโลดพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงรู้ว่าบัดนี้ความปรารถนาของพระองค์ได้สัมฤทธิ์ผลแล้ว อีกไม่นานพระองค์จักทรงเห็นหน้าพระนางประภาวดีแล้ว ดังนั้นจึงทรงยกทรัพย์ทั้งหมดให้พนักงานเครื่องต้นไป

รุ่งขึ้นหลังทรงได้รับแต่งตั้งให้ทำหน้าที่เป็นพ่อครัว พระมหาสัตว์ก็ทรงตื่นบรรทมตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเพื่อทรงลุกขึ้นมาปรุงพระกายาหารให้กับราชามัททะแลพระธิดาทั้งแปด พอทำเสร็จก็ทรงหาบกระเช้าเครื่องเสวยไปส่งตามตำหนักต่างๆ เริ่มจากตำหนักขององค์ราชาก่อน จากนั้นจึงเสด็จไปยังตำหนักของพระนางประภาวดีแลพระธิดาทั้งเจ็ด

ขณะกำลังทรงหาบกระเช้าเครื่องเสวยมายังตำหนักพระนางประภาวดีเวลานั้นองค์เทวีทรงยืนรับลมอยู่หน้าห้องพอดี จึงทรงมองเห็นจอมราชันเข้าก่อน พอทรงเห็นพระเจ้ากุสราชทรงปลอมพระองค์เป็นพนักงานเครื่องต้น องค์เทวีก็ทรงดำริ “ ราชากุสราชผู้นี้เหตุใดจึงแสร้งมาทำงานเยี่ยงทาสกรรมกร ไฉนจึงมิได้คำนึงถึงเกียรติแลศักดิ์ศรีเลย หากเราทำนิ่งเฉยเธอก็จักสำคัญว่าเราปรารถนาในตัวเธอ แลก็คงไม่ไปไหน คงจักเฝ้ามองเราอยู่แต่ในที่นี้อย่างเดียว อย่ากระนั้นเลย ควรที่เราจักต้องขับไล่ไปพระองค์ไปเสีย อย่าให้ทรงได้อยู่แม้ชั่วครู่ชั่วยาม! ” เมื่อทรงดำริดังนี้จึงรีบเสด็จเข้าห้องพร้อมกับทรงใช้พระหัตถ์ข้างหนึ่งจับบานทวารไว้ รอจนพระมหาสัตว์เสด็จมาถึงจึงทรงชะโงกพระพักตร์ออกไปตรัสกับพระสวามีซึ่งมีสถานะเป็นเจ้าพนักงานเครื่องต้น

“ ดูก่อนราชากุสราช พระองค์ทรงหาบกระเช้ามาด้วยพระทัยไม่ซื่อตรง คงต้องเสวยทุกข์ทั้งกลางวันแลกลางคืนเป็นแน่ ขอเชิญพระองค์เสด็จกลับกรุงกุสาวดีไปเถิด หม่อมฉันไม่ปรารถนาเห็นพระองค์ผู้มีผิวพรรณต่ำทรามอยู่ในพระราชวังหม่อมฉัน! ” พระโพธิสัตว์เมื่อทรงสดับวาจาเสียดสีของพระชายาก็หาได้ทรงโกรธไม่ ซ้ำยังกลับทรงดีพระทัยไปเสียยังงั้น ด้วยทรงดำริว่าองค์เทวีทรงกล่าววาจาด้วย จึงตรัสไปว่า “ ประภาวดีเอ๋ย! พี่หลงใหลในเจ้าจึงยอมจากกรุงกุสาวดีมา เพื่อจักได้เห็นเจ้าพี่จึงยอมทิ้งบ้านทิ้งเมืองหวังจักได้อภิรมย์เคียงคู่เจ้าในพระราชนิเวศน์แห่งนี้ ดูก่อนแม่ยอดดวงใจ พี่หลงเจ้าเสียจนไม่รู้ว่าพี่นั้นมาจากทิศไหน แลจักไปต่อยังทิศไหน พี่ลุ่มหลงในดวงเนตรอันแจ่มจรัสดุจตามฤค (กวาง) ของเจ้าผู้ทรงภูษาทอง แลห้อยสังวาลทอง โปรดเถิดเจ้าผู้มีเรือนกายอันงดงาม พี่ไม่ปรารถนาราชสมบัติใดๆเลยนอกจากเจ้าเท่านั้น! ”

โฉมงามแห่งแคว้นมัททะพอทรงสดับคำพูดเกี้ยวพาราสีของจอมราชันก็ทรงดำริ “ ขนาดเรากล่าววาจาขับไล่หวังจักให้ท้าวเธอเจ็บแสบ แต่จอมกษัตริย์พระองค์นี้กลับยังมาพูดจาเกี้ยวพาราสีเราได้ ช่างเป็นผู้ที่ดื้อด้านเสียจริง! หากท้าวเธอจักอ้างสิทธิ์ว่าเป็นพระสวามีแล้วเข้ามาจับมือถือแขนเรา ใครเล่าจะห้ามเธอได้? แลหากมีใครผ่านมาแล้วได้ยินคำโต้ตอบของเราเล่า เห็นทีความลับที่พระเจ้ากุสราชเสด็จมายังกรุงสาคละก็คงจักต้องรับรู้ถึงพระกรรณของเสด็จพ่อเป็นแน่! ” พอทรงดำริดังนี้เทวีแห่งแคว้นมัททะก็ทรงรู้สึกประหวั่นพระทัยทันที จึงทรงปิดบานทวารดังโครมใส่พระพักตร์พระเจ้ากุสราช พร้อมกันนั้นก็ทรงลั่นดาลประตูอย่างแน่นหนา

ฝ่ายราชาตกอับเมื่อทรงเห็นพระชายาปิดบานทวารใส่ก็ทรงยิ้มอยู่ในสีพระพักตร์ ทรงยกถาดเครื่องเสวยขององค์เทวีวางไว้ที่หน้าห้องนาง จากนั้นก็ทรงหาบกระเช้าไปยังห้องพระธิดาองค์อื่นต่อ พอคล้อยหลังพระมหาสัตว์ไปไม่ถึงอึดใจองค์เทวีก็ตรัสให้พี่เลี้ยงค่อมไปนำพระกายาหารหน้าห้องเข้ามา แล้วก็ทรงยกอาหารเหล่านั้นให้นางค่อมไป ส่วนตนเองกลับตรัสให้นางค่อมเอาอาหารของนางมาให้พระองค์เสวย ซ้ำยังทรงกำชับห้ามนางบอกเรื่องนี้ให้ผู้ใดล่วงรู้เป็นอันขาด นับแต่นั้นนางค่อมผู้โชคดีก็เลยได้ลาภปากเป็นเครื่องเสวยอันโอชะอย่างที่ไม่คิดไม่ฝันมาก่อน ส่วนอาหารชั้นเลวของตนก็น้อมถวายให้พระนางประภาวดีเสวยไป!


แก้ไขล่าสุดโดย pinit เมื่อ 23 ม.ค. 2024, 07:44, แก้ไขแล้ว 4 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2021, 10:41 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2012, 08:47
โพสต์: 27


 ข้อมูลส่วนตัว


กุสราชมหาสัตว์ ๓

กุสราชมหาสัตว์ ๓

หลังจากพระเจ้ากุสราชได้ทรงตอบโต้ถ้อยคำกับพระนางประภาวดีในวันนั้นแล้ว หลายวันผ่านไปพระองค์ก็ยังไม่ได้ทรงเห็นพระพักตร์ของนางอีกเลย จึงทรงเกิดความกังขาว่านางมีความ รู้สึกเยี่ยงไรต่อพระองค์ จึงทรงคิดจักทดสอบดู วันหนึ่งหลังจากที่ทรงส่งพระกายาหารให้กับพระธิดาจนครบทุกพระองค์แล้ว พระมหาสัตว์ก็ทรงหาบกระเช้าย้อนกลับมาทางห้องของพระนางประภาวดีอีก พอถึงก็ทรงกระทืบพระบาทลงบนพื้นจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ถ้วยชามในกระเช้ากระทบกันเกรียวกราว จากนั้นก็ทรงแสร้งทำเป็นถอนพระทัยเฮือกใหญ่พร้อมกับทรงทรุดพระวรกายลงไปนอนบนพื้นทำประหนึ่งว่าถึงแก่วิสัญญีภาพ

ลำดับนั้นพระนางประภาวดีซึ่งกำลังประทับอยู่ในห้อง พอทรงสดับเสียงโครมครามแลเสียงกระทบกันของถ้วยชามก็ให้ทรงตกพระทัย ทรงรีบเปิดบานทวารออกมาทอดพระเนตรทันที ทันใดก็ทรงเห็นพระโพธิสัตว์นอนหมดสติอยู่บนพื้น มีไม้คานหาบกระเช้าวางทับอยู่บนพระอุระ พอทรงเห็นเช่นนั้นก็ทรงดำริขึ้น “ ราชากุสราช พระองค์นี้ทรงเป็นผู้ที่หยิ่งในศักดิ์ศรี การที่ทรงมายอมลำบากลำบนทั้งกลางวันแลกลางคืนเยี่ยงนี้ ก็เพราะเราเป็นเหตุ ท้าวเธอทรงเป็นสุขุมาลชาติ (ผู้ดีมีตระกูล) มาแต่กำเนิด มิเคยตรากตรำงานหนักมาก่อน ครั้งนี้มาถูกไม้คานทับเอาไม่รู้จักยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่หรือเปล่าหนอ? หรือจักทรงสิ้น พระชนม์แล้ว? ” พอทรงดำริดังนี้จึงเสด็จเข้าไปก้มพระพักตร์ดูว่าจอมราชันยังมีพระปัสสาสะ (ลมหายใจ) อยู่หรือไม่

ฝ่ายจอมราชันที่ทรงแสร้งทำเป็นสลบ พอทรงเห็นพระชายาทรงก้มพระพักตร์ลงมาก็ทรงคว้าเอาพระวรกายของนางเข้ามาไว้ในอ้อมพระอุระทันที องค์เทวีจู่ๆพอทรงถูกพระเจ้ากุสราชทรงกระทำเจ้าชู้ยักษ์ใส่ ก็ให้ทรงตกพระทัยเป็นกำลัง ทรงเผลอพระองค์ผรุสวาทออกไปทันใด “ ดูก่อนราชากุสราช ผู้ใดปรารถนาคนที่เขาไม่ปรารถนาตอบ ผู้นั้นย่อมมีแต่ความเสื่อม หม่อมฉันไม่ได้รักพระองค์ พระองค์ก็จักบังคับให้หม่อมฉันรัก ก็ในเมื่อคนเขาไม่รักไยยังต้องการให้เขารักอีก ” พระมหาสัตว์ครั้นทรงถูกพระชายาตรัสบริภาษแทนที่จักทรงมีพระพิโรธ ที่ไหนได้กลับทรงยิ้มเสียยังงั้น ทั้งนี้ก็เพราะเวลานี้พระทัยของพระองค์ล้วนเปี่ยมไปด้วยความปฏิพัทธ์ในองค์เทวีอย่างสุดซึ้ง ดังนั้นจึงตรัส “ ดูก่อนนางผู้มีวงพักตร์อันงดงาม นรชนใดได้คนที่ไม่ปรารถนาเรามาเป็นคนรัก เราสรรเสริญการได้นั้นว่าเป็นสิ่งดี การไม่ได้ต่างหากที่เป็นความชั่วช้า ”

พระธิดาแคว้นมัททะพอทรงสดับถ้อยคำที่เถียงแบบข้างๆคูๆของจอมกษัตริย์ ก็ทรงมีพระพิโรธขึ้นมาทันใด จึงตรัสไปด้วยพระสุรเสียงที่แข็งกร้าว “ ดูก่อนราชาแคว้นมัลละ พระองค์ทรงปรารถนาหม่อมฉัน แต่หม่อมฉันหาได้ปรารถนาพระองค์ เปรียบไปก็เหมือนบุรุษโง่เขลาเอาไม้กรรณิการ์มางัดเพชรที่ฝังในหิน เหมือนผู้โง่งมเอาตาข่ายมาดักลม ซึ่งการกระทำทั้งสองย่อมมิอาจเป็นไปได้! ” จอมราชาเมื่อทรงสดับคำกระทบกระเทียบเปรียบเปรยก็ทรงแสร้งทำเป็นพยักพระพักตร์คล้อยตาม พอนางตรัสจบจึงตรัส “ เพชรที่เจ้าพูดคงฝังอยู่ในใจเจ้าที่แข็งกระด้างกระมัง เพราะตั้งแต่พี่เหยียบแผ่นดินกรุงสาคละมาพี่ก็ยังไม่เคยได้รับความชื่นชมจากเจ้าเลย น้องพี่ยังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดมองพี่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ตราบใดที่น้องยังคงแสดงกิริยาเยี่ยงนี้ ตราบนั้นพี่ก็คงเป็นได้แค่พนักงานเครื่องต้นคอยทำอาหารให้เจ้าเสวยเท่านั้น แต่เมื่อใดที่น้องยิ้มให้พี่ เมื่อนั้นแลพี่จึงจะเลิกเป็นพ่อครัว แลจักกลับมาเป็นราชากุสราชของเจ้าดังเดิม ”

พระธิดาแห่งกรุงสาคละเมื่อทรงสดับก็ทรงคำนึง “ ราชากุสราชผู้นี้ยิ่งพูดด้วยก็ยิ่งเซ้าซี้ เห็นทีเราจักต้องแกล้งกล่าวมุสาวาทให้เธอจากไปด้วยอุบายดีกว่า ” พอทรงดำริดังนี้จึงตรัส “ ข้าแต่จอมกษัตริย์ โหรแคว้นมัททะเคยทำนายหม่อมฉัน ว่าพระสวามีที่แท้จริงของหม่อมฉันนั้นมิใช่ราชาแห่งแคว้นมัลละอย่างแน่นอน พวกเขายังสัญญาว่าหากทำนายผิดจักยอมให้หม่อมฉันบั่นร่างออกเป็น ๗ ท่อนเลย! ”

จอมราชันพอทรงสดับก็สุดจักทรงข่มความขบขันเอาไว้ได้ จึงทรงเปล่งเสียงหัวร่อออกไปเสียจนดังลั่น นั่นยิ่งทำให้โฉมงามรู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างยิ่ง หลังจากทรงคลายจากอาการขบขันจึงตรัสกับนาง “ ดูก่อนน้องหญิง โหรแคว้นมัลละก็เคยทำนายพี่เช่นกัน พวกเขาบอกว่าพระมเหสีของราชากุสราชผู้ยิ่งใหญ่ ผู้มีพระสุรเสียงดุจราชสีห์ มีพละกำลังดุจคชสาร นอกจากพระธิดาองค์โตแห่งแคว้นมัททะแล้ว พระธิดาเมืองใดก็มิคู่ควรกับจอมราชันเยี่ยงพี่ได้! ”

พระนางประภาวดีครั้นทรงสดับก็ยิ่งทรงมีพระโมโหโกรธามากยิ่งขึ้นไปอีก แต่ก็ให้อับจนหนทาง ไม่รู้จักทรงโต้ตอบกษัตริย์ผู้มีพระพักตร์ด้านหนานี้อย่างไร จึงเสด็จลงส้นพระบาทดังตึงๆกลับเข้าห้องไป พร้อมกันนั้นก็ทรงปิดบานทวารใส่พระพักตร์พระเจ้ากุสราชดังโครมเพื่อเป็นการระบายความโกรธ ฝ่ายพระมหาสัตว์เมื่อทรงเห็นโฉมงามงอนกระฟัดกระเฟียดเดินเข้าห้องก็ทรงแอบยิ้มอยู่ในพระทัย จากนั้นก็ทรงหาบกระเช้าเครื่องเสวยกลับที่พำนัก ซึ่งก็คือโรงเครื่องต้นนั่นเอง นับจากนั้นทั้งสองก็มิได้ทรงพบหน้ากันอีก เป็นเวลาถึงครึ่งค่อนปี!

กล่าวถึงพระมหาสัตว์ หลังจากทรงรับหน้าที่เป็นพนักงานเครื่องต้นก็ทรงได้รับความลำบากลำบนเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจักทรงทำพระกายาหารเท่านั้นไม่พอ ยังต้องทรงผ่าฟืน ล้างภาชนะน้อยใหญ่ พอล้างเสร็จก็ต้องทรงไปหาบน้ำนำกลับมาใช้อีก แม้แต่ยามบรรทมก็ยังต้องบรรทมอยู่ข้างรางน้ำทิ้ง ตื่นบรรทมก็ต้องทรงตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ต้องเสวยทุกข์ทรมานแสนสาหัส ทั้งนี้ก็เพราะกามราคะความหลงใหลในรูปของพระนางประภาวดีเป็นเหตุนั่นเอง จนวันหนึ่งพระองค์ทรงเห็นนางค่อมผ่านมาทางห้องเครื่องต้นจึงตรัสเรียกนางให้เข้ามา นางขุชชาพอได้ยินแทนที่จักรีบเข้าไป ที่ไหนได้กลับเร่งฝีเท้าเดินหนีไปซะยังงั้น จอมราชันจึงรีบเสด็จตามไปทันที พอทรงไปทันกันจึงตรัสกับนาง

“ นี่แน่ะค่อมเอ๋ย เหตุไฉนนายเจ้าจึงมีใจที่แข็งกระด้างเสียเหลือเกิน เรามาอยู่วังเจ้าก็นานโข คำถามเจ็บไข้ไม่สบายสักคำก็ยังไม่เคยได้ยินจากปากนาง ยกเรื่องที่หลับที่นอนไม่ต้องพูดถึง ผ้าสักท่อนหมอนสักใบไม่เคยจักมีน้ำจิตน้ำใจหยิบยื่นมาให้ แต่ไม่เป็นไร เรื่องพวกนี้เราไม่ติดใจดอก ว่าแต่เจ้าเถอะ หากเราจักขอให้ทำอะไรสักอย่างเจ้าพอจักทำให้เราได้มั้ย? อย่างเช่นพานายเจ้ามาพบเราสักครั้ง หากทำได้เราจะให้สร้อยคอทองคำแก่เจ้าเส้นหนึ่ง ”

นางค่อมทีแรกก็ทำเป็นนิ่งไม่ยอมพูดจา แต่พอจอมกษัตริย์ตรัสว่าจะให้สร้อยคอทองคำก็ตาโตทันที รีบทูลไปว่า “ ข้าแต่มหาราชผู้เปี่ยมเมตตา ในเมื่อพระองค์สัญญาจะให้สร้อยทองหม่อมฉัน อย่างนั้นขอพระองค์เชิญเสด็จกลับที่พักก่อนเถิด อีกสองวันหม่อมฉันสัญญาจักพาองค์เทวีมาพบพระองค์ให้จงได้ ขอจงทรงรอฟังข่าวดีเถิด ” พอทูลเสร็จพระพี่เลี้ยงผู้หลงใหลในสีเหลืองอร่ามก็ขอพระราชอนุญาตลากลับไปวางแผนเพื่อพาองค์เทวีมาพบพระมหาสัตว์

สองวันถัดมานางขุชชาก็เข้าไปทำความสะอาดห้องประทับพระนางประภาวดีเหมือนเคย แต่ครั้งนี้นางเก็บกวาดอย่างพิถีพิถันเป็นพิเศษ จนไม่เหลือสิ่งใดจะให้หยิบฉวยได้ แม้แต่รองพระบาทนางก็นำออกไปไว้นอกห้อง แล้วนางก็ลากม้านั่งตัวหนึ่งมาตั้งคร่อมธรณีประตูเอาไว้ จากนั้นก็ลากม้านั่งอีกตัวมาตั้งไว้ด้านตรงข้ามเพื่อใช้เป็นที่พาดพระบาท พอเสร็จนางก็นั่งลงบนม้านั่งตัวที่คร่อมธรณีประตูพร้อมกับทูลอัญเชิญพระธิดาประภาวดีให้เสด็จมานอนบนตักนาง เดี๋ยวนางจักสางพระเกศาให้ องค์เทวีเมื่อทรงเห็นพระพี่เลี้ยงวางม้านั่งค่อมธรณีประตูก็ทรงสงสัย จึงตรัสถามไฉนจึงไม่ทำในห้องเหมือนเคย พี่เลี้ยงค่อมตอบว่าตรงนี้แสงสว่างกว่ามองเห็นง่าย ขอโปรดทรงมานอนบนตักนางโดยไวเถิดพระธิดาประภาวดีเมื่อทรงสดับจึงเสด็จเข้าไปบรรทมบนตักนาง

ระหว่างที่องค์เทวีทรงหลับพระเนตรมือหนึ่งนางขุชชาก็แหวกเส้นพระเกศาแสร้งทำเป็นหาไข่เหา ส่วนอีกมือก็ยกขึ้นไปรูดเส้นผมตนซึ่งล้วนมีแต่ไข่เหาเกาะอยู่เต็ม แล้วนางก็กำไข่เหาที่รูดไว้ในมือ จากนั้นก็แสร้งทำเป็นอุทาน “ ตายจริง! เส้นพระเกศาพระธิดาไฉนจึงมีไข่เหาเกาะอยู่เล่าเพคะ ” ว่าแล้วนางก็แบมือที่กำไข่เหาจากศีรษะตนให้พระธิดาทรงทอดพระเนตร “ แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อมจักจัดการให้เกลี้ยงเลย ขอพระธิดาโปรดทรงสบายพระทัยเถิด ” ขณะที่มือแสร้งทำเป็นแหวกเส้นพระเกศา ปากก็พร่ำพรรณนาถึงความทุกข์ยากของพระมหาสัตว์ไปต่างๆนานา

“ น่าสงสารราชากุสราชเสียจริ๊ง! ทรงยอมสละได้แม้แต่ราชบัลลังก์เพื่อมาตามหาสตรีอันเป็นที่รัก แม้จักทรงลำบากลำบนต้องทรงลุกขึ้นมาหุงหาพระกายาหารตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ก็มิเคยจักทรงปริพระโอษฐ์บ่น ไม่เพียงเท่านั้น พอทรงทำพระกายาหารเสร็จ ก็ยังต้องทรงหาบกระเช้าเครื่องเสวยตะรอนไปตามตำหนักต่างๆเพื่อ ทรงนำไปถวายให้กับพระธิดาทุกพระองค์ พอทุกพระองค์เสวยเสร็จก็ต้องทรงตามไปเก็บถ้วยชามเพื่อนำไปล้าง พอทรงล้างเสร็จจักทรงพักสักหน่อย ก็ถึงเวลาจักต้องทรงทำพระกายาหารมื้อเที่ยงต่อ หมุนไปวนมาอยู่อย่างนี้จนถึงเที่ยงคืนสองยามจึงจักได้บรรทม ทั้งนี้ก็เพราะทรงต้องการจักเห็นหน้านางอันเป็นที่รักเท่านั้น ค่าจ้างค่าแรงก็มิได้ทรงเรียกร้องแต่อย่างใด ทรงหวังเพียงคำปฏิสันถารจากหญิงคนรักเวลาบังเอิญได้พบกัน เท่านั้นก็ทรงดีพระทัยแล้ว แต่นี่แม้คำทักทายสักคำจากปากนางอันเป็นรัก ก็ยังมิเคยจักทรงได้ยิน! ช่างเป็นชายชาติบุรุษอาชาไนยที่น่าสงสารจริงๆ ”

พระนางประภาวดีครั้นทรงสดับคำพระพี่เลี้ยงในทำนองเห็นใจพระมหาสัตว์ ก็ทรงมีพระพิโรธขึ้นมาทันใด จึงทรงลุกจากตักนางพร้อมกับทรงตวาดออกไปด้วยพระสุรเสียงอันดัง “ เหม่! นางขุชชาค่อม จงหุบปากของเจ้าบัดเดี๋ยวนี้! การที่เจ้ามาพูดสามหาวเยี่ยงนี้ฤามิกลัวเราจักตัดลิ้นเจ้าทิ้ง! ” นางค่อมไม่เคยเห็นพระธิดาทรงแสดงกิริยาเยี่ยงนี้มาก่อน พอเห็นเข้าก็ให้ตกใจเป็นกำลัง แต่เพื่อสร้อยคอทองคำ ยังไงก็ต้องกล่อมนางให้ได้ ดังนั้นจึงตัดสินใจผลักองค์เทวีเข้าไปในห้องจากนั้นก็รีบปิดบานทวารแลดึงเชือกชักลูกดาล(กลอนประตู)มาเก็บไว้กับตน พระนางประภาวดีเมื่อไม่มีเชือกชักลูกดาลก็มิอาจจะทรงเปิดบานทวารออกจากห้องได้ จึงทรงทุบบานประตูพร้อมกับทรงตะโกนบอกให้พี่เลี้ยงค่อมรีบเปิดบานทวารเป็นการด่วน นางขุชชาเมื่อตัดสินใจแล้วก็มิอาจถอยหลังกลับได้ จึงพยายามเกลี้ยกล่อมเทวีให้คล้อยตามโดยยกเหตุผลต่างๆนานามาอ้าง

“ ข้าแต่พระแม่เจ้า อันรูปร่างพระองค์นอกจากจักดูงดงามเมื่อยามมอง ที่เหลือยังจักมีประโยชน์อันใดเล่า มันสามารถจักยังชีวิตผู้คนได้เหมือนข้าวปลาอาหารหรือ? ราชากุสราชนอกจากทรงมีพระรูปโฉมไม่งดงาม แต่คุณสมบัติอย่างอื่นกษัตริย์ใดในชมพูทวีปหาเทียบได้ไม่ ทรงเป็นมหาราช เป็นนักปราชญ์เรืองปัญญา เป็นราชาที่ มีทรัพย์หาศาล ทรงมีทแกล้วทหารเป็นอันมาก ทรงมีพระราชอาณาจักรกว้างใหญ่ ทรงมีพระทัยรักศิลปะ ทรงมีทักษะด้านการยุทธ์ ทรงมีพระสุรเสียงประดุจราชสีห์ ทรงชำนาญดนตรีการขับร้อง ขอเทวีโปรดทรงไตร่ตรองให้ดีเถิด บุรุษทั่วแผ่นดินยังจักมีผู้ใดมีความสามารถเสมอกับจอมราชัน? เหตุฉะนี้ขอพระองค์โปรดทรงกระทำความรักให้บังเกิดขึ้นกับท้าวเธอเถิด ”

พระนางประภาวดีเมื่อทรงสดับคำสรรเสริญนานัปการของพระสวามีแทนที่จักทรงดีพระทัย ที่ไหนได้กลับยิ่งทรงมีพระโมโหโกรธามากยิ่งขึ้นไปอีก ทรงตะโกนตรัสบริภาษนางค่อมว่า “ เหม่! นางขุชชาค่อม เจ้านี่ช่างอกตัญญูเสียจริง เจ้าคิดจะขู่เรารึ? ” พี่เลี้ยงค่อมพอฟังจึงตอบ “ หามิได้เพคะหม่อมฉันมิได้ขู่ หากแต่กำลังปกป้องพระนางต่างหาก ที่ผ่านมาหม่อมฉันมิได้ทูลองค์เหนือหัวว่าพระเจ้ากุสราชเสด็จมาถึงกรุงสาคละตั้งแต่เมื่อเจ็ดเดือนก่อน ก็เพราะเห็นแก่พระพักตร์พระองค์ อย่างไรเสียเพลานี้จักเข้าไปทูลให้ทรงทราบเลยก็แล้วกัน! ” องค์เทวีพอทรงสดับก็ทรงหวั่นเกรงว่าจักมีผู้อื่นแอบได้ยิน จึงทรงตรัสให้นางรีบหุบปาก สุดท้ายก็ทรงจำพระทัยรับปากนาง แต่มีข้อแม้ว่า ขอให้พระองค์ได้ทรงทำพระทัยสักเจ็ดวันหรือครึ่งเดือนก่อน

กล่าวถึงพระมหาสัตว์ หลังจากนางค่อมสัญญาว่าจะพานางอันเป็นที่รักมาพบ เพียงผ่านไปแค่หนึ่งวันไม่ทรงเห็นนางกลับมารายงาน ก็ทรงรู้สึกกระวนกระวายพระทัยแล้ว ทั้งนี้อาจเป็นเพราะความลำบากที่ต้องทรงงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ อีกทั้งที่หลับที่บรรทมก็มิได้มีความสุขสบาย จึงทรงดำริว่านางค่อมผู้นี้เห็นทีคงจักพึ่งไม่ได้ แม้จักทรงรอคอยต่อก็คงไม่มีโอกาสได้เห็นพระพักตร์ของพระชายาอยู่ดี ดังนั้นจึงทรงคิดจะกลับแคว้นมัลละไปเยี่ยมพระมารดากับพระบิดา เพลานั้นท้าวสักกะผู้ทรงเฝ้าติดตามพฤติการณ์ของพระมหาสัตว์มาโดยตลอด พอทรงเห็นองค์โพธิสัตว์ทรงรู้สึกท้อพระทัย จอมเทพแห่งตาวติงสาจึงทรงดำริ “ ราชากุสราชไม่ได้เห็นหน้าพระธิดาประภาวดีมาเป็นเวลาครึ่งปีจึงเกิดความท้อแท้ เห็นทีเราจักต้องทำให้เธอสมปรารถนาแล้ว ”

เมื่อทรงดำริดังนี้จึงทรงบัญชาให้เทพบริวารปลอมเป็นขบวนราชทูต ๗ ขบวน อ้างเป็นทูตจากกรุงสาคละ เดินทางไปยังแคว้น ๗ แคว้นเพื่อส่งพระราชสาสน์ให้ราชาแต่ละแคว้นทราบว่า บัดนี้พระนางประภาวดีได้ทรงเป็นอิสสระจากพระเจ้ากุสราชแล้ว แลกำลังประทับอยู่ที่กรุงสาคละ หากพระราชาแคว้นใดทรงปรารถนาจักรับนางไปเป็นพระชายาก็จงรีบเสด็จมารับโดยไวเถิด ราชาทั้งเจ็ดพอทรงทราบต่างก็พากันยกทัพมายังกรุงสาคละเพื่อจักมารับองค์เทวีไปเป็นพระชายา

เมื่อทัพทั้ง ๗ ยกมาถึงเขตพระนครชั้นนอก กษัตริย์แต่ละแคว้นถึงทราบว่ามิได้มีแต่พระองค์ผู้เดียวที่ทรงต้องการพระนางประภาวดี แต่ยังมีกษัตริย์อีก ๖ แคว้นก็ทรงมีพระประสงค์เช่นเดียวกัน ดังนั้นแต่ละพระองค์จึงทรงมีพระพิโรธโกรธกริ้วพระเจ้ามัททะขึ้นมาทันใด จึงทรงทำการรวมกลุ่มปรึกษาหารือกันว่าจักจัดการกับพระเจ้า มัททะอย่างไร

“ ราชามัททะนี่ช่างกระไร ตนเองมีลูกสาวอยู่คนเดียวแต่จะยกให้ลูกเขย ๗ คน ท่านทั้งหลายจงดูความประพฤติอันไม่เหมาะสมของพระเจ้ามัททะเถิด สงสัยคงจักเห็นพวกเราเป็นทารกอมมือกระมังจึงแกล้งหยอกล้อเยี่ยงนี้? ข้าพเจ้าเห็นว่าพวกเราจงช่วยกันจับพระเจ้ามัทราชมาลงโทษเถิด! ” ราชาทั้งเจ็ดเมื่อเห็นตรงกัน ดังนั้นแต่ละแคว้นจึงส่งพระราชสาสน์ไปยังแคว้นมัททะให้ส่งพระนางประภาวดีมาให้แคว้นตนโดยด่วน มิฉะนั้นกรุง สาคละจักต้องเรียบเป็นหน้ากลอง

ด้านพระเจ้ามัททราชผู้ทรงไม่รู้อิโหน่อิเหน่ พอทรงสดับพระราชสาสน์ก็ให้ทรงตกพระทัยเป็นอย่างยิ่ง รีบตรัสให้มหาดเล็กไปตามเสนาอำมาตย์ตลอดจนแม่ทัพนายกองมาเข้าเฝ้าเป็นการด่วน บรรดาแม่ทัพอำมาตย์หลังปรึกษากันจึงทูลว่า “ขอเดชะพระอาญามิพ้นเกล้า กษัตริย์ทั้ง ๗ เสด็จมาก็เพราะประสงค์จักได้พระธิดาประภาวดี ไปเป็นพระชายา หากพระองค์มิทรงยกเทวีให้ บรรดาท้าวเธอก็จักทรงยกทัพมาพังกำแพงเมืองเราเสียเป็นแน่ เห็นทีครานี้แคว้นเราคงจักต้องถึงกาลพินาศจนมิอาจกอบกู้ได้ พวกข้าพระบาทเห็นว่าพระองค์ควรส่งพระธิดาประภาวดีให้กษัตริย์เหล่านั้นเสียเถิดพระเจ้าข้า! ”

ราชามัททะครั้นทรงสดับ พระทัยหนึ่งก็ทรงรู้สึกสงสารบุตรสาวเสียยิ่งนัก แต่อีกพระทัยก็ให้ทรงนึกโกรธที่นางทิ้งราชากุสราชมา ทรงคิดทบทวนไปมา “ หากเรายกลูกสาวให้กษัตริย์แคว้นใดแคว้นหนึ่ง กษัตริย์ที่เหลือก็คงยกทัพมาตีเมืองเราเช่นกัน แต่หากไม่ยกให้แคว้นใด กรุงสาคละก็หนีไม่พ้นจักต้องพินาศอยู่ดี เฮ้อ! ช่างเป็นเรื่องที่ยากไขเสียจริง! ทั้งนี้ก็เพราะนังลูกไม่รักดีกลับทิ้งพระราชาผู้เลิศในชมพูทวีปมาได้ด้วยรังเกียจว่ารูปไม่งาม บัดนี้เมื่อกรรมตามมาถึง เห็นทีต้องปล่อยให้นางรับผลแห่งการกระทำของตนไปแต่เพียงลำพังก็แล้วกัน! ”

พอทรงดำริดังนี้สมเด็จพระราชาธิบดีผู้ทรงเห็นความสำคัญของบ้านเมืองเหนือสิ่งอื่นใด จึงจำตัดพระทัยทรงประกาศบรมราชโองการต่อที่ประชุมเหล่าเสนาว่า “ ดูก่อนท่านทั้งหลาย ความสงบสุขของบ้านเมืองแลอาณาประชาราษฎร์จักต้องมาก่อน ก็ในเมื่อพระธิดาประภาวดีคือต้นเหตุแห่งปัญหา ฉะนั้นเพื่อมิให้เหล่าพสกนิกรตลอดจนไพร่พลต้องมาล้มตาย เราจักสั่งประหารนางพร้อมกับตัดร่างนางออกเป็น ๗ ท่อนส่งให้กับกษัตริย์ทั้งเจ็ด! ”

พอจบพระบรมราชโองการทั่วทั้งท้องพระโรงอันกว้างใหญ่ก็พลันเงียบกริบลงไปราวกับไร้ซึ่งผู้คน บรรดาเสนาอำมาตย์ตลอดจนแม่ทัพนายกองต่างก็หันมามองหน้ากันให้เลิ่กลั่ก ไม่มีผู้ใดกล้าเสนอความเห็นคัดค้าน นางกำนัลผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่ด้านนอกพอได้ยินพระบรมราชโองการให้ประหารพระธิดาประภาวดีก็ถึงกับตกใจ รีบวิ่งมาทูลให้องค์เทวีได้ทรงรับทราบทันที ลำดับนั้นโฉมงามผู้มีผิวพรรณดั่งทองคำ ทรงผ้าโกไสยพัสตร์ พอทรงสดับคำนางกำนัลก็ถึงกับสีพระพักตร์ซีดเผือด พระเนตรทั้งสองเอ่อล้นไปด้วยพระอัสสุชล รีบเสด็จไปยังตำหนักพระมารดาทันใด พอถึงก็ทรงฟูมฟายต่อพระพักตร์ “ ข้าแต่พระมารดา ขอโปรดทรงจดจำดวงหน้าอันงดงาม ดวงเนตรที่สุกสกาว แลผิวพรรณที่ขาวผ่องของลูกไว้เถิด เพราะอีกไม่กี่เพลามันจักไม่ปรากฏให้ทรงได้เห็นอีกแล้ว พระบิดาจักทรงให้เพชฌฆาตประหารลูกแล้วตัดร่างของลูกออกเป็นเจ็ดท่อนส่งให้กับกษัตริย์เจ็ดแคว้น กษัตริย์เหล่านั้นเมื่อทรงได้รับเนื้อหนังมังสาของลูกก็คงจักโยนมันทิ้งเสียในป่า ให้แร้งกาจิกกินกันเป็นที่สนุก ฝ่ามือที่อ่อนละมุนแลเล็บที่แดงชมพูนี้ พวกเขาก็คงจักตัดทิ้งแล้วโยนให้ฝูงสุนัขจิ้งจอกกัดแทะกันอย่างเอร็ดอร่อย

ข้าแต่พระมารดา หากกษัตริย์เหล่านั้นให้เดรัจฉานกัดกินเนื้อหนังของลูกจนหมดสิ้นแล้ว ขอพระองค์โปรดทรงขอเอากระดูกของลูกจากพวกเขามามาเผาด้วยเถิด แลขอโปรดทรงปลูกสวนกรรณิการ์ไว้ในสถานที่ที่เผาศพลูกด้วย ยามใดที่ดอกกรรณิการ์เบ่งบาน ปุยหิมะเริ่มโปรยปราย กาลนั้นขอพระมารดาโปรดทรงหวนรำลึกว่าครั้งหนึ่งพระองค์ทรงเคยมีบุตรสาวที่มีผิวพรรณเยี่ยงนี้ผู้หนึ่ง! ” โฉมงามแห่งแคว้น มัททะครั้นทรงถูกมรณภัยเข้าคุกคาม ก็ทรงหลั่งพระอัสสุชลพร่ำเพ้อรำพันดังราวกับคนบ้าใบ้ไร้สติ!

กล่าวถึงพระเจ้ามัททะเมื่อทรงตัดสินพระทัยประหารบุตรสาวแล้วก็มิอาจที่จักทรงแก้ไขกลับคืนได้ จึงทรงรับสั่งให้ทหารไปลั่นระฆัง แจ้งให้ข้าราชบริพารทั้งหมดมารวมกันยังลานหน้าพระบรมมหาราชวัง พร้อมกันนั้นก็ทรงบัญชาให้ทหารผู้หนึ่งไปตามตัวนายเพชฌฆาตมาเข้าเฝ้า ลำดับนั้นพระมเหสีแคว้นมัททะพอทรงได้รับรายงานว่าพระเจ้ามัททะมีรับสั่งให้นายเพชฌฆาตเข้าเฝ้า จึงรีบเสด็จไปยังท้องพระโรงทันที พอถึงก็ตรัสถามจอมราชา “ ข้าแต่มหาราช พระองค์จักทรงประหารธิดาหม่อมฉันแล้วบั่นเป็นท่อนส่งให้กษัตริย์ทั้งเจ็ดจริงหรือเพคะ! ”

ราชามัททะเมื่อทรงสดับก็ทรงพยายามข่มกลั้นพระอัสสุชลมิให้หลั่งไหล ทรงแสร้งตอบพระชายาไปด้วยพระสุรเสียงที่แข็งกร้าว “ ดูก่อนพระชายา ก็ธิดาท่านไยมาทิ้งพระราชาผู้เลิศในชมพูทวีปไปด้วยรังเกียจว่ารูปไม่งามเล่า? ที่ผ่านมาท้าวเธอไม่ทรงติดพระทัยเอาความก็ถือว่าเป็นบุญของแคว้นเราแล้ว มาบัดนี้เมื่อความพินาศกำลังจักกล้ำกลายบ้านเมือง นอกจากหนทางตายแล้วไม่มีวิธีอื่น! พระธิดาประภาวดีจักต้องรับผลแห่งความทะนงในรูปโฉมของตนด้วยความตายสถานเดียว! ”

จอมเทวีพอทรงสดับพระดำรัสแบบตัดเยื่อตัดใยของพระสวามีก็เหมือนหนึ่งว่าดวงพระทัยจักขาดเสียให้ได้ ค่อยๆเสด็จกลับตำหนักดังราวกับคนไร้ซึ่งวิญญาณ เมื่อทรงมาถึงครั้นทรงเห็นดวงเนตรของธิดาอันเป็นที่รักเปี่ยมไปด้วยพระอัสสุชล ก็ทรงหลั่งน้ำพระเนตรตามไปด้วย จนผ่านไปพักใหญ่จึงทรงมีพระดำรัสตรัสปลอบบุตรสาว “ ลูกเอ๋ย! บิดาเจ้าไม่อาจทำตามคำขอของแม่ได้ เห็นทีวันนี้เจ้าคงไม่แคล้วต้องไปสู่สำนักแห่งพระยายมเสียเป็นแน่ บุตรคนใดไม่เชื่อฟังบิดามารดาผู้เห็นประโยชน์แห่งลูกหลาน บุตรคนนั้นย่อมรับผลที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันเยี่ยงนี้แล ที่ผ่านมาหากเจ้าไม่ทิ้งราชากุสราชกลับแคว้นเรา วันนี้ก็คงไม่มีเรื่องเยี่ยงนี้แน่!

ประภาวดีเอ๋ย! เสียงกลองชัยที่ดังตึงๆ เสียงช้างศึกที่แผดกึกก้อง เจ้าเห็นตระกูลไหนยิ่งใหญ่กว่าตระกูลพระสวามีเจ้า? เหตุไฉนเจ้าจึงจากมา? ประภาวดีเอ๋ย!เสียงนกยูงที่กู่ขับขาน เสียงกุมารร้องรำทำเพลง เจ้าเห็นตระกูลไหนจักมีความสุขยิ่งกว่าตระกูลพระสวามีเจ้า? เหตุไฉนเจ้าจึงจากมา? ถ้าวันนี้พระเจ้ากุสราชผู้เป็นจอมกษัตริย์ประทับอยู่ที่นี่ มีหรือกษัตริย์ทั้งเจ็ดจักกล้ามาแสดงกิริยาที่กำแหงหาญเยี่ยงนี้ คงจะถูกจอมราชันขับไล่เสียจนแตกกระเจิงเสียเป็นแน่ แต่เจ้ากลับทำลายเกราะคุ้มภัยของเจ้าเอง แล้วอย่างนี้จักโทษใคร? ”

พระนางประภาวดีครั้นทรงสดับคำพระมารดาที่ว่าหากวันนี้พระเจ้ากุสราชประทับอยู่ที่นี่ ก็เหมือนดั่งว่าคนที่ติดอยู่ในถ้ำแล้วจู่ๆก็เห็นแสงสว่างส่องเข้ามาจากปากถ้ำ ทรงอุทานขึ้นในพระทัย “ ก็พระเจ้ากุสราชผู้ทรงพระปรีชาสามารถเพลานี้พระองค์ก็ทรงอยู่ในพระราชวังของเรามิใช่หรือ เช้าที่ผ่านมายังทรงทำพระกายาหารมาส่งให้เราเลย จำเราจักบอกความจริงให้พระมารดาทราบเสียเถิด ” เมื่อทรงดำริดังนี้โฉมงามแห่งแคว้นมัททะจึงตรัสกับจอมเทวี “ ข้าแต่พระมารดา ก็พระเจ้ากุสราชผู้ทรงมีพระปรีชาสามารถอันเลิศล้ำ เพลานี้พระองค์ก็ทรงอยู่ในพระราชวังของเราแล้วนี่เพคะ! ไฉนยังต้องถามหาพระองค์อีก? ”

มหาเทวีแคว้นมัททะครั้นทรงสดับก็ให้ทรงรู้สึกสงสารบุตรสาวเป็นอย่างยิ่ง ทรงคิดว่าลูกตนคงจักกลัวตายเสียจนสติเลอะเลือน ดังนั้นจึงตรัสปลอบ “ โถ! ลูกแม่ เจ้าคงจักกลัวตายเสียจนสติเลอะเลือนแล้วกระมัง หากพระเจ้ากุสราชประทับอยู่ที่นี่จริงมีหรือแม่จะไม่รู้? อย่าว่าแต่อยู่ในวังเลย เพียงพระองค์เสด็จมาถึงกึ่งทางก็จะต้องส่งพระราชสาส์นมายังแคว้นเราแล้ว แลยิ่งหากทรงรู้ว่าแคว้นเรากำลังมีเรื่องคอขาดบาดตาย มีหรือพระองค์จักไม่ทรงปรากฏกายออกมาช่วยเหลือ แต่พระเจ้ากุสราชที่เจ้าเพ้อคงจักกลัวตายเสียล่ะกระมัง ถึงจึงไม่เห็นแม้เงา! ”

พระธิดาประภาวดีเมื่อทรงเห็นพระมารดาไม่ทรงเชื่อจึงตรัส “ หากพระมารดาทรงไม่เชื่อ อย่างนั้นขอเชิญเสด็จไปที่ช่องพระแกลแล้วทรงทอดพระเนตรไปที่โรงเครื่องต้นเถิดเพคะ พนักงานที่ทรงพระภูษาหยักรั้งแลกำลังทรงก้มพระองค์ล้างถ้วยชามอยู่ นั่นก็คือราชากุสราช! แหละพระองค์ก็ประทับอยู่ที่วังเรามานานถึงเจ็ดเดือนแล้วเพคะ! ” ลำดับนั้นมเหสีแคว้นมัททะพอทรงสดับคำพูดบุตรสาวก็ทรงจ้องไปที่ใบหน้านางเสมือนหนึ่งจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ขณะเดียวกันก็ทรงค่อยๆย่างพระบาทไปยังช่องพระแกลทอดพระเนตรไปตามที่นางบอก ทันใดก็ทรงเห็นพระมหาสัตว์ในฉลองพระองค์ที่เก่าซอมซ่อ ดูแล้วไม่ต่างจากพวกทาสกรรมกร กำลังทรงก้มพระองค์ล้างถ้วยชามอยู่ พอทรงเห็นเช่นนั้นความสงสารบุตรสาวคราใกล้ประหารเมื่อครู่ ก็ถึงกับปลาตไปสิ้น เปลี่ยนเป็นทรงมีพระโมโหโกรธาขึ้นมาแทน ทรงเผลอพระองค์ตรัสบริภาษบุตรสาวไปด้วยพระสุรเสียงอันดัง

“ เหม่! ประภาวดี! เหตุไฉนเจ้าจึงเป็นหญิงจัณฑาลประทุษร้ายต่อตระกูลถึงเพียงนี้ เจ้าเป็นถึงพระธิดาองค์โตของพระเจ้ามัททราช เหตุใดจึงพูดจาเปรียบเปรยพระสวามีด้วยชนชั้นต่ำเยี่ยงทาสกรรมกรได้? ” บุตรสาวเมื่อถูกตำหนิจึงกล่าว “ หม่อมฉันหาได้เป็นหญิงจัณฑาล แลหาได้ประทุษร้ายต่อตระกูลเหมือนดั่งคำพระมารดาไม่ ที่ทรงเห็นนั้นคือราชากุสราชพระโอรสของพระเจ้าโอกกากราชจริงๆเพคะ! พระ ราชาองค์ใดสามารถเชิญให้พราหมณ์สองหมื่นคนมาบริโภคอาหารในเวลาใดก็ได้ พระราชาองค์นั้นก็คือพระเจ้ากุสราช! พระราชาองค์ใดสามารถสั่งให้เตรียมช้างศึกสองหมื่นเชือก รถศึกสองหมื่นคันในเวลาใดก็ได้ พระราชาองค์นั้นก็คือพระเจ้ากุสราช! หากแต่พระมารดาทรงเข้าพระทัยผิดเองว่าท้าวเธอทรงเป็นทาสกรรมกร ขอถวายพระพร! ”

มเหสีแคว้นมัททะเมื่อทรงสดับคำพรรณนาพระอิสริยยศของพระมหาสัตว์จากปากลูกสาว ด้วยอาการที่หนักแน่น ไม่สะทกสะท้าน ก็ทรงดำริขึ้น “ ฤาลูกเราจักพูดจริง เพราะดูจากท่าทางที่นางกล่าวเหมือนมิได้โกหก อย่างไรเสียเราควรไปทูลให้องค์เหนือหัวได้ทรงรับทราบไว้ก่อนท่าจักดี! ” เมื่อทรงดำริดังนี้จึงเสด็จไปยังท้องพระโรงอีกครั้ง ขณะนั้นราชามัททะกำลังทรงย่างพระบาทวนไปเวียนมาครุ่นคิดถึงการที่ทรงตัดสินพระทัยไป ไม่ทราบว่าทรงทำถูกหรือผิด ครั้นทรงเหลือบมาเห็นพระชายาเสด็จกลับมาอีกด้วยความที่ยังทรงมีพระอารมณ์ขุ่นมัว จึงตรัสไปด้วยพระสุรเสียงที่กราดเกรี้ยว

“ ดูก่อนพระชายา! หากเจ้าจักมาพูดให้เราเปลี่ยนใจล่ะก็ ขอจงกลับตำหนักของเจ้าไปซะ! เราขอย้ำสิ่งที่เราพูดไปแล้วไม่มีวันเปลี่ยนแปลง! ” องค์เทวีเมื่อทรงสดับคำขับไล่ของพระสวามีก็หาได้ทรงโกรธไม่ ทรงย่างพระบาทเข้าไปใกล้พร้อมกับตรัสให้จอมราชาโปรดทรงเย็นพระทัยก่อน จากนั้นจึงทรงเล่าเรื่องที่บุตรสาวบอกว่าเวลานี้พระเจ้ากุสราชประทับอยู่ในพระราชวังกรุงสาคละให้กับพระเจ้ามัททะได้ทรงทราบ จอมราชาพอทรงสดับก็ให้ทรงรู้สึกตื่นเต้นพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงรู้ว่าเรื่องนี้หากเป็นจริงปัญหาที่หนักอกอยู่ในเวลานี้ก็พอจักมีหนทางแก้แล้ว แต่อย่างไรก็ยังมิทรงยอมเชื่อเสียทีเดียว จึงรีบเสด็จมายังตำหนักพระมเหสีพร้อมองค์เทวีทันที

เมื่อเสด็จมาถึงก็ทรงเห็นบุตรสาวยังนั่งร้องไห้อยู่ จึงตรัสถามนาง “ ดูก่อนประภาวดี สิ่งที่แม่เจ้าพูดมาเป็นความจริงหรือไม่? ” โฉมงามซึ่งขณะนี้ใบหน้านองไปด้วยน้ำตา พอทรงสดับคำพระบิดาจึงตรัส “ เป็นจริงเพคะ! ” ราชามัททะพอทรงได้ยินดังนั้นก็ทรงรู้สึกลิงโลดพระทัยทันที แต่อย่างไรเพื่อความแน่ใจจึงทรงหันไปถามนางค่อมที่หมอบอยู่ข้างๆอีกว่าเป็นจริงหรือไม่ นางขุชชาไม่รอให้องค์เหนือหัวตรัสจบ รีบทูลสวนไปทันทีว่าเป็นจริงเหมือนที่พระธิดาตรัสทุกประการ พอได้รับการยืนยันจากพระพี่เลี้ยงพระเจ้ามัททราชก็ทรงรู้สึกเหมือนดั่งได้ยกภูเขาออกจากพระอุระ ทรงรู้สึกปลอดโปร่งพระทัยเป็นอย่างยิ่ง แต่พอทรงหวนนึกถึงการกระทำของบุตรสาวที่ปิดเรื่องพระเจ้ากุสราชประทับอยู่ในวังมาเป็นเวลานานถึงเจ็ดแล้ว โดยไม่บอกให้พระองค์ทรงทราบ ก็ทรงกลับมามีพระพิโรธอีก จึงทรงตวาดบุตรสาวด้วยพระสุรเสียงอันดังว่า

“ เหม่! นางลูกไม่รักดี ไฉนเจ้าจึงไม่รู้จักดีชั่วเอาเสียเลย ราชากุสราชผู้เป็นพระสวามีเจ้ามีทแกล้วทหารกล้ามากมายเหลือคณานับ มีช้างศึกม้าศึกมากกว่ากองทัพใด ทรงมาพำนักอยู่ที่วังเรานานถึงครึ่งค่อนปีแต่เจ้ากลับเพิ่งมาบอก เจ้าทำเยี่ยงนี้ได้อย่างไร? ความผิดครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เดี๋ยวรอให้พ่อเข้าเฝ้าพระองค์ก่อนแล้วจะกลับมาคิดบัญชีกับเจ้า! ” หลังทรงติเตียนบุตรสาวแล้วสมเด็จพระราชาธิบดีก็เสด็จไปยังสำนักของพระมหาสัตว์

เมื่อทรงไปถึงก็ทรงมีพระปฏิสันถารกับราชันพลัดถิ่นถึงความผิดบุตรสาวที่มิได้แจ้งให้พระองค์ทรงทราบว่าจอมกษัตริย์แห่งแคว้นมัลละได้เสด็จมาถึงแคว้นพระองค์ตั้งแต่เมื่อเจ็ดเดือนที่แล้ว ซ้ำยังทรงปลอมพระองค์เป็นพนักงานเครื่องต้นอีก ดังนั้นเพื่อเป็นการแสดงถึงการขอขมาอย่างจริงพระทัย ราชามัททะจึงทรงคุกเข่าก้มลงกราบพระเจ้ากุสราชผู้เป็นพระชามาดา(ลูกเขย) แทนบุตรสาว

พระมหาสัตว์พอทรงเห็นพระสัสสุระ (พ่อตา) ทรงก้มลงกราบพระองค์ ก็ทรงรีบเข้าไปประคองให้ทรงลุกขึ้นทันที จากนั้นจึงตรัส “ หม่อมฉันมิได้ปกปิดการมาของหม่อมฉันต่อพระองค์เลยพระเจ้าข้า แลพระองค์ก็มิได้ทรงมีความผิดใดที่หม่อมฉันจักต้องงดโทษให้ ” พระเจ้ามัททะพอทรงสดับคำพระชามาดาก็ให้ทรงดีพระทัย จึงเสด็จกลับมาตรัสสั่งให้ธิดาผู้ก่อปัญหาไปกราบขอขมาโทษพระมหาสัตว์เป็นการด่วน “ ดูก่อนนางลูกไม่รักดี! เจ้าจงรีบไปขอขมาโทษต่อพระเจ้ากุสราชบัดเดี๋ยวนี้! ดูซิพระองค์ยังจักทรงประทานชีวิตให้กับเจ้าอีกหรือไม่! ”

พระนางประภาวดีครั้นทรงได้รับพระบัญชาจากราชามัททะจึงเสด็จไปยังโรงเครื่องต้นพร้อมด้วยพระภคินีทั้งเจ็ดแลเหล่านางบริจาริกาอีกจำนวนหนึ่ง ฝ่ายพระมหาสัตว์พอทรงเห็นนางอันเป็นที่รักกำลังเสด็จมาจึงทรงดำริ “ วันนี้เราจักต้องทำลายทิฐิการทะนงตนของแม่ประภาวดีให้จงได้ คอยดูเถอะ! ” ดังนั้นก่อนที่องค์เทวีจะเสด็จมาถึงโรงเครื่องต้นจอมราชาจึงทรงใช้พระหัตถ์ข้างหนึ่งจับปากโอ่งน้ำขนาดสองคนโอบ แลมีน้ำอยู่เต็ม ยกขึ้นเสมอพระอุระ จากนั้นก็ทรงใช้พระหัตถ์อีกข้างช้อนก้นโอ่ง เทน้ำในโอ่งทั้งหมดลงบนดินรอบๆที่ประทับ ยังผลให้พื้นดินรอบๆบริเวณนั้นเกิดเป็นบ่อโคลนน้อยๆขึ้นมา พอพระชายาผู้มีผิวพรรณดั่งทองคำเสด็จมาถึงจอมราชันก็ทรงคอยชำเลืองดูว่านางจักทรงแสดงกิริยาเยี่ยงไรเมื่อเห็นพื้นเฉอะแฉะ แต่แทนที่จักทรงเห็นท่าทีที่ขยักแขยงของนาง ที่ไหนได้องค์เทวีกลับทรงทรุดพระวรกายก้มลงกราบจอมราชันบนพื้นที่เฉอะ แฉะราวกับว่าทรงถวายบังคมอยู่บนพรม มิได้ทรงสนพระทัยเลยว่าฉลองพระองค์จักทรงเปรอะเปื้อนหรือไม่ ทรงซบพระเศียรกอดพระยุคลบาทของพระมหาสัตว์พร้อมกับตรัส

“ ข้าแต่จอมไท้ผู้เปี่ยมเมตตา เจ็ดเดือนที่ผ่านมาหม่อมฉันมิเคยได้ถวายการรับใช้พระองค์เลยแม้แต่เพียงครั้งเดียว! หม่อมฉันรู้สึกสำนึกผิดถึงการกระทำของตนเสียยิ่งนัก หม่อมฉันขอสัญญาว่านับแต่นี้ไปไม่ว่าพระ องค์จักทรงให้หม่อมฉันทำอะไร หม่อมฉันก็จักปฏิบัติตามทุกประการ หม่อมฉันจะไม่แสดงท่าทีรังเกียจให้พระองค์ทรงได้เห็นอีกแม้แต่น้อย ขอพระองค์โปรดอย่าทรงมีพระพิโรธต่อหม่อมฉันเลย หากพระองค์ไม่ทรงอภัย เห็นทีพระบิดาคงจักให้เพชฌฆาตประหารหม่อมฉันแล้วตัดร่างหม่อมฉันออกเป็น ๗ ท่อนส่งให้กับกษัตริย์ทั้งเจ็ดเป็นแน่! ”

พระมหาสัตว์ครั้นทรงสดับคำขออภัยจากโฉมงามอันเป็นที่รักก็ทรงดำริ “ ครั้งนี้หากเราไม่ให้อภัยนาง เห็นทีนางต้องหัวใจแตกสลายเป็นแน่ อย่ากระนั้นเลย จำเราจักปลอบนางให้คลายกังวลเถิด ” เมื่อทรงดำริดังนี้จอมราชันแห่งแคว้นมัลละจึงตรัส “ ดูก่อนน้องประภาวดี เมื่อน้องยอมลดศักดิ์ศรีมาขอขมาพี่ มีหรือพี่จักไม่ให้อภัย พี่ไม่เคยโกรธเจ้าผู้มีผิวประดุจรัศมีแขเลย โปรดอย่ากังวล พี่ขอสัญญานับแต่นี้ไปพี่จักไม่แกล้งเจ้าอีก ที่ผ่านมาถ้าพี่โกรธเจ้าจริง ด้วยความสามารถของพี่มีหรือบ้านเมืองเจ้าจักดำรงคงอยู่มาได้ถึงป่านนี้ แต่เพราะพี่รักเจ้าต่างหาก ถึงสู้ยอมทนลำบากมาเป็นพนักงานเครื่องต้นคอยปรุงอาหารให้เจ้าเสวย เจ้าคงจักเห็นถึงความจริงใจที่พี่มีต่อเจ้าแล้วนะ เอาล่ะ! บัดนี้เมื่อพี่ยังอยู่ทั้งคน กษัตริย์ใดยังจักกล้ามาแย่งเอาพระมเหสีของพี่ไปอีกก็ลองดู ถ้ามันไม่กลัวว่าหัวจักหลุดจากบ่า! ”

ตรัสจบราชากุสราชก็ทรงก้มพระองค์ลงประครองพระชายาให้ทรงลุกขึ้นพร้อมกับบอกให้นางไปคอยอยู่บนตำหนักก่อน จากนั้นจอมราชันก็เสด็จออกจากโรงเครื่องต้นไปยังพระลานหลวง เมื่อทรงไปถึงก็ทรงประกาศบันลือสีหนาทเปล่งพระสุรเสียงกู่ก้องจนสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งพระนคร ยังผลให้ชาวบ้านร้านถิ่นตลอดจนเหล่าข้าราชบริพารต่างพากันตระหนกตกใจ รีบเปิดหน้าต่างประตูออกมาดูกันให้พรึบพรับ

จากนั้นจอมราชันก็ทรงตบพระหัตถ์ติดๆกันพร้อมกับทรงเปล่งพระสุรเสียงประกาศก้อง “ ดูก่อนชาวสาคละนครทั้งหลาย เราราชากุสราชพระชามาดาแห่งแคว้นมัททะ บัดนี้เราจักจับเป็นกษัตริย์ทั้งเจ็ดให้ท่านทั้งหลายได้ประจักษ์เต็มสองตา! ขอพวกท่านจงคอยดูเถิด ” หลังจากทรงประกาศศักดาอย่างเป็นที่เอิกเกริกจอมกษัตริย์แห่งแคว้นมัลละก็เสด็จไปเข้าเฝ้าพระเจ้ามัททะเพื่อทรงขอยืมไพร่พล อาวุธยุทโธปกรณ์ ตลอดจนช้างศึกม้าศึกต่อท่านพ่อตา พร้อมกับตรัสให้พระสัสสุระโปรดทรงไปสรงสนานแลพักผ่อนคลายพระอิริยาบถให้เป็นที่สำราญเถิด เรื่องการศึกไว้เป็นหน้าที่ของพระองค์เอง ราชามัททะพอทรงสดับคำพระชามาดาก็ให้ทรงเบิกบานพระทัยเป็นยิ่งนัก ทรงหันไปตรัสกับเหล่าอำมาตย์ให้ช่วยทำการอุปัฏฐากจอมราชันแทนพระองค์ด้วย จากนั้นก็เสด็จขึ้นปราสาท

บรรดาอำมาตย์พอรับพระบัญชาก็สั่งให้ทหารกั้นพระวิสูตรล้อมโรงเครื่องต้นทันที จากนั้นก็ให้ช่างกัลบกเข้าไปตัดพระเกศาแลปลงพระมัสสุ (หนวด) ของพระมหาสัตว์ พอตัดผมโกนหนวดเสร็จ ก็อัญเชิญพระเจ้ากุสราชให้ทรงไปสรงสนานชำระพระวรกาย หลังจากทรงสรงน้ำเสร็จเจ้าพนักงานก็ได้นำเครื่องทรงแลเครื่องประดับสำหรับกษัตริย์มาแต่งให้กับจอมราชัน จากนั้นจึงอัญเชิญพระมหาสัตว์ให้เสด็จขึ้นสู่สีหบัญชรเพื่อทรงทอด
พระเนตรกองทัพข้าศึกที่ล้อมเมือง จอมกษัตริย์เมื่อทรงขึ้นยืนอยู่หน้าสีหบัญชรก็ทรงกวาดสายพระเนตรไปรอบๆ พร้อมกับทรงแย้มพระโอษฐ์น้อยๆ จากนั้นจึงทรงปรบพระหัตถ์ติดกันเสียงดังฉานๆๆพร้อมกับทรงเปล่งพระสุรเสียงประกาศก้องสนั่น “ ดูก่อนท่านทั้งหลาย ขอพวกท่านจงคอยดูเราจัดการกับพวกข้าศึกเหล่านี้เถิด ”

เหล่านางสนมนางกำนัลตลอดจนพระภคินีของพระนางประภาวดี พอทราบว่าพระเจ้ากุสราชเสด็จขึ้นยัง
สีหบัญชรต่างก็พากันเปิดหน้าต่างออกมาดูพระกิริยาท่าทางของพระองค์กันอย่างตื่นตาตื่นใจ เพลานั้นมหาดเล็กผู้หนึ่งได้เข้ามารายงานว่า บัดนี้พระเจ้ามัททะได้ทรงจัดเตรียมช้างศึกม้าศึกพร้อมไพร่พลให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอพระองค์โปรดทรงบัญชามาเถิดว่าจักให้ออกศึกเมื่อใด จอมราชันเมื่อทรงสดับจึงเสด็จลงจากสีหบัญชร
ขึ้นประทับบนคอช้างใต้เศวตฉัตรที่ประดับด้วยอัญมณีหลากสีสันอย่างวิจิตรตระการตา แต่ก่อนที่จักทรงไสช้างออกประตูเมืองพระองค์ได้ตรัสให้ทหารไปทูลอัญเชิญพระนางประภาวดีให้เสด็จมาพบ

พอโฉมงามแห่งแคว้นมัททะเสด็จมาถึงพระองค์ก็ทรงอุ้มนางขึ้นประทับบนอาสน์ ณ เบื้องพระปฤษฎางค์ (ด้านหลัง) อันมีจตุรงคินีเสนา (กองทัพที่ประกอบด้วยกำลังพล ๔ เหล่า คือเหล่าช้าง เหล่าม้า เหล่ารถ และเหล่าราบ) แวดล้อมเป็นกระบวนทัพ จากนั้นจึงทรงรับสั่งให้เคลื่อนพลออกทางประตูเมืองด้านทิศปราจีน

ทัพพระมหาสัตว์พอเคลื่อนพลพ้นกำแพงเมือง จอมกษัตริย์ได้ตรัสให้หยุดทัพอยู่ที่หน้ากำแพงก่อน จากนั้นพระ องค์ก็ทรงไส้ช้างออกไปยืนอยู่หน้าไพร่พลแต่เพียงผู้เดียว ทรงกวาดพระเนตรไปมาดูทัพข้าศึกที่ตั้งประจันหน้า แล้วจู่ๆโดยที่ไม่มีใครคาดคิด จอมราชันก็ทรงเปล่งพระสุรสีหนาทออกไปจนกึกก้องสะท้านสะเทือนไปทั่วอาณาบริเวณแถบนั้น ยังผลให้ไพร่พลทัพข้าศึกถึงกับแก้วหูอื้อกันไปตามๆกัน “ ดูก่อนเจ้าผู้มีใจบังอาจทั้งหลาย เราราชากุสราชราชบุตรแห่งพระเจ้าโอกกากราช ใครที่ยังรักตัวกลัวตายก็จงยอมสยบให้เราเสียบัดนี้ มิฉะนั้นพวกเจ้าทุกคนจักต้องกลายเป็นผีหัวขาด! ”

กษัตริย์ทั้ง ๗ พอทรงสดับพระสุรสีหนาทที่ทรงบันลือประดุจราชสีห์คำราม แลทรงทอดพระเนตรเห็นพระรูปกายอันสูงใหญ่กำยำเกินกว่าบุรุษทั่วไปถึงเกือบเท่าตัว ต่างก็ถูกความกลัวเข้าครอบงำจนถึงกับพระหัตถ์อ่อน แม้แต่อาวุธที่ทรงถืออยู่ก็ยังมิอาจจักกำไว้ได้ ต้องปล่อยให้ร่วงหล่นพื้นดังเกรียวกราว ต่างองค์ต่างไม่ยอมแม้แต่จักพูดให้เสียเวลา พอทรงไสช้างหันหลังกลับได้ ก็หนีเอาตัวรอดกันไปคนละทิศคนละทาง ปล่อยให้ไพร่พลแตกตื่นขวัญเสีย พากันทิ้งอาวุธหนีตามผู้เป็นนายไป ดังราวกับฝูงมฤคได้ยินเสียงคำรามของพญาราชสีห์ยังไงก็ยังงั้น! เกิดเป็นความโกลาหลจนกองทัพต้องระส่ำระสายไม่เป็นรูปขบวน เพลานั้นท้าวสักกะผู้ทรงเฝ้าติดตามพระมหาสัตว์มาโดยตลอด เมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นราชากุสราชทรงมีชัยเหนือกษัตริย์ทั้งเจ็ดได้อย่างมิต้องเสียเลือดเสียเนื้อ ก็ให้ทรงชื่นชมในความสามารถของพระมหาสัตว์เป็นอย่างยิ่ง จึงเสด็จลงจากดาวดึงส์ภพมาลอยพระองค์ปรากฏยังเบื้องพระพักตร์ของจอมราชัน พร้อมกันนั้นก็ทรงมอบลูกแก้ววิเศษชื่อ “ เวโรจนะ ” ให้กับพระมหาสัตว์เป็นรางวัล

จอมกษัตริย์เมื่อทรงเห็นราชาแห่งเทพเสด็จลงจากฟากฟ้ามาร่วมแสดงความยินดีกับพระองค์ ก็ให้ทรงปลาบปลื้มพระทัยเป็นอย่างยิ่ง พอจอมเทพทรงมอบแก้ววิเศษให้จึงทรงรีบยื่นพระหัตถ์ออกไปรับลูกแก้วไว้ แหละทันทีที่พระหัตถ์ของพระมหาสัตว์สัมผัสกับลูกแก้ว บัดนั้นพระพักตร์ที่ดูขี้ริ้วไม่งดงาม ฉับพลันก็เปลี่ยนเป็นผ่องใสเรืองรองราวกับเทพบุตรจำแลงมายังไงก็ยังงั้น! ยังผลให้เหล่าไพร่พลทั้งสองฝ่ายที่เห็นปรากฏการณ์อันแสนอัศจรรย์ต้องตกตะลึงตาค้างกันไปตามๆกัน

หลังจากทรงมีชัยเหนือข้าศึกราชากุสราชก็ทรงนำทัพกลับเข้าเมือง จากนั้นก็ทรงบัญชาให้นายกองผู้หนึ่งนำทหารไปจับตัวกษัตริย์ทั้งเจ็ดมา เมื่อนายกองนำกษัตริย์ทั้งเจ็ดมาถึงพระมหาสัตว์จึงตรัสกับพระสัสสุระว่า “ ข้าแต่มหาราช กษัตริย์ทั้งเจ็ดนี้มีใจเหิมเกริมกล้าบังอาจยกทัพมารุกรานแคว้นพระองค์ บัดนี้พวกเขาได้ตกอยู่ใต้พระราชอำนาจแห่งพระองค์แล้ว ขอพระองค์โปรดทรงวินิจฉัยเถิด ว่าจักทรงลงโทษพวกเขาสถานใด! ”

ราชามัททะพอทรงสดับก็ทรงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตรัส “ ขอเดชะจอมราชัน! พระองค์ทรงเป็นใหญ่เหนือกษัตริย์ใดในชมพูทวีป ขอพระองค์โปรดทรงเป็นผู้ตัดสินเถิด หากพระองค์ประสงค์เช่นไรก็ให้เป็นตามนั้น! ” พระเจ้ามัททะเพื่อจะทรงหลีกเลี่ยงมิให้ผิดพ้องหมองใจกับแคว้นทั้งเจ็ด จึงโยนหน้าที่ตัดสินมาให้พระมหาสัตว์ทรงทำแทน ด้านพระชามาดาก็ทรงรู้เท่าทันความคิดของพระสัสสุระ จึงทรงดำริ“ ประโยชน์อะไรที่เราจะไปฆ่ากษัตริย์เหล่านี้ การยกทัพมาของพวกเขาถือเป็นคุณกับเราเสียอีก เพราะทำให้น้องประภาวดีหันกลับมารักเรา ฉะนั้นการมาของพวกเขาก็จงอย่าได้เปล่าประโยชน์เลย จำเราจักยกพระภคินีทั้ง ๗ ของน้องประภาวดีให้เป็นรางวัลตอบแทนพวกเขาเถิด! ”

เมื่อทรงดำริดังนี้จอมราชันแห่งแคว้นมัลละจึงตรัส “ ดูก่อนท่านทั้งเจ็ด ในเมื่อองค์เหนือหัวมัททราชทรงมอบหมายหน้าที่ให้เราเป็นผู้ตัดสินคดีความพวกท่าน ฉะนั้นขอพวกท่านจงตั้งใจฟังคำตัดสินของเราให้ดี เนื่องจากพระราชาแคว้นมัททะทรงมีพระธิดาที่ทรงรูปโฉมอยู่ถึง ๗ นาง แลแต่ละนางต่างก็ยังไม่ทรงมีคู่หมั่นหมาย ถึงแม้การมาของพวกท่านคราแรกจักถือเป็นโทษ แต่บัดนี้ถือว่าเป็นคุณ เพราะแคว้นมัททะและแคว้นทั้งเจ็ดของพวกท่านจักได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน สมเด็จพระราชาธิบดีมัททราชผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา พระองค์จักทรงยกพระธิดาทั้ง ๗ ให้เป็นพระมเหสีพวกท่าน ไม่ทราบพวกท่านเห็นเป็นเช่นไร? ”

กษัตริย์ทั้งเจ็ดทีแรกต่างก็พากันหมดอาลัยตายอยากคิดว่าพวกตนคงไม่มีโอกาสได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นในเช้าวันพรุ่งนี้แน่แต่พอได้ฟังคำตัดสินของพระมหาสัตว์ก็เหมือนหนึ่งว่ามัจฉาที่ถูกจับขึ้นมาบนบก แล้วจู่ๆก็ถูกจับโยนลงทะเลไปใหม่ มันช่างเหลือเชื่อเสียจริงๆ! ต่างพากันทรุดพระองค์ลงถวายบังคมพระมหาสัตว์เพื่อแสดงถึงความขอบพระทัยอย่างสุดซึ้ง

หลังเรื่องราวจบลงด้วยดี ถัดจากนั้นไม่กี่วันพระมหาสัตว์ก็ทรงขอพระราชอนุญาตราชามัททะพาพระมเหสีประภาวดีเสด็จกลับแคว้นมัลละ ระหว่างทางขณะที่สองพระองค์ประทับอยู่ในราชรถ พระฉวีวรรณและพระรูปโฉมของจอมกษัตริย์ที่ทรงเปลี่ยนไปทำให้องค์ราชันทรงดูสง่างามจนแทบจักกล่าวได้ว่ามิได้ทรงยิ่งหย่อนไปกว่าพระชายาเลย!

ย้อนมาทางแคว้นมัลละ หลังจากพระมเหสีสีลวดีทรงทราบข่าวการเสด็จกลับของราชบุตรพระนางก็ทรงดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทรงรับสั่งให้ทหารไปป่าวประกาศข่าวมงคลนี้ให้ประชาชนทั่วแคว้นรับทราบ พร้อมกันนั้นก็ทรงให้ทุกครัวเรือนตกแต่งบ้านเรือนให้สวยงามเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้กับจอมราชัน จากนั้นจอมเทวีก็ทรงบัญชาให้ทหารกองเกียรติยศนำเครื่องราชบรรณาการตามพระองค์แลพระชยัมบดีออกไปต้อนรับพระมหาสัตว์ยังนอกพระนคร

เมื่อขบวนเสด็จพระเจ้ากุสราชผ่านเข้ากำแพงเมือง พระมหาสัตว์ได้ทรงสั่งให้ขบวนเสด็จทำการประทักษิณพระนครเพื่อเป็นการแสดงการคารวะที่พระองค์ทรงมีให้ต่อพระเสื้อเมืองพระทรงเมือง ระหว่างที่ขบวนเสด็จเคลื่อนผ่านบ้านเรือนประชาชน เหล่าพสกนิกรที่รอรับเสด็จต่างพากันส่งเสียงไชโยโห่ร้องแสดงถึงจงรักภักดีที่พวกเขามีให้ต่อราชาของตน จนสนั่นกึกก้องไปทั่วทั้งพระนคร จอมราชันได้ทรงประกาศให้มีการเฉลิมฉลองแลการละ เล่นมหรสพสมโภชเป็นเวลา ๗ วัน ๗ คืน ในกาลนั้นพระเจ้ากุสราชแลพระนางประภาวดีต่างก็ทรงสมัครสมานรักใคร่สามัคคีกัน ทรงช่วยกันปกครองพระราชอาณาจักรกรุงกุสาวดีให้เจริญรุ่งเรืองสืบมา ตลอดพระชนมายุของทั้ง ๒ พระองค์…

พอพระศาสดาตรัสชาดกเรื่องนี้จบ ภิกษุผู้เบื่อหน่ายในธรรมก็บรรลุโสดาปัตติผลกลายเป็นพระอริยบุคคลชั้นต้นในสายของวันนั้นเอง .

หมายเหตุ :
พระเจ้าโอกกากราชในกาลนั้น ก็คือ พระเจ้าสุทโทธนะ
พระมเหสีสีลวดีในกาลนั้น ก็คือ พระนางศิริมหามายา
พระชยัมบดีราชกุมารในกาลนั้น ก็คือ พระอานนท์
นางค่อมในกาลนั้น ก็คือ นางขุชชุตตราอุบาสิกา
พระนางประภาวดีในกาลนั้น ก็คือ พระนางยโสธรามารดาของพระราหุล
และ
พระเจ้ากุสราชในกาลนั้น ก็คือ พระบรมศาสดา

ที่มาของเรื่อง .. อรรถกถา กุสชาดก ว่าด้วยพระเจ้ากุสราชลุ่มหลงรูปโฉมของนางประภาวดี ..

สืบ ธรรมไทย


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร