วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 09:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 40 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2011, 19:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สวัสดีค่ะ เพื่อนสมาชิกกัลยาณมิตรทุกท่าน

ทุกท่านคงจะเคยได้อ่านหนังสือธรรมะกันมาไม่มากก็น้อย เราก็เป็นอีกคนนึงที่
ชอบอ่านหนังสือธรรมะส่วนใหญ่ก็จะเป็นเล่มหนา ๆ ล้วนอัดแน่นด้วยเนื้อหา
ธรรมะต้องใช้เวลาอ่านกันพอสมควร มีอยู่วันนึงเราได้ไปพบหนังสือธรรมะเล่ม
เล็ก ๆ กะทัดรัดไม่หนาจนเกินไป เป็น ปริศนาธรรมสมเด็จฯ โต ทีแรกเห็นหน้าปก
ก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่ แต่พอพลิกอ่านไปหน้าสองหน้า เอ๊ะอ่านแล้วสนุก
ก็เลยซื้อมาอ่านที่บ้าน เรียกว่าอ่านรวดเดียวจบเลย...ชอบมากเลยค่ะ
ก็เลยอยากจะเอามาลงให้เพื่อน ๆ ได้อ่านกัน แต่ว่าหลาย ๆ คนคงจะได้อ่าน
กันมาบ้างแล้ว แต่ก็คงจะมีอีกหลายคนที่ยังไม่ได้อ่านกัน
เราจะลงให้อ่านเป็นตอน ๆ ไปรับรองอ่านไปยิ้มไป... :b16:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2011, 20:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คำนำสำนักพิมพ์

เคยมีปรากฏการณ์หรือไม่ว่า มีหนังสือธรรมะบางเล่ม เมื่อหยิบขึ้นมาอ่านแล้ว จำเป็นต้องตั้งหน้าตั้งตาอ่านให้จบ ไม่สามารถจะวางลงได้ และในขณะอ่าน ก็จะอมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ บางคราวถึงกับหัวเราะออกมาก็มี หนังสือที่ว่านี้มีแน่นอน เป็นหนังสือขำขันที่ท่านจะวางไว้บนหัวนอนกราบหนังสือเล่มนี้ก่อนนอนทุกค่ำคืน "ปริศนาธรรม สมเด็จฯโต คือหนังสือเล่มที่ว่า
นี่คือหนังสือธรรมะเล่มเล็กๆ ที่อยากให้ทุกคน ตีความกับปริศนาธรรมที่ซุกซ่อนอยู่ในทุกเรื่องราว
ปริศนาธรรมนี้ไม่มีเฉลย สุดแต่ท่านผู้อ่านจะตีความและทำความเข้าใจเองแต่ทั้งหลายทั้งปวง ทำให้เรารู้ว่าสมเด็จพุฒาจารย์โต ท่านเป็นพระอริยสงฆ์ที่น่ารัก น่าศรัทธา ยากที่จะหาใครเสมอเหมือน
ขอให้ท่านผู้อ่านจงดื่มด่ำกับปริศนาธรรมที่แสนสนุกสนานของท่าน...

บ้านลานธรรม.....

คำนำ

สมเด็จฯโต ท่านเป็นพระที่ชอบทำอะไรเป็นปริศนาธรรมประกอบด้วยความหมายให้น่าคิด และมีความขบขันอยู่ในทีเสมอๆ อย่างเรื่อง "แกงร้อนของสมเด็จฯโต" ที่คุณฉันทิชัยเล่าไว้ว่า
"ในกาลหนึ่งข้าพเจ้าได้ไปกราบมนัสการพระอมรมุนี (จับ ฐิติธัมโม ป.ธ.9)เจ้าอาวาสวัดโสมนัสวิหาร เมื่อได้ปราศรัยสนทนาธรรมแก่ท่านพอเป็นอุปนิสัยแล้ว เรื่องก็ได้วกเข้ามาถึงสมเด็จพระพุฒาจารย์โต ท่านเจ้าคุณอมรมุนีกรุณาเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า
สมเด็จพระพุฒาจารย์โตท่านเป็นผู้รู้กาลในบั้นปลายชีวิตของท่าน เป็นผู้เรื่องเกียรติคุณมากและด้วยความที่ท่านเป็นผู้เรืองเกียรติคุณจึงทำให้ท่านเห็นว่า ภิกษุสามเณรที่ได้พบปะกับท่าน ต้องเคารพนบนอบท่านในฐานะมีฐานันดรศักดิ์เป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ ดังนั้น แม้ท่านจะพูดจะทำกล่าวอะไร ภิกษุสามเณรก็ย่อมจักคล้อยตามทัศนะของท่านหรือเห็นด้วยตามความคิดเห็นของท่านมิใช่จักเห็นพ้องด้วยน้ำใสใจจริงแห่งตน เพราะสมเด็จฯ ท่านปรารถนาจักหยั่งวาระน้ำใจของภิกษุสามเณรที่ท่านปกครองอยู่ ว่าจักเป็นผู้มีสัตย์วาจาหลีกเร้นศีลข้อมุสาวาทาหรือไม่ เรื่องนั้นท่านเจ้าคุณสิริปัญญามุนี (ช่วง โชติสิริ) พระภิกษุราชาคณะผู้เฒ่าแห่งวัดโสมนัสวิหารเป็นผู้เล่าให้ท่านฟัง มีข้อความอันควรแก่นำมาพรรณนาดังต่อไปนี้
ในรัชกาลที่ ๔ นั้นสมเด็จพระพุฒาจารย์ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมาก นอกจากจะเป็นสมเด็จพระราชาคณะชั้นสูงผู้ได้รับพระราชทานอภัยแล้ว ยังมีเกียรติคุณต่าง ๆ อีกอเนกปริยาย เป็นที่นิยมนับถือของคนทั่วไปและบรรดาศิษยานุศิษย์ ภิกษุสามเณรที่จะเกรงกลัวสมเด็จท่านทั้งเกรงความรู้ เกรงทั้งการปฏิบัติตามพระวินัยบัญญัติ ปรากฏว่าสมเด็จฯ ท่านมีศีลาจารวัตรอันงามไม่มีที่ตำหนิในทางโลกวัชชะไม่ได้แม้แต่น้อย ด้วยสมเด็จท่านทรงคุณสมบัติดังกล่าวมานี้เอง เป็นเหตุให้สมเด็จฯท่านอึดอัดใจ เพราะรู้สึกว่าท่านมิได้รับทราบเจตนาอันแท้จริงของบรรดาพระภิกษุสามเณรในวัดนั้นโดยสัตย์โดยควร ไม่ว่าจะปราศรัยไถ่ถามความเห็นอย่างไรเป็นต้องได้รับคำตอบว่าที่สมเด็จฯ ได้ทำไปนั้น ดีแล้ว ถูกแล้ว งดงามแล้วทุกครั้งทุกคราวไป หามีใครปฏิเสธหรือโต้แย้งมิได้เลย
สมเด็จฯ ท่านรำคาญในเรื่องเหล่านี้มาก เพราะอัธยาศัยของสมเด็จฯ ท่านชอบฟังความคิดเห็นของคนอื่น เมื่อมิได้ฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ก็บังเกิดความรำคาญใจใคร่จะทดลองให้ตระหนักอีกครั้งหนึ่งว่าคราวนี้ดูทีหรือว่าจะมีผู้ใดให้คำตอบที่ออกจากใจจริงบ้าง หรือจะยังมีภิกษุสามเณรใดเป็นผู้เคร่งต่อวาจาสัตย์เอื้อเฟื้อต่อศีลข้อมุสาวาทาบ้าง การทดลองครั้งนั้นจึงได้เริ่มต้นขึ้น
เมื่อประเพณีของพระอารามหลวงครั้งโบราณ ต้องมีพระภิกษุภัตตุทเทศก์คือ ผู้แจกหรือผู้จัดการระบบอาหาร ถ้าวันใดภิกษุองค์ใดองค์หนึ่งบิณฑบาตไม่ได้ ก็รับแจกอาหารจากภิกษุดังกล่าว หรือเกิดอาพาธไปบิณฑบาตไม่ได้ ก็ให้ศิษย์ไปเอาอาหารที่โรงครัวมาฉันได้ เป็นดั่งนี้เสมอมา และแม้บางครั้งบางคราวเกิดอดิเรกลาภมีผู้นำอาหารมาถวายแด่พระภิกษุทั้งวัด ภิกษุผู้เป็นภัตตุทเทศนก์ก็จะตีกลองเป็นสัญญาณให้ศิษย์พระนำถ้วยชามมารับอาหารที่ทายกมาถวาย
วันนั้นเพื่อทดลองในเรื่องดังกล่าว มีทายกผู้หนึ่งนำเอาแกงร้อนวุ้นเส้นมาถวายสมเด็จฯ ก่อนจะถึงเวลาเพล สมเด็จฯ รับประเคนและกล่าวสัมโมทนียกถาให้ทายกผู้นั้นชื่นใจในทานบริจาค แล้วทายกก็ลากลับ สมเด็จฯ ได้เอาแกงร้อนวุ้นเส้นที่ทายกนำมาถวายนั้นเทลงในสั่งให้ศิษย์เอาผักทอดยอดที่ขึ้นอยู่ในคลองข้างวัดมาล้างน้ำหั่นลงในกะทะ วันนั้นอาหารกี่อย่างที่มีผู้นำมาถวายสมเด็จฯ ได้เอามาใส่ในกระทะใบใหญ่ทั้งหมด แล้วโหมไฟให้ร้อนจนน้ำเดือนพล่านสมเด็จฯ ก็สั่งให้ตีกลองเป็นสัญญาณว่าให้ภิกษุในวัดทุกองค์ให้ศิษย์มารับอาหารแจก
สิ้นเสียงกลอง เด็กศิษย์วัดถือถ้วยถือชามหรือไม่ก็ปิ่นโตกันมาเป็นแถว สมเด็จฯ บัญชาให้ศิษย์ตักแกงร้อนพิเศษส่งให้คนละถ้วยแล้วกำชับศิษย์พระเถรเณรเจ้าไปทุกคนให้ไปบอกแก่ชีต้นอาจารย์ว่า "เป็นอาหารที่สมเด็จฯ ปรุงขึ้นเอง"
วันนั้นเป็นวันธรรมสวนะ พอตกเย็นก็เริ่มกิจทำวัตรค่ำ ภิกษุทุกรูปต้องลงไปทำวัตรค่ำที่โบสถ์ สมเด็จฯ ท่านรีบไปนั่งอยู่ที่เชิงบันไดหน้าประตูจะเข้าโบสถ์ภิกษุทุกรูปที่จะเข้าไปทำว้ตรค่ำ จักต้องผ่านสมเด็จฯทุกองค์ พอภิกษุต่างองค์ต่างลงมาก็ตรงมายังโบสถ์ พอจะเข้าโบสถ์ สมเด็จฯก็ถามว่า "เป็นอย่างไรคุณ อาหารที่ฉันปรุงเมื่อเพลนี้?
ภิกษุถูกถามประนมมือตอบว่า "แหม อร่อยเหลือเกินขอรับ กระผม" เมื่อได้ฟังคำตอบดังนั้น สมเด็จฯท่านหัวเราะหึ ๆ
เป็นที่ทราบอยู่แก่ใจของสมเด็จฯท่านแล้วว่า อาหารวันนั้นสมเด็จฯ ท่านแกล้งปรุงขึ้นเพื่อทดลองภิกษุในวัดระฆังโฆสิตาราม ว่าจะมีศีลสังวรหรือไม่เพียงไร สมเด็จฯ ท่านทราบว่าอาหารนั้นไม่มีรสโอชะเป็นอันขาด เพราะถ้าพูดไปแล้วก็ไม่ผิดอะไรกับผักทอดยอดลงไปต้มน้ำ ซ้ำมีอาหารอื่น ๆ ปนลงไปอีกเล่า ลักษณะไม่ผิดอะไรกับอาหารสำรวมสำหรับฉันในเวลาเอกาเลย ดังนั้นที่ภิกษุรูปนั้นตอบสมเด็จฯว่า
"อร่อยเหลือเกินขอรับ" จึงเป็นการลุต่อศีลข้อมุสาวาทาฯอย่างชัด ๆ
แต่สมเด็จฯท่านยิ่งประหลาดใจมากขึ้น เพราะภิกษุในวัดระฆังมีประมาณ ๕๐ รูป ต่างตอบสมเด็จฯ เป็นทำนองเดียวกันหมดว่าอร่อยบ้าง รสดีบ้าง มีกลิ่นหอมหวนบ้าง ฯลฯ ทำให้สมเด็จฯหลากใจว่า ภิกษุในวัดไฉนจึงเป็นเช่นนั้นไปหมด ยังเหลืออีกองค์เดียวเป็นภิกษุชรา เด็ก ๆ ในวัดเรียกกันว่า "ขรัวตา" เป็นภิกษุบวชมาเก่าแก่ลงมาจักทำวัตรค่ำกับเขาด้วย สมเด็จฯ พอเห็นขรัวตาเดินงกเงิ่นเข้ามา พอตรงหน้าสมเด็จฯ ท่านก็ถามว่า "ขรัวตา อาหารเมื่อเพลเป็นอย่างไร ? ฉันปรุงเอง"
ขรัวตายืนประคองร่างอย่างสำรวม แล้วตอบสมเด็จฯว่า "ไม่ไหวพระเดชพระคุณขอรับ เทให้สุนัขมันยังไม่กินเลย"
สมเด็จฯท่านยกมือทั้งสองขึ้นประนม แล้วหันหน้าไปทางพระประธานในโบสถ์ร้องขึ้นว่า "สาธุ ขรัวตานี่แหละศีลบริสุทธิ์ ควรแก่การเคารพนบไหว้" พูดแล้วก็เข้าไปในโบสถ์เพื่อนำการสวดทำวัตรค่ำ และคืนนั้นภายหลังที่ได้ทำวัตรค่ำแล้ว สมเด็จฯ ได้เทศน์อบรมพระภิกษุในวัดถึงเรื่องศีลด้วยยกเอากลิ่นหอมแห่งกลิ่นจันทร์ขึ้นมาอ้างว่าบรรดากลิ่น มีกลิ่นจันทร์เป็นต้น ก็มิมีกลิ่นใดล้ำไปกว่ากลิ่นแห่งศีลฉันใด เกิดมาเป็นคนศีลเป็นสิ่งสำคัญฉันนั้น และเป็นภิกษุยิ่งสำคัญมากเพราะมีศีลเป็นเครื่องร้อยรัดให้ภิกษุอยู่ในระเบียบวินัย ถ้าไม่มีศีลไม้ลอยน้ำยังดีกว่า เพราะยังเก็บเอามาทำประโยชน์ได้บางอย่าง แต่ผู้ที่พูดเท็จนั้น เชื่อถืออะไรไม่ได้เลย
เมื่อสมเด็จฯท่านได้เทศน์จบ ภายในโบสถ์วัดระฆังโฆษิตารามเงียบกริบ สมเด็จฯ ลงจากธรรมาสน์แล้วกล่าวเตือนพระภิกษุอีกครั้งหนึ่งว่า ขอให้สังวรในศีลจงหนักเพราะศีลเป็นธงชัยของภิกษุ ถ้าปราศจากศีล แม้จะปลงผมห่มเหลืองก็จะไม่เป็นภิกษุที่มีศีลาจารวัตรอันงามเลย สุดท้ายยกย่องภิกษุชรา คือขรัวตาว่าเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยศีล ควรแก่การคารวะและเป็นสมณะผู้ศากยบุตรแท้
เป็นไงครับ ปริศนาธรรมของสมเด็จฯโต ไม่ว่าจะออกมาในรูปแบบไหนก็ตาม ดังที่ท่านจะได้อ่านในเล่มนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นคำสอนที่คมคายเสมอ
ขอเชิญท่านผู้อ่านค้นหาสัจจะ และความสนุกสนานเพลิดเพลินได้เลยครับ

ไพโรจน์ อยู่มณเฑียร

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2011, 21:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เข็นเบา ๆ หน่อย

ขโมยหน้ามืดคนหนึ่งย่องเข้ามาลักเรือใต้ถุนกุฏิของสมเด็จฯโต ขณะที่กำลังเข็นเหยง ๆ อยู่นั้น ท่านรู้พอดี จึงเปิดหน้าต่างสอนเขาว่า
"เข็นเบา ๆ หน่อยจ้ะ ถ้าดังไป พระท่านได้ยินเข้าท่านจะตีเอาเจ็บเปล่าจ้ะ เข็นเรือบนที่แห้ง เขาต้องเอาหมอนรองข้างท้ายให้โด่งก่อนจ้ะ ถึงจะกลิ้งสะดวกดี เรือก็ไม่ช้ำไม่รั่วจ้ะ"
เจ้าหัวขโมยได้ยินทีแรก คงจะรู้สึกตกใจไปเหมือนกัน เพราะไม่คิดว่าเจ้าของจะรู้ แต่เมื่อได้ยินเจ้าของพูดออกดีอย่างนั้น จึงรู้สึกเกรงใจ เกิดความละอาย ไม่เกล้าเข็นต่อ รีบวิ่งหนีไป
ในเมื่อเจ้าของทั้งรู้ทั้งพูดดีอย่างนี้ ถ้ายังบังอาจเข็นต่อไปอีกก็เลวเกินไปแล้ว เลวจริง ๆ ด้วย :b41:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ก.ย. 2011, 21:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนที่แรงกว่าก็มี


เมื่อสมเด็จฯ โตชราภาพมากแล้ว ท่านไปไหนมาไหนก็ใช้เรือในการเดินทาง เผอิญปวดปัสสาวะ ท่านออกมานั่งปัสสาวะ หลังเก๋งข้างท้าย แล้วยงโย่ข้ามพนักเก๋งเรือ กลับเข้าไปในเก๋ง
พอดีกับจังหวะคนท้ายทั้งสองออกแรงกระทุ่มแจวพร้อมกัน ท่านเลยล้มลงไปหน้าโขกกระดานเรือจนปากบวมเจ่อ
ท่านก็ไม่โกรธไม่ด่า อุตส่าห์ขยับลอดศรีษะออกจากเก๋ง เหลียวหลังไปว่าคนท้ายเรือว่า
"พ่อจ๋า พ่ออย่าเข้าใจว่า พ่อมีแรงแต่เพียงคนเดียวหนาจ๊ะ คนอื่นเขามีแรงยิ่งกว่าพ่อก็คงมีจ้ะ"
ลูกศิษย์ก็จะใช้แต่แรงอย่างเดียว ไม่รู้จักใช้ปัญญาพิจารณาว่าสมเด็จฯท่านอยู่ในท่าที่เรียบร้อยหรือยัง จนทำให้ท่านต้องเสียหลักลื่นล้มหน้ากระแทกเรือปากเจ่อไปเลย
เรี่ยวแรงกำลังใคร ๆ ก็มีกันทั้งนั้นแหละ แต่ปัญญามีไม่มากนักในทุก ๆ คน :b41:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2011, 08:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คอยลา

เนื่องจากสมเด็จฯโตท่านไม่ใคร่มีเวลาว่างในฐานะที่เป็นถึงสมเด็จฯหน้าที่ความรับผิดชอบจึงสูงมาก อีกทั้งการเป็นเจ้าอาวาส วัดระฆัง ก็เป็นงานเบาเสียเมื่อไหร่ล่ะ
งานเทศน์ สวดมนต์ จนถึงงานก่อสร้าง บางปีท่านก็ออกเดินธุดงค์หาความสงบวิเวก ทำให้ท่านไม่ใคร่มีเวลาในการปกครองดูแลลูกวัด โดยเฉพาะงานเทศน์อันเป็นงานหลักของท่าน เมื่อชาวบ้านนิมนต์เป็นต้องไป ไม่ยอมขัดศรัทธาใครเลย
ดังนั้นท่านจึงมอบหน้าที่ในการปกครองดูแลพระเณรและเด็กวัดให้กับพระครูปลัดรูปหนึ่ง ให้ทำหน้าที่แทนท่านได้กำชับลูกศิษย์ว่า จะไปทำกิจธุระนอกวัด ให้บอกลาพระครูปลัดเสียก่อน
ตัวท่านเอง เป็นถึงสมเด็จฯและเป็นเจ้าอาวาสด้วยเวลาจะไปไหนมาไหนก็ต้องบอกลาพระครูปลัด
เหมือนกัน เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ผู้อื่น ขนาดสมเด็จฯโตจะไปไหนยังต้องบอกลาก่อน แล้วพระรูปอื่นๆ
จะไปโดยพลการได้อย่างไร
วันหนึ่ง ท่านจะต้องไปในงานพระราชพิธีของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ไปไม่ทันเวลา พอไปถึงก็ล่าช้ามากแล้วเมื่อถูกพระเจ้าอยู่หัวตรัสถามถึงความล่าช้า
ท่านถวายพระพรว่า "เพราะคอยลาพระครูปลัด ซึ่งจำวัดยังไม่ตื่น" :b41:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2011, 09:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จุดไต้กลางวัน

ครั้งหนึ่ง เมื่อสมเด็จฯโต รู้ว่ารัชกาลที่ ๔ ทรงหมกมุ่นอยู่ในกามารมณ์ ท่านปรารถนาจะตักเตือนให้รู้สึกพระองค์ ครั้นทูลเตือนโดยตรงก็เกรงพระทัย จึงจุดไต้เดินถือเข้าไปในพระราชวังกลางวันแสกๆ นี่แหละ เพื่อจะเตือนให้รู้ว่าในวังกำลังจะมืดมัว ไม่มีกลางวันไม่มีแสงสว่างแห่งปัญญา
พระจอมเกล้าทอดพระเนตรเห็นแล้ว จึงตรัสตอบว่า
"ขรัวโต ข้ารู้แล้ว ๆ "
สมเด็จฯโต จึงเอาไต้ทิ่มกำแพง ดับไฟเสีย เดินกลับวัดไปด้วยความสบายใจ
ต่อมาในสมัยรัชการที่ ๕ สมเด็จฯโต ก็จุดไต้กลางวันอีกคราวนี้ไม่ได้เดินถือไปในวัง แต่เดินถือไปที่จวนของผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
เรื่องมีว่า เมื่อตอนที่รัชกาลที่ ๕ ขึ้นครองราชย์ใหม่ ๆ นั้นพระองค์มีพระชนมพรรษาเพียง ๑๕ ปี ๗ เดือน กับอีก ๙ วันเท่านั้น นับว่ายังทรงพระเยาว์นัก จึงต้องมีผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ผู้ที่เป็นก็คืออัครมหาเสนาบดีผู้ใหญ่ที่ชื่อสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)
สมเด็จฯโต ได้ข่าวว่าจะมีการกบฏคิดร้ายต่อแผ่นดินเพื่อยึดอำนาจจากรัชกาลที่ ๕ ท่านจึงจุดไต้เข้าไปยังจวนของสมเด็จเจ้าพระยาฯ ตอนกลางวัน
สมเด็จเจ้าพระยาฯ ถามว่า
"มีประสงค์อันใดหรือ จึงถือไต้เข้ามาหากระผมเช่นนี้"
"อาตมภาพได้ยินว่าทุกวันนี้แผ่นดินมืดมัวนัก ด้วยมีคนคิดร้ายจะเอาแผ่นดิน ไม่ทราบเท็จจริงจะเป็นประการใด ถ้าแม้เป็นความจริงแล้วไซร้ อาตมาภาพก็ใคร่จะขอบิณฑบาตเขาเสียสักครั้งหนึ่งเถิด"
สมเด็จเจ้าพระยาฯ ฟังแล้วก็อึ้งไปนิดหนึ่ง ก่อนจะตอบว่า
"ขอพระคุณเจ้าอย่าได้วิตกเลย ตราบใดที่กระผมยังมีชีวิตอยู่ฉะนี้ จะไม่ให้แผ่นดินนั้นมืดมัวหล่นลงไป ด้วยจะไม่มีผู้ใดแย่งแผ่นดินไปได้เป็นอันขาด"
"โยมไม่สู้มืดนักดอกเจ้าคุณ อนึ่งโยมนี้มีใจแน่นแฟ้นในพระพุทธศาสนาแน่นอนมั่นคงเสมอ อนึ่ง
โยมทะนุบำรุงแผ่นดินโดยเที่ยงธรรม และตั้งใจประคับประคองสนองพระเดชพระคุณโดยตรงโดยสุจริต
คิดถึงชาติและศาสนา พระมหากษัตริย์ที่ตั้งตรงอยู่เป็นนิตย์ ขอเจ้าคุณอย่าปริวิตกให้ยิ่งกว่าเหตุ"
เมื่อผู้สำเร็จราชการแผ่นดินกล่าวดังนั้น สมเด็จฯโต ท่านก็เดินทางกลับวัด
เป็นหน้าที่ของพระภิกษุ และนักปราชญ์ราชบัณฑิต ที่จะต้องคอยเอาใจใส่ดูแล เรื่องของบ้านเมืองให้เป็นไปโดยถูกต้องเป็นธรรมเพื่อความผาสุขของประชาราษฏร์ ซึ่งนักปกครองนักบริหารบ้านเมืองที่ดีย่อมจะน้อมรับฟังคำตำหนิติเตียนคำสั่งสอนด้วยความเคารพ :b41:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


แก้ไขล่าสุดโดย ปลีกวิเวก เมื่อ 02 ต.ค. 2011, 09:28, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2011, 09:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เจ้าชีวิตเสวยน้ำเหล้า สมเด็จเจ้าก็ต้องแจวเรือ

ครั้งหนึ่ง เมื่อถึงเดือน ๑๑-๑๒ ซึ่งมีการลอยกระทงหลวงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เสด็จลงประทับบนพระที่นั่งชลังคพิมาน (ตำหนักแพ) พร้อมด้วยฝ่านใน (หมายถึง พนักงานและข้าราชการหญิง
ที่อยู่ในพระราชฐานชั้นใน) เป็นจำนวนมาก
สมเด็จฯโต เห็นแล้วจึงแจวเรือข้ามฟากฝ่าริ้วเข้ามา เจ้ากรมเรือดั้งจับเรือแหกทุ่น เมื่อพระจอมเกล้าฯ รับสั่งถามว่า "เรือใคร" เจ้ากรมฯกราบทูลว่า "เรือสมเด็จพระพุฒาจารย์โต" รับสั่งว่า
"เอาเข้ามานี่" ครั้นเจ้ากรมฯ นำเรือสมเด็จฯโต เข้าไปถวาย นิมนต์ให้นั่งแล้วจึงมีรับสั่งถามว่า "ไปไหน"
สมเด็จฯโตทูลว่า "ขอถวายพระพร ตั้งใจมาเฝ้า"
"ทำไม เป็นถึงสมเด็จเจ้าแล้ว เหตุใดต้องแจวเรือเอง เสียเกียรติยศแผ่นดิน" สมเด็จฯโต ทูลว่า
"ขอถวายพระพร อาตมาภาพทราบว่า เจ้าชีวิตเสวยน้ำเหล้า สมเด็จเจ้าก็ต้องแจวเรือ" รับสั่งว่า
"อ้อ! จริง จริง การกินเหล้าเป็นโทษ เป็นมูลเหตุให้เสื่อมเสียเกียรติยศแผ่นดินใหญ่โตทีเดียว ตั้งแต่วันนี้ไป โยมจะถวายพระคุณเจ้า จักไม่กินเหล้าอีกแล้ว"
สมเด็จฯโต เลยถวายยถา สัพพี ถวายพระพรลา รับสั่งให้ฝีพายเรือดั้งไปส่งถึงวัดระฆัง
จะเห็นว่าสมเด็จฯโต ท่านเป็นพระที่กล้าเตือนพระสติของพระเจ้าอยู่หัว ในฐานะประมุขและผู้ปกครองประเทศ เมื่อเห็นว่าพระองค์จะทรงทำอะไรอันไม่ใคร่จะถูกต้องนัก
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ท่านก็ทรงมีธรรมประจำพระทัยเมื่อเห็นว่าพระเตือนแล้วท่านก็เชื่อ
นับว่าเป็นกษัตริย์ที่น่าสรรเสริญยิ่งนัก แต่นักปกครองบ้านเมืองของเราในยุคนี้ ได้อำนาจจากพระเจ้าอยู่หัวมาแล้ว กลับทำเก่งยิ่งกว่าพระเจ้าอยู่หัว คือ พระเทศน์ก็ไม่ยอมฟัง ปราชญ์สอนสั่งก็ไม่ยอมเชื่อ ซ้ำยังตำหนิผู้กล่าวตักเตือนเสียอีก :b41:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2011, 12:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ใจกลางของโลก

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ เป็นช่วงเวลาที่ชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะพวกฝรั่งที่เป็นพ่อค้า เป็นนักสอนศาสนา และพวกล่าเมืองขึ้น ได้หลั่งไหลเข้ามาสู่ประเทศ
ของเราเป็นจำนวนมาก กล่าวโดยเฉพาะพวกมิชชันนารี บาทหลวงสอนศาสนานั้นเข้ามาสู่ประเทศไทย
ก็ด้วยหวังจะเผยแพร่ศาสนาคริสต์นั่นเอง
วันหนึ่งพวกบาทหลวงได้เข้าเฝ้าพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทูลถามเรื่องราวในวงการพุทธศาสนาว่า
"ลัทธิหลักธรรมของพุทธศาสนา ตลอดจนศีลที่ประชาชนและภิกษุสามเณรถือเป็นวัตรปฏิบัตรู้สึกว่าลุ่มลึกยิ่งนัก สงสัยว่ายังจะมีผู้ใดประพฤติปฏิบัติได้โดยสมบูรณ์อยู่หรือ พระเจ้าข้า" "มีซิ" พระจอมเกล้าทรงตอบ "ผู้ใดเล่าที่เป็นผู้ทรงคุณวิเศษสามารถประพฤติธรรมและศีลสมบูรณ์เช่นนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจะมีเกียรติรู้จักท่านผู้นั้นได้หรือไม่พระเจ้าข้า " บาทหลวงรุกต่อ เมื่อบาทหลวงรุกรานถึงขนาดนั้นพระจอมเกล้าฯ ก็รับสั่งให้สังฆการีเข้าเฝ้าทันที รับสั่งว่า "แกพาคณะบาทหลวงเหล่านี้ไปหาสมเด็จพระพุฒาจารย์วัดระฆังฯ" แล้วหันมาตรัสกับคณะบาทหลวงว่า "ท่านจงไปกับผู้นี้ เขาจะพาท่านไปพบกับผู้ทรงคุณธรรมวิเศษของพระพุทธศาสนา" เมื่อไปถึงวัดระฆังฯ คณะบาทหลวงได้ไต่ถามหลักธรรมสำคัญในพระพุทธศาสนา เป็นการลองภูมิสมเด็จฯโตไปพลาง ๆ ก่อน แต่เมื่อปรากฏว่าสมเด็จโต ท่านสามารถตอบได้อย่างฉาดฉาน พวกเขาจึงกล่าวคำสรรเสริญว่า "พระคุณเจ้าเป็นผู้ทรงคุณธรรมวิเศษในพระพุทธศาสนาแท้จริง" ทำทีเป็นยอมรับในความเป็นผู้รู้ แต่แล้วเขาก็เหน็บเอาว่า "แต่ส่วนทางโลก พระคุณเจ้าคงจะไม่รู้อะไรเลย" สมเด็จฯโต จึงย้อนเข้าบ้างว่า "อย่าว่าแต่อาตมภาพจะไม่แจ้งโลกเลย แม้แต่พวกท่านก็อยู่ในลักษณะไม่แจ้งโลกเหมือนกัน" "คณะกระผมแจ้งซิพระคุณเจ้า คือ แจ้งว่าโลกนี้กลม ไม่ใช่แบนแล้วหาได้มีปลาอานนท์หนุนอยู่เหมือนคนไทยเข้าใจกันไม่" คำพูดบาทหลวงเหมือนจะบอกว่า คนไทยนั้นยังโง่งมงายอยู่มาก ที่เชื่ออะไรไร้สาระอย่างนั้น แต่สมเด็จฯโตฟังแล้วไม่รู้สึกอะไร กลับหัวเราะออกมาพร้อมกับกล่าวว่า "เข้าใจกันไปคนละทางเสียแล้วละท่าน" อาตมภาพคิดว่าเป็นการแจ้งโลกแบบโลกวิทู หาได้คิดไปถึงโลกกลมโลกแบนอย่างท่านกล่าวไม่ อ้ายเรื่องโลกกลมอย่างท่านกล่าวนั้น อาตมภาพก็แจ้งเหมือนกันซ้ำแจ้งต่อไปอีกว่า ใจกลางของโลกนั้นอยู่ตรงไหนอีกด้วยซ้ำ"
วาจาอันอาจหาญของสมเด็จฯ ทำเอาพวกบาทหลวงใจฝ่อไปเหมือนกัน แต่ก็ยังกล้ำกลืนรุกล้ำถามต่อไปอีกว่า "พระคุณเจ้าทราบถึงที่ตั้งใจกลางโลกจริง ๆ หรือครับ" "ก็จริงน่ะซิ อาตมภาพไม่เคยกล่าวมุสาวาทเลย" สมเด็จฯโตท่านยืนยัน "ถ้าเช่นนั้น จะพาคณะกระผมไปดูที่ตั้งใจกลางโลกได้ไหมครับ"
"อ๋อ ได้ซิ จะไปเมื่อไรล่ะ" "เดี๋ยวนี้เลยได้ไหมครับ" "ได้" สมเด็จฯโต ตอบคำเดียวสั้น ๆ แล้วบอกให้บาทหลวงเดินตามไป ทั้งหมดเดินลงจากกุฏิ สมเด็จฯโตเดินนำหน้าถือไม้เท้า พอไปถึงหน้าบันได
สมเด็จฯโตท่านก็เอาไม้เท้าปักลงไปในดิน ชี้มือบอกบาทหลวงว่า "ใจกลางของโลกอยู่ที่ตรงนี้"
พวกบาทหลวงงุนงงและไม่เชื่อเรื่องใจกลางโลกตามทัศนะของสมเด็จฯโต จึงพูดค้านขึ้นว่า
"เป็นไปไม่ได้ดอกพระคุณเจ้า ที่นี่มันหน้าบันไดกุฏิพระคุณเจ้าแท้ ๆ " สมเด็จฯโตท่านพูดยิ้ม ๆ ว่า
"ก็ท่านกล่าวยืนยันว่าโลกนี้กลม ไม่ใช่แบนอยู่เมื่อครู่นี้เอง เมื่อโลกนี้กลมจริงอย่างท่านว่า ที่นี่ก็เป็น
ใจกลางโลก ถ้าท่านสงสัยก็ขอให้วัดดูเถิดว่าจากจุดศูนย์กลางที่ไม้ปักนี้อ้อมไปโดยรอบทุกด้าน แล้วที่ตรงนี้จะเป็นใจกลางโลกจริง" คณะบาทหลวงตกตะลึงกับคำตอบของสมเด็จฯโต อีกครั้งหนึ่ง แต่เมื่อใคร่ครวญดูครู่หนึ่งก็เข้าใจ จึงถอดหมวดคำนับสมเด็จฯโต พร้อมกับกล่าวสรรเสริญว่า "จริงของพระคุณเจ้า
ใจกลางโลกอยู่ตรงนี้ พระคุณเจ้าทรงคุณธรรมวิเศษจริง ๆ" :b41:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2011, 19:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ดีๆ บ้าๆ

แต่ก่อนสมเด็จฯโต จะไปไหนมาไหน ถ้าเป็นบนบก ท่านก็ขึ้นคานหามไป ถ้าทางน้ำก็ไปด้วยเรือกันยา ผู้คนเห็นแล้วก็ชมท่านว่าทำตนสมเกียรติของพระหลวง ภายหลังเมื่ออายุมากขึ้น ท่านเลิกละสิ่งเหล่านั้น ไปไหนมาไหนอย่างหลวงตาธรรมดาๆ นุ่งห่มปอนๆ ประชาชนก็หาว่าท่านประพฤติตนไม่สมกับเป็นสมเด็จฯ ท่านเคยกล่าวเนื่องๆ ว่า "ทีขรัวโตบ้า ก็ว่าขรัวโตดี ทีขรัวโตดี ก็ว่าขรัวโตบ้า"
มันก็เป็นเช่นนั้นแหละคนเรา จะเอาอะไรกับคนเล่าเวลาชอบมันก็ชมนิยมยกยอ แต่ยามชังมันก็ว่าบ้าบอ
ทำติฉินนินทา อยู่กับคน ต้องเข้าใจคน แล้วอย่าลืมท่องบ่นคำว่า "ตถาตา ม้นเป็นเช่นนั้นเอง" :b41:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2011, 19:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ติดแร้วแทนนก

สมเด็จฯโต เดินทางไปต่างจังหวัด ระหว่างทางท่านมองเห็นนกติดแร้วอยู่ เห็นมันดิ้นรนเอาชีวิตรอด แล้วรู้สึกทนไม่ได้ ด้วยอำนาจแห่งกรุณา ท่านจึงแก้บ่วงแร้วปล่อยนกไป เป็นไงก็เป็นกัน ช่วยชีวิต
สัตว์ผู้ตกทุกข์นับเป็นมหากุศล เพราะเป็นทานแห่งชีวิต นกได้เป็นอิสระแล้ว แต่ท่านไปไหนไม่ได้ ต้องเอาเท้าของท่านเข้าไปในบ่วงเป็นการติดแร้วแทนนก คนเดินผ่านมาทางนั้นเห็นเข้า จะช่วยแกะแร้วออก
จากขาให้ท่านก็ไม่ยอม จะขอติดแทนนกอยู่อย่างนั้น ทำไงได้ ปล่อยนกเขาไปแล้วนี่ สักพักหนึ่ง เจ้าของแร้วเขามาดูว่ามีนกติดหรือไม่ มาเห็นสมเด็จฯโต ติดแร้วก็ตกใจ แร้วของเราทำไว้ดักนก ไฉนพระมาติด
ได้บาปหรือเปล่านี่ เมื่อสมเด็จฯ โต บอกความจริง เขาก็ไม่ว่ากระไร แต่รู้สึกแปลกดี เพราะเพิ่งเคยพบเคยเห็น แล้วท่านก็แก้บ่วงแร้วจากขา บอกให้เจ้าของแร้วกรวดน้ำ ท่านให้ ยถา สัพพี พอเสร็จแล้ว
จึงเดินทางต่อไป :b41:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ต.ค. 2011, 19:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำให้ดู

เท่าที่ได้ศึกษาประวัติของสมเด็จฯโต เห็นว่าท่านเป็นพระที่แปลกกว่าพระเถระองค์อื่นๆ มาก ไม่ว่าจะ
เป็นวัตรปฏิบัติและคำสั่งสอนของท่าน ส่วนใหญ่ท่านจะไม่สอนยาว บางครั้งก็สั้นนิดเดียว เพราะพูดมากไป คนฟังมันก็เบื่อ ถ้าเขารักดีก็จะปฏิบัติตามเอง หากเขารักชั่วจะยั่วยุอย่างไรใจมันก็ด้านชา ทำมึนตาใส
อยู่อย่างนั้น แต่ตามปกติแล้วสมเด็จฯโต ท่านจะทำให้ดูมากกว่า อย่างเรื่องการทำวัตร สวดมนต์ในโบสถ์
ทั้งเช้าและเย็น ท่านปฏิบัติเป็นประจำ จะขาดก็เมื่อยามจำเป็นจริงๆ เช่น ได้รับนิมนต์ไปเทศน์ บางครั้ง
พระเณรขี้เกียจกันทั้งวัด ท่านก็ไปสวดองค์เดียวในโบสถ์เสียงแจ้วๆ จนพระเณรละอายใจ ต้องชวนกันลงไปทำวัตรเช้าเย็นทั้งหมด และทำเป็นประจำในเวลาต่อมา
สมเด็จฯโต ท่านเป็นพระที่รักความสะอาด เวลาท่านเดินตรวจความเรียบร้อยบริเวณวัด ท่านก็เที่ยว
เก็บขยะที่พระเณรและเด็กวัดทิ้งกันไว้ พระเณรเด็กวัดเห็นแล้วให้รู้สึกละอายใจ และสงสารท่านที่ต้อง
เหนื่อยโดยไม่จำเป็น ต่อมาก็ไม่กล้าทำให้บริเวณวัดสกปรก ซ้ำยังช่วยกันกวาดบริเวณวัดเป็นประจำอีกด้วย นี่แหละ ! การกระทำที่ดีย่อมเป็นคำสอนอันศักดิ์สิทธิ์ :b41:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ต.ค. 2011, 21:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เทศน์ตรงจนถูกขับ

สมเด็จฯโตท่านเคยเทศน์ตรง ๆ จนเป็นที่ไม่พอพระทัยของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๔ มาครั้งหนึ่ง
ในครั้งนั้น ท่านได้เทศน์ถึงเรื่องการตั้งกรุงกบิลพัสดุ์ และตั้งวงศ์ศากยราชในพระปฐมโพธิปริเฉทที่ ๑
ซึ่งไม่ใช่เวลาที่ควรจะเทศน์เรื่องนี้ แต่ท่านก็นำไปเทศน์ถวาย คงจะประสงค์ชี้แนะอะไรบางอย่าง
เทศนาในครั้งนั้น มีตอนหนึ่งที่น่าหวาดเสียว คือตอนที่ว่า "เมื่อตั้งกรุงกบิลพัสดุ์แล้วจึงนำบุตรกษัตริย์
ในวงศ์เดียวกันเสก ตั้งแต่กษัตริย์องค์แรกได้นำพระขนิษฐานารีมาอภิเษก ตามลัทธิคติของพวกพราหมณ์
ที่พากันนิยมว่าแต่งงานกันเองไม่เสียวงศ์ จนเป็นโลกยบัญญัติสืบมาช้านาน จนถึงกษัตริย์โอกากะวงศ์
รัชกาลที่ ๑ รวมพี่น้อง ๗ องค์ เจ้าชาย ๓ เจ้าหญิง ๓ ออกจากเมืองพระราชบิดามาตั้งเป็นราชธานีขนานนามว่ากรุงกบิลพัสดุ์ ตามบัญญัติของกบิลฤาษี ต่อนี้ไปก็แต่งงานราชาภิเษก พี่เอาน้อง น้องเอาพี่ เอากันเรื่อยไม่ว่ากัน เห็นตามพราหมณ์เขา ถือมั่นว่าอสมภินนวงศ์ ไม่แตกพี่แตกน้อง แน่นแฟ้นดี บริสุทธิ์ไม่เจือไพร่ คราวนี้เลียนอย่างมาถึงประเทศใกล้เคียงมัชฌิมประเทศก็พลอยเอาอย่างกันสืบๆ มาจนถึงสยามประเทศก็เอาอย่าง เอาพี่เอาน้องขึ้นราชาภิเษกและสมรสกันเป็นธรรมเนียมมา" สมเด็จพระจอมเกล้าฯ
ไม่พอพระทัยมาก ไล่ท่านลงจากธรรมาสน์ "ไป ไป ไป ไปให้พ้นพระราชอาณาจักร ไม่ให้อยู่ในดินแดน
ของข้า ไปให้พ้น" สมเด็จฯโต ในตอนนั้น เป็นพระเทพกวี เมื่อถูกขับไล่จึงรีบออกจากพระราชวังเข้าไป
พำนักอยู่ในโบสถ์ ต้องบิณฑบาตบนโบสถ์ลงดินไม่ได้ เกรงจะผิดพระบรมราชโองการ
ครั้นถึงคราวถวายพระกฐิน (ทอดกฐิน) พระจอมเกล้าฯ เสด็จมาพบเข้าจึงรับสั่งถามว่า "อ้าว ! ไล่แล้วไม่ให้อยู่ในราชอาณาจักรสยาม ทำไมยังขืนอยู่อีกล่ะ?" "ขอถวายพระพร อาตมภาพไม่ได้อยุ่ในพระราชอาณาจักร อาตมภาพอาศัยอยู่ในพุทธจักรตั้งแต่วันมีพระราชโองการ อาตมภาพไม่ได้ลงดินของ
มหาบพิตรเลย" สมเด็จฯโตทูล รับสั่งถามอีกว่า "ก็กินข้าวที่ไหน?" ไปถานที่ไหน?" "ขอถวายพระพร
บิณฑบาตและฉันบนโบสถ์นี้ ถานใช้กระโถน เทวดาเป็นคนนำไปลอยน้ำ" "โบสถ์นี้ไม่ใช่อาณาจักร
สยามหรือ" "โบสถ์เป็นวิสุงคาม เป็นส่วนหนึ่งจากพระราชอาณาจักร กษัตริย์ไม่มีอำนาจขับไล่ได้
ขอถวายพระพร" "ขอโทษ ขอโทษ " แล้วพระจอมเกล้าฯ ก็ทรงถวายกฐิน ต่อจากนั้นก็ทรง
รับสั่งว่า "อยู่ในพระราชอาณาจักรสยามได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป"

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2011, 20:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นี่แหละตัวโทโส

สมเด็จฯโต ท่านเป็นนักเทศน์มีชื่อเสียงเกรียงไกรในสมัยนั้น ใครๆ ก็อยากจะฟังสมเด็จฯท่านเทศน์
เพราะนอกจากได้สารธรรมแล้ว ยังได้รับความเพลิดเพลินเจริญใจไปกับไหวพริบปฏิภาณ และลีลาวาทะ
ของสมเด็จฯท่าน ใครได้ฟังเป็นต้องประทับใจไปทุกคน น่าเสียดายที่ประวัติชีวิต คำสอน และจริยาวัตร
ของท่านไม่ได้มีการบันทึกไว้โดยละเอียด ที่มีตีพิมพ์กันอยู่บ้างก็เน้นหนักไปทางขลังศักดิ์สิทธิ์มากไปหน่อย จึงทำให้ชนรุ่นหลังอย่างเรามิได้รู้เรื่องราวของท่านมากนัก แต่กระนั้น เท่าที่มีอยู่ก็นับว่าน่าสนใจไม่ใช่น้อย ตามปกติสมเด็จฯโต ท่านจะไม่ขัดศรัทธาใคร ใครจะมานิมนต์ให้ท่านไปเทศน์ที่ไหน ในชนบท
บ้านนอกท่านรับหมด แต่มีข้อแม้ว่า จะต้องไม่มีกำหนดเวลา ถ้ากำหนดเวลาว่าจะต้องเทศน์เวลานั้น
เวลานี้ ท่านจะไม่รับ ถ้าไม่กำหนดเวลาท่านยินดีไปให้ทุกแห่ง
คราวหนึ่งผู้นิมนต์ท่านไปเทศน์ที่วัดแห่งหนึ่งในคลองมอญ สมเด็จฯโตไปถึงแต่เช้า ทำให้หมายกำหนดของท่านเจ้าภาพเปลี่ยนไป เพราะเจ้าภาพได้กำหนดเอาไว้ว่า จะมีเทศน์คู่ต่อฉันเพลแล้ว เมื่อ
สมเด็จฯไปถึงแต่เช้า ก็เลยต้องให้นิมนต์เทศน์เป็นพิเศษเสียก่อนกัณฑ์หนึ่ง เวลาประมาณ ๑๐.๐๐ นาฬิกากว่าๆ (๔ โมงเช้ากว่า) พระพิมลธรรม (ถึก) พระนักเทศน์องค์สำคัญที่เทศน์คู่กับสมเด็จฯโต เป็นประจำก็ไปถึง เมื่อพอสมควรแก่เวลา สมเด็จฯโตท่านก็หยุดเทศน์ ลงจากธรรมาสน์เพื่อฉันเพล ครั้นฉัน
ภัตตาหารเสร็จท่านก็ขึ้นเทศน์ต่อ แต่คราวนี้เป็นการเทศน์คู่กับพระพิมลธรรม(ถึก) สมเด็จฯโตท่านถาม
ปัญหากับพระพิมลธรรมหรือท่านถึก (สมเด็จฯโตเรียก เจ้าถึก) ข้อหนึ่ง แต่ท่านถึกตอบไม่ได้ เมื่อตอบไม่ได้ท่านเจ้าถึกก็เลยนั่งนิ่ง ใช้ความสงบสยบความเคลื่อนไหว สมเด็จฯโตคงเกรงว่าท่านเจ้าถึกจะอายเขา
จึงแกล้งพูดขึ้นว่า "ดูนิดูเถิดจ้ะ ท่าเจ้าถึกเขาอิจฉาฉัน เขาเห็นฉันเทศน์ ๒ กัณฑ์เขาเทศน์ยังมิได้สักกัณฑ์ เขาจึงอิจฉาฉัน ฉันถามเขา เขาจึงไม่พูด ถามไม่ตอบ..." ได้ยินว่าทายกเขาจัดเครื่องกัณฑ์
ให้ท่านเจ้าถึกได้เท่ากับ ๒ กัณฑ์เครื่อง เท่ากันแล้ว" ท่านเจ้าถึกจึงถามว่า "เจ้าคุณโทโสเป็นกิเลส สำคัญพาเอาเจ้าของต้องเสียทรัพย์เสียชื่อเสียง เงินทอง เสียน้องเสียพี่ เสียที่เสียทาง เสียธรรมเนียม
เสียเหลี่ยมเสียแต้ม ก็เพราะลุแก่อำนาจโทโส ให้โทษให้ทุกข์แก่เจ้าของมากนัก ก็ลักษณะแรกโทโสจะ
เกิดขึ้น เกิดตรงที่ไหนก่อนนะขอรับ ขอให้แก้ให้ขาว" สมเด็จฯโตแกล้งทำเป็นนั่งหลับ กรนเสียด้วย
ทำเป็นไม่ได้ยินคำถาม ท่านเจ้าถึกก็ถามซ้ำอีก ๒-๓ ครั้ง สมเด็จฯโตก็ยังนั่งเฉย เมื่อถามกี่ครั้งๆ ก็ไม่ตอบท่านเจ้าถึกก็ชักฉิว ตวาดแหวออกมาว่า "ถามแล้วไม่ฟังนั่งหลับใน" ท่านเจ้าถึกตวาดถามย้ำอีก
สมเด็จฯโต คราวนี้ทำเป็นตกใจตื่น ทำทีด่าออกไปว่า "อ้ายเปรต อ้ายกาก อ้ายห่า อ้ายถึก กวนคนหลับ"
ท่านเจ้าถึกรู้สึกฉุนฉิวอยู่ก่อนแล้ว ครั้นถูกด่าเสียเกียรติในที่ประชุมเช่นนั้นก็ชักโกรธชักฉิวเพิ่มขึ้นอีก จน
ลืมตัว ไม่ทันสำรวมเพราะไม่รู้อุบายของสมเด็จฯโต จึงจับกระโถนปามาทางสมเด็จฯ
สมเด็จฯนั่งภาวนาระวังตัวอยู่แล้ว กระโถนจึงไพล่ไปโดนเสาศาลาเปรี้ยง! แตกทันที นี่แหละ !ตัวโทโส
สมเด็จฯได้ที จึงชี้แจงแถลงไขถึงลักษณะของโทโสว่า "สัปบุรุษ! ดูซิเห็นไหมๆ เจ้าคุณพิมลธรรมองค์
นี้ ท่านดีแต่ชอบคำเพราะๆ แต่พอได้รับเสียงด่าก็เกิดโทโสโอหัง เพราะอนิฏฐารมณ์ รูปร่างที่ไม่อยากจะดูมากระทบนัยน์ตา เสียงที่ไม่น่าฟังมากระทบหู กลิ่นที่ไม่น่าดมมากระทบจมูก รสที่ไม่น่ากินมากระทบลิ้น
สัมผัสความกระทบถูกมากระทบถึงกาย ความคิดที่ไม่สมคิดผิดหมายมากระทบใจ ให้เป็นมูลมารับเกิด
สัมผัสเวทนาขึ้น สำรวมไม่ทันจึงดันออกมาข้างนอกให้คนอื่นรู้ว่า เขาโกรธ ดังเช่นเจ้าคุณพิมลธรรมเป็น
ตัวอย่าง ถ้าเขายอท่านว่า พระเดชพระคุณแล้ว ท่านยิ้ม พอเขาด่าก็โกรธ โทโสเกิดในทวาร ๖ เพราะถูก
กระทบกระเทือนสิ่งที่เป็นอนิฏฐารมณ์ ไม่พอใจก็เกิดโกรธ แต่โทโสก็ไม่มีอำนาจกดขี่เจ้าของเลย เว้นแต่
เจ้าของโง่ เผลอสติ เช่นพระพิมลธรรมถึกนี้ โทโสจึงกดขี่ได้ ถ้าฉลาดแล้วระวัง ตั้งสติไม่พลุ่งพล่าน
โทโสเป็นสหชาติเกิดดับด้วยจิต ไม่ได้ติดอยู่กับใจ ถึงเป็นรากเหง้าเค้ามูลก็จริง แต่เจ้าของไม่นำพาหรือ
คอยห้ามปรามข่มขู่ไว้ โทโสก็ไม่เกิดขึ้นได้ เปรียบเช่นพืชพันธุ์เครื่องเพาะปลูก เจ้าของอย่าเอาไปดอง
อย่าเอาไปแช่ อย่าเอาไปหมักในที่ฉำแฉะแล้ว เครื่องพืชพันธุ์เพาะปลูกทั้งปวงไม่ถูกชื้นแล้วงอกไม่ได้
โทโสก็เช่นกัน ถ้าไม่รับให้กระทบถูกแล้ว โทโสก็ไม่เกิดขึ้นได้ ดูแต่ท่านเจ้าถึกเป็นตัวอย่าง ตัวท่านเป็น
เพศพระ ครั้นท่านขาดสังวร ท่านก็กลายเป็นโพระ กระโถนเลยพลอยแตกโพละ เพราะโทโสของท่าน
ท่านรับรองยึดถือทำให้มูลแฉะชื้น จงจำไว้ทุกคนเทอญ"

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


แก้ไขล่าสุดโดย ปลีกวิเวก เมื่อ 08 ต.ค. 2011, 08:42, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2011, 21:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บอกนกกา

เมื่อสมเด็จฯโต ท่านได้ขอพระบรมราชานุญาตไม่รับราชการเทศน์ สวด ฉัน ในพระบรมมหาราชวัง
ทำให้ท่านมีอิสระมากขึ้น ไม่วุ่นวายด้วยยศฐาและบริวาร ได้ทำอะไรต่อมิอะไรเอง พายเรือบิณฑบาตเอง
แบกตาลปัตรเอง ต่อมา อีกามาทำความคุ้นเคยกับท่าน เพื่อขออาหารกิน จนท่านพูดกับอีการู้เรื่อง
วันหนึ่ง กาตัวหนึ่งบอกว่าจะไปวัดมหาธาตุ อีกตัวหนึ่งแย้งว่าไปท่าเตียนดีกว่า สมเด็จฯโต ได้บอกกับอีกาทั้งสองตัวว่า "ไปท่าเตียนดีกว่าไปวัดมหาธาตุ เพราะคนเขาทิ้งหัวกุ้งหัวปลาหมักหมมไว้มาก ที่วัด
มหาธาตุถึงมีโรงครัวก็จริงแต่ทว่าคนเขาขนเก็บกวาดเสียหมดแล้วจ้ะ" อีกาสองตัวเชื่อท่าน จึงพากันบินไปที่ตลาดท่าเตียนเพื่อไปหาอาหารอันโอชะที่นั่น.... :b41:

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ต.ค. 2011, 21:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ก.ย. 2010, 09:07
โพสต์: 761

แนวปฏิบัติ: อานาปาฯ
งานอดิเรก: ศึกษาพุทธธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ปฏิบัติธรรม
ชื่อเล่น: ปลีกวิเวก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


บุญสลึงเฟื้อง

ยายแฟงมีอาชีพเป็นแม่เล้าเจ้าของซ่อง อาศัยแรงกายที่ขายกามของหญิงโสเภณีเป็นอยู่ แกไม่ต้องทำอาชีพอื่นให้เหน็ดเหนื่อย หากินบนความทุกข์ของคนอื่นนี่สบายที่สุด จะไปทำอย่างอื่นให้เมื่อยตุ้มทำไม อาชีพแม่เล้าทำให้แกร่ำรวย มีเงินทองมากขึ้นทุกวัน จนใครๆ พากันนับถือ (เงินของแก)
เมื่ออายุมากขึ้น ยายแฟงคิดอยากทำบุญใหญ่สักครั้งหนึ่ง เผื่อจะช่วยลบรอยบาปที่ฉาบทาชีวิตลงได้บ้าง
จึงได้บริจาคเงินจำนวนมากสร้างวัดใหม่ยายแฟง หรือ วัดคณิกาผล ที่เรียกกันในเวลาต่อมาที่ป้อมปราบ
ศัตรูพ่าย ฝั่งพระนคร การสร้างวัดได้สำเร็จเสร็จลงด้วยดี ยายแฟงแกดีใจมาก ว่าแม้ตัวแกจะมีอาชีพเป็น
เพียงแม่เล้าแต่ก็สามารถมีเงินสร้างวัดได้อย่างท่านเศรษฐีเชียวนะ วันฉลองวัด ยายแฟงได้นิมนต์
สมเด็จฯโต ไปเทศน์แสดงอานิสงส์ของการสร้างวัด จะได้บุญมากน้อยอย่างไร เทศนาธรรมของสมเด็จฯโต ตอนหนึ่งมีว่า "ยายแฟงสร้างวัดครั้งนี้ ได้ผลอานิสงส์บกพร่อง ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย เพราะเงินที่สร้าง
วัดเป็นเงินที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของคนอื่นที่ไม่ชอบด้วยธรรมเนียม ถ้าเปรียบอานิสงส์นี้ด้วยเงินเหรียญ
บาทยายแฟงก็ได้ไม่เต็มบาท จะได้สักสลึงเฟื้องเท่านั้น นี่ว่าอย่างเกรงใจกันนะ" ใครๆ ฟังแล้วก็ชอบใจ
หัวเราะกันครื้นเครง แต่ยายแฟงฟังแล้วเกร็งๆ ซ้ำขัดเคือง กาลเวลาผ่านไป ยายแฟงพิจารณาดูแล้วเห็น
จริงตามที่สมเด็จฯโตว่า จึงไม่โกรธเคืองสมเด็จฯอีกต่อไป.....

.....................................................
วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏฺโฐ เทวมานุสเส
ผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้คู่ความดี คือผู้ที่ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์และเทวดา
วรรคทอง วรรคธรรม โดยท่าน ว.วชิรเมธี


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 40 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร