วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 05:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 109 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 8  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 09:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43: วันที่ ๒๒: ความต่างระหว่างปีติกับสุข

พอกลับมาตั้งหลักได้ใหม่ฉันก็ยินดีปรีดา ตื่นเช้าด้วยความเป็นสุขสดชื่นเหมือนเดิม ทำใจว่าจะยอมรับศัตรูเก่าเป็นเจ้านาย ทำใจว่าถ้าอยากได้มรรคผลอีกจะกำหนดรู้โดยความเป็นทุกข์อันเกิดจากความอยากชนิดหนึ่ง

ขับรถไปทำงานเช้านั้น ขณะจอดรถรอไฟเขียว ฉันรู้สึกว่ารถโขยกหน่อยๆ พอเหลียวหลังไปก็เห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่ง เดาได้ทันทีว่าหมอนั่นคงวิ่งเอื่อยๆมาแล้วเหม่อ เบรกไม่ทัน เอาล้อเสยกันชนหลังรถฉันเข้าแล้ว

ฉันรีบลงมาดูว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่า เห็นว่ากันชนยุบไปเล็กน้อยเท่านั้น แทบมองไม่เห็น เลยขี้เกียจเรียกประกัน ยิ้มแย้มบอกคนขับมอเตอร์ไซค์ที่ลงมายืนหน้าเจี๋ยมเจี้ยมว่าไม่เป็นไร จะนึกว่าฟาดเคราะห์รับอรุณ

มอเตอร์ไซค์ยินดีนักหนา รีบกระเถิบหนีไปทันทีก่อนที่ฉันจะเปลี่ยนใจ ฉันกลับขึ้นรถอย่างมีปีติเช่นกัน ปรีดาปราโมทย์ที่ใจไม่เอาเรื่องเอาราวกับใคร เมื่อครู่ไม่มีสักวินาทีที่ขุ่นเคือง ไม่มีสักวินาทีที่อยากเรียกเงินทองจากใครเพื่อมาแก้กันชนท้ายบุบเล็กๆน้อยๆ อุทานในใจว่าเรามีหลังคามุงบังไว้ดีแล้วหนอ ฝนตกรั่วรดไม่ได้แล้วหนอ เหมือนเช่นที่พระเถระและพระเถรีในครั้งพุทธกาลมักอุทานกัน เมื่อตระหนักว่าตา หู จมูก ปาก กาย ใจของพวกท่านมีสติคุ้มครองแน่นหนาแล้ว เป็นผู้มีใจอันไม่ชุ่มด้วยกิเลสแล้ว ได้รับความคุ้มกันจากสติดีแล้ว ปลอดภัยแล้วจากความยินดียินร้ายในโลก

แช่มชื่นอยู่ทั้งวันกับความดีใจว่าตัวเองคงมีเมตตาตั้งมั่นแล้ว เมื่อกลับมาเจริญสติใหม่รอบนี้ หลังจากซมเศร้าเสียเวลาเปล่ามากว่าอาทิตย์ ความรู้สึกที่บอกตัวเองนั้นเข้าขั้นเชื่อมั่นเลยทีเดียวว่าต่อไปคงไม่มีความโกรธใดๆมาแผ้วพานจิตใจได้อีก ขนาดศัตรูยังกลายเป็นมิตร ขนาดคนทำรถบุบยังยิ้มร่าบอกว่าไม่เป็นไร อวยพรในใจเสียอีกว่าขอให้เป็นสุขๆ

ตกเย็นนั้น ฉันจอดรถแวะหน้าหมู่บ้านเพราะเกิดอยากกินหมูปิ้งข้าวเหนียวขึ้นมาเฉยๆ ความจริงฉันไม่ได้เป็นลูกค้าประจำของใครเป็นพิเศษ เนื่องจากมีรถเข็นหมูปิ้งหลายเจ้า แต่ละเจ้าก็อร่อยไปคนละแบบ อย่างวันนี้ที่อยากกินขึ้นมาเพราะนึกถึงหมูนุ่มๆชิ้นโตๆของเจ้าหนึ่งซึ่งเคยซื้อมาหนเดียว ก็ตรงรี่เข้าไปที่เจ้านั้นและสั่งเขาหกสิบบาท

เขาจับหมูมาย่างบนเตา โดยมีเมียช่วยหยิบ เพราะที่ปิ้งวางอยู่พร้อมแล้วมีไม่พอจำนวนตามสั่งของฉัน ฉันขี้เกียจรอเลยทิ้งแบงก์ยี่สิบไว้สามใบพอดีจำนวน บอกว่าเดี๋ยวจะมาเอาของ แล้วเดินไปสั่งขนมซึ่งอยู่ถัดไปประมาณ ๑๐ ก้าว ขนมมีวางอยู่แล้ว แค่สั่งแล้วจ่ายสตางค์ก็รับถุงมาได้เลย ใช้เวลาเดินไปเดินกลับแค่สองนาที ซึ่งพอกลับมาก็เห็นหมูย่างเสร็จใส่ถุงรอฉันเรียบร้อย

ฉันคว้าถุงแล้วหันจะเดินตัวปลิว แต่ถูกเรียกไว้ และร้องดังๆว่าฉันยังไม่ได้จ่ายเงิน ทีแรกนึกว่าเขาเข้าใจผิดและยังไม่เห็นแบงก์ที่ฉันวางไว้ ฉันพูดดีๆว่าจ่ายเรียบร้อย เขาก็ปฏิเสธเสียงแข็งว่ายัง และถามว่าจ่ายแล้วอยู่ไหนล่ะ ยายเมียที่ยืนปิ้งหมูอยู่ข้างๆก็พลอยส่งเสียงสนับสนุนว่ายังไม่เห็นมีเลย ยืนหัวโด่เป็นพยานอยู่ตรงนี้

พอฉันก้มมองที่พื้นโต๊ะก็ไม่ปรากฏแบงก์เขียวเสียแล้ว เหลือบขึ้นมองเห็นหน้าเจ้าเล่ห์และยิ้มเกรียมๆของคนขายหมูปิ้งก็เริ่มรู้ว่าอะไรเป็นอะไร วูบหนึ่งคันๆขึ้นมาในอก แต่อีกวูบหนึ่งก็คิดอโหสิ อยากได้เงินก็เอาไป ฉันอโหสิให้

ถูกฉีกหน้ากลางตลาดไม่ค่อยอายนัก ต่างจากสมัยก่อนมาก ฉันคงหน้าม้านและเอาคืน แต่สติของฉันยังตั้งมั่นในเมตตาและอุเบกขา เลยยอมๆเขา หยิบเงินจ่ายเพิ่ม สรุปคือเสีย ๑๒๐ แต่ได้ของ ๖๐ โดนโกงก่อนเข้าบ้านก็สบายใจไปอีกแบบ

พอขึ้นรถ อาการคันๆอกหวนกลับมาอีก ฉันมองไปข้างหน้า มือกุมกุญแจเตรียมบิดสตาร์ท แต่รู้สึกหนืดไปทั้งตัวชอบกล ย้อนคิดถึงยิ้มเกรียมๆและเสียงเอะอะแบบอันธพาล จะโพนทะนาให้คนทั้งตลาดรู้ว่าฉันจะโกงเงิน ทั้งที่ถ้าลืมจ่ายก็พูดกันดีๆได้ แล้วเกิดอาการแค้นแน่นอกจนหน้าเขียว เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ร่ำๆจะเปิดประตูย้อนลงไปฉะกับมันซะหน่อย หนอยแน่ะ! ไม่นึกว่ามีพวกหน้าด้านหน้าทนขายของอยู่แถวนี้ด้วย แกล้งลงไปขู่จะเอาตำรวจมาลากคอเข้าคุกเสียดีไหม? เรื่องเบ่งเกทับนี่ฉันก็เคยเป็นหนึ่งเหมือนกัน

พยายามมีสติกำหนดลมหายใจเข้าออก รู้ตัวว่านั่นเป็นความคิด แต่คงไม่เอาจริง เห็นความโกรธที่พุ่งเอาๆ แต่ขณะเดียวกันก็ยังรู้สึกสงบใจอยู่ที่ผิวนอก คล้ายน้ำพุร้อนที่ฉีดขึ้นมาจากกลุ่มน้ำเย็น ดูขัดๆแปลกๆ แต่สติตั้งมั่นรู้เหมือนมีฉันอีกคนเฝ้าดูอยู่เบื้องหลังต่างหาก ไม่เกี่ยวกับทั้งความเย็นและความร้อนเหล่านั้น

ฉันปล่อยให้ความคิดปรุงแต่งไปโดยไม่ปิดกั้น เห็นความร้อนในอิริยาบถนั่ง ซึ่งก็คือรูปหนึ่งของทุกข์ อิริยาบถก็เป็นทุกข์ชนิดหนึ่งอยู่แล้ว ยังมีความร้อนซ้อนอยู่ข้างในอีก ฉันดูด้วยความนิ่งกาย นิ่งใจ กระทั่งเห็นตามจริงว่าในหัวยังมีพ่อค้าหมูปิ้ง ยังไม่ปล่อยพ่อค้าหมูปิ้งไปตามยถากรรม พอระลอกความคิดหนึ่งผุดขึ้นที ก็มีความร้อนและคันคะยิกในอกที แล้วความคิดกับความร้อนความคันก็จางลงเอง แต่เดี๋ยวๆในหัวก็ผุดใบหน้าจอมโกงขึ้นมาอีก ความร้อนความคันก็ถูกลากตามมาอีก เห็นสลับไปสลับมา ถ้าจังหวะไหนเผลอแช่หน่อยก็ก่อความคิดอยากกลับลงไปด่าขึ้นอีก แต่ถ้าจังหวะไหนคั่นด้วยสติรู้ลม แล้วกำหนดจิตเป็นอภัย ความคิดร้ายๆก็หายไป เหมือนรบกันอยู่

ถึงจุดหนึ่งที่คิดว่าอภัยจริงๆแล้ว แต่พอเคลื่อนรถได้พักหนึ่งก็เอาอีก คิดถึงหน้าด้านๆของเจ้านั่นอีก ต้องกำหนดจิตเป็นอภัยอีกแล้วๆเล่าๆ แต่ไม่ยักเกิดโสมนัส ในอกยังฝืนๆฝืดๆตามเดิม เมตตาเปล่งประกายรัศมีไม่ออกเสียแล้วสิ

ถอนใจและยอมรับตามจริง ไม่ใช่แค่ยอมรับว่าฉันโกรธ แต่ยอมรับแบบเหมารวมทีเดียวว่าเดี๋ยวคงมีความคิดแค้นเคืองพ่อค้าหมูปิ้งตามมาอีกหลายชุด ยอมรับตามจริงว่าจิตฉันยังไปไม่ถึงไหน ยังทุกข์เพราะโดนกระทบได้อยู่

แล้วจะแปลกอะไรกับการทำใจยอมรับ ก็แค่ยอมรับว่าต้องดูอีกหลายรอบ สติดีหน่อยก็ดูโดยความเป็นอนิจจัง สติไม่ดีก็กำหนดให้อภัยเป็นทานแล้วแผ่เมตตาเสียเท่านั้น ในเมื่อยังไม่พ้นทุกข์ จะไปแกล้งหลอกตัวเองว่าพ้นแล้วเพื่อประโยชน์อะไร หน้าที่ตามแบบแผนสติปัฏฐานก็คือดู คือสังเกตจนกว่าจิตจะรู้และฉลาดขึ้นในวันหนึ่ง ว่าอะไรๆล้วนเกิดขึ้นเพราะเหตุเป็นธรรมดา แล้วจะต้องหายลับดับสลายลงเป็นธรรมดาเช่นกัน

แค่คิดเช่นนั้น ใจก็ให้อภัยพ่อค้าหมูหน้าด้านได้แบบชนิดเปิดโล่งสุดๆ โสมนัสแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงกับยิ้มกว้างออกมาอย่างปีติ ที่เมื่อครู่ฉันยังย้อนคิดแล้วๆเล่าๆไม่เลิก ส่วนหนึ่งก็เพราะไม่ยอมรับความจริงว่าตัวเองยังโกรธได้ ยังทุกข์เพราะกระทบได้นั่นเอง อาจเปรียบเทียบกับเมื่อเช้าที่หลงนึกสำคัญผิดไปว่าจิตคงตั้งมั่นในเมตตา จะไม่เป็นทุกข์เพราะความผูกโกรธอีกแล้ว ซึ่งแค่ตกเย็นก็พิสูจน์เรียบร้อยว่าความจริงไม่ใช่เช่นนั้นเลย ฉันยังเป็นหุ่นกระบอกที่กิเลสชักรอกได้ตามอำเภอใจคนเดิมอยู่นั่นเอง

เหตุการณ์ประจวบเหมาะระหว่างเช้ากับเย็นก็ทำให้ได้ข้อสรุปประจำวันเป็นประโยชน์ดีเหมือนกัน เมื่อสังเกตเข้าไปอย่างละเอียดในขณะแห่งความปรีดานั้น ฉันเริ่มแยกแยะได้หลายสิ่ง และตั้งคำถามอันทรงค่าในการปฏิบัติสติปัฏฐาน นั่นคือ สงสัยว่าปีติเป็นธรรมชาติอันเดียวกับความสุขแน่หรือไม่? แล้วตอบตัวเองตามเนื้อผ้าจากสภาวะที่กำลังปรากฏต่อหน้าต่อตา ว่าปีติปราโมทย์เป็นความปรุงแต่งส่วนเกินออกมาจากความสุข กับทั้งอาจเป็นของหลอกให้หลงได้ง่ายด้วย เช่นตื่นเต้นดีใจนึกว่าหลังคาบ้านเรามุงบังไว้ดีแล้ว กิเลสรั่วรดไม่ได้แล้ว

ปีติที่มีแรงฉีดแรงๆ มักผูกตัวเองมากับความคิดเกินความจริงแรงๆ ทำให้หลงเข้าใจผิดได้สารพัด แต่ความสุขเนียนๆอย่างมีความวางเฉย มักทำให้ตระหนักตามสภาพที่เป็นจริงเฉพาะหน้า ฉันได้ข้อสังเกตเช่นนี้ แต่ก็ไม่คิดจะห้ามปีติโสมนัสในครั้งต่อๆไป ถ้าอยากเกิดก็ให้มันเกิด แต่จะไม่ฟัง ไม่เชื่อถือ ไม่ให้ความสำคัญกับความคิดของตัวเองในวาระนั้นเท่าไหร่นัก ค่อยๆรู้ ค่อยๆดูว่าปีติจะแผลงฤทธิ์ผลิตความคิดได้พิสดารสักเพียงใด



:b38: /วันที่ ๒๓-๒๗: มองต่างจากชาวโลก

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 09:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43: วันที่ ๒๓-๒๗: มองต่างจากชาวโลก

วันเสาร์ช่วงบ่ายฉันแอบปลีกวิเวกจากสังคม เร่ร่อนเหมือนนกอิสระไปหาวัดสงบนั่งสมาธิอีก แต่วันอาทิตย์มีนัดกับสมาชิกครอบครัวคือน้องๆของฉันไปดูคอนเสิร์ตที่มาจากต่างประเทศ ฉันไม่อาจปฏิเสธหน้าที่ของพี่ และขณะเดียวกันก็อยากดูดนตรีวงนี้ด้วย เพราะเคยชื่นชอบมากสมัยยังวัยรุ่น

ขณะที่ขับรถพาน้องมาจากบ้าน ฉันมีความรู้สึกสองแบบปนๆกันอยู่ คือใจหนึ่งอยากเห็นตัวจริงขวัญใจในอดีต อีกใจก็นึกคร้าน ไม่ค่อยอยากเดินทางไปถึงสถานที่แสดงชอบกล แต่อย่างไรก็เสียเงินเสียทองแล้ว ต้อง ‘ไปเสพสุข’ จากเสียงดนตรีราคาแพงจนได้

ขณะมองไปบนเวทีอันประดับประดาแสงสีตระการตา ภายในของฉันว่างโหวงและต่อไม่ติดกับภาพที่เห็น เสียงที่ได้ยินเอาเลย จิตคอยหวนมาระลึกอยู่กับลมหายใจว่ากำลังเป็นขาเข้าหรือขาออก รวมทั้งหมั่นสำรวจโดยไม่ตั้งใจเสมอๆ ว่าลมหายใจหนึ่งๆจิตโปร่งสบายหรืออึดอัดคับข้อง ฉันรู้สึกร้อนๆตามเนื้อตัวคล้ายชื้นเหงื่อหรือขณะต้องเสนองานที่ไม่มีความรู้ กล่าวโดยย่นย่อคือความรู้สึกช่วงแรกเหมือนมานั่งทรมานรอเวลาดนตรีเลิกแท้ๆ

แต่บางเพลงที่ฉันเคยโปรดก็กระตุ้นอารมณ์หวานได้เหมือนกัน บางเพลงที่สนุกเร้าใจและทำรูปเพลงใหม่ก็ทำให้สติเคลื่อนออกจากฐาน หลงไปกับกลิ่นอายมันๆที่ส่งเปรี้ยงปร้างออกมาจากเวทีโดยไม่ต้องบังคับจิตฝืนใจแต่อย่างใด ฉันอยากให้เป็นอย่างนั้นด้วย มากับน้องๆก็ต้องมีอารมณ์ร่วมบ้าง หมดค่าตั๋วไปเป็นพันก็ต้องเสพสุขให้คุ้มค่าบ้าง จะมานั่งทำสมาธิให้ผิดบรรยากาศอยู่ได้อย่างไร

ไม่มีงานเลี้ยงและงานคอนเสิร์ตใดไม่เลิกรา ในที่สุดฉันกับน้องๆก็ต้องออกจากสเตเดี้ยมกลับขึ้นรถ เมื่อเปรียบเทียบกับความปลอดโปร่งโล่งสบายยามทำสมาธิ ตอนนี้ถือได้ว่าฉันมึนหัวไปหมด หนักอึ้งที่กลางอก จิตใจทึบตื้อ เมื่อพอคลี่คลายออกมาบ้างก็ฟุ้งกระเจิดกระเจิง ตกลงฉันจ่ายเงินแพงๆมานั่งเสียเวลาเป็นชั่วโมงเพื่อปรับจิตให้หยาบลง สุขเวทนาที่อาศัยเหยื่อล่อแบบโลกๆทำให้จิตหยาบ ลมหายใจหยาบอย่างเห็นได้ชัด

ชีวิตคนเราต้องสุขแบบหยาบๆนำหน้ามาก่อนเสมอ เคยติดใจ เคยแสวงหา เคยยอมทุ่มเทเงินทองและเวลาให้กับสุขอันอาศัยเครื่องล่อทางกามคุณ พอมาเจอสุขแบบละเอียดสุขุมจากการเจริญสติเข้า จึงได้ข้อเปรียบเทียบ มองย้อนกลับไปเห็นสุขที่ผ่านๆมาเป็นแค่น้ำโสโครกติดปลายช้อนที่จิบแล้วสดชื่นชุ่มลิ้นนิดหน่อย แล้วชวนให้ทึกทักว่านั่นคือสุขอย่างมหาระทึกลึกล้ำ แต่พอเจอสุขของจริงที่ตั้งมั่น นิ่งนาน และสะอาดใส ก็จึงค่อยรู้ว่าน้ำหวานเป็นขวดๆ เป็นถังๆ ดื่มกินได้เต็มที่ไม่มีจำกัดเป็นอย่างไร นี่สิ ถึงเรียกสุขอันโอฬารพันลึกของจริง!

ช่วงหลายวันนี้ฉันเริ่มตระหนักและยอมรับว่าตัวเองมองต่างจากชาวโลก รู้สึกผิดแปลกจากชาวโลก นี่คือสิ่งที่ฉันเคยหวาดกลัว กลัวปฏิบัติธรรมแล้วจะไม่สนุก กลัวว่าจิตใจจะจืดชืด กลายเป็นแกะขาวผู้โดดเดี่ยวในหุบเขาอันอึกทึกครึกโครมด้วยกามกรีฑาของเหล่าแกะดำ และแล้ววันนี้ก็มาถึงจริงๆ แต่ที่ฉันเคยนึกไว้ว่ามันจะแห้งแล้ง โดดเดี่ยว แปลกประหลาดในสายตาคนอื่น กลับเป็นตรงกันข้ามไปหมด ฉันเห็นจิตใจผู้คนทั้งเมืองเต็มไปด้วยความทุกข์ ความรู้สึกแห้งแล้ง ความไม่อิ่มไม่พอในกามารมณ์ ทุกคนดิ้นพล่านเป็นบ้าเป็นหลังแสวงหาน้ำโสโครกที่มีปริมาณเพียงติดปลายช้อนกันเกือบทั้งนั้น ต่อให้มีเงินกี่สิบ กี่ร้อย กี่พันล้าน ที่ภายนอกดูภูมิฐานเหนือคนอื่น แต่ภายในเต็มไปด้วยความหิวโหยไม่ผิดจากคนยากคนจนสักเท่าใดเลย

ส่วนโลกของนักปฏิบัติธรรมภาวนานั้นเป็นตรงข้าม หากเจริญสติได้ถึงระดับเต็มอิ่มกับการรู้เฉพาะปัจจุบันแล้ว จิตนี้เองคือสวรรค์ รสแห่งความตั้งมั่นไม่คลอนแคลนนั้นเองคือความสนุกบันเทิงในอีกรูปแบบหนึ่ง วิญญาณอันหิวกระหายเหมือนได้เจอน้ำพุที่ผุดพลุ่งให้ดื่มกินอย่างไม่มีวันจบวันสิ้น ขณะแห่งการทรงสติหรือตั้งมั่นในสมาธิ จิตจะไม่อาลัยกามคุณทางตา หู จมูก ลิ้น และกายเลยแม้แต่น้อย

ฉันทำสมาธิและเดินจงกรมอย่างเห็นคุณค่าของรสสุขทางจิตมากขึ้นทุกที สุขอื่นเสมอความสงบไม่มีจริงๆ



:b38: /วันที่ ๒๘: ฝัน

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


แก้ไขล่าสุดโดย Bwitch เมื่อ 29 ส.ค. 2009, 09:16, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ส.ค. 2009, 09:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43: วันที่ ๒๘: ฝัน

คืนนี้ฉันฝันว่าเจ้านายเรียกไปพบ และกล่าวตำหนิฉันอย่างรุนแรงในเรื่องต่างๆ พร้อมทั้งเปรียบเทียบกับคู่แข่ง บอกทำนองว่าดูซิ ผมไม่เคยเห็นคุณเจ๋งได้เท่าเขาสักเรื่อง

ในฝันฉันเป็นทุกข์สาหัส อกใจเค้นเครียด ก้มหน้าเหมือนหายใจไม่ออก พยายามตั้งสติรู้ลมก็เหมือนฝืดฝืนคล้ายโดนกระสอบทรายยันหน้าอกกดหลังติดกับพนักพิงอย่างไรอย่างนั้น แต่แล้วในที่สุดฉันก็ทุบโต๊ะปัง ทะลึ่งยืนพรวดและประกาศก้องว่าฉันขอลาออก! แล้วเดินออกจากออฟฟิศไม่เหลียวหลัง ช่างเป็นภาวะที่ปลอดโปร่ง อากาศนอกออฟฟิศสดชื่น ลมหายใจใสสะอาดและนุ่มลึกเต็มปอดที่ขยายออกจนสุด อากาศรอบด้านชุ่มฉ่ำเย็นสบายเหลือหลาย เงยหน้ามองท้องฟ้าก็เห็นเป็นสีครามประกายมุก สวยสดไม่มีสิ่งใดเทียบมาก่อน รอบด้านคล้ายยิ้มเท่ากับริมฝีปากที่เหยียดกว้างขวางของฉัน ไม่มีวันใดในช่วงแห่งความคับแค้นใจ ที่รู้สึกเบิกบานได้เท่านี้เลย

ตื่นขึ้นด้วยความสดชื่น ถ้าเป็นคนอื่น นี่คงเป็นฝันผ่านชั่วข้ามคืนที่เหลวไหลไร้สาระ ไม่ตรงกับความเป็นจริง ไม่มีอะไรน่าใคร่ครวญพิจารณา แต่เพราะฉันเคยพบอุสภเถรคาถา ว่าด้วยสุภาษิตเกี่ยวกับความฝันของพระเถระชื่ออุสภะ ก็เห็นว่าความฝันเป็นสิ่งที่เก็บเกี่ยวมาคิด มาเจริญปัญญาให้บรรลุธรรมได้

พระอุสภะท่านฝันว่าได้ห่มจีวรสีอ่อนเฉวียงบ่า นั่งบนคอช้าง เข้าไปบิณฑบาตยังหมู่บ้าน พอเข้าไปก็ถูกมหาชนพากันมารุมมุงดูอยู่ จึงลงจากคอช้าง แล้วค่อยกลับสติลืมตาตื่นขึ้น พิจารณาด้วยความสลดใจว่าในฝันนั้นท่านไม่มีสติสัมปชัญญะ จิตแสดงความกระด้างด้วยความมัวเมาชาติตระกูล ยังมิใช่ผู้ละแล้วซึ่งอัสมิมานะ เมื่อท่านเห็นความน่าสังเวชแห่งจิตตนอยู่เช่นนั้น บวกกับที่ได้สั่งสมอบรม เจริญสติปัฏฐานมาอย่างดีก่อนหน้านี้แล้ว ก็ได้บรรลุธรรมขั้นสูงสุด เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในพุทธศาสนา

แน่นอน ฉันยังแก่กล้าไม่พอขนาดพิจารณาฝัน เห็นความจริงเกี่ยวกับมานะแล้วสามารถละจนบรรลุธรรมได้ แต่อย่างน้อยก็ได้ปัญญาแบบเก็บนิดเก็บหน่อย ฉันเห็นจากฝันที่สดชัดสมจริงนั้น ว่าคนเราอาจสุขทุกข์ได้เท่าๆสุขทุกข์ยามตื่นอยู่จริงๆ แล้วอย่างนี้สุขกับทุกข์ทั้งหลายจะต่างอะไรจากฝัน ผ่านมาแล้วผ่านไปให้ระลึกว่าสิ่งนั้นล่วงไปแล้ว ไม่ใช่ความรู้สึกอยู่กับเนื้ออยู่กับตัวเราในเวลานี้อีกแล้ว กลายเป็นของไม่จริงในปัจจุบันไปเสียแล้ว



:b42: สรุปสิ่งที่ได้จากเดือนที่ ๒ :b42:

๑) สติเริ่มย่างก้าวเข้ามาในมิติของนามธรรม เน้นหนักที่เวทนา บางครั้งล่วงเลยไปรู้สภาพจิตบ้าง อันเป็นธรรมดา ที่เมื่อเห็นเวทนาชัด ลักษณะจิตย่อมปรากฏอย่างแยกไม่ออก และเมื่อเห็นเวทนามากเข้าจนถึงขั้นเปรียบเทียบชัดได้ว่าระหว่างตื่นกับฝันยามหลับ สุขทุกข์ทั้งหลายไม่แตกต่างกัน ความถือมั่นในสุขทุกข์ทั้งหลายยิ่งเบาบางลงจนเหลือเยื่อเท่าใยแมงมุม อย่างน้อยก็ขณะมีสติรู้ชัดอยู่นั้น

๒) การยอมรับสภาพตามจริงที่กำลังปรากฏ แม้ว่าเป็นสภาพไม่ดี ไม่น่าพอใจ ทำให้เกิดทุกข์อึดอัดขัดข้องอย่างไรก็ตาม น่าจะเป็นกุญแจดอกใหญ่ที่สุด สำคัญที่สุด ที่จะเปิดกายนครและจิตตนครนี้ให้สติเดินเข้าไปสำรวจศึกษาได้โดยปราศจากฝ้าหมอกขมุกขมัวใดมุงบัง ขณะที่นิสัยไม่ยอมรับความจริงอันเป็นธรรมชาติหนึ่งของมนุษย์ เปรียบเสมือนเชือกที่มัดมือเท้าเราไว้กับเครื่องจองจำชื่อ ‘อุปาทาน’ ไปจนกว่าจะตาย พอตายแล้วก็ต้องเกิดใหม่มาอยู่กับเครื่องจองจำชื่อเก่า แปลกเปลี่ยนไปก็เพียงฉากแวดล้อมของเครื่องจองจำเท่านั้น


:b48: มีต่อ...

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 10:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43: เดือนที่ ๓: นานาสภาวจิต

การเจริญสติในเดือนที่ ๒ ทำให้ฉันเห็นตามจริงอย่างหนึ่ง คือโลกนี้แบ่งเป็นสองภาค คือภาคแห่งรูปธรรมและภาคแห่งนามธรรม โลกแห่งรูปธรรมมีความวิจิตรพิสดารหลากสีหลายสัน อาจถูกตกแต่งปรับเปลี่ยนไปได้เรื่อยๆตามสภาพดินฟ้าอากาศและจินตนาการสร้างสรรค์ของมนุษย์ ส่วนโลกแห่งนามธรรมก็มีความวิจิตรพิสดารในแง่ของความเป็นเหตุเป็นผล สัมผัสไม่ได้ด้วยตากับหู กำหนดรู้ได้ด้วยใจ และไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย จะผ่านไปกี่กัปกี่กัลป์ก็ตาม

การรู้ตัวให้ได้ว่ากำลังสุขหรือทุกข์นั้น จะว่าไปก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะส่วนใหญ่เวทนาของเรามักเป็นเฉย คือไม่เอียงไปทางสุขชัด ขณะเดียวกันก็ไม่อยากตัดสินว่าเป็นทุกข์ แต่เมื่อเจริญสติปัฏฐานกระทั่งเป็นสุขอยู่กับลมหายใจและอิริยาบถได้ ความสุขก็จะเริ่มปรากฏเด่น กระทั่งแม้คิดฟุ้งซ่านหน่อยเดียวก็อาจเทียบเคียงเห็นว่ากำลังเป็นทุกข์ทางใจได้

และฉันเห็นว่าการฝึกรู้เวทนาจนคล่องแล้วนั่นเอง ก็ลากจูงมาเห็นสภาวะของจิตได้ตามแนวทางที่พระพุทธองค์ประทานไว้ในหมวดจิตของสติปัฏฐาน ๔ ความจริงฉันเห็นสภาวจิตต่างๆตามที่พระองค์ท่านแนะให้ดูมาบ้างประปราย อาจจะตั้งแต่เริ่มๆภาวนาจริงจังทีเดียว เพียงแต่ฉันอาจจะดูในขอบเขตที่กำหนดไว้ในใจว่าเป็น ‘สุข’ หรือเป็น ‘ทุกข์’ มากกว่า เช่นกำลังมีราคะก็กำหนดว่าเป็นสุข มีโทสะก็กำหนดว่าเป็นทุกข์

ขึ้นเดือนที่ ๓ ฉันสำรวจแล้วพบว่าตัวเองเข้าใจอะไรเพิ่มขึ้นประการหนึ่ง ซึ่งค่อนข้างสำคัญ และพลิกมุมมองในการตั้งสติเจริญภาวนาได้มาก นั่นคือ ราคะอาจเป็นสุขสำหรับจิตสามัญของปุถุชนทั่วไป แต่อาจเป็นทุกข์สำหรับผู้เข้ามารู้เห็นอยู่ในโลกของนามธรรม อย่างเช่นเดือนก่อนฉันปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า คือเปรียบเทียบระหว่างสุขแบบโลกๆกับสุขแบบปราศจากเหยื่อล่อภายนอก ก็พบตามจริงว่าสุขอื่นยิ่งกว่าความสงบนั้นไม่มี รู้เช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบเข้า จิตก็เริ่มฉลาด และเลือกสุขที่เหนือความสนุกชั่ววูบ

นี่เป็นตัวอย่างว่าในอีกระดับการปฏิบัติหนึ่ง เมื่อเกิดราคะรบกวนจิต ฉันจะไม่ดูด้วยมุมมองว่าเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ แต่เห็นตามจริงว่าขณะนั้นๆกำลังมีราคะ

อีกประการหนึ่ง เมื่อฝึกอานาปานสติจนคล่องแล้ว เป็นสมบัติติดตัวแล้ว คืออย่างน้อยต้องรู้บ่อยๆว่ากำลังหายใจเข้าหรือหายใจออก ก็พบความจริงอีกประการหนึ่ง คือฉันสามารถอ่านใจตัวเองผ่านลมหายใจได้หมด เช่นกำลังคิดมากหรือคิดน้อย กำลังรีบร้อนหรือวางเฉย กำลังลากยาวหรือกระชากสั้น ฯลฯ กับทั้งเห็นว่าลมหายใจเองนั้น หากทำให้มีคุณภาพแล้ว ก็จะปรุงทั้งกายและจิตให้สงบระงับ ง่ายต่อการกำหนดสติรู้สภาพเด่นตรงหน้าตามจริงทั้งรูปธรรมและนามธรรม การลงทุนกับลมหายใจในขั้นเริ่มต้น โดยเฉพาะในช่วงอาทิตย์แรกให้เกิดนิสัยรู้ลมนั้น จึงคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม และส่งผลมาถึงขั้นของการปฏิบัติที่สูงขึ้นเรื่อยๆได้อย่างนี้เอง พระพุทธเจ้าและพระสาวกทั้งหลายจึงเหมือนคะยั้นคะยอให้ผู้หวังพ้นทุกข์ตามแนวสติปัฏฐาน ๔ ทั้งหลายได้เห็นความสำคัญของอานาปานสติกันนัก



:b48: ....มีต่อ.... / การเจริญสติรู้สภาวจิตอย่างย่อสำหรับมือใหม่

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 10:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


การเจริญสติรู้สภาวจิตอย่างย่อสำหรับมือใหม่

สภาวจิต หรืออาการของจิตที่พระพุทธเจ้าทรงให้ฝึกรู้ฝึกดูในสติปัฏฐาน ๔ นั้น ไม่ใช่สภาพรู้ ไม่ใช่ให้เสาะหาว่าธาตุรู้อยู่ตรงไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ใช่การควบคุมให้จิตมีลักษณะแบบใดแบบหนึ่ง เช่นจงดีอย่างเดียว อย่าได้เสียหาย จงบริสุทธิ์อย่างเดียว อย่าได้แปดเปื้อนมลทินใดๆ การทำจิตให้ดีๆ เช่นตั้งเป็นสมาธินิ่งๆนั้นฉันก็แยกเวลาทำอยู่ และนับได้ว่าพัฒนามาจนใช้ได้ระดับหนึ่งแล้ว แต่เมื่อจะเจริญสติในหมวดจิต การตั้งมุมมองไว้จะเปลี่ยนไป คือจิตดีก็ดู จิตไม่ดีก็ดู เพื่อความรู้ชัดว่าตอนจิตดีนั้นลักษณะเป็นอย่างไร จิตไม่ดีนั้นลักษณะเป็นอย่างไร เกิดแล้วต้องดับลงเป็นธรรมดาเหมือนๆกันหรือไม่

หลักการเบื้องต้นสำหรับสังเกตสภาพจิตแบบต่างๆมีดังนี้

๑) เมื่อจิตมีราคะก็รู้ว่าจิตมีราคะ เมื่อจิตปราศจากราคะก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ

๒) เมื่อจิตมีโทสะก็รู้ว่าจิตมีโทสะ เมื่อจิตปราศจากโทสะก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ

๓) เมื่อจิตมีโมหะก็รู้ว่าจิตมีโมหะ เมื่อจิตปราศจากโมหะก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ

๔) เมื่อจิตหดหู่ก็รู้ว่าจิตหดหู่ เมื่อจิตฟุ้งซ่านก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน

๕) เมื่อจิตเป็นสมาธิก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ เมื่อจิตไม่เป็นสมาธิก็รู้ว่าจิตไม่เป็นสมาธิ

ฉันจับหลักได้อย่างหนึ่ง คือ การรู้สภาวจิตทั้งหลายเหล่านี้ให้ครบได้ ควรตั้งหลักจากจิตที่นิ่งเบาพอประมาณ ประกอบกับมีสติที่แข็งแรงตามสมควรแล้ว กล่าวคือจิตที่เป็นฝ่ายอกุศลควรมีกำลังอ่อน เมื่อถูกรู้แล้วแสดงอนิจจังง่าย กลายเป็นจิตฝ่ายกุศลในเวลาไม่เนิ่นนาน เปรียบได้กับไฟที่ลุกวาบบนหัวไม้ขีดก้านสั้น ไม่ต้องออกแรง ไม่ต้องเสียเวลามาก ก็เห็นว่าไฟเกิดแล้วดับลงทันตา รู้ทั้งไฟลุกกับไฟดับ จนทราบสภาพต่างกันอย่างชัดเจน

:b38: /วันที่ ๑: พักร้อน..

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 10:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43: วันที่ ๑: พักร้อน

สำหรับคนที่ต้องทำงานวันเสาร์ครึ่งวัน คล้ายถูกชักนำให้หาอะไรทำนอกบ้านเสมอ สำหรับคนเมืองทั่วไปคงหนีไม่พ้นการเที่ยวเดินห้างและดูหนังกับแฟน แต่สำหรับฉัน หลังจากเจริญสติปัฏฐานแล้วอยากเที่ยววัด วัดใกล้ไกลหนไหนก็ได้ ขอให้สงบร่มรื่นและโน้มน้าวให้นึกถึงนิพพานเป็นพอ

วันนี้ก็ตั้งใจด้นไปตามแต่หนทางจะนำพา หมู่นี้ไม่อยากอยู่ในเมืองมากขึ้นทุกที งานการ อาหาร อากาศ ทุกอย่างดูแห้งแล้งไร้ชีวิตชีวาไปหมด สู้ความสดชื่นตื่นเต็มตอนมีเวลาภาวนาเต็มที่ไม่ได้เลย

ทำงานไปได้แค่ชั่วโมงเดียว ฉันก็เกิดความคิดกะทันหัน เอาแบบฟอร์มลางานมาพิมพ์เป็นลายลักษณ์อักษรแล้วเดินไปยื่นให้หัวหน้า แจ้งความจำนงด้วยปากเปล่าว่าถ้าไม่ขัดข้องหรือต้องการให้ฉันทำอะไรเป็นพิเศษ อาทิตย์หน้าฉันขอใช้สิทธิ์พักร้อนลา ๖ วันติดกัน ตั้งแต่จันทร์ถึงเสาร์ หัวหน้าผงกหัวทีหนึ่ง อนุมัติทันทีโดยไม่เปิดจดหมาย พูดสั้นๆแค่ “เอาเลย ผมเข้าใจ”

เขานึกว่าฉันเศร้าและเครียดเรื่องว่าที่หัวหน้าแผนกคนใหม่กระมัง เปล่าเลย เรื่องนั้นไม่รบกวนจิตใจฉันอีกแล้ว ฉันรู้สึกดีด้วยซ้ำที่มีเรื่องเหยียบอัตตาให้เตี้ยลง เพราะหมายความว่าเมื่อผ่านช่วงเวลาทำใจแล้วใจฉันยังสงบราบคาบได้ถึงวันนี้ ไม่กลับกำเริบอยากตีโพยตีพายขึ้นอีก ก็แปลว่าการเจริญสติเพื่อลดละอัตตาเริ่มออกผลเบื้องต้นบ้างแล้ว แต่หัวหน้าเข้าใจว่าฉันลาไปคลายเครียดก็ดีเหมือนกัน เพราะจู่ๆลาพักร้อนกะทันหันผิดธรรมเนียมบริษัทที่ต้องแจ้งล่วงหน้ากันเป็นเดือน

ออกจากออฟฟิศวันนี้ ฉันเป็นสุข หัวใจเป็นอิสระเหลือพรรณนา ประมาณว่าสุขเท่ากับที่เคยฝันว่าลาออกจากงานเมื่อวันสิ้นเดือนก่อนทีเดียว แต่ตอนนี้ตัวจริงยามตื่นของฉันยังตัดไม่ขาดหรอก ลาออกแล้วหางานใหม่ เริ่มงานใหม่ ศึกษาและปรับตัวให้คุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ไม่ใช่เรื่องสนุกนัก เว้นแต่เป็นไปเพื่อความก้าวหน้าในจังหวะที่เหมาะสมของชีวิตซึ่งตระเตรียมไว้รอบคอบแล้ว

เพิ่งรู้ตัวว่าที่ผ่านมาเมื่อยังต้องคลุกกับความคิดเรื่องการงาน เป็นลูกจ้างบริษัทเต็มเวลา ก็แปลว่าฉันเป็นแค่นักภาวนาพาร์ทไทม์ ในแง่ของคนเดินทางบนเส้นทางสู่มรรคผลก็จัดเป็นพวกอ่อนแอกระปวกกระเปียก เดินโซซัดโซเซไม่ค่อยจะอยากพ้นต้นทางเสียที พอแค่ลาพักร้อนหน่อยเดียว เห็นว่าไม่ต้องคิดเรื่องงาน เป็นอิสระจากงานได้แค่นาทีเดียว ใจก็ต่างไปจากเดิมแล้ว

ใจต่างอย่างไร ฉันพยายามสำรวจเข้ามา ประการแรกไม่ต้องละล้าละลังกังวลว่าเดี๋ยวจะต้องเอาหัวไปแบกเรื่องอะไรบ้าง ประการที่สองกระหยิ่มยิ้มย่องได้ว่างวดนี้สมาธิจะต้องพัฒนาขึ้นแน่ ประการที่สามคือหวังว่าจะได้เป็นผู้มีบารมีแก่กล้า บรรลุมรรคผลด้วยการปฏิบัติธรรมภายใน ๗ วันกับเขาสักคนหนึ่ง ด้วยความคาดหวังเป็นอย่างสูงในข้อสุดท้ายนี้เอง ทำให้ใจมีลักษณะผละจากโลก เหมือนลาออกจากความเป็นปุถุชนคนธรรมดาในโลก จึงใสเบาเป็นพิเศษ

ยอมรับล่ะว่ายังตัดความโลภอยากได้มรรคผลไม่ขาด แต่จะให้ทำอย่างไร ไปแบบไม่มีหวังเลยหรือ? ฉันก็ว่าจะบำเพ็ญเพียรเต็มกำลัง ไม่ใช่ไปนอนงอมืองอเท้าเสียหน่อย คนซื้อล็อตเตอรี่ด้วยความหวังว่าจะถูกรางวัลที่ ๑ หรือเลขท้าย ก็ยังอุตส่าห์มีคนสมหวังทั้งที่นอนฟังวิทยุลุ้นอยู่กับบ้านเฉยๆ แต่นี่ฉันอยากได้มรรคผลด้วยการบากบั่นมานะพยายามตามแนวทางที่ถูกต้อง จะไม่น่าให้กำลังใจยิ่งกว่าพวกหวังรวยทางลัดหรอกหรือ?

สำคัญคือฉันรู้แล้วด้วยว่าจะทำอย่างไร ตอบรับท่าไหนถ้าโลภอยากได้มรรคผลจนเป็นทุกข์หรือปล่อยสติออกนอกทาง ก็แค่พิจารณาว่านั่นเป็นทุกข์ชนิดหนึ่ง ดูให้เหมือนดูทุกข์อื่นๆ ถ้าไม่ไหวก็กลับไปพึ่งลมหายใจจนกว่าจะเป็นอุเบกขา แล้วค่อยกลับมารับมือกับมันใหม่รอบหน้า ดีเหมือนกัน ถ้าปลีกวิเวกด้วยความอยากไปเอามรรคผล จะได้เตรียมรู้ทุกข์เพราะอยากแล้วไม่สมปรารถนา เตรียมใช้ทุกข์ทางใจเป็นเป้าหมายหลักหนึ่งเสียแต่เนิ่นๆ

ที่เหลือของวัน ฉันใช้ไปกับการครุ่นคิดวางแผนเรื่องสถานที่ เพราะนี่เป็นการตัดสินใจกะทันหัน และฉันก็ไม่ใช่คนชำนาญเรื่องพระดีและสถานที่ดัง คิดไปคิดมา กิเลสที่คอยจะเข้าข้างตัวเองอยู่แล้วก็บอกให้ไปพักรีสอร์ทหรือโรงแรมดีกว่า มันก็เป็นห้องหับเหมือนๆกันกับห้องที่เขากำหนดไว้ให้เป็นสถานที่ภาวนาของฆราวาสนั่นแหละ ฉันจะเลือกแบบไม่ต้องแพงมาก แต่ใจอุตส่าห์อยากได้หรูๆสบายๆหน่อย ฉันรับรองกับตัวเองว่าจะไม่นอนแช่อิ่ม จะไม่เปิดตู้เย็นบ่อย แต่จะให้วันเวลาล่วงไปอย่างมีคุณค่า ใช้ทุกนาทีเป็นโอกาสทองสมราคาหมายปองมรรคผล



:b38: / วันที่ ๒: ปลีกวิเวก...

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 10:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43: วันที่ ๒: ปลีกวิเวก

ฉันเลือกได้รีสอร์ทแห่งหนึ่งทางภาคตะวันออก ดินแดนติดทะเลที่เกือบทุกคนจะนึกถึงเสมอเมื่อต้องการพักร้อน ฉันคำนวณค่าใช้จ่ายแล้วไม่รู้สึกว่าขนหน้าแข้งจะร่วงมาก ก็ตกลงใจอยู่จนถึงวันอาทิตย์หน้ารวดเดียวไปเลย คุยโทรศัพท์ต่อรองไปต่อรองมามีแถมฟรีหนึ่งวันหนึ่งคืนอีกต่างหาก

ทิวทัศน์สวย ที่พักสะดวกสบาย สิ่งแรกที่ฉันทำเมื่อมาถึงห้องพักคือเด็ดปลั๊กทีวีทิ้ง จากนั้นก็ตั้งสัญญาณโทร.เข้าของโทรศัพท์มือถือให้เป็นแบบสั่น ฉันจะเช็กว่ามีเบอร์ไหนจำเป็นต้องโทร.กลับวันละสองรอบพอ แค่นี้คงพอจะแปลงสถานอภิรมย์ของชาวโลกให้กลายเป็นอาศรมฤาษีได้แล้วกระมัง

ขับรถมาจากกรุงเทพฯหลายร้อยกิโลฯ กำลังเหนื่อยๆต้องขอนอนพักก่อน แอร์กำลังเย็นสบาย พอล้มตัวลงนอนแผ่บนเตียงเดี๋ยวเดียวก็หลับปุ๋ย

ลืมตาตื่นและลุกขึ้นด้วยความงัวเงีย มองนาฬิกาก็ตกใจ เฮ้ย! นึกว่าห้านาที นี่ปาเข้าไปเกือบสามชั่วโมง ฉันล่ะงงจริงๆ บางทีนึกว่างีบเดี๋ยวเดียวจริงๆปาเข้าไปครึ่งค่อนวัน แต่บางทีรู้สึกเหมือนหลับไปนานแต่ตื่นมาเห็นเข็มนาฬิกากระดิกไปแค่ครึ่งชั่วโมง ความรู้สึกของมนุษย์ไม่อาจบอกเวลาช้าเร็วได้เที่ยงตรง อย่างเช่นอุปาทานไปว่าเพิ่งมาอยู่ในโลกได้เดี๋ยวเดียว ความจริงอาจใกล้ครบรอบที่จะต้องอำลาเวทีนี้ เพื่อเดินสายต่อไปหาเวทีใหม่อีกแล้ว

ฉันไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่บิดขี้เกียจ แต่ลุกขึ้นเข้าห้องน้ำเพื่อทำร่างกายให้สดชื่นทันที ก่อนตะวันตกดินฉันจะไปนั่งสมาธิแถวชายหาดให้ได้

ราวห้าโมงเย็น แดดกำลังร่ม ลมกำลังตก ฉันเดินดุ่มไปตามหาดขาวยาวเป็นระยะทางเกือบหนึ่งกิโลเมตรเพื่อเข้าถึงเขตที่ผู้คนบางตา และมีภูเขาหินเตี้ยๆยื่นออกไปในทะเลให้ป่ายปีนขึ้นไปนั่งมองขอบฟ้าจากมุมสูงกว่าพื้นทรายราว ๒๐ เมตร

ลมทะเลพัดอู้เกือบตลอดเวลา บางครั้งหอบแรงเหมือนจะมาชะเอาผิวหน้าและเนื้อตัวฉันออกไป เหลือแต่ความโปร่งเบาไร้น้ำหนัก ลมหายใจของฉันยืดยาวนิ่มนวลและแจ่มชัดยิ่งในท่ามกลางความเวิ้งว้างของทิวทัศน์กว้างไกลไพศาล ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเพียงต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งหายใจเข้าออกได้ เป็นต้นไม้ซึ่งปราศจากสำนึกครอบครองสถานที่ เป็นต้นไม้ซึ่งเติบโตจากที่อื่นและมาขอปักหลักอาศัยยอดเขาเตี้ยนี้เพียงชั่วคราว

ปิดตาลง ลากลมหายใจเข้ายาว ระบายลมหายใจออกยาวเท่ากัน รับรู้ตลอดสายด้วยจิตใจอันเยือกเย็น สติที่รู้ตลอดสายลมนั่นเองคือเบื้องต้นแห่งความหนักแน่นไม่หวั่นไหว เมื่อรู้ได้ด้วยอาการที่สบาย ยิ่งหลายลมเข้าออกยิ่งรู้สึกได้ถึงความปักหลักมั่นคงแน่นหนายิ่งขึ้นเรื่อยๆ เหมือนก้อนหินผิวเรียบได้ที่วางลงบนแผ่นดินใหญ่ ยากที่แรงกระทำภายนอกจะทำให้โยกเยก

กระทั่งฉันเห็นความหนักแน่นคงที่ที่ฐานความรู้สึก ขณะเดียวกันก็สำเหนียกได้ถึงความใสเบาอันแผ่รัศมีกว้างออกไปเบื้องหน้าและเบื้องขวางซ้ายขวา รับทราบตามจริงว่านั่นเป็นสภาพของจิตที่สั่งสมสติมาดีแล้วระยะหนึ่ง รวมกับการถูกสภาพเปิดแผ่กว้างขวางของทะเลปรุงแต่งสัมผัส ฉันประคองความรับรู้ลมหายใจเข้าออก นับได้สิบครั้งก็เห็นว่าฐานอันหนักแน่นของจิตยังเคลื่อนไปเคลื่อนมาคลอกแคลกได้ แต่ก็สนุก เพราะรู้สึกว่ามีกำลังของความตั้งมั่นมากกว่าอาการขยับเคลื่อนนั้น และเมื่อสติเข้าไปรู้ความเคลื่อน ก็สามารถยับยั้งให้สนิทนิ่งเหมือนเก่า แต่เดี๋ยวเดียวกำลังก็ถดถอย ทำท่าจะเคลื่อนใหม่ ก็ต้องยื้อกลับมาอยู่กับที่มั่นอีกและอีก

ฐานความรู้สึกอันเป็นสมาธินั้นปรากฏเหมือนช่องว่างที่มีศูนย์กลางในช่องอก และแผ่รัศมีความว่างนั้นออกไปเป็นวงรัศมี ไม่มีลักษณะเพ่งคับแคบเล็งจุดใดจุดหนึ่ง แต่เหมือนทอดตาแลไปจนสุดขอบฟ้าด้วยความนิ่งรู้ผ่อนคลาย หากดวงรู้อันว่างเปล่านั้นเสียศูนย์ ก็จะคล้ายฟองสบู่โย้เย้เสียรูป หรือถูกแทรกแซงด้วยคลื่นลมความคิดซัดซ่า ไม่ตั้งอยู่ในสภาพรู้เห็นสายลมหายใจกระจ่างชัด

ยื้ออยู่กับสภาพล้มลุกของสมาธิเกือบชั่วโมงก็เหนื่อย หมดแรงทั้งทางกายและทางจิต ลืมตาขึ้นเห็นขอบฟ้าเริ่มฉายแสงอาทิตย์อัสดง ก็ลุกขึ้นเดินกลับที่พัก ตั้งเข็มไว้ว่าการนั่งสมาธิที่นี่จะเป็นไปเพื่อประคองจิตให้ตั้งมั่นจนกว่าจะยับยั้งอยู่ในสมาธิได้ยาวๆโดยไม่ขยับเขยื้อน ฉันเพิ่งเห็นโอกาสทองจริงจังก็คราวนี้เอง แต่ไหนแต่ไรการทำสมาธิแม้ดีเพียงใดก็ยังมีกระแสรบกวนจากภายนอกมาบั่นทอนให้ขาดความบริสุทธิ์เสมอ บัดนี้การอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันปลอดโปร่ง ปรับคลื่นความคิดให้นิ่งใสตาม กระแสจิตจึงผ่องแผ้วสะอาดเบาโดยไม่ต้องออกแรงกำหนดอะไรมาก

สภาพโดดเดี่ยวเอกาย่อมปรุงจิตให้คนทั่วไปเปลี่ยวเหงาจับหัวใจ ทว่ากลับแต่งจิตของผู้ปรารถนานิพพานให้อิ่มเอมเปรมสุขเหนือคำบรรยาย เสียงคลื่นกระทบฝั่งแล้วถดถอยสู่ความสงบเป็นระลอกๆ ฟังแล้วแทนที่จะเตือนให้จินตนาการแสวงหาคนรักมาเดินเคียง กลับส่งให้เงี่ยหูสดับตามจริงว่าคลื่นน้ำกระทบสิ่งใดแล้วก็จบไป รอคลื่นลูกใหม่มาปะทะอีกและอีก ครืนครั่นแล้วแผ่วซา แผ่วซาแล้วครืนครั่น มีอยู่เท่านี้จริงๆ ไม่ต่างจากโลกแห่งผัสสะกระทบ เห็นอะไร ได้ยินอะไร ได้กลิ่นอะไร ได้ลิ้มอะไร ได้สัมผัสอะไร ได้คิดอะไร เกิดปฏิกิริยาทางใจวูบหนึ่งแล้วก็ดับ รอการกระทบระลอกใหม่ไม่มีที่สิ้นสุด

ต่อเมื่อไม่แส่ส่ายออกไปรับกระทบหยาบ ไม่ปล่อยให้ปฏิกิริยาทางใจเป็นไปในทางยึดมั่นถือมั่น ไม่ยินยอมถูกครอบงำด้วยความชอบหรือความชัง จิตก็สงบลงเป็นดวงรัศมีผ่องใส จะแผ่กว้างหรือแคบก็ขึ้นอยู่กับกำลังว่าตั้งมั่นได้มากน้อยเพียงใด

วันแรกของการพักร้อนเป็นไปด้วยดี มีใจเต็มร้อยกับการภาวนา สถานที่ก็ช่วยปรุงจิตให้สงบ รวมกันแล้วก่อให้เกิดความรู้สึกที่สมบูรณ์แบบกับการปลีกวิเวกครั้งนี้

มื้อค่ำฉันลังเลว่าจะทานหรือไม่ทานดี นึกๆถึงการรักษาศีล ๘ อยู่เหมือนกัน แต่กิเลสเรื่องกินกับเรื่องนอนยังเป็นแม่เหล็กใหญ่อยู่ในวันนี้ ฉันเริ่มเห็นความแตกต่างระหว่างการมานอนรีสอร์ทกับการไปพักตามสถานที่ที่จัดไว้สำหรับนักภาวนาโดยเฉพาะ การอยู่บ้านหรืออยู่รีสอร์ทนั้น ใจเราจะถูกปรุงให้คิดและรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าสามารถทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ ภาพ เสียง และสัมผัสรอบด้านก็เต็มไปด้วยความรื่นรมย์ ชวนให้เกิดความอ่อนแอ ยอมแพ้ต่อผัสสะเร้าภายนอกมากกว่าจะปรารถนาประคองจิตตั้งมั่นยิ่งๆขึ้นไป

พอถึงเวลาหิว ฉันก็ตัดสินใจเข้าข้างกิเลส ด้วยความคิดว่าจะลองอยู่กินแบบสบายๆเหมือนมาพักตากอากาศแบบชาวบ้านชาวเมืองทั่วไปดูก่อน ถ้าหากไม่มีความคืบหน้าอย่างไรค่อยคิดใหม่อีกทีว่าจะตัดอะไรที่เป็นน้ำหนักถ่วงทิ้งเสียบ้าง

ฉันสั่งอาหารเบาๆและกะทานแค่ครึ่งท้อง คือจะหยุดขณะยังไม่อิ่มเต็มที่ พ่อครัวที่นี่ฝีมือไม่เลว ยากจะอดใจไหว แต่ก็ไหวด้วยความตั้งใจจริงจนได้ ฉันทานไม่หมด และไม่สั่งอะไรเพิ่ม เรียกเด็กเช็กบิลล์แล้วเดินลงชายหาดมืดอย่างไม่กลัวโดนตีหัวชิงเงินเท่าไหร่ เพราะเขตนี้เป็นหาดส่วนบุคคล อีกทั้งมีนักท่องเที่ยวต่างประเทศนั่งนอนบนเตียงผ้าใบเห็นเป็นเงาตะคุ่มอยู่ทั่วไป

เลือกเตียงผ้าใบตัวหนึ่งเพื่อเอนหลังดูทะเลและชมดาว ความมืดยามราตรีก่อจินตนาการได้หลากหลาย ฉันสังเกตตัวเองแล้วพบว่าหลังออกจากสมาธิใหม่ๆกับหลังทานข้าวเสร็จหมาดๆ ปฏิกิริยาทางใจที่มีต่อสภาพแวดล้อมสวยๆจะต่างกันเป็นคนละเรื่อง อย่างเช่นตอนนี้ความคิดเริ่มก่อตัวไปในทางเพ้อฝันเสียมาก ฉากธรรมชาติส่วนใหญ่เหมือนแกล้งให้เรารู้สึกอ้างว้างและต้องการมีภาวะคู่กับคนที่สมกัน

ผัสสะที่ทำให้เกิดราคะอาจไม่ใช่ภาพยวนตาเร้าใจของเพศตรงข้ามเสมอไป โดยมากมักเป็นความคิดหรือจินตนาการของเราเองเสียส่วนใหญ่ ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าตรัสในกามสุตตนิทเทสที่ ๑ ว่ารากฐานของกามย่อมเกิดจากความดำริ เมื่อได้กามตามปรารถนาย่อมอิ่มใจ แต่เมื่อกามเสื่อมไปย่อมกระสับกระส่ายเหมือนสัตว์ที่ถูกศรเสียบแทง

แต่กามนั้น เมื่อยังอยู่ในรูปความดำริ หรือจินตนาการถวิลหา ก็มีกำลังอ่อน ฉันเพียงยอมรับตามจริงว่าขณะนี้กำลังมีราคะอยู่ในจิต มีเพราะมองฟ้ามืด มองดวงดาว มองแสงจันทร์แล้วนึกถึงเพศตรงข้าม นึกถึงภาวะคู่ นึกถึงการเกี่ยวก้อยแนบชิดเอาไออุ่นของกันและกันรับลมทะเลยามค่ำคืน

เมื่อยอมรับตามจริง สติรู้ตามจริงย่อมเกิดในที่นั้นทันที ราคะปรากฏเป็นสิ่งถูกรู้ เห็นเป็นความสุขที่ล่อด้วยเหยื่อในจินตนาการ เป็นเงาวาบหวาม เป็นกระแสอ่อนหวานที่ทรงพลังดึงดูด มีผลให้จิตตั้งอยู่ในอาการเหม่อหา รอคอย และเปี่ยมหวัง

สติที่รู้ชัดในราคะนั้น ทำให้เกิดความรู้สึกตัวขึ้นมาเต็มๆ วินาทีแรกคือเห็นอิริยาบถครึ่งนั่งครึ่งนอนบนเตียงผ้าใบ แล้วต่อมาสติก็เข้าไปรู้ลมหายใจว่ากำลังลากเข้าและระบายออกอย่างมีความสุข สำรวจจิตอีกครั้งก็พบว่าราคะเลือนหายไปแล้ว ผู้ที่ผ่านการอบรมและมีฐานสติไว้ดีแล้ว เมื่อราคะเกิดขึ้นในจิตแล้วรู้ทัน ความรับรู้ก็จะแปรไปที่ฐานสติซึ่งอบรมไว้แล้วนั้นเสมอ

ฉันสังเกตอย่างละเอียดและพบว่า ครั้งนี้ไม่ใช่การยกเอาลมหายใจหรืออิริยาบถปัจจุบันเข้ามาแทรกแซงแทนที่ราคะ แต่เมื่อครู่ฉันยอมรับตามจริง และรู้ตามจริงถึงลักษณะของราคะที่ปรากฏครอบงำจิต เมื่อรู้แล้วภายหลังสติจึงเกิดในอิริยาบถโดยไม่ได้เจตนา

อย่างไรก็ตาม แม้สติจะรู้อิริยาบถปัจจุบัน ก็ถือได้ว่าเป็นการเห็นจิตปราศจากราคะไปด้วยพร้อมกันในคราวเดียว เพราะเมื่อรู้ตัวอยู่อย่างชัดเจนว่าขณะนี้ปราศจากราคะ ก็คือการเห็นภาวะต่างระหว่างจิตมีราคะแบบเมื่อครู่กับจิตปราศจากราคะอย่างเดี๋ยวนี้นั่นเอง การฝึกสติปัฏฐาน ๔ จึงเข้าถึงกันได้หมด ไม่ว่ากายหรือจิต จะเริ่มรู้จากจุดใดย่อมเชื่อมโยงหาอีกจุดหนึ่งในที่สุด ขอเพียงปฏิบัติอยู่ในแนวทางที่พระพุทธองค์วางไว้เท่านั้น

ฉันสังเกตต่อไปอีกว่าจิตที่ปราศจากราคะอาจรู้อิริยาบถ ลมหายใจ หรือกระทั่งลักษณะว่างจากราคะของจิตเอง จุดสำคัญสำหรับขั้นนี้อยู่ตรงที่การรู้ชัดในภาวะต่างระหว่างจิตมีราคะกับจิตไม่มีราคะ เพราะเมื่อรู้ภาวะต่างเหมือนเห็นสองบุคคล ย่อมทำลายความมั่นหมายว่าเราเป็นผู้มีราคะ แต่จะเห็นเพียงจิตมีราคะก็แค่สภาพหนึ่ง จิตไม่มีราคะก็แค่อีกสภาพหนึ่ง

สติรู้ลมหายใจควบคู่กับอิริยาบถครู่หนึ่งก็เคลื่อนไปหาฟ้ามืดและดวงดาวดารดาษอีก ฉันปล่อยอารมณ์ตามสบาย คราวนี้ไม่มีไฟฝันก่อตัวขึ้นอย่างเมื่อครู่ อาจเป็นเพราะสติจดจ้องอยู่ว่าจะเกิดราคะอีกเมื่อใด

หนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินผ่านหน้า เห็นสลัวรางในเงามืดที่แสงนีออนอ่อนๆของรีสอร์ทสาดจับ ดูเป็นคู่ที่สมกันดี ผู้หญิงเอวองค์อรชรอ้อนแอ้น ทรวดทรงเหมือนนางแบบค่าตัวแพง ส่วนผู้ชายก็กำยำล่ำสันดี แม้จะลงพุงไปหน่อย แต่ก็ท่าทางดูแลปกป้องผู้หญิงได้ กับทั้งน่าจะมีเสน่ห์ไม่แพ้กันนัก

ภาพตรงหน้าทำให้อารมณ์กระเจิงขึ้นมาอีก ยอดสุดแห่งสุขขณะอยู่ในโลกมนุษย์ ก็คงเป็นอะไรอย่างนี้แหละ แค่เห็นก็พลอยปลื้มกึ่งอิจฉาอย่างนี้ ถ้ามีเสียเองบ้างจะสุขหวานสักปานไหนหนอ?

เกือบตั้งสติไม่ทัน เพราะจิตถูกดึงดูดเข้าไปอยู่ในภาพเบื้องหน้าจนหมดสิ้น เมื่อครู่แค่เกิดความดำริในกามยังพอกำหนดง่ายว่ามีราคะในจิต แต่ตอนนี้สายตาถูกดูดเข้าไปติดภาพภายนอก เลยไม่ทราบจะรับมืออย่างไร

คิดในใจว่าไม่รู้จะทำอย่างไรก็ไม่ต้องทำ อย่างน้อยที่สุดก็ได้ความรู้ล่ะว่าจิตที่ไปตั้งไว้กับวัตถุภายนอกเต็มเหนี่ยวนั้น ที่จะให้เกิดสติย้อนกลับเข้ามาตั้งอยู่ในฐานที่มั่นเดิมคงยาก

ทั้งที่กระซิบบอกตัวเองอยู่ว่า จิตมีราคะ จิตมีราคะ ตาก็ไม่วายเหม่อตามคู่หนุ่มสาวที่สมกันราวกิ่งทองใบหยกนั้นจนพวกเขาหายขึ้นที่พักไป จึงให้คะแนนตัวเองติดลบ อย่างนี้ไม่ใช่มีสติรู้ราคะในจิต เป็นแค่ท่องเหมือนนกแก้วนกขุนทองว่ามีราคะในจิตต่างหาก การทำงานของจิตยังเป็นคิด ไม่ใช่รู้ เมื่อไม่เป็นรู้ก็ย่อมไม่เห็นภาวะต่างระหว่างมีราคะกับไม่มีราคะ

ลืมราวเกาะไปถนัดใจ ฉันตั้งใจใหม่ว่าคราวหน้าถ้าเห็นวัตถุกามเข้าหูเข้าตา ก็จะทำความรับรู้ลมหายใจไปด้วยเป็นการหารครึ่งระหว่างข้างนอกกับข้างใน ไม่ปล่อยให้จิตส่งออกนอกเต็มที่ อย่างน้อยหยั่งขาข้างหนึ่งไว้กับฐานสติอันปลอดภัย แล้วจะรู้เห็นอะไรจนเกิดราคะแค่ไหนก็ช่าง เพราะแน่ใจว่าอย่างไรก็ไม่เสียศูนย์อย่างสิ้นเชิงแบบนี้



:b38: / วันที่ ๓-๗: บ่มกำลัง..

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 10:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43: วันที่ ๓-๗: บ่มกำลัง

เหมือนฉันกลายเป็นอีกคนหนึ่ง ที่มีชีวิตประจำวันแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง และจิตฉันก็ปรากฏเป็นสิ่งผิดแผก คือฉันมองจิตตัวเองเสมือนเป็นกระจกใสให้คอยระวังฝุ่นละอองหรือขี้เถ้าที่เข้ามาเกาะตลอดเวลา

ธรรมดาเราใช้ไม้ขนไก่คอยปัดฝุ่นเมื่อเห็นละอองปรากฏจับกระจก ถ้าฝุ่นเพิ่งปลิวมาเกาะเพียงน้อย แค่ปัดแผ่วๆฝุ่นก็หายไป ความใสสะอาดของกระจกก็ปรากฏเต็มบานดังเดิม ฉันใดฉันนั้น เราใช้สติคอยตามรู้ฝ้าหมอกกิเลสที่มาจับจิต หากกิเลสเพิ่งรั่วมาเกาะจิตเพียงนิดหน่อย แค่กำหนดสติรู้ว่าขณะนั้นๆมีกิเลสในจิต ความใสสะอาดปราศจากมลทินของจิตก็ปรากฏเต็มดวงดังเดิม และธรรมชาติความผ่องใสของจิตย่อมให้ผลเป็นความรู้สึกเบิกบานในตนเอง

การนั่งสมาธิ ฉันชอบออกไปนั่งที่ชายหาด บางทียอมร้อนไปนั่งบนยอดเขาเตี้ยตอนใกล้เที่ยง เพราะไม่ค่อยมีใครใจถึงขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์กลางแดดเปรี้ยงขนาดนั้น ความจริงแค่ลำบากตอนเหยียบๆจับๆหินร้อนเพื่อป่ายปีนขึ้นสู่ยอดนิดหน่อย แต่พอถึงยอดก็มีร่มไม้ใบบังพออาศัยนั่งพอสบายแล้ว

การเดินจงกรม ฉันอาศัยชายหาดไม่ค่อยได้ เพราะผัสสะระหว่างเท้ากับทรายจะเป็นลักษณะจม ไม่ค่อยก่อให้เกิดสติรู้เท้าชัดแบบเหนี่ยวนำให้เกิดความรู้ทั่วพร้อมทั้งอิริยาบถเท่าใดนัก ช่วงกลางวันฉันจึงต้องใช้ทางเดินค่อนข้างสั้นในห้องพักนั่นเอง ก็ได้ผลดีเหมือนกัน พอตกกลางคืนคนน้อยๆก็ค่อยย้ายไปยึดเส้นทางเดินชมสวนหย่อมของรีสอร์ท ซึ่งมีบางช่วงเป็นทางตรงยาวกว่าในห้องมาก แถมได้บรรยากาศปลอดโปร่งกว่า คือมีโดมมืดพราวแสงดาวเป็นเพดานห้องจงกรม

ในอัคคิสูตร พระพุทธเจ้าตรัสว่าเมื่อใดจิตหดหู่ เมื่อใดจิตฟุ้งซ่าน เมื่อนั้นไม่ใช่โอกาสที่จะเจริญโพชฌงค์ได้ สองสามวันแรกฉันจึงมีธุระง่ายๆแค่สังเกตตามจริงว่าขณะใดนิ่ง ขณะใดเคลื่อนไปเป็นหดหู่ง่วงเหงาหรือฟุ้งซ่านรำคาญใจ กับทั้งทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดสองสภาพดังกล่าวไม่ว่าจะตรงหรืออ้อม ทางตรงก็เช่นรู้เท่าทันขณะจิตเคลื่อนจากนิ่งตื่นไปเป็นหม่นหรือคิดเรื่องที่ผ่านๆมา ทางอ้อมก็เช่นออกกำลังบ้าง ล้างหน้าบ้าง มองฟ้ามองทะเลไกลๆบ้าง หรือมานั่งเขียนบันทึกธรรมเพื่อทบทวนคำสอนของพระพุทธเจ้าบ้าง

หากเผลอปล่อยให้ง่วงหรือฟุ้งจริงๆ ก็มักดูเข้าไปที่ลักษณะง่วงหรือฟุ้งซึ่งมีระดับแปรปรวน มากขึ้นหรือน้อยลงต่างๆกันในแต่ละลมหายใจ ดูไป ๑๐–๒๐ ระลอกลมเข้าออกก็มักค่อยยังชั่วขึ้น เช่นลมแรกๆเห็นความง่วงมีลักษณะกดแรงๆ เหมือนจะดันเราหัวทิ่มลงฟูก พอดูอีกทีในลมต่อๆมาแรงกดนั้นก็คลายลง ทำให้เบลอๆ ชาๆ ครึ่งตื่นครึ่งง่วง แล้วอีกสองลมหายใจต่อมาก็กดให้ง่วงหนักอีก ดูหนักเบาสลับกันซ้ำแล้วซ้ำเล่ากระทั่งแรงกดน้อยลงทุกที ที่สุดก็เบาและเบิกบานอย่างเดียวไป

เมื่อมีเวลาดูเต็มที่ทั้งวัน ฉันจึงเห็นว่าธรรมชาติจิตคนเรานั้น สลับกันไปสลับกันมาระหว่างหดหู่ง่วงเหงากับฟุ้งซ่านรำคาญใจ คนเมืองจะมีธุระปะปังในหน้าที่การงานเกือบตลอดวัน ความฟุ้งจึงมีอายุยืนและถูกหล่อเลี้ยงไว้ด้วยการงานนั่นเอง เรียกว่าฟุ้งอย่างมีเป้าหมาย กระทั่งเมื่อบรรลุเป้าหมายก็เหมือนหายฟุ้งไปชั่วคราว นี่เป็นเหตุผลง่ายๆว่าทำไมคนเราต้องหางานทำ คือไม่ใช่เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอย่างเดียว แต่เพื่อเอามาสนองตอบความฟุ้งยุ่ง จัดระเบียบความฟุ้งไม่ให้คับแน่นในหัวอย่างไร้ทางออก

การยกสติขึ้นคอยรู้ว่าเมื่อใดพายุความฟุ้งก่อตัวขึ้นแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องที่ทำได้โดยง่าย เพราะไม่ใช่ธรรมชาติวิสัยเดิมที่เคยชิน ที่เราเคยใช้ความฟุ้งไปสะสางงานการให้เรียบร้อย อันนี้กลายเป็นเฝ้ารู้เฝ้าดูว่าลมหายใจหนึ่งๆฟุ้งมากหรือฟุ้งน้อยกว่าลมหายใจก่อนหน้า เมื่อหายฟุ้งแล้วแปรเป็นสภาพหดหู่ง่วงเหงาไปแทนหรือไม่ การมีเวลาว่างทั้งวันเฝ้าดูสภาวจิตอย่างเดียวนั้นโน้มน้อมไปทางฟุ้งและง่วงสลับกันไปสลับกันมาเป็นหลัก อาศัยความเพียรในการนั่งสมาธิและเดินจงกรมก็ช่วยไม่ได้มากนัก เพราะเมื่อนั่งหรือเดินได้ราวครึ่งชั่วโมง หรืออย่างเก่งหนึ่งชั่วโมง จิตฉันจะดิ้นรน ไม่อยากนั่งหรือเดินต่อเสียแล้ว

สองสามวันแรกจึงมีบ่อยครั้งที่อึดอัดทรมาน อยากกลับกรุงเทพฯ หรือไม่ก็ไปเปิดหูเปิดตาเที่ยวไหนเสียบ้าง แต่ฉันก็หาทางระบายความอึดอัดด้วยการอ่านหนังสือธรรมะที่พกมาหลายเล่มแทน ไม่อยากแพ้ภัยตัวเอง ไหนๆอยากมาบ่มเพาะกำลังจิตให้แกร่งขึ้นก็ควรให้เป็นไปตามนั้น ถ้าแค่รักษาสัจจะง่ายๆไม่ได้ แล้วจะเอากำลังที่ไหนไปรบกับกิเลสระดับทำลายภพชาติกับใครไหว

พอสู้อดทน เพียรพยายามผ่านไปสามวัน ขึ้นวันที่ ๔ ก็เริ่มเห็นความงอกเงยออกดอกออกผลของสติ คล้ายจิตเป็นม้าที่พยศน้อยลงมาก กล่าวคือเริ่มรู้ลมหายใจได้ต่อเนื่อง ทำให้จิตทรงสภาพตั้งมั่นได้เรื่อยๆแม้ไม่อยู่ในที่นั่งสมาธิหรือเดินจงกรม พอจิตตั้งท่าจะแปรเป็นฟุ้ง หรือก่อหวอดจะดิ้นรนกลับกรุงเทพฯ สติก็เท่าทัน ณ เวลาที่พายุเริ่มก่อตัว แล้วกลับสงบสบายคล้ายไม่ไหวติง ต้องสังเกตจริงๆจึงจะเห็นว่ายังมีระลอกความกระเพื่อมไหวน้อยๆอยู่เกือบตลอดเวลา

ณ จุดนั้นฉันให้คะแนนตัวเองว่า ‘สติ’ อันเป็นองค์แรกของโพชฌงค์ปรากฏขึ้นแล้วในการเจริญภาวนาหมวดจิต คือเมื่อจิตเป็นสมาธิก็รู้ เมื่อจิตไม่เป็นสมาธิก็รู้ เมื่อจิตหดหู่ก็รู้ เมื่อจิตฟุ้งซ่านก็รู้ ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อย่างน้อยก็ยากกว่าครั้งฝึกตามรู้ให้เท่าทันว่ากำลังหายใจออกหรือหายใจเข้าหลายขุม

การจะมีสติรู้อย่างเป็นอัตโนมัติว่าจิตกำลังอยู่ในสภาพใดนั้น กำลังสมาธิมีส่วนสำคัญยิ่ง หากขาดกำลังในแบบนิ่งแล้ว สติก็จะเป็นไปแบบฝืดๆ คล้ายมอเตอร์ที่ขาดน้ำมันหล่อลื่น แม้หมุนก็อืดอาดหรือมีเสียงครืดคราดน่ารำคาญ แต่หากมีความเบิกบานในสมาธิเป็นน้ำมันหล่อลื่นแล้ว มอเตอร์หมุนสติจะทำงานคล่องแคล่วว่องไว ไม่ใช่หมุนแบบไม่เต็มใจ

ผลของการมีสติรู้สภาพจิตเป็นอัตโนมัติได้เสมอๆ คือจิตปรากฏเป็นกระจกที่ใสเด่นขึ้นเรื่อยๆ ที่นึกว่าใสแล้วยังมีใสได้ยิ่งกว่านั้นขึ้นไปอีก เฉพาะเรื่องความใสของจิตนี่พูดกันได้ยาว มีทั้งใสแบบวอบแวบเหมือนอุปาทานไปเองแล้วกลับหม่นมัวอย่างรวดเร็ว มีทั้งใสแบบรู้แช่ๆด้วยความปลื้มอยู่กับความใสโดยไม่ตระหนักว่าตัวปลื้มนั่นก็เป็นหนึ่งในโมหะ

แต่กว่าจะรู้จักจิตที่ใสเหมือนแผ่นน้ำแจ่มกระจ่าง สามารถเห็นทะลุลงไปได้ถึงกรวดหินใต้ท้องน้ำทุกก้อนอย่างคมชัด สมาธิก็ต้องก้าวหน้าไปถึงระดับตั้งมั่นเบาสบายได้นานเกินชั่วโมง กับทั้งมีสติเท่าทันเป็นอัตโนมัติว่าสภาพจิตแปรจากตั้งมั่นไปเป็นอื่นเมื่อใด

ถึงจุดนั้นจิตหดหู่กับจิตฟุ้งซ่านเหมือนเพื่อนเก่าที่หายหน้านาน ส่วนเพื่อนใหม่คือสมาธิจิตเวียนมาเยี่ยมบ่อยขึ้น ยับยั้งอยู่กับฉันยาวขึ้น จึงมีสภาพจิตให้สังเกตเพียงสองชนิดหลักๆ คือเป็นสมาธิหรือไม่เป็นสมาธิ

พอเห็นบ่อยเข้าว่าอย่างนี้จิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ อย่างนี้จิตเคลื่อนจากความตั้งมั่นไม่เป็นสมาธิ องค์ที่ ๒ ของโพชฌงค์คือ ‘ธัมมวิจัย’ ก็ปรากฏเองตามธรรมชาติโดยไม่ต้องพยายามสร้าง นั่นคือเกิดสัมปชัญญะ รู้เห็นอยู่ในขณะแห่งสมาธิว่านี่เป็นเพียงสภาพอย่างหนึ่งของจิต กับทั้งรู้เห็นอยู่ในขณะไม่เป็นสมาธิว่านี่ก็เป็นแค่อีกสภาพหนึ่งของจิต เกิดขึ้นแล้วดำรงอยู่ถาวรไม่ได้ มีกำลังตั้งได้แค่ไหนก็อยู่ได้แค่นั้น ในที่สุดต้องเสื่อมลง หรือแปรปรวนเป็นอื่นเป็นธรรมดา

ธัมมวิจัยอันเกิดจากการฝึกรู้สภาพจิตเกิดดับนั้นมีอานุภาพสูง ฉันไม่รู้สึกถึงความเป็นฉัน สิ่งที่ปรากฏก็แค่สภาพจิตอย่างหนึ่ง ตั้งอยู่ระยะหนึ่งตามกำลัง แล้วเสื่อมสลายลงเหมือนฟองสบู่ที่ได้เวลาแตกออก ไม่มีความพึงใจอื่นใดยิ่งกว่าการทราบชัดว่าจิตทรงอยู่ในสภาพใด แล้วแปรไปเป็นสภาพใด จึงกล่าวได้ว่าองค์ที่ ๓ ของโพชฌงค์คือ ‘วิริยะ’ เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอด้วยความพึงใจนั่นเอง

ถึงจุดหนึ่งที่อิ่มเอิบและเบิกบาน โลกภายในและโลกภายนอกดูโล่งแจ้งไปหมด ฉันก็ตัดสินว่านั่นคือองค์ที่ ๔ ของโพชฌงค์ ทำให้กายของฉันสงบระงับ แต่ความสงบระงับกายขณะเฝ้าสังเกตสภาพจิตนั้น จะไม่ให้เห็นกายโดยความเป็นอิริยาบถ คือกายปรากฏคล้ายแก้วใส มีกรอบ มีขอบเขตสัณฐานเพียงรางเลือนเป็นบางขณะ บางขณะก็เหมือนวัตถุโปร่งแสงที่ไร้รูปพรรณสัณฐานไปเลย เหลือแต่สภาพจิตอย่างเดียว

ฉันเริ่มเห็นว่าอาการไหวของจิตน้อยลงทุกที คล้ายมองไปในอากาศว่างแล้วไม่เห็นร่องรอยของลม ไม่เห็นคลื่นความกระเพื่อมใดๆ มีแต่ความว่างปรากฏอยู่ ก็รู้สึกว่าจิตกำลังจะปรับเปลี่ยนสภาพครั้งสำคัญ

ฉันประจักษ์จากการเฝ้าสังเกตคือแม้บางสภาวะตั้งนานเหมือนจีรังยั่งยืน ในที่สุดก็ต้องแปรปรวนไปเป็นอื่น ประจักษ์ครั้งแรกไม่รู้สึกอะไรมาก ยังเห็นความอาลัยในสมาธิอยู่บ้าง แต่เมื่อประจักษ์บ่อยๆเข้าก็เริ่มลดความยินดียินร้ายลง เมื่อจิตตั้งมั่นก็รู้อยู่ในสภาพตั้งมั่นโดยไม่มั่นหมายว่าเราเก่งที่ดำรงจิตอันสง่างามได้ปานนี้ หรือถึงแม้เมื่อจิตคลายจากสภาพตั้งมั่นก็ไม่อาลัยว่าจิตเราตกลงแล้ว ค่อยๆ เกิดมุมมองใหม่ชัดขึ้นเรื่อยๆ คือสภาพจิตต่างๆไม่ใช่เรา เราไม่ใช่สภาพจิตใดสภาพจิตหนึ่งเลย แล้วจะต้องไปเสียดายสภาพจิตไหนๆทำไมกัน?

ตรงนี้เป็นจุดที่มีสาระสำคัญยิ่ง กระทบไปถึงความอยากได้อยากมีมรรคผล อยากดีอยากเป็นอริยบุคคล จะเร่งรัดเอามรรคผลไปทำไม มรรคจิตก็คือจิตชนิดหนึ่ง ผลจิตก็คือจิตชนิดหนึ่ง ไม่ได้เป็นตัวเราในวินาทีนี้สักหน่อย ก็ตัวเราในวินาทีนี้ยังไม่มี มีแต่สภาพจิตที่เดี๋ยวก็นิ่ง เดี๋ยวก็แส่ส่าย แล้วจะไปหวังเอาสภาพจิตอื่นมาเป็นรางวัลให้ใคร?

เมื่อจิตหยาบ ฉันกลับมากำหนดรู้ลมหายใจด้วยความพอใจจะสร้างความตั้งมั่นเฉพาะวินาทีนั้น เมื่อจิตละเอียด ฉันก็ไม่เผลอหลงใหลติดใจความละเอียด แต่มีสัมปชัญญะรู้ชัดว่าจิตละเอียดประณีตก็แค่ภาวะหนึ่ง แม้ไม่เห็นขณะแห่งการดับ แต่ก็หยั่งรู้ว่าสภาพแบบนั้นไม่เที่ยง มีอันต้องเสื่อมสลายลงเป็นธรรมดาในอนาคต การหยั่งรู้นี้ต่างกับขณะคิดๆเอาว่าเดี๋ยวมันต้องดับ เพราะจิตอยู่ในวาระแห่งการมีสัมปชัญญะรู้ชัด กับทั้งเคยผ่านประสบการณ์เห็นรอยต่ออันเป็นขณะแห่งการแปรสภาพจิตมาหลายหนจนเจนใจแล้วด้วย

ฉันคิดว่าองค์ที่ ๖ ของโพชฌงค์ คือสมาธิ-ความตั้งมั่นของจิต กับองค์ที่ ๗ ของโพชฌงค์ คืออุเบกขา-ความวางเฉยในจิต บังเกิดขึ้นแล้ว แต่สัดส่วนอ่อนแก่หรือบริบูรณ์เพียงใดนั้น คงยังต้องอาศัยการเปรียบเทียบกับการปฏิบัติที่ยิ่งๆขึ้นไปกว่านี้

ฉันได้ข้อสรุปอันมีค่าหลายประการ แต่ประการสำคัญที่อยากบันทึกไว้เหนือสิ่งอื่นใด คือถ้าจะให้องค์สุดท้ายของโพชฌงค์ปรากฏนั้น ต้องปฏิบัติสติปัฏฐานในหมวดจิตดีๆ รู้จักจิตประเภทต่างๆทั้งต่ำและสูง ทั้งหยาบและประณีต มีแต่ความเห็นว่าสภาพจิตหนึ่งเกิดแล้วต้องเคลื่อนจากความเป็นเช่นนั้น ไม่เพลินเผลอหลงไปว่าสภาพจิตใดน่ายินดี ควรแก่การปลาบปลื้ม อุเบกขาในโพชฌงค์เกิดขึ้นเพราะความเห็นอนิจจังบ่อยจนชิน มิใช่เกิดขึ้นเพราะจิตตั้งมั่นวิเศษสุดแล้วแต่อย่างใด



:b38: /วันที่ ๘: ฌาน...

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 10:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43: วันที่ ๘: ฌาน

คืนวันศุกร์ฉันงีบสั้นๆแค่เดี๋ยวเดียว จิตตื่นโพลงสว่างไสวแม้ขณะกำลังหลับ ฉันรู้สึกถึงพลังของจิต รู้สึกถึงพลังขับแห่งสติที่ทรงกำลัง พอใจจะมีความรู้ พอใจจะสอดส่องเข้ามาในขอบเขตกาย เวทนา และสภาวะต่างๆของจิต สิ่งใดปรากฏชัดในขณะหนึ่งๆก็ดูสิ่งนั้น โดยไม่ตั้งแง่รังเกียจว่าหยาบหรือละเอียด ไม่มาดหมายว่าฉันจะต้องดูของละเอียดอย่างเดียวเพื่อความก้าวหน้ายิ่งๆขึ้น เพราะตระหนักว่าจิตอาจก้าวหน้าแล้วถอยหลังได้ตลอดเวลา ถ้าถอยหลังแล้วไม่กำหนดสติรู้ของหยาบให้เสมอระดับกัน ก็เท่ากับปล่อยจังหวะนั้นทิ้งเปล่า เพราะแม้พยายามรู้ของละเอียดเกินตัวก็ไม่อาจรู้ได้อยู่ดี

เช้านี้ลมหายใจปรากฏเป็นลำชัด สว่างไสว เป็นสัมผัสทางใจที่เป็นจริงเป็นจังราวกับตาเห็นสายน้ำตก หรือเหมือนเห็นงูแก้วเลื้อยเข้าเลื้อยออกผ่านโพรงว่างกว้างขวาง เห็นทันกระทั่งหัวกับปลายมีลักษณะรีมน ส่วนลำมีลักษณะเป็นท่อบานๆ

ความสว่างชัดของวัตถุอันเป็นที่ตั้งของสมาธินั้น เท่าที่ฉันทราบมาคือนิมิตชนิดหนึ่ง ยิ่งแจ่มชัดสมจริงและตรงตามรูปพรรณสัณฐานที่แท้เพียงใด ยิ่งเป็นนิมิตทรงคุณภาพมากขึ้นเท่านั้น ในระดับที่นิมิตแสดงสภาพอันปรากฏจริงนี้เรียกกันว่า ‘อุคคหนิมิต’ มีประโยชน์คือเป็นที่ตั้งที่แน่นอนของจิตได้ยืนยาว

ฉันเห็นลมหายใจโดยความเป็นอุคคหนิมิตมาเรื่อยๆ แต่ส่วนใหญ่คมชัดเดี๋ยวเดียวแล้วจางลง ถ้าอยากเห็นอีกต้องเร่งกำลังใหม่ ไขความสว่างกันใหม่ด้วยอาการน้อมนึกดีๆ ไม่เค้นเกินไป แต่ก็ไม่ปวกเปียกเกินไป บางทีอุคคหนิมิตก็หายหนเป็นอาทิตย์ แค่รับรู้สภาพลมเข้าออกชัด และมีความเย็นนิ่งธรรมดาเท่านั้น

แต่ครั้งนี้ต่างไป ฉันรู้สึกถึงกำลังยิ่งใหญ่ คล้ายรถที่มีแรงม้าสูง ซ่อนขุมพลังไว้ใต้ปลายเท้า กดลึกลงไปเพียงใดก็เร่งเครื่องขึ้นได้มากเท่านั้น จนฉันเผลอไปอิ่มใจกับพลกำลังเหลือเฟือในตน กระซิบกับตนเองว่าผู้ยิ่งใหญ่ทางจิตเขาเป็นกันอย่างนี้เอง ทำให้รัศมีจิตกว้างก็ได้ เร่งแสงให้เจิดจ้าก็ได้ หรือแผ่อำนาจน่าคร้ามราวกับจักรพรรดิก็ได้

ทว่าพอทำจิตใหญ่ๆโตๆได้พักหนึ่งสติก็ผุดขึ้นเตือน ว่ามัวเล่นไร้สาระอะไรอยู่ การบังคับให้จิตเป็นไปตามต้องการนั้น คือการส่งเสริมความลำพอง เพิ่มเติมขนาดอัตตา พอกหนาเป็นกำแพงขวางมรรคผลเปล่าๆ เท่านั้นเองจิตก็เชื่องลง หันมาดูปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นแบบเป็นเหตุเป็นผล นั่นคือเมื่อลมหายใจลากยาว สามารถรู้เห็นได้แช่มชัด จิตก็จะยิ่งผนึกแน่นเป็นปึกแผ่นมากขึ้นทีละน้อย

และเมื่อไม่ทำความสำคัญว่านี่คือลมหายใจฉัน นี่คือจิตฉัน แต่เห็นแบบเป็นเหตุเป็นผลว่าเพราะมีลมยาว สติจึงยาวตาม เมื่อมีสติยาว ความมั่นคงจึงต่อเนื่องนาน ไม่ได้มีความมั่นคงของจิตอยู่ก่อน ไม่ได้มีสติรู้ชัดอยู่ก่อน กับทั้งลมหายใจก็ไม่เที่ยง แม้ประณีตเพียงใดก็มาจากความว่างภายนอก แล้วต้องคืนกลับสู่ความว่างอีก และอีก จึงเกิดความตั้งมั่นในแบบที่วางเฉยในความตั้งมั่นนั้น

ฉันประคองสภาพตั้งมั่นวางเฉยพักหนึ่ง รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ จับต้องได้ ควบคุมได้ โดยที่สติรับรู้ความเป็นเช่นนั้นไม่ตก ไม่คลาดเคลื่อน ไม่แปรปรวนไปไหน ฉันดูไปเรื่อยๆอย่างไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น

และแล้ววินาทีแห่งประสบการณ์ระดับมหัคคตกุศลก็อุบัติ เมื่อทุกอย่างคล้ายวูบลงเหมือนเครื่องบินตกหลุมอากาศกะทันหัน ความสว่างนวลลออหายไปเหมือนห้องที่เปิดไฟอยู่ดีๆแล้วมีใครมาปิดพรึบ ทั้งหมดเกิดขึ้นในหนึ่งอึดใจเล็กๆ จากนั้นก็ตามมาด้วยความสว่างโพลงมโหฬารอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในชีวิต จิตรวมลงเด่นดวงกว้างขวาง ฉายสว่างเหมือนการแผดรัศมีของอาทิตย์ยามเที่ยง เหมือนเข้าสู่มิติแห่งความหยุดอยู่กับที่ ไม่มีเวลา ไม่มีอากาศ ไม่มีตัวตน มีแต่ความตรึกนึกถึงสายลมหายใจยืดยาวและนุ่มลึกที่ผ่านเข้าออกกายอันบัดนี้คล้ายเป็นเครื่องสูบลมเข้าออกขนาดยักษ์

จิตหยุดเป็นหนึ่งเหมือนไม่มีเวลา แต่ลมหายใจยังทำตัวเป็นเหมือนเข็มนาฬิกาที่เดินไม่หยุด แต่ละลมเข้าออกคือมหาปีติ มหาปราโมทย์ ชุ่มฉ่ำซ่านเย็นไปทั้งกายใจ ประสบการณ์แรกเป็นความรู้สึกแปลก ไม่เคยสัมผัส ไม่เคยกระทั่งคาดมาก่อนว่ามีอะไรอย่างนี้ด้วย โลกใบเก่าเหมือนสาบสูญไป เหมือนฉันพลัดเข้ามาในเขตปราสาทยักษ์ด้วยความตื่นตะลึงในสภาพอลังการ เพราะนึกว่าโลกนี้มีแต่กระต๊อบหลังเล็กๆที่เคยอยู่อาศัยมาชั่วนาตาปี ปราสาทมั่นคงกว่ากระต๊อบสังกะสีลิบลับปานไหน จิตอันเป็นฌานก็มีเสถียรภาพเหนือกว่าจิตสามัญลิบลับปานนั้น

นานเพียงใดฉันกำหนดไม่ถูก รู้สึกแต่ว่ากำลังถดถอยทั้งที่ยังเสพสุขยิ่งใหญ่ไม่อิ่มหนำ พอจิตกลับมาอยู่ในสภาพที่คิดได้ ความคิดแรกที่ผุดขึ้นในหัวคือเข้าใจแล้วว่าจิตแห่งพรหมเป็นอย่างไร เข้าใจแล้วว่าเหตุใดพระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ในฌานสังยุตว่าผู้กระทำให้มากซึ่งฌานย่อมสงัดจากกาม และเป็นผู้โน้มน้อมไปสู่นิพพานดุจแม่น้ำคงคาต้องไหลบ่าไปสู่ทิศตะวันออก นาทีนั้นฉันไม่ไยดีในสภาพหยาบใน ‘โลกใบเล็ก’ เลยแม้แต่น้อย หากนิพพานเป็นธรรมชาติอันพระพุทธองค์และพระสาวกทั้งหลายสรรเสริญว่าเหนือกว่าสุขในฌาน ก็แปลว่าผู้เข้าถึงนิพพานย่อมไม่มีภาวะใดเปรียบอย่างแท้จริง

ตระหนักซึ้งในบัดนั้นว่าโลกปรากฏเป็นของเล็กจ้อยคับแคบก็ด้วยจิต โลกปรากฏเป็นของโอฬารพันลึกก็ด้วยจิต และบุคคลจะถึงที่สุดของโลก ถึงที่สุดทุกข์ ก็ด้วยจิตเช่นกัน

ฉันย้อนทบทวนสภาพที่เพิ่งผ่านมา ที่รู้สึกเหมือนไม่มีเวลาเพราะจิตเด่นดวงเป็นหนึ่ง รับรู้แต่กายและลมยาว ไม่รู้อย่างอื่น ไร้ความคิดแผ้วพาน ดุจเดียวกับท้องฟ้ายามปราศจากเมฆและฝูงนกจรผ่าน แต่ความจริงฌานจิตยังอิงอยู่กับเวลา มีความคลี่คลายไปจากความเป็นอย่างหนึ่งสู่ความเป็นอีกอย่างหนึ่ง หน้าที่ของผู้เจริญสติในหมวดจิตคือเปรียบเทียบด้วยความรู้ชัดว่าสภาพเมื่ออยู่ในฌานเป็นอย่างไร สภาพเมื่อออกจากฌานเป็นอย่างไร เมื่อเห็นแล้วๆเล่าๆจนชิน ก็เห็นเป็นธรรมดาว่าทั้งฌานจิตและสามัญจิตต่างก็เป็นธรรมชาติที่อาศัยเครื่องปรุงแต่ง ต้องแปรจากสภาพหนึ่งไปสู่อีกสภาพหนึ่งแน่นอนไม่ช้าก็เร็ว

วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ฉันจะได้ปลีกวิเวก พอบ่ายก็ต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯแล้ว ฉันจดบันทึกไว้อย่างละเอียดลออว่ามานี่ได้อะไรบ้าง สุดท้ายที่สุดก็คือประสบการณ์ครั้งแรกในฌาน อันทำให้ความหวังใหญ่ในมรรคผลไม่ไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป เหมือนคนเริ่มเห็นภูเขาอยู่ลิบๆ แม้ว่ายังไม่อาจสัมผัส ยังไม่อาจเข้าถึง แต่ก็มีกำลังใจแล้ว รู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนละจังหวัดหรือคนละประเทศกับภูเขาลูกนั้นอีกต่อไป

ทบทวนสมาธิสูตรเท่าที่จำได้ พระพุทธเจ้าสนับสนุนให้พระสาวกเจริญสมาธิ เมื่อเจริญสมาธิจนมีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริง นี่คือคุณค่าประการสำคัญของสมาธิที่มีผลต่อการเห็นกาย เวทนา จิต และธรรม

ว่าถึงประเภทของสมาธิ พระองค์ตรัสว่าสมาธิภาวนามีอยู่ ๔ ประการ คือ

๑) สมาธิเพื่ออยู่เป็นสุขเฉพาะหน้า คือสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุฌาน ๔ ระดับ ระดับแรกเรียกว่าปฐมฌาน ถ้าว่าตามเกณฑ์กำหนดสติรู้ลมหายใจ ก็คือมีความตรึกนึกในลมหายใจอันยืดยาวสม่ำเสมอ มีอาการตามรู้แนบชัดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับลมหายใจ ประกอบกับมีมหาปีติ มีความสุขสงบเยือกเย็นอันเกิดแต่วิเวก จิตเด่นดวงมั่นคงยิ่งกว่าหินผา เรียกว่าเอกัคคตาจิต ปฐมฌานนี่เองคือภาวะที่ฉันเพิ่งผ่านมาเมื่อครู่ ระดับอื่นๆยิ่งละเอียดขึ้นไป เช่นทุติยฌานมีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน พระพุทธองค์ตรัสว่าความผ่องใสแห่งจิตนั้นเป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะความตรึกนึกในลมหายใจสงบลง เหลือแต่ปีติและสุขเกิดแต่สมาธิดำรงอยู่ และเมื่อบำเพ็ญเพียรจนมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกายเพราะปีติสิ้นไป ก็บรรลุตติยฌาน ถัดจากนั้นถ้าทำถึงระดับไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่ ก็เรียกว่าบรรลุจตุตถฌาน กล่าวโดยสรุปคือเมื่อตั้งอยู่ในสมาธิเช่นปฐมฌานแล้ว ย่อมได้ชื่อว่าเสวยสุขในปัจจุบัน ฤาษีชีไพรนอกพุทธศาสนาก็เข้าถึงกันได้ แต่พระพุทธเจ้าสนับสนุนให้ทำ เพราะทำแล้วจะเกิดความรู้ชัดตามจริง ไม่ถูกครอบงำด้วยกาม พยาบาท ความง่วงงุน ความฟุ้งซ่าน และความลังเลสงสัยใดๆ กับทั้งย้ำชัดสำหรับผู้กลัวติดสุขในฌานไว้ในลฑุกิโกปมสูตร คือสุขอันเกิดจากฌานสมาบัตินั้น บุคคลควรเสพ ควรทำให้เกิดมี ควรทำให้มาก และไม่ควรกลัวในสุขนั้น

๒) สมาธิเพื่อได้ญาณทัสสนะ คือการน้อมจิตกำหนดให้รู้สึกว่ากลางคืนเหมือนกลางวัน กลางวันเหมือนกลางคืน มีใจอันสงัดเปิดเผย ปราศจากเครื่องรัดรึงหุ้มห่อ อบรมจิตให้มีความสว่างอยู่ เมื่อปีก่อนฉันเคยฝึกสมาธิแล้วเคลิ้มเห็นแสงสว่างเป็นดวงใหญ่ราวกับสปอตไลท์ฉายมาจากด้านหน้า ก็นึกว่านั่นคือความสว่างของจิตที่พระพุทธองค์ตรัสถึง แต่อันที่จริงไม่ใช่ จิตที่สว่างแจ้งราวกับกลางคืนและกลางวันเสมอกันนั้น สว่างโล่งตลอดจากภาวะในตัวเอง ไม่ใช่เห็นแสงฉายมาจากทิศไหน แต่เป็นแหล่งกำเนิดแสงเลยทีเดียว ความสุกสว่างในฌานทำให้ฉันเปรียบเทียบแล้วรู้ การอบรมจิตให้มีความสว่างตามความหมายของพระพุทธเจ้าคือให้กำหนดในใจอยู่ตลอดว่ากลางวันกับกลางคืนเสมอกันจนจิตปลอดโปร่งและสว่างโร่เป็นปกติ ไม่ใช่เฉพาะเมื่อเข้าฌานเท่านั้น

๓) สมาธิเพื่อสติสัมปชัญญะ คือการรู้แจ้งเวทนาที่เกิดขึ้น รู้แจ้งเวทนาที่ตั้งอยู่ รู้แจ้งเวทนาที่ดับไป รู้แจ้งอาการจำได้ที่เกิดขึ้น รู้แจ้งอาการจำได้ที่ตั้งอยู่ รู้แจ้งอาการจำได้ที่ดับไป รู้แจ้งความตรึกนึกที่เกิดขึ้นรู้แจ้งความตรึกนึกที่ตั้งอยู่ รู้แจ้งความตรึกนึกที่ดับไป อาการที่จิตตั้งมั่นรู้เห็นอย่างนี้มากๆคือสมาธิเพื่อทำให้เกิดสติสัมปชัญญะ หลังจากเจริญสติปัฏฐานมาระยะหนึ่งฉันถึงเข้าใจ ว่าแค่รู้อาการทางใจโดยความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปนั้น ยังเป็นเพียงสมาธิขั้นที่ก่อให้เกิดสติสัมปชัญญะ ไม่มีกำลังพอจะล้างกิเลสได้ขาด นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมนักจิตวิทยาหรือนักศึกษาบางคนตั้งสติดูความเกิดดับของอารมณ์ภายในแล้วจึงไม่บรรลุมรรคผล เพราะมุมมองของเขายังไม่ถ้วนสมบูรณ์ ยังขาดความเห็นที่ตรงจุด ซึ่งอันนี้จะเทียบได้กับสมาธิประเภทที่ ๔

๔) สมาธิเพื่อความสิ้นกิเลสที่หมักหมมหรือดองอยู่ในสันดาน คืออาการที่เกิดขึ้นเป็นปกติของจิต เห็นความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปในกายใจ โดยทำความเข้าใจไว้แต่ต้นว่ากายใจนี้เป็นที่ตั้งของอุปาทาน กายใจนี้คือบ่อเกิดของความรู้สึกว่านี่เรา นี่เป็นเรา นี่ของเรา หากเห็นแต่ละองค์เกิดขึ้นแล้วต้องเสื่อมสลายลงเป็นธรรมดา ฐานที่ยืนของอุปาทานย่อมพังครืนลงหมดสิ้น และนั่นเองสมาธิประเภทนี้ที่สั่งสมจนสมบูรณ์แล้ว ย่อมทำหน้าที่ประหารกิเลสให้ขาดสูญไป ตามคำสัญญาที่พระพุทธองค์ประทานไว้แก่พระสาวกที่ดำเนินตามรอยบาทแห่งท่าน

สมาธิแต่ละประเภทไม่ใช่ถึงกันได้ง่ายนัก ยิ่งที่จะทำได้ครบทุกประเภทยิ่งหายาก แต่หากดำเนินตามขั้นตอนของมหาสติปัฏฐานสูตรด้วยความเข้าอกเข้าใจ มีความอดทนไม่ด่วนหวังผลเกินกำลัง ภายในไม่กี่เดือนย่อมประจักษ์ผลบางอย่างที่ทำให้เห็นสัจจะความจริงลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ และถ้ามาถึงจุดที่แยกแยะได้ว่าเรากำลังทำสมาธิแบบใด ก็เป็นอันลืมได้เรื่องหลงทางไปนิพพาน

ฉันขับรถกลับกรุงเทพฯด้วยความรู้สึกของผู้สมหวัง ไม่เสียใจเลยที่ยังมาได้แค่ครึ่งทางสู่ดวงดาว การคว้าดาวไม่ได้นั้นใช่จะหมายความว่าดาวจะหนีหายไปไหน ดาวก็ยังแขวนรออยู่ที่เดิม การก้าวเดินไม่หยุดของเราเท่านั้นที่ทำให้เข้าใกล้ไปเรื่อยๆ ขอแค่ให้มั่นใจก่อนเถอะว่าเดินอยู่ในทางตรงจริงๆ มีพระพุทธเจ้าเป็นผู้รับรอง ความรู้สึกก็บอกตัวเองให้อุ่นใจราวกับได้มรรคผลมาแล้ว ทำนองเดียวกับคนมีพื้นฐานวิชาความรู้ตลอดสาย ผ่านการสอบเลื่อนลำดับชั้น ไต่สูงขึ้นมาเรื่อยๆขั้นต่อขั้น น้อยครั้งที่ย่ำกับที่ เห็นแต่ความคืบหน้าของตัวเองก็ย่อมเชื่อมั่นว่าพอถึง ‘ชั้นรับปริญญา’ ก็ต้องผ่านอีก เป็นหนึ่งในผู้ได้รับปริญญาวันยังค่ำ



:b38: /วันที่ ๙: นิมิตสมาธิ...

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 10:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43: วันที่ ๙: นิมิตสมาธิ

วันนี้ไปทำงานตามปกติ ทุกคนมองฉันด้วยสายตาประหลาด และฉันเองก็รู้สึกประหลาดเช่นกัน เดินเข้าบริษัทเหมือนภูเขาลูกย่อมๆ ขณะที่เห็นคนอื่นเหมือนต้นไม้ใบหญ้าหรือกรวดหินดินทรายเล็กจิ๋ว

พยายามเตือนตัวเองว่ากำลังจิตยิ่งใหญ่เริ่มพ่นพิษ เทียบเคียงจิตกับใครเห็นเขาเป็นเด็กน้อยตัวจ้อยไปหมด ความนิ่งอันเป็นเศษตกค้างของอำนาจฌานนั้นมีอานุภาพสูง เห็นผลถนัดหลายประการ แต่ประการสำคัญเมื่อต้องกลับมาข้องเกี่ยวกับมนุษย์ด้วยกันคือกลายเป็นผู้น่ายำเกรง ไม่มีใครกล้าต่อตาด้วย อย่างนี้เอง ผลข้างเคียงของการภาวนาดีๆ อาจยกระดับโมหะให้ประณีตขึ้น แต่ถ้ารู้ไม่ทันว่าจิตกำลังถูกโมหะครอบ โมหะก็จะแน่นหนาขึ้นเรื่อยๆในเรื่องนั้นๆจนดิ้นยาก ใครเตือนก็ไม่ฟัง แม้แต่ตัวเองพยายามสำนึกก็แสนยาก เพราะจิตที่ถูกโมหะปิดบังมานานนั้นยากที่แสงปัญญาจากทิศไหนๆจะส่องทะลุเข้ามาได้

ฉันปรับสติเข้าสู่ภาวะรู้ตัวทันที รู้ว่าขณะนี้จิตถูกโมหะครอบ เป็นโมหะชนิดหลงตัว ถือดีมีมานะ สภาพนั้นหนักคล้ายผ้านวมหนาๆโปะอยู่บนหัว แต่พอรู้ความหนักนั้นตามจริงว่าเป็นโมหะชนิดหนึ่ง สติก็คืนเข้าฐานที่มั่น คือกลับมารู้ว่ากำลังหายใจเข้า และคืนลมหายใจกลับสู่ความว่างภายนอก แล้วรู้ว่ากายกำลังอยู่ในรูปอิริยาบถเดิน รู้สึกถึงฝ่าเท้ากระทบพื้น รู้สึกถึงขาที่ก้าวสลับ รู้สึกถึงสองแขนที่แกว่งตามสบาย และรู้สึกถึงศีรษะที่ตั้งตรง

โมหะหนักๆแปรไป แต่สติกำลังทำงานคล่อง จึงเห็นละเอียดว่าโมหะหนักแปรไปแล้วก็จริง แต่ยังเหลือโมหะเบาๆตกค้าง นั่นคือรู้สึกถึงราศีสง่าที่ฉายออกมาจากจิตอันทรงภูมิ สะท้อนออกด้วยท่วงทีเดินเหินน่าเกรงขาม แต่เมื่อสติเท่าทันว่านั่นเป็นใยโมหะที่ถักทอคลุมจิตอยู่บางๆ สติก็ไปจับที่อิริยาบถอันงามสง่าล้วนๆ จนความสง่าหายไป เหลือแต่อิริยาบถเดินอันจะต้องแปรเป็นอิริยาบถนั่งเมื่อถึงโต๊ะทำงาน ไม่เห็นจะมีสาระอะไรอยู่ในความสง่าของสัตว์สองขาเยี่ยงมนุษย์ เดินแล้วก็เปลี่ยนเป็นนั่ง นั่งแล้วก็เปลี่ยนเป็นยืน ยืนไม่ได้ทนนานเดี๋ยวก็ต้องล้มลงนอน นี่คือสิ่งที่สติอันคมชัดรู้เห็นอยู่ตามจริง

เข้าห้องประชุมเช้านี้ด้วยจิตที่อ่อนน้อม แต่ก็เห็นโมหะปรากฏวูบๆวาบๆตลอดเวลา โดยเฉพาะตอนที่ต้องสบตาใครแล้วคนนั้นเกิดอาการประหม่า ฉันรู้สึกถึงกระแสแรงสูงจากจิตตานุภาพตนเองที่เหนือกว่าทุกคนในห้องประชุมรวมกัน คนในโลกมีจิตโอนเอนอ่อนไหวง่ายเหมือนต้นไมยราบถูกกระเทือนหน่อยก็ลู่หลุบหุบราบ หรือต่อให้พวกมีอำนาจล้นฟ้าอย่างประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี หรือผู้บัญชาการทหารของประเทศ ก็มีจิตตั้งมั่นได้ระดับต้นกล้วย เจอนักมวยแข้งมหากาฬอย่างราคะ โทสะ โมหะเตะฉาดเดียวก็ขาดกลาง

แต่สำหรับผู้ทรงฌานนั้น ความตั้งมั่นอยู่ในระดับโพธิ์พฤกษ์ที่มีลำต้นหนา กิ่งก้านสาขาแผ่ออกให้ร่มเงากว้างไกล ยากจะทำให้สั่นสะเทือนด้วยพายุหรือแม้แต่ขวานใหญ่ จะโค่นได้ต้องมีกำลังมหาศาลจริงๆ

ฉันยังไม่จัดเป็นผู้ทรงฌาน อย่างมากเป็นได้แค่ ‘ผู้ที่เพิ่งแตะๆต้องๆฌานนิดหน่อย’ เพียงทำงานตามประสาคนในโลกได้วันเดียว สำรวจอีกทีก็พบว่าจิตใสๆขุ่นมัวไปเสียแล้ว เฮ้อ! อย่าให้ต้องถึงขนาดกลับไปนับหนึ่งใหม่ก็แล้วกัน

ที่พระพุทธองค์เปรียบฌานเหมือนเด็กอ่อนที่ล้มง่าย ต้องคอยประคบประหงมนั้นจริงยิ่งกว่าจริง ฉันสังเกตจิตอยู่เรื่อยๆ เพิ่งรู้ว่าการต้องสื่อสารกับคนจิตขุ่นทั้งหลายในโลก ก็ทำให้กระแสของเราขุ่นตามไปบ้างไม่มากก็น้อย ขอเพียงใจเข้าไปสัมผัสกับพวกเขา รู้สึกถึงอัตตาอันหนาแน่นของพวกเขา เท่านี้ก็เริ่มเน่าได้เหมือนแอปเปิ้ลปอกเปลือก เจออากาศสองสามนาทีก็ค่อยๆช้ำลงเรื่อย ควรมี ‘เปลือก’ คือสติกั้นไว้ก่อนเป็นด่านแรก

การต้องอยู่ในโลก แล้วคิดกั้นจิตไม่ให้ไปกระทบโลกเต็มๆนั้น ถ้าคิดตามธรรมดาก็เหมือนเรื่องน่าเหนื่อย แต่เมื่อเสพผลหวานชื่นแล้วสักครั้ง ก็จะรู้ว่าควรยอมเหนื่อยไปทำไม

คืนนี้ฉันเพียรเลียนแบบเส้นทางการเข้าถึงฌานของเมื่อวาน แต่นั่งสลับเดินอยู่เกือบ ๓ ชั่วโมงก็ไม่สำเร็จ จนชักเริ่มหงุดหงิดงุ่นง่าน ไหนล่ะแรงดึงดูดทรงพลัง ไหนล่ะความสะอาดว่าง ไหนล่ะความตั้งมั่นไม่เคลื่อนง่าย ทำไมหายไปเร็วนัก แค่ทำงานวันเดียว?

เที่ยงคืนเศษ ฉันกำหนดเลิกภาวนา ตามจิตตัวเองไม่ทันก็ปล่อยไปตามสภาพ ยอมรับว่าโมโห โมโหโลกทำไมต้องวุ่นวาย คนจะมีความสุขซะหน่อย โมโหตัวเองทำไมรักษาฌานแค่นี้ไม่ไหว ชั่วข้ามคืนก็เสร็จมัน

อ้าว! ตายล่ะ! ไหงคิดอย่างนี้เสียแล้ว นี่แปลว่าอะไร ฉันเสียดายเพราะติดสุขในฌานเหมือนคนติดยากล่อมประสาทแล้วไม่ได้เสพตามเวลา หรือว่าเสียใจที่ถอยหลังไม่อาจรู้ชัดรุกคืบเข้าไปในแดนกิเลส หรือแค่เหตุผลตื้นๆคือรู้สึกว่าเคยเก่งแล้วกลับกลายเป็นไม่เก่ง?

แหงนหน้ามองฟ้ามืด จิตใจปลอดโปร่งขึ้นจากสายตาที่ทอดยาว รู้ทั้งรู้ว่าเข็มทิศเริ่มชี้ไม่ตรงทาง แต่ก็เข้าข้างตัวเองว่าเรายังใฝ่ดีแบบที่พระพุทธเจ้าสนับสนุนนี่นา เพียรเพื่อฌานใครว่าไม่ดีเล่า? เสียหน่อยเดียวตรงที่เพียรแล้วล้มเหลวก็หงุดหงิดหน่อยเท่านั้น

เมื่อจับความทุกข์ที่ก่อตัวขึ้นได้ ก็รู้สึกทุเลาเบาบางลง นี่ก็เป็นทุกขเวทนาที่ก่อตัวขึ้นจากแรงปรารถนาในความสงบสุข เป็นทุกขเวทนาประเภทหนึ่ง เมื่อเท่าทันได้ก็เห็นสักแต่เป็นสภาพของมันเช่นนั้น ต้องเสื่อมดับไปเองเป็นธรรมดา แค่ไม่เอาเชื้อมาต่อ ไม่นำฟืนมาเติม คือไม่คิดถึงความล้มเหลวในการทำสมาธิ กำหนดสติรู้สภาพของทุกข์อันเกิดจากการไม่ได้ฌานตามปรารถนา ก็เห็นว่าทุกข์ไม่อาจตั้งอยู่ได้เมื่อขาดเหตุ ต้องสลายลงเป็นธรรมดา สิ่งที่ตามมาคือปีติสุขอันเกิดจากสัมปชัญญะรู้ความดับไปของทุกขเวทนา

ฉันยืนมองดาวนิ่งๆ ไหนๆก็รู้ลมหายใจจนเป็นฌานไม่ได้ ประชดด้วยการเล่นสมาธิแบบอื่นเสียเลย ฉันหลับตาลงเพื่อหลบผัสสะทางตา ถ้าลืมตาฉันจะถูกสิ่งแวดล้อมบีบให้เชื่อว่านี่เป็นเวลากลางคืน เป็นเวลาพักผ่อน หรือเป็นเวลานอนหลับให้สบาย แต่เมื่อหลับตาลง อิทธิพลภายนอกก็น้อยลง ฉันจะอธิษฐานจิตน้อมใจให้เชื่ออย่างไรขึ้นอยู่กับจินตนาการแล้ว

ลากลมหายใจยาว ระบายลมหายใจยาว ด้วยจิตใจผ่อนพัก ไม่ใช่ด้วยเจตนารวมจิตเพื่อแปลงสภาพจากดวงเล็กเป็นดวงใหญ่ ความเย็นกายจากลมดึกและความสบายใจที่หวังน้อย ทำให้จิตสงบตั้งมั่นได้ส่วนอย่างรวดเร็ว แม้ห่างไกลจากฌานหลายร้อยกิโลเมตร อย่างน้อยก็เป็นความตั้งมั่นชั่วคราวที่พอใช้งานได้ตามปรารถนา

ฉันน้อมใจเชื่อว่าท้องฟ้ายามนี้เป็นฟ้าสลัวใกล้อรุณ แค่นึกนิดเดียวก็เหมือนใจเชื่อว่าเบื้องหน้าภายนอกคือฟ้าใกล้รุ่งจริงๆ ฉันไม่ได้เพ่งไกลออกไป ไม่ได้บังคับสภาพภายนอกว่าขอจงเป็นฟ้าสาง ทุกอย่างที่จัดการคือความเชื่อของตัวเองเท่านั้น และเพื่อความแน่ใจว่ายังประคองการนึกอย่างต่อเนื่อง ก็ใช้สติรู้ลมหายใจเป็นเครื่องช่วยเตือน คือหายใจเข้าออกก็สำรวจด้วยความรู้สึกสบายๆทุกครั้งว่ายังมีอาการน้อมนึกหรือไม่ ลมหายใจใดรู้สึกว่าจิตบีบลงมาเป็นก้อนความคิดคล้ายลูกบอลไส้ตัน ก็เพิกอาการนึก ทอดตาตรงสบายๆ รู้ลมหายใจเข้าออกจนปลอดโปร่งแล้วค่อยน้อมนึกถึงทิวากาลใหม่

อุบายวิธีแต่ละอย่างของพระพุทธเจ้า ถ้าลองทำก็เห็นผลเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ อย่างเช่นฉันเคยกำหนดให้จิตสว่าง มันก็ไม่สว่างตามใจนึกง่ายๆ แต่พออธิษฐานทำใจให้รู้สึกว่ากลางคืนเหมือนกลางวันเดี๋ยวเดียวเท่านั้น จิตก็สว่างกว้าง มีความเปิดเผย ไร้ไส้ตัน ไร้สิ่งห่อหุ้มรัดรึง สมนัยกับพุทธพจน์เปี๊ยบ

รอบด้านเหมือนสว่างจ้าและอบอุ่นขึ้นทุกทีราวกับเป็นกลางวันจริงๆอย่างนั้นแหละ สว่างเป็นจริงเป็นจังจนฉันฉงนสนเท่ห์ว่านี่ตกลงโลกกำลังอยู่ในเงามืดหรือหันออกสู่พระอาทิตย์กันแน่ จิตที่มีความตั้งมั่นทำอะไรได้พิสดารหลากหลายอย่างนึกไม่ถึง พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้อธิษฐานกลางคืนเป็นกลางวันให้มากแล้ว ย่อมมีจิตที่ตื่นตลอด ขยันภาวนาได้โดยไม่ง่วงเหงาหาวนอน ฉันก็รู้สึกเช่นนั้นจริงๆเช่นกัน ความสว่างยิ่งแรง ยิ่งกว้าง ยิ่งชัดเท่าไหร่ ใจก็ยิ่งขาวโพลนขึ้นเป็นลำดับ ให้หลับสบายๆกับวิ่งรอบหมู่บ้านตอนนี้ ฉันสู้ยอมเลือกอย่างหลังจะดีกว่า

เมื่อความสว่างตั้งมั่นเข้าส่วน และราวกับลืมตาเผชิญแสงขาวรอบทิศ กระแสจิตก็แผ่กว้างเหมือนพร้อมรับรู้เหตุการณ์ในโลกได้ไม่ติดขัด ทำนองเดียวกับที่จิตตื่นพร้อมจะทำงานเวลาอยู่ในออฟฟิศ ผิดกันคือกระแสรู้ในบัดนี้คล้ายพร้อมทำงานไม่จำกัด อธิบายยาก

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ฉันจำเสียงโทรศัพท์ประจำห้องนอนของฉันได้ นี่นับเป็นน้อยครั้งที่ฉันลืมปิดสัญญาณโทรศัพท์หลังสามทุ่ม แต่การลืมของคนเราบางครั้งก็มีความหมาย เพราะอาจเป็นช่องทางเข้ามาของอะไรบางอย่างหรือใครบางคนที่มีความสัมพันธ์กับเราคั่งค้างให้สะสาง

ในจิตอันสว่างแจ้งจางปางของฉันนั้น เสียงโทรศัพท์ไม่ใช่ปลุกประสาทหูให้ทำงานอย่างเดียว แต่ยังกวนกระแสจิตให้ก่อรูปนิมิตขึ้นแจ่มชัด เป็นใบหน้าคนรักเก่าเมื่อหลายปีก่อนที่ห่างหายเพราะเธอไปเรียนปริญญาโท

ฉันลืมตาขึ้น รู้สึกว่าความรับรู้นั้นเป็นเรื่องธรรมดาสามัญอย่างยิ่ง ทำนองเดียวกับคนธรรมดาได้ยินเสียงตะโกนจากหน้าบ้านว่า “เก็บค่าบริการขนขยะด้วยคร้าบ” แล้วเห็นภาพเด็กเก็บเงินคนเดิมในใจอย่างไรอย่างนั้น ผิดแต่นี่ไม่ใช่เสียงเรียกของคนรักเก่า ทว่าเป็นแค่สัญญาณโทรศัพท์ต๊อดๆเท่านั้น!

หยิบกระบอกโทรศัพท์กรอกเสียงฮัลโหล เสียงจากต้นสายคือหวานใจคนเก่าของฉันจริงๆ ฉันไม่แปลกใจอย่างน่าแปลกใจ ฟังเสียงทักทายนุ่มนวลมีไมตรีของเธอด้วยความยินดีในฐานที่ไม่พบเจอกันเสียนาน ฉันกับเธอจากกันด้วยมิตรภาพ จึงไม่จำเป็นต้องมีทิฐิมานะใดๆเวลาใครคิดถึงแล้วเป็นฝ่ายโทร.หา

เธอขอโทษที่โทร.มาเสียดึก แต่บอกว่าเอาอัลบัมเก่าออกมาเปิดเล่น เห็นรูปที่ถ่ายคู่กันก็คิดถึงฉันจนทนไม่ไหว อยากคุยด้วยเดี๋ยวนี้ ฉันก็ว่าโอเค ไม่เป็นไร เพราะเผอิญยังไม่ง่วง เธอชวนคุยโน่นนี่ รื้อฟื้นเรื่องเก่าๆ ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ ฉันก็โต้ตอบด้วยความเต็มใจ กับทั้งเป็นฝ่ายชวนคุยบ้างเพื่อไม่ให้เธอเก้อเขิน ลงท้ายหลังจากครึ่งชั่วโมงผ่านไป เธอก็เล่าเสียงเรื่อยๆว่าเลิกกับแฟนที่รู้จักกันระหว่างเรียนปริญญาโทในต่างประเทศหลายเดือนแล้ว

ฉันไม่แน่ใจว่าตัวเองดีใจหรือเฉยเมย รู้แต่ว่าคุยกับเธอต่อได้สนิทใจขึ้น และเมื่อเธอเลียบเคียงถามว่าตอนนี้ฉันมีแฟนใหม่หรือยัง ฉันก็ตอบว่าทำงานจนไม่มีเวลาเหลือสำหรับลองคบใคร ความจริงฉันเกือบตอบแบบปิดประตูสัมพันธ์ที่รู้ๆว่าเธออยากขอสานต่อ เช่นตอนนี้ฉันอยากอยู่สงบๆคนเดียวมากกว่าจะคบใคร แต่ด้วยเกรงใจและไยดีต่อเธออยู่มาก จึงตอบเช่นนั้น ซึ่งฟังแล้วแค่ให้รับรู้ว่าต่อจากเธอฉันยังไม่มีเวลาให้ใครอื่น

ครึ่งชั่วโมงต่อมาเธอก็ชวนฉันกินข้าวเย็น ฉันงงๆและอึกอักไม่รู้จะตอบอย่างไร นิสัยขี้เกรงใจหนึ่ง กับความรู้สึกยินดีอยู่ลึกๆหนึ่ง ทำให้ปฏิเสธไม่ออก ทั้งที่ใจบอกตัวเองว่าถ้าขืนรับนัดอาจมีผลกระทบชนิด ‘เสียงานใหญ่’ ได้ ถ่านไฟเก่าที่ไม่เคยมอดดับอย่างแท้จริงนั้น เอาอะไรพัดเข้าไปหน่อยเดียวไฟก็กลับลุกโพลงยาวแน่ เชื่อขนมกินได้เลยว่าทุกอย่างไม่จบง่ายๆด้วยวิธีแกล้งหายต๋อมไปเฉยๆ

พอเห็นฉันเงียบครู่หนึ่งแล้วทำเสียงเอ้อๆอ้าๆ เธอก็บอกว่าเข้าใจ ไม่เป็นไร รบกวนฉันมากแล้ว คงขอลาแค่นี้ หางเสียงน่าสงสารเสียจนกระทั่งใจฉันอ่อนยวบ ลืมคิดถึง ‘งานใหญ่’ อย่างสนิท ตกปากรับคำด้วยอาการกัดฟันเล็กๆ จนเธอถามย้ำว่าเต็มใจหรือเปล่า ฉันก็กัดฟันตอบอีกว่าเต็มใจ

พอวางสายฉันก็มานั่งถอนใจเฮือกบนเตียง ความรู้สึกปั่นป่วนไปหมด เมื่อครู่ทำไมฉันไม่ใช้ประโยชน์จากนิมิตสมาธิ หากรู้ว่าเป็นเธอ ก็แค่แกล้งไม่รับเท่านั้น ตอนนี้สายไปแล้ว อย่างไรพรุ่งนี้ก็ต้องทานข้าวเย็นกับเธอตามนัด

เรื่องเหลือเชื่อในโลกมีมากนัก ได้ยินมาเยอะเรื่อง ‘บังเอิญมีเครื่องขวางมาสกัด’ ขณะกำลังรุดหน้าอยู่ในเส้นทางสู่มรรคผล คราวนี้เจอเข้ากับตัวเองแล้วรู้สึกคล้ายอยู่ในห้วงฝันหรือเกมที่มีการหลอกล่อด้วยเล่ห์เพทุบายแยบยลเป็นชั้นๆ คล้ายให้หาทางออกจากเขาวงกตซับซ้อนไม่พอ ยังมีด่านดักต้อนหน้าต้อนหลังให้วกกลับไปวนในเขต ‘หลงง่าย’ และต้อง ‘ติดนาน’ อีกต่างหาก คะเนได้ล่วงหน้าเลยว่าถ้ามีแฟนตอนนี้ เวลาสำหรับนั่งสมาธิและเดินจงกรมเป็นอันถูกเบียดบังไปจนหมดสิ้นอย่างแน่นอน โดยเฉพาะรู้นิสัยขี้อ้อนของแฟนเก่าคนนี้ดี เธอเป็นคนคุยเก่ง ความรู้มาก หาเรื่องจ้อได้ตลอดสองชั่วโมงไม่ซ้ำ

หนักใจ แล้วก็หลับทั้งครุ่นคิดกังวลเป็นครั้งแรกในช่วงระยะเวลาอันแสนวิเศษที่เจริญสติปัฏฐานจริงจัง



:b38: / วันที่ ๑๐: ราคะของจริง

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 10:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43: วันที่ ๑๐: ราคะของจริง

ตื่นเช้านี้ฉันสืบทอดอาการหนักใจมาจากเมื่อคืน แม้นั่งสมาธิได้ค่อนข้างดีตามเคย แต่ก็ติดความกังวล โดยเฉพาะช่วงก่อนเข้าสมาธิและหลังออกจากสมาธิ เหมือนจิตมีน้ำมันเหนอะหนะเคลือบอยู่ ตอนเดินจงกรมก็มีแต่ใบหน้าคนรักเก่าฉายอยู่ในหัว ถ้าจิตกำลังมีสมาธิดี หากถูกดึงดูดให้ปักติดกับความคิดถึงใครนิดเดียว มโนภาพของคนนั้นจะปรากฏแจ่มชัดราวกับสัมผัสได้จังๆ และสัมผัสเป็นจริงเป็นจังนั้นก็ก่อให้เกิดความรวนเรเหหันได้มากเหลือเกิน โดยเฉพาะถ้ามีสายใยพิศวาสเป็นตัวผูกเชื่อมระหว่างใจกับมโนภาพ

ฉันพยายามพิจารณาโดยความเป็นจิตมีราคะ แต่พอรู้สึกถึงลักษณะราคะอันมีความอ่อนหวาน อบอุ่น อ่อนโยน และเร่งเร้าให้จิตจมปลักแช่อิ่มในอารมณ์นั้น แทนที่สติจะเรืองแสงเป็นปัญญาเห็นราคะดับไปอย่างเคย กลับกลายเป็นความรู้สึกสัมผัสคนรักแจ่มกระจ่าง ขนาดที่คล้ายสำเนียงเสียงและกลิ่นกายของเธอมากระทบประสาทสัมผัสอยู่ตรงนี้ ไม่เพียงราคะจะไม่ดับ แต่กลับทวีขึ้นเป็นสองเท่าสามเท่า

ฉันขบฟันนิดหนึ่ง ลักษณะอันเป็นยางเหนียวหนืดเข้มข้นของราคะเป็นอย่างไร เพิ่งประจักษ์ในบัดนี้ หลังจากที่เคยชินกับจิตอันผ่องแผ้วมาเนิ่นนาน จึงได้ข้อเปรียบเทียบชัดราวกับสองมือแห้งถูกันสบายๆอยู่ดีๆไม่ชอบ กลับเอาไปจุ่มกาวแล้วมาประกบกันให้เหนอะเหนียวเล่นเสียอย่างนั้น

ทั้งวันทำงานด้วยความรู้สึกปั่นป่วน ทั้งดีใจอยากเจอเร็วๆ ทั้งกลัดกลุ้มอยากขอเลิกนัด สองความรู้สึกตีกันเป็นคนละข้างราวกับไม่ใช่ความรู้สึกของคนๆเดียว

เมื่อนัดก็ต้องเจอ พอถึงเวลาเจอเข้าจริง ความรู้สึกฝ่ายต้านก็มลายหายไปจนสิ้น เธอดูดี มีเสน่ห์กว่าเดิมเสียอีก ทั้งท่วงทีกิริยา ทั้งวาจาฉอเลาะ ราวกับไปฝึกปรือวิทยายุทธ์มาจากสำนักไหนสักแห่งจนเข้าขั้นไร้เทียมทาน เล่นเอาฉันงงงวยหลงมนต์เสน่ห์ไปหมด ไม่ว่าเธอจะทำอะไร พูดคำไหน ถูกใจเหลือเกิน

เราอาศัยสัมพันธภาพอันเคยสนิทชิดเชื้อ เดินเกาะแขนกันไปดูหนังรอบดึกโดยไม่เคอะเขินกันและกัน ฉันสนุกและหัวเราะไปกับภาพยนต์บนจอเงินเต็มที่ พอมาถึงกลางเรื่องก็นั่งกะพริบตา บอกตัวเองว่าฉันกลับกลายเป็นคนธรรมดาไปแล้ว ความชุ่มชื่นในฌาน ความเบิกบานในสมาธิ ความสว่างไสวแห่งปัญญารู้ความเกิดดับ ล้วนกลายเป็นภาวะห่างไกลจนเอื้อมไม่ถึง เหมือนครั้งเพิ่งเริ่มต้นสงสัยชีวิตทีเดียว

ราคะของจริงฉุดสติดิ่งลงเหวได้รวดเร็วยิ่งกว่ามือยักษ์กระชาก อดีตคนรักที่วันนี้ทำท่าจะหวนกลับมาเป็นคนรักปัจจุบันทำให้ฉันรู้ซึ้งถึงก้นบึ้งสัจจะ นั่นคือถ้าหากมีกายสัมผัสของคนที่เราพิศวาสเป็นเครื่องกำเนิดราคะ จะไม่มีสติระดับไหนๆเอาชนะ หรือเห็นเป็นของเกิดแล้วต้องดับลงได้เลย เปรียบเสมือนน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ เพราะกายมนุษย์อันเป็นปฏิภาค เป็นเพศตรงข้ามกันนั้น มีแรงดึงดูด มีพลังเหนี่ยวนำให้จิตหลงติดอย่างต่อเนื่องเนิ่นนานโดยไม่ต้องพยายามทำอะไร ขณะที่การเจริญสติปัฏฐานนั้นต้องอาศัยกำลังใจพื้นฐานเป็นอย่างมาก และถ้ากำลังใจขั้นพื้นฐานดังกล่าวถูกครอบงำไว้เสียแต่แรกแล้วด้วยอำนาจความรัก ก็ป่วยการจะพยายามยื้อสติไว้

อย่างนี้เอง การออกบวชเพื่อมุ่งมั่นหลุดพ้นจึงมีกฎห้ามคลุกคลีกับเพศตรงข้ามอันเป็นข้าศึกพรหมจรรย์ พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่าถ้าอยากรักษาพรหมจรรย์ไว้ได้สบายๆ ไม่ควรเห็นสตรีเลยดีที่สุด หรือถ้าเห็นก็อย่าพูดด้วย หรือถ้าจำเป็นต้องพูดด้วยก็ให้มีสติ เพื่อเป็นการสกัดกั้นราคะไว้ไม่ให้รั่วรดถึงจิต แต่นี่ฉันทั้งเห็น ทั้งพูด ทั้งไม่มีสติสกัดกั้นด้วยข้อห้ามใดๆแบบวินัยสงฆ์ สมบัติทางใจเก่าๆเป็นอันสาบสูญสิ้นในพริบตา

กลับมาสู่โลกเก่าที่มีความหวานอ้อยอิ่งเป็นเครื่องเชื่อมให้ติดใจ ฉันรู้สึกฝันเคลิ้ม ตาลอยคิดถึงอนาคตของการอยู่ร่วมกัน ฉันกับเธอเข้ากันได้ดี และเหมือนไม่มีเหตุผลใดๆต้องยับยั้งความสัมพันธ์ไว้ ในเมื่อเดี๋ยวนี้เธอมีงานทำ และเท่าที่ฟังเธอเล่าก็ดูท่าจะก้าวหน้าไปด้วยดี

ไม่กี่ชั่วโมงทำให้คิดไกลได้ขนาดนั้น ยามรัก จิตจะมีปีติสุขเบิกบานไปอีกแบบ ไม่ชุ่มฉ่ำล้ำลึกเหมือนสมาธิ แต่ก็ชื่นมื่นรื่นใจกว่ารสไหนๆ เหมือนมาถึงความสมหวังยิ่งใหญ่ เหมือนมีคำตอบว่าเราจะอยู่ในวันนี้เพื่อใคร เหมือนเสกสวรรค์ให้ปรากฏจับต้องได้ด้วยความปรองดอง ชีวิตถูกบังคับให้มีภาวะคู่ และการมีภาวะคู่ที่เข้ากันได้ก็ใช่จะหาง่ายๆ เมื่อเจอแล้วไยต้องละทิ้งเสีย?

แยกย้ายกลับบ้านเกือบห้าทุ่มโดยยังไม่มีใครหายเพลิน ยังสนุกและอยากคุยกันต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะหมดแรง แต่ความรับผิดชอบของแต่ละคนบังคับให้ต้องฝืนใจอำลาทั้งอาลัย

กลับถึงบ้าน ฉันอาบน้ำแล้วสำรวจจิตใจตัวเอง โล่งอกเล็กน้อยเมื่อพบว่ายังมีกำลังเหลือพอจะนั่งสมาธิเดินจงกรมบ้าง แม้สักน้อยก็ยังดี แต่พอนั่งแค่สองนาที เสียงสัญญาณโทรศัพท์ก็ดังเรียก ฉันนึกไม่ถึงว่าจะมีใครโทร.มาเอาป่านนี้มากกว่าจะลืมปิดเสียงไว้อย่างเมื่อคืน

เธอนั่นเอง แฟนเก่าที่กลายเป็นแฟนใหม่ คนรักของฉันที่เคยพักยกไปเป็นคนรักของคนอื่น เธอบอกคำแรกทั้งสะอื้นว่ารักฉัน และขอโทษที่เคยแพ้ความเหงา ต้องมีคนอื่น ต้องทำให้ฉันเสียใจ ต้องทำให้ความรักระหว่างเราสะดุดไปชั่วขณะหนึ่ง ฉันน้ำตาซึมและสะเทือนใจแรง ตอบเธอว่าไม่เป็นไร สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องธรรมดา ฉันไม่เคยถือโทษโกรธเธอเลย เข้าใจเสมอว่าไปเรียนต่อแล้วต้องเลิกกันนั้น ใครๆเขาก็ประสบกันทั้งเมือง ความเหงามีตัวตนชัดเจนกว่าความรัก และมันไม่ใช่บาปของใครที่ต้องแพ้ความเหงาอันโหดร้ายขณะที่ความรักอยู่ไกลจนกลายเป็นสิ่งจับต้องไม่ได้

ปลอบเธออยู่เกือบสองชั่วโมง ปล่อยให้อารมณ์อ้อยอิ่งไม่จำกัด กระทั่งเธอเป็นฝ่ายเกรงใจและขอโทษขอโพยที่พลอยทำให้ฉันนอนผิดเวลาขนาดนี้ ฉันตอบว่าไม่เป็นไรอีก ความรักยามหวานซึ้งดูเหมือนจะทำให้คำว่า ‘ไม่เป็นไร’ ติดปากเป็นอัตโนมัติดีจริง ทั้งที่ควรพ่วงท้ายเสียหน่อยว่า ‘กรุณาอย่ามีครั้งหน้า’ แต่ความรักก็ห้ามไว้ ไม่ยอมให้ปริปากพูด

สรุปคือวันนี้เป็นวันแห่งความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้ง แต่ขอโทษที ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทุกอย่างล้มพับพังพาบลงไปอยู่ที่ฐาน ไม่มีอีกแล้วสมาธิ ไม่มีอีกแล้วสติ ไม่มีอีกแล้วความมุ่งมั่นแสวงมรรคผล



:b38: / วันที่ ๑๑-๒๒: ความพยายามหว่านล้อม

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 10:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43: วันที่ ๑๑-๒๒: ความพยายามหว่านล้อม

หนุ่มสาวมีความสุขกันอย่างไร ฉันกับแฟนก็ดำเนินไปตามครรลองนั้น ไม่ว่าจะดูหนัง ฟังเพลง ช้อปปิ้ง การมีกันและกันช่างน่าอบอุ่นใจ ทุกอย่างดูดีไปหมด เห็นด้วยไปหมด หัวเราะประสานเป็นทำนองเดียวกันไปหมด

คบแฟนได้ห้าวัน สติฉันค่อยๆกลับมา และทบทวนว่าจะทำอะไรได้บ้างเพื่อกลับเข้าเส้นทางสว่างสายเดิมโดยไม่ต้องทอดทิ้งเธอ ฉันค่อยๆหยอดทีละนิดทีละหน่อย เริ่มจากเล่าว่าหลังเลิกกับเธอ ฉันมีที่พึ่งทางใจเป็นพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่างที่บอกว่าฉันไม่เคยโกรธเธอ รวมทั้งเข้าใจเธอดีทุกอย่าง แต่ฉันก็เป็นปุถุชุนคนหนึ่งที่เศร้าสร้อยและทุกข์หนักได้เหมือนใครๆทั้งหลาย ต้องหาทางดับทุกข์ และวิธีดับทุกข์ที่ฉันพบว่าช่วยได้จริงก็คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงมอบไว้เป็นของกลางประจำโลกให้ทุกคนมีสิทธิ์หยิบจับมาใช้ร่วมสองพันกว่าปีแล้ว ดีกว่าคำสอนไหนๆของใครทั้งหมด ต่อให้สังเคราะห์วิธีกันอย่างเป็นระบบด้วยสมองของนักจิตวิทยามือวางอันดับหนึ่งของโลกปัจจุบันก็ไม่มีวิธีไหนไปทาบได้

ฉันพยายามสรรเสริญพระพุทธเจ้าและหนทางดับทุกข์ของท่านอย่างเลิศลอย แรกๆแฟนฉันก็ฟังอย่างสนใจ ซักถามเอาใจใหญ่ว่าทำไมต้องอย่างนั้น ทำไมต้องอย่างนี้ นี่มาจากไหน นั่นใครเป็นคนพูด แต่หลังๆเริ่มไม่ปิดบังอาการง่วงเหงาหาวนอน หรือเปลี่ยนเรื่องพูดไปเฉยๆ ฉันจึงเริ่มตระหนักว่าท่าทางจะชักจูงเธอผิดวิธีไปหน่อย

แน่นอน ถ้าขืนปล่อยให้สถานการณ์เป็นอย่างนี้ ทุกอย่างคงเอวัง สติและสมาธิฉันเสื่อมถอยลงทุกขณะ ลมหายใจหยาบ จิตหยาบ รู้อิริยาบถไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย รู้เดี๋ยวเดียวแล้ววูบภวังค์ ก็จะไม่ให้เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ในเมื่อคุณเธอเล่นโทร.คุยเช้า กลางวัน เย็น แถมรอบดึกอีกเป็นชั่วโมง ยอมรับว่ายิ่งคุยยิ่งหลง และกลับไปเป็นเหมือนหลายปีก่อนที่ขาดเธอไม่ได้ ถ้าเธอไม่โทร.มา ฉันก็ต้องโทร.ไปอยู่ดี

พยายามเจือธรรมะลงในหัวข้อสนทนาจิปาถะ แต่ก็ยิ่งจางลงตามลำดับ ฉันเกิดความมุ่งมั่นจะทำให้เธอมาชอบธรรมะแบบฉันให้จงได้ เราจะคุยกันแต่เรื่องปฏิบัติภาวนา ฉันจะสอนเธอทุกอย่าง ตามฉันมาทุกก้าว แล้วในที่สุดก็ได้กอดคอกันไปนิพพาน ไม่มีใครต้องเป็นทุกข์ ไม่ต้องเจอแล้วจาก ไม่ต้องลำบากในโลกแห่งความมีคู่แล้วไร้คู่อีก

พรุ่งนี้วันอาทิตย์ ฉันนัดเธอไปเที่ยวต่างจังหวัด ล่อหลอกด้วยน้ำตก ซึ่งแน่นอนเธอตื่นเต้นและยินดีร่วมทางอย่างเต็มใจ ฉันหลับอย่างมีความสุขยิ่งเป็นคืนแรกในรอบสองอาทิตย์ที่ผ่านมา มาดหมายว่าพรุ่งนี้ทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ฉันจะมีคนรู้ใจ มีเพื่อนคุยธรรมะ มีเพื่อนร่วมภาวนาแสวงมรรคผลนิพพาน คงไม่มีคู่ไหนในโลกอีกแล้วที่เป็นสุขเท่าคู่ของฉัน



:b38: / วันที่ ๒๓: สอนภาวนา

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 10:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43: วันที่ ๒๓: สอนภาวนา

เดินทางไกลข้ามจังหวัดมาเยี่ยมชมน้ำตกงามแห่งหนึ่งที่นักท่องเที่ยวไม่พลุกพล่านนัก ฉันกับแฟนลุยน้ำเย็นสลับกับเดินเท้าลัดเลาะขึ้นสูงไปตามขั้นน้ำตก กระทั่งล่วงถึงช่วงกลาง แฟนฉันก็ขอพักเหนื่อยยาว เพราะบริเวณนั้นค่อนข้างร่มรื่นกว่าทุกจุดที่ผ่านมา แถมไม่ค่อยมีคนแวะพักมากนัก เนื่องจากมาถึงชั้นนี้ก็อยากลุให้ถึงชั้นยอดเพื่อทอดทัศนาความงามอันลือเลื่องบนนั้นเร็วๆ

ฉันเป็นคนเลือกใต้ร่มไม้ใหญ่ที่มีพื้นกว้างพอจะนั่งพักสบายๆทั้งสองคน เป็นตำแหน่งปลอดสายตา แม้ไม่ถึงกับลับเหลี่ยมมุมบัง แต่คนผ่านทางส่วนใหญ่ถ้ามองแบบไม่สนใจก็ไม่เห็นว่ามีคนนั่งอยู่

คุยกับคนรักสองสามคำ แล้วก็เริ่มสร้างแรงบันดาลใจตามที่วางแผนไว้ คือขอตัวนั่งสมาธิเพื่อพักสงบสักครู่ ช่วยดูต้นทางให้ด้วย เผื่อมีเสือหรือหมีโผล่มาจะทำร้าย ก็ขอให้ปกป้องฉันไว้ดีๆ แฟนฉันหัวเราะและเห็นเป็นเรื่องสนุก รับปากว่าจะเฝ้าดูให้อย่างไม่คลาดสายตา แต่ขอร้องว่าอย่าถอดวิญญาณออกจากร่าง เพราะถ้าเธออยากเดินขึ้นยอดน้ำตกแล้วไม่รู้จะไปชวนฉันที่ไหน

ธรรมชาติช่วยให้จิตใจปลอดโปร่ง เหนี่ยวนำให้กลับสงบได้เร็ว อาจบวกกับแรงอธิษฐานมุ่งมั่นจะชักจูงหวานใจมาหัดสมาธิด้วย พอตามรู้ลมหายใจเข้าออกโดยความเป็นสภาพไม่เที่ยงเพียงห้านาที กระแสจิตก็สงบลงและเปิดแผ่ออกในลักษณะปล่อยวาง เป็นความปล่อยวางในลมหายใจ เมื่อเห็นชัดว่าเข้ามาแล้วต้องออกไปเป็นธรรมดา เกิดขึ้นแล้วต้องดับลงตามธรรมชาติ

ฉันเป็นสุขในอิริยาบถนั่งนิ่งไม่ไหวติง รู้ศีรษะตั้งสบาย รู้สองแขนตกแนบลำตัว รู้ตรงไหนสบายตรงนั้นราวกับแต่ละชิ้นแต่ละส่วนเป็นเครื่องกำเนิดความเกษม ซึ่งพอถึงจุดดังกล่าว ฉันก็น้อมจิตทันที นึกถึงคนรักแล้วอธิษฐานว่าขอเธอจงสนใจใคร่ทำสมาธิให้สงบได้แบบฉันบ้าง

อีกครู่หนึ่งฉันก็เปิดเปลือกตาขึ้น สมหวังในเบื้องต้นเมื่อพบว่าคนรักกำลังจ้องมองตาแป๋ว มีแววสนเท่ห์และสนใจใคร่อยากรู้ผิดไปกว่าเคย เธอบอกว่าไม่นึกเลย หลายปีผ่านไปฉันมีรสนิยมแบบฤาษีไปได้ ตอนฉันนิ่ง ดูคล้ายเครื่องสูบลมเข้าออกขนาดใหญ่ที่มีความสุกสว่างแปลกตาดีแท้

ฉันแค่ยิ้มๆ บอกเธอว่าภาพปรากฏภายนอกเป็นของตื้น แต่มุมมองภายในเป็นของลึกซึ้ง เป็นรสอันเหนือรส เป็นสภาพที่ขอหยิบขอยืมหรือปล้นชิงกันไม่ได้ แฟนฉันเบะปากนิดหนึ่ง ก่อนว่าฉันโฆษณาเสียจริง ไหนลองสอนให้ทำบ้างซิ

ฉันดีใจจนตาเป็นประกาย อำนาจอธิษฐานโน้มน้าวใจเธอสัมฤทธิ์ผลแล้ว ขั้นต่อไปคือสอนเธออย่างเป็นขั้นเป็นตอน ฉันจะถ่ายทอดสมบัติภายในทุกชิ้นให้กับเธออย่าไม่หวงแหนไว้แม้แต่น้อย เริ่มต้นที่คิดว่าง่ายสุดสำหรับเธอ คืออธิบายเรื่องจิตปกติของคนเราโอนเอนไปทางคิดๆๆ เรียกว่าฟุ้งซ่าน พอไม่มีอะไรจะคิดก็เหม่อลอย ไม่รู้ตัวว่ากำลังมีเรื่องใดปรากฏอยู่ในหัว บางครั้งไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากระทำการหรือตัดสินใจเลือกอะไรไปเพราะเหตุผลชนิดไหน การปล่อยให้ฟุ้งสลับกับเหม่ออย่างปราศจากเครื่องเกาะของสตินั้น คือความสูญเปล่า และนำมาซึ่งทุกข์อันไม่อาจพยากรณ์

พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ลมหายใจมากๆ เอาง่ายๆก่อนแค่รู้ไปเรื่อยๆเท่าที่สามารถทำ คือกำลังหายใจออกหรือหายใจเข้า หากมีลมหายใจเป็นเครื่องเกาะที่แน่นอนของสติ เราก็มีตัวชี้วัดว่าขณะหนึ่งๆกำลังมีสติหรือไม่มีสติ

แต่ธรรมดาคนเราฟุ้งหนักมาทั้งชีวิต จะให้พอใจไปยึดสิ่งใหม่มาเป็นเครื่องเกาะนั้นยาก เพราะหมายถึงการปรับเปลี่ยนนิสัยทางจิตกันชนิดกลับขั้ว ฉะนั้นจึงควรหัดทำสมาธิเพื่อสร้างความสุขความพอใจจะรู้ลมหายใจเสียก่อน เมื่อรู้จักลมอันเป็นที่สบาย มีสติเห็นชัดแล้วเป็นธรรมชาติแล้ว ก็แปลว่าเราจะมีราวเกาะสำหรับสติให้หยัดตั้งยืนขึ้นทั้งวัน เนื่องจากลมหายใจมีเข้าออกตลอด ๒๔ ชั่วโมง

เธอรับฟังอย่างสงบจนฉันปลื้ม และเมื่อพอจะเข้าใจเหตุผลเบื้องต้นว่าสมาธิแบบพุทธนั้น ทำไมควรใช้ลมหายใจเป็นเป้าจับ ฉันก็ให้เธอหลับตาลง และบอกว่าจะคอยทักให้เป็นขณะๆว่าทำจิตทำใจไว้ถูกหรือเปล่า

เธอปิดตาลงด้วยความไม่แน่ใจนักว่าอะไรเป็นอะไร ไม่ต้องมีสัมผัสทางจิตก็เห็นถนัดว่าเปลือกตาเธอเต้นยิบๆอย่างคนบังคับความคิดตนเองให้ปลงใจนิ่งไม่ได้ ฉันจึงขอให้เธอลืมตาขึ้นมองไปข้างหน้าสบายๆ จำไว้ว่าอาการทอดตาสบายตรงๆเป็นอย่างไร จากนั้นจึงให้ปิดเปลือกตาลงใหม่ แต่สายตายังทอดไปข้างหน้าเหมือนเดิม พอดูแล้วว่านั่นทำให้ใจเธอปลอดโปร่งกว่าเดิม จึงชี้ว่าลมหายใจของเธอมีอยู่แล้ว ไม่ต้องสร้างทำขึ้นเป็นพิเศษ แต่แค่รู้ตามจริงเหมือนถามตัวเองว่าขณะนี้หายใจออกหรือหายใจเข้า

พอสังเกตเห็นลมหายใจเธออ่อน เข้ายาวกว่าออกมาก ฉันให้เธอคิดว่าจะถอนใจยาวเหมือนเพิ่งเสร็จงานแล้วโล่งอก กับทั้งให้สังเกตด้วยว่าเราจะรู้ลมถนัดขึ้นถ้าหายใจออกยาวเสมอหรือใกล้เคียงกับหายใจเข้า อุบายง่ายๆคือเริ่มต้นด้วยความคิดว่าจะถอนใจให้เกิดความโล่งอกนี่แหละ แม้ที่พระพุทธเจ้าสอนอานาปานสติท่านก็ให้กำหนดสติรู้ลมหายใจออกก่อนลมหายใจเข้า ฉันเพิ่งเห็นค่าในแง่การเริ่มต้นสำหรับมือใหม่ชัดเจนก็คราวนี้เอง เสียดายเมื่อฉันเริ่มต้นไม่มีใครชี้ให้

สำหรับฉันเอง นี่ถือว่าเป็นการเจริญสติปัฏฐานอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าให้ผู้ที่ฝึกรู้ลมหายใจตัวเองโดยความเป็นของเกิดดับแล้ว ท่านให้ฝึกรู้ลมหายใจของคนอื่นโดยความเป็นของเกิดดับด้วยเช่นกัน เพื่อความเห็นชัดว่าทั้งของเราของเขา ต่างก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วต้องดับลงเป็นธรรมดา ไม่ใช่เฉพาะของเราที่ไม่น่ายึด ของคนอื่นก็ไม่น่ายึดเสมอกันด้วย

ลมหายใจของคนรักฉันค่อนข้างแผ่วอ่อน เห็นชัดจากอาการทางกายที่กระเพื่อมน้อย และเป็นเหตุให้คลื่นความคิดฟุ้งซ่านเข้าแทรกแซงง่าย หรือไม่ก็โงกง่วงไว ฉันจึงขอให้ระบายลมออกยาว และหายใจเข้ายาวเป็นระยะๆ เพียงจับสังเกตด้วยตาเปล่าว่าลมหายใจใครกำลังเข้าหรือออก กำลังยาวหรือสั้น เพียงสักสองสามระลอกลม แค่นั้นเราก็จะเริ่มเห็นความรู้สึกของเขาแล้วว่ากำลังเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ กำลังหดหู่หรือฟุ้งซ่าน คลื่นจิตที่มาประกอบพร้อมอยู่กับแต่ละลมหายใจจะถูกรู้ได้ด้วยสติของเราอย่างชัดเจน ราวกับเห็นกลุ่มหมอกควันเข้มขึ้นหรือจางลง หากฝึกจนชำนาญแล้ว แม้ไม่เห็นหน้าก็บอกได้ว่าใครกำลังหายใจสั้นหรือยาว คลื่นจิตกำลังเปิดสบายหรือขมวดแน่น หดหู่หรือฟุ้งซ่าน ซึ่งจะทำให้พิจารณาว่าสภาวะหนึ่งๆสักแต่เป็นสภาพเกิดแล้วต้องดับลงเป็นธรรมดา บางทีจะง่ายกว่าสังเกตของตัวเองเสียอีก

ทว่าด้วยความที่คนรักของฉันไม่สมัครด้วยตนเองมาแต่ต้น พอทำๆไปแล้วเหมือนจะหลับ เธอก็ลืมตายิ้มให้เพลียๆ สังเกตด้วยตาโดยไม่จำเป็นต้องอาศัยจิตสัมผัสก็ทราบได้ เธอกำลังคิดว่าไม่รู้จะทำไปทำไม

ฉันไม่ฝืนใจ ชักชวนเธอเดินชมน้ำตกต่อ แต่อย่างน้อยก็ได้เริ่มต้นไปบ้างแล้ว หวังว่าจะมีความคืบหน้าวันต่อวันแบบหยอดเหรียญใส่กระปุก เดี๋ยวก็ต้องเต็มขึ้นมาเองจนได้

ขากลับระหว่างนั่งในรถ คนรักของฉันหลับตารู้ลมหายใจเล่นๆ ปรากฏว่าเธอหลับอย่างสบายเป็นพิเศษ ตื่นขึ้นมาก็บอกว่ารู้สึกดี และจะพยายามทำอีกเรื่อยๆ คำพูดของเธอทำให้ฉันเกิดกำลังใจ และมาดหมายว่าความสัมพันธ์อันดีกำลังจะก่อตัวขึ้นในอีกรูปแบบหนึ่ง คือเป็นกัลยาณมิตรให้แก่กันและกัน ไม่ใช่คบกันเพียงเพื่อเสพสุขร่วมกันแบบโลกๆเหมือนคู่อื่นไหน



:b38: / วันที่ ๒๔-๓๐: เถียงจากคนละโลก

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 10:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43: วันที่ ๒๔-๓๐: เถียงจากคนละโลก

ครั้งต่อๆมา ไม่ว่าจะคุยโทรศัพท์หรือเจอหน้ากัน ฉันพยายามตั้งข้อสนทนาให้โยงเข้ามาเกี่ยวข้องกับการฝึกสติตลอด และได้ใจที่เห็นคนรักของฉันรับฟังเสมอ ฉันกระตือรือร้นยิ่งกว่าความก้าวหน้าของตัวเอง โดยเฉพาะเมื่อเธอมีคำถาม และฉันสามารถกำหนดจิตช่วยไขข้อข้องใจหรือขจัดอุปสรรคให้เธอได้

อย่างเช่นวันหนึ่งเธอนั่งสมาธิแล้วเกิดความเครียด ทั้งที่ก็แน่ใจว่าพยายามรู้สบายๆ พอฉันให้เธอลองทำ ก็เห็นอาการพยายามดึงลมหายใจยาวผิดปกติ ฉันก็ชี้ให้เห็นว่าระหว่างวันเธอยังหายใจอ่อนอยู่ จู่ๆจะมาเร่งลมให้แรงปุบปับ พอทำนานไปก็เครียดน่ะซี ลมที่ไม่เป็นธรรมชาติ ไม่สมส่วนกับการหายใจตามปกตินั้น จะนำมาซึ่งผลข้างเคียงอย่างใดอย่างหนึ่งเสมอ ฉันจึงแนะนำให้หัดหายใจขณะหลับตาทำสมาธิให้เท่าๆกันกับขณะลืมตาระหว่างวัน รวมทั้งหมั่นเน้นให้เธอเห็นว่าการรู้ลมหายใจระหว่างวันจนเป็นอัตโนมัติ มีความสำคัญยิ่งกว่าการนั่งหลับตาทำสมาธิชั่วคราวประเดี๋ยวประด๋าว เพราะสติที่เกิดขึ้นเรื่อยๆตลอดวัน ย่อมมีกำลังมากกว่าสติที่ตั้งอยู่แค่สิบนาทีหรือครึ่งชั่วโมง

ต่อข้อสงสัยว่าแล้วอย่างนี้ตั้งสติเฉพาะตอนลืมตาในชีวิตประจำวันไม่ดีกว่าหรือ ทำไมต้องลำบากลำบนนั่งสมาธิด้วย ฉันก็อธิบายจากประสบการณ์ว่าการตั้งหลักด้วยวิธีฝึกหลับตากำหนดให้เท่าทันลมหายใจเข้าออก มีส่วนช่วยเกื้อหนุนให้เกิดสติระหว่างวันเป็นอันมาก โดยเฉพาะถ้าเราฝึกในช่วงเช้าหลังตื่นนอนกับช่วงค่ำก่อนนอนหลับ จะเป็นการช่วยปัดเป่าความฟุ้งให้เบาบางลง ทำให้มีความสุขความสบาย และพึงใจตั้งสติตามลมหายใจยิ่งๆขึ้น

ฉันให้กำลังใจว่าช่วงเริ่มต้นนี้เธอยังต้อง ‘ตามรู้’ คือยังต้องกำหนดสติตั้งใจดู ไม่ตั้งใจไม่ได้ บางทีจึงรู้สึกว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อ แต่ฉันบอกได้เลยว่าเมื่อเกิด ‘จิตผู้รู้’ แล้ว สติเป็นอัตโนมัติแล้ว ถึงแม้ไม่ตั้งใจจะรู้ก็รู้เอง เป็นสุขกายสบายใจตามสภาพจิตที่ปลอดจากความฟุ้งซ่านเอง ซึ่งข้อนี้ทำให้เธอเริ่มเห็นคุณค่าในอันที่จะฝึกให้ต่อเนื่อง เพราะที่ผ่านมาเธอรำคาญความฟุ้งซ่านชนิดหยุดไม่ได้ของเธอเองเต็มแก่

ทุกอย่างเหมือนดำเนินไปด้วยดี แต่คนเราคบกันนานๆ พูดกันบ่อยๆ โอกาส ‘พลาด’ ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็เกิดขึ้นได้เสมอ และบางทีการพลาดก็ตั้งต้นจากคำถามง่ายๆซึ่งไม่น่าเป็นชนวนเหตุของความขัดแย้งที่ตามมาได้เลย

เธอถามว่าอะไรดึงฉันมาสนใจการปฏิบัติธรรมภาวนาขนาดนี้ ทั้งที่แต่ก่อนไม่เคยพูดถึงพุทธศาสนา ไม่เคยพูดถึงพระพุทธเจ้า และยิ่งไม่เคยพูดถึงการเจริญสติปัฏฐานสักคำ ฉันก็เล่าย้อนความนับแต่เจอครูธรรมะคนแรก รวมทั้งเอาสมุดบันทึกลับเฉพาะให้คนรักอ่านด้วย โดยลืมไปสนิทว่าบันทึกวันที่ ๙ นั้น มีคนรักของฉันเกี่ยวข้องอยู่ด้วย ฉันบรรยายกระทั่งความรู้สึกลำบากใจในการรับนัดของเธอ

ไม่นึกว่าเธอจะคิดมากขนาดนั้น ได้เห็นจริงๆว่าความคิดคนอื่นเป็นอนัตตาอย่างไร ควบคุมให้เป็นไปตามปรารถนาไม่ได้อย่างไร เธออ่านเสร็จก็ถามว่าวันหนึ่งฉันจะทิ้งเธอไปไหม?

ฉันอ้ำอึ้ง และตอบอย่างหนักแน่นว่าถ้าเราเป็นเพื่อนร่วมปฏิบัติภาวนากันไปเรื่อยๆอย่างนี้ ฉันไม่มีเหตุผลใดๆจะต้องหันหน้าไปจากเธอ ในเมื่อฉันก็ยังอยู่บนเส้นทางเดิม แต่เธอก็ถามอีกว่าแล้วถ้าฉันถึงภาวะเหนือโลกล่ะ อ่านจากประสบการณ์หนึ่งอาทิตย์ที่ปลีกวิเวกในช่วงต้นเดือนนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าฉันจะไม่มีความยินดีข้องเกี่ยวกับเพศตรงข้ามเลย ถึงเวลานั้นฉันจะเอาเธอไปไว้ที่ไหน?

ฉันเกือบพูดไม่ออก บอกแต่ว่าฌานไม่ใช่ของเกิดกันได้ง่ายๆ เกิดมาฉันเพิ่งทำได้หนเดียว แล้วอย่าว่าแต่ฌานเลย สมาธิชั้นดีที่พาใจพรากห่างจากกามก็ยังไม่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอขณะต้องดำรงชีวิตแบบคนเมืองอย่างนี้

แต่ความคิดประจำเพศไม่ทำให้เธอหยุดยั้ง เธอมีคำถามพาลพาโลตามมาอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่นคาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้ว่าทำไมฉันต้องคิดไปนิพพาน อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นการเอาตัวรอดหรอกหรือ? ฉันตอบว่าเปรียบเหมือนคนกำลังจะจมน้ำ พอใครมาบอกวิธีขึ้นเรือก็ต้องรีบขึ้นเรือ พอใครมาบอกทิศทางและวิธีพายเรือเข้าฝั่งก็ต้องรีบแล่นไปหาฝั่ง คงไม่มีใครทิ้งโอกาสทองมาตะเกียกตะกายต่อ เพียงเพื่อได้รับการสรรเสริญว่าเป็นผู้ไม่เอาตัวรอด และคิดดีๆ ผู้ลอยคอกลางน้ำด้วยกันย่อมไม่อาจหอบหิ้วกันเองกระทุ่มตัวเข้าหาฝั่งได้สำเร็จ ต้องมีใครสักคนเพียรขึ้นฝั่งเสียก่อน แล้วค่อยหาวิธีต่อเรือลำใหม่มาช่วยคนที่ยังอยู่ในน้ำได้อีก

ฉันยกตัวอย่างว่าแม้เอาตัวยังไม่รอด ก็มีแก่ใจห่วงเธอ และเพียรพยายามช่วยเหลือเธออยู่อย่างเต็มกำลัง อย่างนี้จะเรียกว่าเห็นแก่ตัวได้อย่างไร เธอเล่นไปคิดห่วงล่วงหน้าถึงอนาคตไกลๆ กลัวฉันจะบวช กลัวฉันจะหลีกเร้นหายหน้าไป ขอให้ย้อนกลับมาสำรวจเถอะว่าถึงไม่ต้องคิดบวชสละโลก เธอเองเคยทิ้งใครมาก่อนไหม? คนที่กำลังมีกิเลสในโลกนี่แหละ มีโอกาสหลายใจ เปลี่ยนใจ แปรใจเป็นอื่นคิดทิ้งขว้างกันยิ่งกว่าคนใฝ่ใจทางธรรมมากนัก

เธอเงียบอึ้งไปนาน ก่อนยอมรับว่าคิดมากไป ห่วงว่าฉันเบื่อแล้วจะทิ้งง่ายๆ เธอคงทนไม่ได้ ฉันฟังด้วยความสะอึกอึ้งเงียบงัน คนเราเป็นกันอย่างนี้จริงๆ ตอนทิ้งคนอื่นไม่เป็นไร แต่ใครอย่ามาทิ้งตัวก็แล้วกัน โลกแตกเป็นเสี่ยงๆแน่

นับแต่วันที่เถียงกันครั้งแรก ฉันรู้สึกว่าแฟนชักกังวล ไม่เป็นสุข และไม่ค่อยเต็มใจคุยเรื่องภาวนาอีก หรือคุยแกนๆไปอย่างนั้น ไม่ขวนขวายกระตือรือร้นเหมือนช่วงต้น ฉันจึงตระหนักเลยว่า การทำความเข้าใจศาสนาให้เกิดความเห็นถูก เห็นชอบ เห็นตรงนั้น สำคัญกว่าการทำสมาธิ หรือแม้แต่การเจริญสติ เพราะความเห็นที่ถูกตรงขึ้นใจเท่านั้น จะพาเราขึ้นทาง และรักษาเราไว้ในทาง ส่วนการทำสมาธิและการเจริญสติที่ปราศจากความมีใจสมัครและเห็นชอบด้วยตนเองนั้น อาจถูกละเลยและทิ้งขว้างเมื่อใดก็ได้ที่เกิดความเห็นผิดอื่นๆมาเบียดเบียน

และกว่าใครสักคนหนึ่งจะเห็นถูก เห็นตรง กับทั้งมีใจปรารถนามรรคผลนิพพานด้วยตนเองนั้น ก็หาใช่เรื่องที่เกิดขึ้นโดยง่าย ต้องอาศัยเหตุปัจจัยมากมาย พื้นฐานของตนเองต้องเอื้อ ต้องเคยครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งดีที่สุดในชีวิตมาบ้าง นอกจากนั้นต้องมีวิธีเข้าถึงคำสอนแท้ๆของพระพุทธเจ้า หากทุกอย่างพร้อมหมดแต่ขาดวิธีการถูกต้อง ก็ติดหลงวนเวียนหาทางออกไม่เจออยู่ดี

แฟนฉันเกิดมายังไม่เคยเจอทุกข์หนักๆ เรื่องยกเอาทุกข์เช่นการแก่ เจ็บ ตาย ความต้องพรากจากของรัก ต้องร้องไห้คร่ำครวญเพราะอุปาทานในตัวตนมาพูดนั้น นับเป็นการเปล่าประโยชน์ เธอยังไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดด้วยซ้ำ เกิดมาก็พบแต่สิ่งที่ชอบ สิ่งที่หวัง แม้การเลิกกับแฟนแต่ละหนก็ล้วนเป็นเธอเองที่กำหนด คนประเภทนี้คิดดูก็โชคร้าย เพราะอยู่ในชาติที่มีสิทธิ์ออกจากสังสารวัฏแล้ว แต่สุขกายสบายใจเสียจนไม่มีแก่ใจอยากออก ไม่รู้จะออกไปทำไม ทางออกก็เดินยาก ลำบาก และต้องสละโน่นสละนี่เยอะแยะไปหมด

คืนหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังฝึกสมาธิแบบเห็นกลางคืนเป็นกลางวันด้วยความติดใจอยู่นั่นเอง คนรักก็โทร.มา ตอนนี้ฉันปิดสัญญาณโทรศัพท์ไม่ได้ เพราะจะถูกเธอตัดพ้อต่อว่าน่าดูชม

ตอนแรกก็ชวนพูดคุยหยอกล้อสนุกสนานเฮฮา แต่พอครึ่งชั่วโมงผ่านไปฉันก็รู้สึกว่าเธอใช้น้ำเสียงแบบจะ ‘พูดเข้าเรื่อง’ คือถามฉันตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อมว่าฉันอยากมีลูกหรือเปล่า?

ถ้าเป็นแต่ก่อนคงตอบทันทีว่าอยากซี โดยเฉพาะมีลูกกับเธอนั่นแหละ แต่เดี๋ยวนี้สถานการณ์ต่างไป ฉันอดคบหาเธอไม่ได้ก็จริง แต่อีกใจก็ไม่อยากมีห่วง ไม่อยากมีภาระไปอีกอย่างน้อย ๒๐ กว่าปีต้องเสียเวลาประคบประหงมเด็กแปลกหน้าที่จะมาเป็นลูก

อาการอ้ำอึ้งเป็นคำตอบที่ดีพอ เธอหัวเราะเสียงปร่าและบอกฉันว่าแค่นี้ชี้ได้ไหมว่าฉันถูกศาสนาสอนให้เป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่ยอมทำหน้าที่ของมนุษย์ตามธรรมชาติการดำรงเผ่าพันธุ์ อยากสบายเอาตัวรอดคนเดียว ถ้าเธอแต่งงานกับฉัน เธอก็คงพลอยไม่ได้ทำหน้าที่ของผู้หญิงอย่างสมบูรณ์ไปด้วย

ฉันถอนใจเฮือกใหญ่ใส่กระบอกโทรศัพท์ให้เธอได้ยิน ถามเธอด้วยความหงุดหงิดว่าทำไมมาพูดเรื่องนี้ ห่วงเรื่องนี้เร็วนัก ในเมื่อเราเพิ่งกลับมาคบกันใหม่ได้แค่สองสามอาทิตย์ เธอตอบว่าไม่เกี่ยวกับช้าเร็ว แต่เกี่ยวกับน้ำใจฉันเอง เรื่องน้ำใจนั้นรอไปสิบปีก็สร้างไม่ได้ ถ้าขาดปัจจัยพื้นฐานแต่แรก

พอเห็นฉันเงียบเธอก็เริ่มใส่ใหญ่ ไม่มีแล้วความน่ารัก ไม่เหลือแล้วความประนีประนอม พอเธอขาดเหตุผลขึ้นมาก็หาอะไรมาทิ่มตำเรื่อยเปื่อยตามวิสัยพาลของปุถุชน เธอประชดว่าทำไมไม่บวชๆไปเสียเลย จะได้มีคนสาธุอุดหนุนให้เร่งขึ้นฝั่ง มาอยู่เป็นฆราวาสให้เธอเข้าใจผิดอย่างนี้ทำไม ฉันงงค้างไปหมด ช่วยเธอทบทวนความจำว่าเมื่อสามอาทิตย์ก่อนเธอเป็นคนโทร.หาฉันเอง นัดฉันทานข้าวเย็นเอง ฉันไม่เคยไปหลอกลวงหรือให้ความหวังอะไรเธอเลย

ยิ่งคนเราถูกรุนให้โกรธก็ยิ่งพูดๆๆไม่ยั้ง เช่นเธอชวนเที่ยวผับตอนกลางคืนก็ปฏิเสธ จะขอนั่งสมาธิเสพสุขอยู่คนเดียว ไม่เหลียวแลว่าเธอต้องการอะไร แล้วกะแค่ถามเรื่องลูก ก็เผยออกมาแล้วว่าไม่อยากรับผิดชอบ ฉันกลายเป็นคนลอยตัวเหนือปัญหาและภาระทั้งปวง อย่างนี้จะทำให้เธอมาศรัทธาตามฉันได้อย่างไร? ความเปลี่ยนแปลงของฉันมาจากไหน เธอคงต้องเริ่มมองแล้วว่าพระพุทธเจ้าสอนให้ฉันเห็นแก่ตัว!

ฉันใจหายวูบ อยู่ๆจิตก็รู้ขึ้นมาเฉยๆว่าด้วยวจีทุจริตที่ทำด้วยใจหนักแน่น ประกอบด้วยความหลงผิดไม่รู้ว่าเป็นบาป ได้ปฏิรูปเป็นเงาดำดวงหนึ่งที่รู้ได้ด้วยใจ เงาดำนั้นจะส่งผลในอนาคตให้เธอถูกกล่าวหาว่าเห็นแก่ตัว โดยกรรมจะรอจังหวะประจวบเหมาะว่าเมื่อใดเธอทำดีโดยไม่หวังผลตอบแทน สิ่งที่ได้รับคือความเข้าใจผิดจากคนรอบข้างอย่างรุนแรง ชนิดทำดีเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้น ถูกกล่าวหาตลอด ทั้งนี้เพราะพระพุทธเจ้าเป็นมหาบุรุษที่ตรากตรำเลือดตาแทบกระเด็นช้านาน กว่าจะบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระอรหันต์องค์แรกของโลก แล้วแทนที่จะเสวยวิมุตติสุขตามลำพังยังยอมลำบากสถาปนาพุทธศาสนาเพื่อบอกทางรอดแก่มนุษย์ผู้มีปัญญาทั้งหลาย แต่นี่มากล่าวตู่พระองค์ด้วยโทสะ หาว่าท่านเป็นผู้นำแห่งความเห็นแก่ตัวเสียนี่

ในใจแฟนฉัน เธอคงรู้สึกว่าพูดไม่หนักเท่าไหร่ เนื่องจากเป็นการว่ากระทบผู้อื่นที่ไม่ใช่ตัวฉัน แต่ในใจฉันสิ ทั้งกรุ่นโทสะด้วยความรู้สึกยิ่งกว่ามีคนมาด่าพ่อ ทั้งสลดสังเวชสงสารเธอที่หาเรื่องใส่ตัวด้วยความไม่รู้โดยแท้ ตกลงฉันพยายามเคี่ยวเข็ญให้เธอมีความชอบในการเจริญภาวนา เพื่อผลสุดท้ายคล้ายโปรยยาพิษให้เธอต้องด่าวดิ้นทรมานในภายหลังกระนั้นหรือ?

ฉันเห็นแล้ว การยัดเยียดแก้วล้ำค่าเกินตัวใส่มือคนรัก บางครั้งนอกจากจะไม่เกิดผลดีอันประเสริฐแล้ว ยังอาจนำภัยพิบัติอย่างใหญ่หลวงมาสู่เขาอีกด้วย ฉันน่าจะเห็นตามจริงว่าเธอเข้ามาหาฉันด้วยเหตุผลทางโลก ยากที่จะเบี่ยงเบนมาทางธรรม เว้นแต่จะมีนิสัยเก่ารองรับอยู่ หรือสนใจใคร่รู้ เต็มใจศึกษาด้วยตนเองก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ฉันไม่ปูพื้นให้เธอซึมซับรับรู้ ให้เธอเข้าใจ ให้เธอเห็นค่าของศาสนาด้วยตัวเองเสียก่อน ก็แปลว่าฉันคือตัวแทนทั้งก้อนของศาสนา เมื่อเธอมองฉันเป็นอย่างไร ก็จะพาลพาโลมองศาสนาเป็นอย่างนั้นไปด้วย

หลังจากนั้นสติฉันพร่าลงกว่าครึ่ง จำได้แต่ว่าพยายามเลี่ยงไปพูดเรื่องอื่น และไม่วกกลับมาคุยเรื่องศาสนาอีก เธออาจรู้สึกตัว ก่อนวางเลยขอโทษที่ว่าฉันแรงเกินไป ฉันตอบว่า ‘ไม่เป็นไร’ ซึ่งติดอยู่ในปากตลอดเวลาที่คบกับเธอ

หลังวางโทรศัพท์ ฉันมานั่งบนเตียง ทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นแต่แรก นับจากได้ยินเสียงโทรศัพท์เรียก เกิดนิมิตสมาธิเป็นใบหน้าเธอแจ่มชัด นิมิตสมาธิไม่ได้บอกฉันเลยว่าคนรักเก่าจะมาทำให้การภาวนาพังหมด เธอมาคนเดียวเหมือนพ่วงกองทัพกิเลสทุกชนิดครบสูตร ทั้งราคะ โทสะ โมหะ

ฉันได้แง่คิดหนึ่ง คือนิมิตสมาธิแม้แม่นยำ แต่บางทีก็บอกอะไรเราได้เท่าที่เพดานปัญญาของเราจำกัดอยู่ ปัญญาของฉันยังไม่สูงเหนือโลก ยังติดอยู่กับโลก ก็บอกฉันแค่ใครเป็นคนโทร.มา ซึ่งไม่ได้มีค่ากว่าตอนยกหูโทรศัพท์แล้วรู้ด้วยหูเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าเพดานปัญญาฉันสูงกว่านี้ ปิดกั้นกามสุขเด็ดขาดกว่านี้ พอเกิดนิมิตหน้าแฟนเก่าแล้วคงมีเครื่องหมายบางอย่างบอกด้วยล่ะว่าเธอจะนำความพินาศมาสู่การเจริญภาวนา

คิดไม่ตกว่าควรทำอย่างไร แน่ใจอย่างเดียวคือความรู้สึกของฉันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป นี่มองเพื่อความปลอดภัยของเธอเอง ถ้าแม้ใจฉันยังเปิดรับภาวะคู่ ก็คงไม่ใช่เธอแน่แล้ว ชีวิตฉันเบี่ยงจากวงโคจรแบบของเธอมาแล้ว คงไม่อาจต่อเชื่อมกันได้ติดอีกกระมัง



:b38: / วันที่ ๓๑: วันลา

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ก.ย. 2009, 10:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55
โพสต์: 4062

แนวปฏิบัติ: มรณานุสสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: ตรงปลายจมูก

 ข้อมูลส่วนตัว


:b43: วันที่ ๓๑: วันลา

แฟนฉันโทร.มาแต่เช้า น้ำเสียงร่าเริงเป็นปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ความจริงคือมีอะไรเกิดขึ้นในใจฉันมากมาย และสิ่งเหล่านั้นก็ทำให้ใจฉันเย็นชา เมื่อเธอนัดทานข้าวเย็น ฉันเพียงตอบสั้นๆว่าขอให้เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเถอะ อย่าอยู่ในฐานะที่ต้องเสียความรู้สึกต่อกันในภายหลังอีกเลย

ฉันพูดไม่ทันจบคำเธอก็ตัดสัญญาณไป เกิดความรู้สึกเศร้าลึกขึ้นวูบหนึ่ง รู้ใจตัวเองว่ายังรักเธออยู่ แต่มันจะไม่ใช่แบบนี้ แบบที่เปิดโอกาสให้เธอทำบาป ทำความเดือดร้อนให้ตัวเธอเองอย่างไม่อาจคาดคำนวณได้ถูก

วันนี้เป็นแค่วันลาอีกครั้งหนึ่ง อาจจะลากันอย่างนี้มานับภพนับชาติไม่ถ้วน เอาแค่ชาติปัจจุบันก็สองหนเข้าไปแล้ว น่าเหน็ดหน่ายคลายความยินดีกับการจับคู่เพื่อชวนกันวนเวียนในเขาวงกตเหลือเกิน

ยิ่งนาทีระหว่างวันผ่านไป ใจฉันยิ่งหม่นเศร้าอย่างไม่อาจกำหนดสติรู้ เพราะนี่คือบทเรียนแห่งความเจ็บปวดซ้ำสองจากผู้หญิงคนเดียวกัน ฉันเขียนสรุปสิ้นเดือนด้วยความทรมานใจเกินบรรยาย บอกกับตัวเองสั้นๆว่าพรุ่งนี้วันที่หนึ่ง… ฉันจะนับหนึ่งใหม่อีกหน!



:b48: สรุปสิ่งที่ได้จากเดือนที่ ๓ :b48:

๑) ได้เปรียบเทียบสภาวจิตต่างๆ จนเกิดความวางเฉยแม้ในจิตตั้งมั่นประณีต นับเป็นการปรากฏครั้งแรกของ ‘อุเบกขา’ อันเป็นองค์ที่ ๗ ในโพชฌงค์

๒) เกิดประสบการณ์ถึงระดับฌานเป็นครั้งแรก แต่ก็ครั้งเดียว ยังไม่อาจนับว่าเป็นผู้สามารถเทียบเคียงระหว่างจิตเป็นฌานกับจิตไม่เป็นฌาน แต่พูดได้เต็มปากว่ารู้จักเทียบเคียงสภาพระหว่างจิตเป็นสมาธิกับไม่เป็นสมาธิได้แล้ว

๓) ความสุขระคนเศร้าอันเกิดจากบทเรียนทางโลกที่ไม่เคยเข็ดหลาบ ตระหนักว่าราคะทำให้จำอะไรไม่ได้นอกจากแรงดึงดูดเฉพาะหน้า ไม่แน่ใจเลยว่าถึงเดี๋ยวนี้เข็ดเสียทีหรือยัง

.....................................................
~ นิพพานัง ปัจจโยโหตุ ~


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กระทู้นี้ถูกล็อก คุณไม่สามารถแก้ไขข้อความ หรือ ตอบกลับในกระทู้นี้  [ 109 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5, 6 ... 8  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร