วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 10:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 22:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา

หนังสือธรรมะอันทรงคุณค่า
พิมพ์ครั้งที่ ๑ : พฤษภาคม ๒๕๔๐
สำนักพิมพ์ : โรงพิมพ์เรือนแก้วการพิมพ์
จำนวนหน้า : ๖๒ หน้า

:b8: :b8: :b8:

:b44: หมายเหตุ โดยเว็บมาสเตอร์ :


หนังสือ...ปฏิปัตติปุจฉาวิสัชนา
เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากบทสนทนาธรรม

พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) : ถาม พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถร : ตอบ
ตามที่ได้มีการเผยแพร่และเข้าใจกันอย่างแพร่หลายแต่อย่างใด
หากโดยแท้จริงแล้วผู้ประพันธ์หนังสือเล่มนี้คือนักปฏิบัติธรรมหญิง
ผู้มีนามว่า
“คุณหญิงดำรงธรรมสาร (ใหญ่ วิเศษศิริ)”


>>> อ่านเหตุผลได้จากที่นี่ค่ะ
http://www.dharma-gateway.com/ubasika/ky-yai/history/ky-yai-hist-02.htm
http://www.dharma-gateway.com/ubasika/ky-yai/history/ky-yai-hist-01.htm

:b47: ¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤¤ :b47:

• ถาม

ผู้ปฏิบัติศาสนาโดยมากปฏิบัติอยู่แค่ไหน?

• ตอบ

ปฏิบัติอยู่ภูมิกามาพจรกุศลโดยมาก

• ถาม

ทำไมจึงปฏิบัติอยู่เพียงนั้น?

• ตอบ

อัธยาศัยของคนโดยมากยังกำหนัดอยู่ในกาม
เห็นว่ากามารมณ์ที่ดีเป็นสุข ส่วนที่ไม่ดีเห็นว่าเป็นทุกข์
จึงได้ปฏิบัติในบุญกิริยาวัตถุ

มีการฟังธรรม ให้ทาน รักษาศีล เป็นต้น
หรือภาวนาบ้างเล็กน้อย
เพราะความมุ่งเพื่อจะได้สวรรคสมบัติ มนุษยสมบัติ เป็นต้น
ก็คงเป็นภูมิกามาพจรกุศลอยู่นั่นเอง

เบื้องหน้าแต่กายแตกไปแล้ว ย่อมถึงสุคติบ้าง ไม่ถึงบ้าง
แล้วแต่วิบากจะซัดไป เพราะไม่ใช่นิยตบุคคล
คือยังไม่ปิดอบายเพราะยังไม่ได้บรรลุโสดาปัตติผล

• ถาม

ก็ท่านผู้ปฏิบัติที่ดีกว่านี้ไม่มีหรือ?

• ถาม

มี แต่ว่ามีน้อย

• ถาม

น้อยเพราะเหตุอะไร?

• ตอบ

น้อยเพราะกามทั้งหลายเท่ากับเลือดในอกของสัตว์
ยากที่จะละความยินดีในกามได้

เพราะการปฏิบัติธรรมละเอียด
ต้องอาศัยกายวิเวก จิตตวิเวก
จึงจะเป็นไปเพื่ออุปธิวิเวก
เพราะเหตุนี้แลจึงทำได้ด้วยยาก แต่ไม่เหลือวิสัย
ต้องเป็นผู้เห็นทุกข์จริงๆ จึงจะปฏิบัติได้


• ถาม

ถ้าปฏิบัติเพียงภูมิกามาพจรกุศล ดูไม่แปลกอะไร
เพราะเกิดเป็นมนุษย์ก็เป็นภูมิกามาพจรกุศลอยู่แล้ว
ส่วนการปฏิบัติจะให้ดีกว่าเก่าก็ต้องเลื่อนชั้นเป็นภูมิรูปาวจร
หรือรูปาวจรแลโลกอุดร จะได้แปลกจากเก่า?

• ตอบ

ถูกแล้ว ถ้าคิดดูคนนอกพุทธกาล
ท่านก็ได้บรรลุฌาณขั้นสูงๆ ก็มี
คนในพุทธกาล ท่านก็ได้บรรลุมรรคและผล
มีพระโสดาบัน แลพระอรหันต์
โดยมากนี่ เราก็ไม่ได้บรรลุฌาณเป็นอันสู้คนนอกพุทธกาลไม่ได้
แลไม่ได้บรรลุมรรคแลผลเป็นอันสู้คนในพุทธกาลไม่ได้

• ถาม

เมื่อเป็นเช่นนี้จักทำอย่างไร?

• ตอบ

ต้องทำในใจให้เป็นตามพระพุทธภาษิตที่ว่า

มตฺตาสุขปริจฺจาคา ปสฺเส เจ วิผปุลํ สุขํ

ถ้าว่าบุคคลเห็นสุขอันไพบูลย์
เพราะบริจาคซึ่งสุขมีประมาณน้อยเสียไซร้


จเช มตฺตาสุขํ ธีโร สมฺปสฺสํ วิปุลํ สุขํ

บุคคลผู้มีปัญญาเครื่องทรงไว้
เมื่อเล็งเห็นซึ่งสุขอันไพบูลย์พึงละเสียซึ่งสุขมีประมาณน้อย


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 22:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


• ถาม

สุขมีประมาณน้อยได้แก่สุขชนิดใด?

• ตอบ

ได้แก่สุขซึ่งเกิดแต่ความยินดีในกามที่เรียกว่า อามิสสุข
นี่แหละสุขมีประมาณน้อย

• ถาม

ก็สุขอันไพบูลย์ได้แก่สุขชนิดไหน?

• ตอบ

ได้แก่ ฌาน วิปัสสนา มรรค ผล นิพพาน
ที่เรียกว่านิรามิสสุขไม่เจือด้วยกาม นี่แหละสุขอันไพบูลย์

• ถาม

จะปฏิบัติให้ถึงสุขอันไพบูลย์จะดำเนินทางไหนดี?

• ตอบ

ก็ต้องดำเนินทาง องค์มรรค ๘

• ถาม

องค์มรรค ๘ ใครๆ ก็รู้ ทำไมจึงเดินกันไม่ใคร่ถูก?

• ตอบ

เพราะองค์มรรค ทั้ง ๘ ไม่มีใครเคยเดิน จึงเดินไม่ใคร่ถูก
พอถูกก็เป็นพระอริยะเจ้า

• ถาม

ที่เดินไม่ถูกเพราะเหตุอะไร?

• ตอบ

เพราะชอบเดินทางเก่าซึ่งเป็นทางชำนาญ

• ถาม

ทางเก่านั้นคืออะไร?

• ตอบ

ได้แก่ กามสุขัลลิกานุโยคแลอัตตกิลมถานุโยค

• ถาม

กามสุขัลลิกานุโยค นั้นคืออะไร?

• ตอบ

ความทำตนให้เป็นผู้หมกมุ่นติดอยู่ในกามสุขนี้แล ชื่อว่ากามสุขัลลิกานุโยค

• ถาม

อัตตกิลมถานุโยคได้แก่ทางไหน?

• ตอบ

ได้แก่ผู้ปฏิบัติผิด แม้ประพฤติเคร่งครัดทำตนให้ลำบากสักเพียงไร
ก็ไม่สำเร็จประโยชน์ซึ่งมรรค ผล นิพพาน
นี่แหละเรียกว่าอัตตกิลมถานุโยค

• ถาม

ถ้าเช่นนั้นทางทั้ง ๒ นี้
เห็นจะมีคนเดินมากกว่ามัชฌิมาปฏิปทาหลายร้อยเท่า?

• ตอบ

แน่ทีเดียว พระพุทธเจ้าแรกตรัสรู้
จึงได้ทรงแสดงก่อนธรรมอย่างอื่นๆที่มาแล้วใน ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร
เพื่อให้สาวกเข้าใจ จะได้ไม่ดำเนินในทางทั้ง ๒ ดำเนินในทางมัชฌิมาปฏิปทา

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 22:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


• ถาม

องค์มรรค ๘ ทำไมจึงยก สัมมาทิฏฐิ
ซึ่งเป็นกองปัญญาขึ้นแสดงก่อน
ส่วนการปฏิบัติของผู้ดำเนินทางมรรค
ต้องทำศีลไปก่อน แล้วจึงทำสมาธิแลปัญญา ซึ่งเรียกว่าสิกขาทั้ง ๓?

• ตอบ

ตามความเห็นของข้าพเจ้าว่าจะเป็น ๒ ตอน
ตอนแรกส่วนโลกียกุศลต้องทำ ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นลำดับไป
ปัญญาที่เกิดขึ้นยังไม่เห็นอริยสัจทั้ง ๔ สังโยชน์ ๓ ยังละไม่ได้
ขีดของใจเพียงนี้เป็นโลกีย์
ตอนที่เห็นอริสัจแล้วละสังโยชน์ ๓ ได้ตอนนี้เป็นโลกุตตร

• ถาม

ศีล จะเอาศีลชั้นไหน?

• ตอบ

ศีลมีหายอย่าง ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗
แต่ในที่นี้ประสงค์ศีลที่เรียกว่า
สมฺมาวาจา สมฺมากมฺมนฺโต สมฺมาอาชีโว แต่ต้องทำให้บริบูรณ์

• ถาม

สมฺมาวาจา คืออะไร?

• ตอบ

มุสาวาทาเวรมณี เว้นจากการพูดเท็จ
ปิสุณายวาจาย เวรมณี เว้นจากการพูดส่อเสียด ให้เขาแตกร้าวกัน
ผรุสาย วาจาย เวรมณี เว้นจากพูดคำหยาบ
สมฺผปฺปลาปา เวรมณี เว้นจากการพูดโปรยประโยชน์

• ถาม

สมฺมากมฺมนฺโต การงานชอบนั้นมีกี่อย่าง?

• ตอบ

มี ๓ อย่าง คือ ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นจากการฆ่าสัตว์
อทินฺนาทานา เวรมณี เว้นจากการลักทรัพย์
อพรหมฺจริยา เวรมณี เว้นจากอสัทธรรมไม่ใช่พรหมจรรย์

• ถาม

สมฺมากมฺมนฺโต ในที่อื่นๆ โดยมากเว้น อพฺรหฺม
ส่วนใน มหาสติปัฏฐาน ทำไมจึงเว้นกาเมสุมิจฉาจาร?

• ตอบ

ความเห็นของข้าพเจ้าที่ทรงแสดงอพฺรหฺม
เห็นจะเป็นด้วยรับสั่งกับพระภิกษุ
เพราะว่าภิกษุเป็น พรหมจารีบุคคลทั้งนั้น

ส่วนใน มหาสติปัฏฐาน ๔ ก็รับสั่งแก่ภิกษุเหมือนกัน
แต่ว่าเวลานั้นพระองค์เสด็จประทับอยู่ในหมู่ชนชาวกุรุ
พวกชาวบ้านเห็นจะฟังอยู่มาก
ท่านจึงสอนให้เว้นกามมิจฉาจาร เพราะชาวบ้านมักเป็นคนมีคู่

• ถาม

สมฺมาอาชีโว เลี้ยงชีวิตชอบ เว้นจากมิจฉาชีพ นั้นเป็นอย่างไร?

• ตอบ

บางแห่งท่านก็อธิบายไว้ว่า ขายสุรายาพิษศาสตราวุธ
หรือขายสัตว์มีชีวิตต้องเอาไปฆ่าเป็นต้น เหล่านี้แหละเป็นมิจฉาชีพ

• ถาม

ถ้าคนที่ไม่ได้ขายของเหล่านี้ ก็เป็น สมฺมาอาชีโว อย่างนั้นหรือ?

• ตอบ

ยังเป็นไม่ได้ เพราะวิธีโกงของคนยังมีหลายอย่างนัก
เช่น ค้าขายโดยไม่ซื่อ มีการโกงตาชั่ง ตาเต็ง
หรือเอารัดเอาเปรียบอย่างใดอย่างหนึ่ง
ในเวลาที่ผู้ซื้อเผลอ หรือ เขาไว้ใจ

รวมความว่าอัธยาศัยของคนที่ไม่ซื่อคิดเอารัดเอาเปรียบผู้อื่น
เห็นแต่จะได้สุดแต่จะมีโอกาส
จะเป็นเงินหรือของก็ดี

ถึงแม้จะไม่ชอบธรรม สุดแต่จะได้ เป็นเอาทั้งนั้น
สมฺมาอาชีโว จะต้องเว้นทุกอย่าง
เพราะเป็นสิ่งที่คดค้อม ได้มาโดยไม่ชอบธรรม

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 22:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


• ถาม

สมฺมาวายาโม ความเพียรชอบนั้นคือเพียรอย่างไร?

• ตอบ

สังวรปธาน เพียรระวังอกุศลวิตก ๓ที่ยังไม่เกิดไม่ให้เกิดขึ้น
ปหานปธาน เพียร ละอกุศลวิตก ๓ ที่เกิดขึ้นแล้วให้หายไป
ภาวนาปธาน เพียรเจริญกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น
อนุรักขนาปธาน เพียรรักษากุศลที่เกิดแล้วไว้ให้สมบูรณ์

• ถาม

สมฺมาสติ ระลึกชอบนั้นระลึกอย่างไร?

• ตอบ

ระลึกอยู่ในสติปัฏฐาน ๔ คือ กายานุปสฺสสนา ระลึกถึงกาย
เวทนานุปสฺสนา ระลึกถึงเวทนา
จิตตานุปสฺสนา ระลึกถึงจิต
ธมฺมานุปสฺสนา ระลึกถึงธรรม

• ถาม

สมฺมาสมาธิ ความตั้งใจไว้ชอบ คือตั้งใจไว้อย่างไร จึงจะเป็น สมฺมาสมาธิ?

• ตอบ

คือตั้งไว้ในองค์ฌานทั้ง ๔
ที่เรียกว่า ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน
เหล่านี้แหละ เป็น สมฺมาสมาธิ

• ถาม

สมฺมาสงฺกปฺโป ความดำริชอบนั้นดำริอย่างไร?

• ตอบ

เนกฺขมฺมสงฺกปฺโป ดำริออกจากกาม
อพฺยาปาทสงฺกปฺโป ดำริไม่พยาบาท
อวิหิสาสงฺกปฺโป ดำริในความไม่เบียดเบียน

• ถาม

สมฺมาวายาโม ก็ละอกุศลวิตก ๓ แล้ว
สมฺมา สงฺกปฺโป ทำไมต้องดำริอีกเล่า?

• ตอบ

ต่างกันเพราะ สมฺมาวายาโม นั้น เป็นแต่เปลี่ยนอารมณ์
เช่น จิตที่ฟุ้งซ่าน หรือเป็นอกุศลก็เลิกนึกถึงเรื่องเก่าเสีย
มามีสติระลึกอยู่ในอารมณ์ที่เป็นกุศล
จึงสงเคราะห์เข้าในกองสมาธิ

ส่วน สมฺมาสงฺกปฺโป มีปัญญาพิจารณาเห็นโทษของกาม
เห็นอานิสงส์ของเนกขัมม
จึงได้คิดออกจากกามด้วยอาการที่เห็นโทษ

หรือเห็นโทษของพยาบาทวิหิงสา
เห็นอานิสงส์ของเมตตากรุณา จึงได้คิดพยาบาทวิหิงสา
การเห็นโทษแลเห็นอานิสงส์เช่นนี้แหละ
จึงผิดกับ สมฺมาวายาโม จึงสงเคราะห์เข้าไว้ในกองปัญญา

• ถาม

สมฺมาทิฏฐิ ความเห็นขอบนั้น คือเห็นอย่างไร?

• ตอบ

คือเห็น ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ที่เรียกว่า อริยสัจ ๔
ความเห็นขอบอย่างนี้แหละชื่อว่า สมฺมาทิฏฐิ

• ถาม

อริยสัจ นั้น มีกิจจะต้องทำอะไรบ้าง?

• ตอบ

ตามแบบที่มีมาในธรรมจักร
มีกิจ ๓ อย่างใน ๔ อริยสัจ รวมเป็น ๑๒
คือ สัจญาณ รู้ว่าทุกข์
กิจญาณ รู้ว่าจะต้องกำหนด
กตญาณ รู้ว่ากำหนดเสร็จแล้ว

แลรู้ว่าทุกขสมุทัยจะต้องละ แลได้ละเสร็จแล้ว
และรู้ว่า ทุกขนิโรธ จะต้องทำให้แจ้ง
แลก็ได้ทำให้แจ้งเสร็จแล้ว
แลรู้ว่า ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา จะต้องเจริญ แลได้เจริญเสร็จแล้ว
นี่แหละเรียกว่ากิจใน อริยสัจทั้ง ๔

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 22:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


• ถาม

ทุกข์นั้นได้แก่สิ่งอะไร?

• ตอบ

ขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ ธาตุ ๖
นามรูปเหล่านี้เป็นประเภททุกขสัจ

• ถาม

ทุกข์มีหลายอย่างนักจะกำหนดอย่างไรถูก?

• ตอบ

กำหนดอย่างเดียวก็ได้ จะเป็น ขันธ์ ๕ หรือ อายตนะ ๖
หรือ ธาตุ ๖ นามรูปอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้
ไม่ใช่ว่าจะต้องกำหนดทีละหลายอย่าง

แต่ว่าผู้ปฏิบัติควรจะรู้ไว้เพราะธรรมทั้งหลายเหล่านี้
เป็นอารมณ์ของวิปัสสนา.


• ถาม

การที่จะเห็นอริยสัจก็ต้องทำวิปัสสนาด้วยหรือ?

• ตอบ

ไม่เจริญวิปัสสนา ปัญญาจะเกิดได้อย่างไร
เมื่อปัญญาไม่มีจะเห็นอริยสัจทั้ง ๔ อย่างไรได้
แต่ที่เจริญวิปัสสนากันอยู่
ผู้ที่อินทรีย์อ่อนยังไม่เห็นอริยสัจทั้ง ๔ เลย


• ถาม

ขันธ์ ๕ ใครๆ ก็ไม่รู้จึงกำหนดทุกข์ไม่ถูก?

• ตอบ

รู้แต่ชื่อ ไม่รู้อาการขันธ์ตามความเป็นจริงเพราะฉะนั้นขันธ์ ๕
เกิดขึ้นก็ไม่รู้ว่าเกิด ขันธ์ ๕ ดับไปก็ไม่รู้ว่าดับ
แลขันธ์มีอาการสิ้นไปเสื่อมไปตามความเป็นจริงอย่างไรก็ไม่ทราบทั้งนั้น

จึงเป็นผู้หลงประกอบด้วยวิปลาศ
คือไม่เที่ยงก็เห้นว่าเที่ยง เป็นทุกข์ก็เห็นว่าเป็นสุข
เป็นอนัตตาก็เห็นว่าเป็นอัตตาตัวตน
เป็นอสุภไม่งามก็เห็นว่าเป็นสุภะงาม

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงสั่งสอนสาวก
ที่มาแล้วในมหาสติปัฏฐานสูตรให้รู้จักขันธ์ ๕
แลอายตนะ ๖ ตามความเป็นจริงจะได้กำหนดถูก.

• ถาม

ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นั้น
มีลักษณะอย่างไร เมื่อเวลาเกิดขึ้นแลดับไปจะได้รู้?

• ตอบ

รูปคือธาตุดิน ๑๙ น้ำ ๑๒ ลม ๖ ไฟ ๔ ชื่อว่า มหาภูตรูป
เป็นรูปใหญ่แลอุปาทายรูป ๒๔ เป็นรูปที่ละเอียด
ซึ่งอาศัยอยู่ในมหาภูตรูป ๔ เหล่านี้ชื่อว่ารูป
แต่จะแจงให้ละเอียดก็มากมาย
เมื่ออยากทราบให้ละเอียด ก็จงไปดูเอาในแบบเถิด.

• ถาม

ก็เวทนานั้นได้แก่สิ่งอะไร?

• ตอบ

ความเสวยอารมณ์ ซึ่งเกิดประจำอยู่ในรูปนี้แหละ
คือบางคราวก็เสวยอารมณ์เป็นสุข
บางคราวก็เสวยอารมณ์เป็นทุกข์
บางคราวก็ไม่ทุกข์ ไม่สุข
นี่แหละเรียกว่า เวทนา ๓
ถ้าเติมโสมนัสโทมนัส ก็เป็นเวทนา ๕.

• ถาม

โสมนัสโทมนัสเวทนา ดูเป็นชื่อของกิเลสทำไมจึงเป็นขันธ์?

• ตอบ

เวทนามี ๒ อย่าง คือ กายิกะเวทนาๆ ซึ่งเกิดทางกาย ๑
เจตสิกเวทนาๆ ซึ่งเกิดทางใจ ๑
สุขเวทนาเสวยอารมณ์เป็นสุข ๑
ทุกขเวทนาเสวยอารมณ์เป็นทุกข์ ๒


อย่างนี้เกิดทางกาย โสมนัสโทมนัส อทุกขมสุขเวทนา ๓
อย่างนี้เกิดทางใจ ไม่ใช่กิเลส
คือ เช่นกับบางคราวอยู่ดีๆ ก็มีความสบายใจ
โดยไม่ได้อาศัยความรักความชอบก็มี
หรือบางคราวไม่อาศัยโทสะหรือปฏิฆะ ไม่สบายใจขึ้นเอง

เช่นคนเป็นโรคหัวใจหรือโรคเส้นประสาทก็มี
อย่างนี้เป็นขันธ์แท้ต้องกำหนดรู้ว่าเป็นทุกข์
เมื่อเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งปรากฎขึ้น
นั่นแหละเป็นความเกิดขึ้นแห่งเวทนา
เมื่อเวทนาเหล่านั้นดับหายไป เป็นความดับไปแห่งเวทนา
นี่แหละเป็นขันธ์แท้ เป็นประเภททุกขสัจ.

• ถาม

เวทนานั้นอาศัยอะไรจึงเกิดขึ้น?

• ตอบ

อาศัยอายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ วิญญาณ ๖
กระทบกันเข้า ชื่อว่าผัสสะ เป็นที่เกิดแห่งเวทนา.

• ถาม

อายตนะภายใน ๖ ภายนอก ๖ วิญญาน ๖ ผัสสะ ๖
เวทนาที่เกิดแต่ผัสสะ ๖ ก็ไม่ใช่กิเลส
เป็นประเภททุกข์ทั้งนั้นไม่ใช่หรือ?

• ตอบ

ถูกแล้ว.

• ถาม

แต่ทำไมคนเราเมื่อเวลาตาเห็นรูป
หูได้ยินเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นได้ลิ้มรส
หรือถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย รู้รับอารมณ์ด้วยใจ
ก็ย่อมได้เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ใช่หรือ

ก็อายตนะแลผัสสะเวทนาก็ไม่ใช่กิเลส
แต่ทำไมคนเราจึงเกิดกิเลสและความอยากขึ้นได้เล่า?

• ตอบ

เพราะไม่รู้ว่าเป็นขันธ์แลอายตนะ แลผัสสเวทนา
สำคัญว่าเป็นผู้เป็นคนเป็นจริงเป็นจัง
จึงได้เกิดกิเลสละความอยาก

เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงไว้ในฉักกะสูตร
ว่าบุคคลเมื่อสุขเวทนาเกิดขึ้นก็ปล่อยให้ปฏิฆานุสัยตามนอน
อทุกขมสุขเวทนาเกิดขึ้น ก็ปล่อยให้อวิชชานุสัยตามนอน

การทำที่สุดแห่งทุกข์ในชาตินี้ ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้เป็นได้
ถ้าบุคคลเมื่อเวทนาทั้ง ๓ เกิดขึ้น
ก็ไม่ปล่อยให้อนุสัยทั้ง ๓ ตามนอน
การทำที่สุดแห่งทุกข์ในชาตินี้มีฐานะที่มีได้เป็นได้
นี่ก็เท่ากับตรัสไว้เป็นคำตายตัวอยู่แล้ว.

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 22:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


• ถาม

จะปฏิบัติอย่างไรจึงจะไม่ให้อนุสัยทั้ง ๓ ตามนอน?

• ตอบ

ก็ต้องมีสติทำความรู้สึกตัวไว้
แลมีสัมปชัญญะความรู้รอบคอบในอายตนะ
แลผัสสเวทนาตามความเป็นจริงอย่างไร
อนุสัยทั้ง ๓ จึงจะไม่ตามนอน

สมด้วยพระพุทธภาษิตใน โสฬสปัญหาที่ ๑
ตรัสตอบอชิตะมานพว่า

สติ เตสํ นิวารณํ

สติเป็นดุจ ทำนบเครื่องปิดกระแสเหล่านั้น

ปญฺญา เยเตปิถิยฺยเร

กระแสเหล่านั้นอันผู้ปฏิบัติจะละเสียได้ด้วยปัญญา


แต่ในที่นั้นท่านประสงค์ละตัณหา
แต่อนุสัยกับตัณหาก็เป็นกิเลสประเภทเดียวกัน.

• ถาม

เวทนาเป็นขันธ์แท้เป็นทุกขสัจไม่ใช่กิเลสแต่ในปฏิจจสมุปทาน
ทำไมจึงมีเวทนาปจฺจยาตัณหา เพราะเหตุอะไร?

• ตอบ

เพราะไม่รู้จักเวทนาตามความเป็นจริง
เมื่อเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น
เวทนาที่เป็นสุขก็ชอบเพลิดเพลินอยากได้
หรือให้คงอยู่ไม่ให้หายไปเสียเวทนาที่เป็นทุกข์ไม่ดีมีมา
ก็ไม่ชอบประกอบด้วยปฏิฆะยากผลักไสไล่ขับให้หายไปเสีย

หรืออทุกขมสุขเวทนาที่มีมาก็ไม่รู้.
อวิชชานุสัยจึงตามนอน

สมด้วย พระพุทธภาษิตใน โสฬสปัญหาที่ ๑๓
ที่อุทยะมานพ ทูลถามว่า

กถํ สตสฺส จรโตวิญญาณํ อุปรุชฺฌติ

เมื่อบุคคลประพฤติมีสติอย่างไร ปฏิสนธิ วิญญาณจึงจะดับ


ตรัสตอบว่า.

อชฺฌตฺตญฺจ พหิทฺธา จ เวทนํ นาพินนฺทโต

เมื่อบุคคลไม่เพลิดเพลินยิ่ง
ซึ่งเวทนาทั้งภายในแลภายนอก

อวํ สตสฺส จรโต วิญญาณํ อุปรุชฺฌติ

ประพฤติมีสติอยู่อย่างนี้ ปฏิสนธิวิญญาณจึงจะดับ.


• ถาม

เวทนาอย่างไรชื่อว่าเวทนาภายนอก
เวทนาอย่างไรชื่อว่าเวทนาภายใน?

• ตอบ

เวทนาที่เกิดขึ้นแต่จัดขุสัมผัส โสตะสัมผัส
ฆานะสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส

๕ อย่างนี้ชื่อว่าเวทนาที่เป็นภายนอก
เวทนาที่เกิดในฌาน เช่น ปีติหรือสุข เป็นต้น
ชื่อว่าเวทนาภายในเกิดแต่มะโนสัมผัส.

• ถาม

ปีติแลสุขก็เป็นเวทนาด้วยหรือ?

• ตอบ

ปีติแลสุขนั้นเกิดขึ้นเพราะความสงบ
อาศัยความเพียรของผู้ปฏิบัติ

นคิริมานนทสูตร อานาปานสติ หมวดที่ ๕ กับที่ ๖

ท่านสงเคราะห์เข้าในเวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน
เพราะฉะนั้น ปีติแลสุขจึงจัดเป็นเวทนาภายในได้.

• ถาม

ที่เรียกว่า นิรามิสเวทนา เสวยเวทนาไม่มีอามิส
คือไม่เจือกามคุณ เห็นจะเป็นเวทนาที่เกิดขึ้นจากจิตที่สงบนี้เอง

แต่ถ้าเช่นนั้นความยินดีใน รูป, เสียง, กลิ่น, รส โผฏฐัพพะ
ที่เรียกว่า กามคุณ ๕ เวทนาที่เกิดคราวนั้น
ก็เป็นอามิสเวทนา ถูกไหม?

• ตอบ

ถูกแล้ว.

• ถาม

ส่วนเวทนาข้าพเจ้าเข้าใจดีแล้ว
แต่ส่วนปัญญาขันธ์ ความจำรูป จำเสียง จำกลิ่น
จำรส จำโผฏฐัพพะจะธัมมารมณ์ ๖ อย่างนี้ มีลักษณะอย่างไร

เมื่อรูปสัญญาความจำรูปเดิมเกิดขึ้นนั้น
มีอาการเช่นไรแลเวลาความจำรูปดับไป มีอาการเช่นไร
ข้าพเจ้าอยากทราบเพื่อจะได้กำหนดถูก?

• ตอบ

คือเราได้เห็นรูปคน หรือรูปร่างอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วมากขึ้น
รูปคนหรือรูปของเหล่านั้นมาปรากฏขึ้นในใจ
เหมือนอย่างได้เห็นจริงๆ นี่เรียกว่า ความจำรูป.

• ถาม

ยังไม่เข้าใจดี ขอให้ชี้ตัวอย่างให้บ้างอีกสักหน่อย?

• ตอบ

เช่นกับเมื่อเช้านี้เราได้พบคนรู้จักกันหรือได้พูดกัน
ครั้นคนนั้นไปจากเราแล้ว
เมื่อเรานึกถึงคนนั้นรูปร่างคนนั้นก็ปรากฏชัดเจน
เหมือนเวลาที่พบกันหรือได้เห็นของสิ่งใดสิ่งหนึ่งไว้

เมื่อเวลานึกขึ้นก็เห็นสิ่งนั้นชัดเจน
เหมือนอย่างเวลาที่เห็นรวมเป็นรูป ๒ อย่าง
คือ อุปาทินนกรูป รูปที่มีวิญญาณ เช่น รูปคนหรือรูปสัตว์
อุนุปาทินนกรูป รูปที่ไม่มีวิญญาณครอง
ได้แก่ สิ่งของต่างๆ หรือต้นไม้ดินหินกรวด.

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 22:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


• ถาม

ถ้าเช่นนั้นคนเป็นก็เป็นรูปวิญญาณ
คนตายก็เป็นรูปที่ไม่มีวิญญาณ อย่างนั้นหรอ?

• ตอบ

ถูกแล้ว น่าสลดใจ ชาติเดียวก็เป็นได้ ๒ อย่าง

• ถาม

ถ้าเช่นนั้นสัญญาก็เป็นเรื่องของอดีตทั้งนั้นไม่ใช่ปัจจุบัน?

• ตอบ

อารมณ์นั้นเป็นอดีต แต่เมื่อความจำปรากฏขึ้นในใจ
เป็นสัญญาณปัจจุบันนี่แหละเรียกว่าสัญญาณขันธ์.

• ถาม

ถ้าไม่รู้จักสัญญา เวลาที่ความจำรูปคนมาปรากฏขึ้นในใจ
ก็ไม่รู้ว่าสัญญาของตัว สำคัญกว่าเป็นคนจริงๆ
หรือความจำรูปที่ไม่มีวิญญาณมาปรากฏขึ้นในใจ ก็ไม่รู้ว่าสัญญา

สำคัญว่าเป็นสิ่งเป็นของจริงๆ เมื่อเป็นเช่นนี้จะมีโทษอย่างไรบ้าง
ขอท่านจงอธิบายให้ข้าพเจ้าเข้าใจ?

• ตอบ

มีโทษมาก เช่น นึกถึงคนรัก รูปร่างของคนที่รักก็มาปรากฏกับใจ
กามวิตกที่ยังไม่เกิด ก็จะเกิดขึ้นที่เกิดขึ้นแล้วก็จะงอกงาม

หรือนึกถึงคนที่โกรธกัน
รูปร่างของคนที่โกรธกันนั้นก็มาปรากฏชัดเจนเหมือนได้เห็นจริงๆ
พยาบาทวิตกที่ยังไม่เกิดก็จะเกิดขึ้น

ที่เกิดขึ้นแล้วก็จะงอกงาม หรือนึกถึงสิ่งของที่สวยๆ งามๆ รู
ปร่างสิ่งของเหล่านั้นก็มาปรากฏในใจ เกิดความชอบใจบ้าง
แหละอยากบ้าง เพราะไม่รู้ว่าสัญญาขันธ์ของตัวเอง
สัญญานั้นว่าสิ่งทั้งปวงเป็นจริงเป็นจังไปหมด ที่แท้ก็เหลวทั้งนั้น.

• ถาม

ก็ความเกิดขึ้นแห่งสัญญามีลักษณะอย่างไร?

• ตอบ

เมื่อเกิดความจำรูปอย่างใดอย่างหนึ่งมาปรากฏในใจ
เป็นความเกิดขึ้นแห่งความจำรูป
มื่อความจำรูปเหล่านั้น
ดับหายไปจากใจเป็นความดับไปแห่งความจำรูป.

• ถาม

ความจำเสียงนั้น มีลักษณะอย่างไร?

• ตอบ

เช่นเวลาเราฟังเทศน์
เมื่อพระเทศน์จบแล้วเรานึกขึ้นจำได้ว่าท่านแสดงว่าอย่างนั้นๆ
หรือมีคนมาพูดเล่าเรื่องอะไรๆ ให้เราฟัง
เมื่อเขาพูดเสร็จแล้ว เรานึกขึ้นจำถ้อยคำนั้นได้
นี่เป็นลักษณะของความจำเสียงเมื่อความจำเสียงปรากฏขึ้นในใจ
เป็นความเกิดแห่งความจำเสียง
เมื่อความจำเสียงเหล่านั้นดับหายไปจากใจ
เป็นความดับไปแห่งสัททสัญญา.

• ถาม

คันธสัญญาความจำกลิ่นมีลักษณะอย่างไร?

• ตอบ

เช่นกับเราเคยได้กลิ่นหอมของดอกไม้
หรือน้ำอบหรือกลิ่นเหม็นอย่างใดอย่างใดอย่างหนึ่งไว้
เมื่อนึกขึ้นก็จำกลิ่นหอมกลิ่นเหม็นนั้นได้
นี่เป็นความเกิดขึ้นแห่งความจำกลิ่น

เมื่อความจำกลิ่นเหล่านั้นหายไปจากใจ
เป็นความดับไปแห่งคันธสัญญา.

• ถาม

รสสัญญาความจำรสมีลักษณะอย่างไร?

• ตอบ

ความจำรสนั้น เมื่อเรารับประทานอาหารมีรส
เปรี้ยว หวาน จืด เค็ม หรือขมเป็นต้น
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้ว
นึกขึ้นก็จำรสเหล่านั้นได้อย่างนั้เรียกว่า ความจำรส
เมื่อความจำรสเหล่านั้นดับหายไปจากใจ
เป็นความดับไปแห่งรสสัญญา.

• ถาม

โผฏฐัพพะสัญญานั้นมีลักษณะอย่างไร?

• ตอบ

ความจำเครื่องกระทบทางกาย
เช่นเราเดินไปเหยียบหนาม ถูกหนามยอก
หรือถูกต้องเย็นร้อนอ่อนแข็งอย่างใดอย่างหนึ่ง
เมื่อนึกขึ้นจำความถูกต้องกระทบทางกายเหล่านั้นได้
ชื่อว่าโผฏฐัพพะสัญญา.

• ถาม

เช่นเมื่อกลางวันนี้เราเดินไปถูกแดดร้อนจัดครั้นกลับมาถึงบ้าน
นึกถึงที่ไปถูกแดดมานั้น
ก็จัดได้ว่าวันนั้นเราไปถูกแดดร้อนอย่างนี้
เป็นโผฏฐัพพะสัญญาถูกไหม?

• ตอบ

ถูกแล้ว สิ่งใดสิ่งหนึ่งมากระทบถูกต้องทางกาย
เมื่อเรานึกคิดถึงอารมณ์เหล่านั้น,
จำได้เป็นโผฏฐัพพะสัญญาทั้งนั้น
เมื่อความจำโผฏฐัพพะสัญญาเกิดขึ้นในใจ
มีความเกิดขึ้นแห่งโผฏฐัพพะสัญญา
เมื่อความจำเหล่านั้นดับหายไปจากใจ
เป็นความดับไปแห่งโผฏฐัพพะสัญญา.

• ถาม

ธัมมสัญญามีลักษณะอย่างไร?

• ตอบ

ธัมมสัญญาความจำธัมมารมณ์นั้นละเอียดยิ่งกว่าสัญญา ๕
ที่ได้อธิบายมาแล้ว.

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 22:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


• ถาม

ธัมมารมณ์ นั้นได้แก่สิ่งอะไร?

• ตอบ

เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์
๓ อย่างนี้ ชื่อว่า ธัมมารมณ์

เช่นเราได้เสวยเวทนาที่เป็นสุขหรือที่เป็นทุกข์ไว้
แลเวทนาเหล่านั้นดับไปแล้วนึกขึ้นจำได้อย่างนี้
ชื่อว่าความจำเวทนา

หรือเราเคยท่องบ่นอะไรๆ จะจำได้มากก็ตามหรือจำได้น้อยก็ตาม
เมื่อความจำเหล่านั้นดับไป
พอนึกขึ้นถึงความจำเก่าก็มาเป็นสัญญาปัจจุบันขึ้น
อย่างนี้เรียกว่าความจำสัญญา

หรือเราคิดนึกเรื่องอะไรๆ ขึ้นเองด้วยใจ
เมื่อความคิดเหล่านั้นดับไป
พอเรานึกถึงเรื่องที่เคยคิดเอาไว้นั้น ก็จำเรื่องนั้นได้
นี่เรียกว่าความจำสังขารขันธ์

ความจำเรื่องราวของเวทนา สัญญา สังขารเหล่านี้แหละ
ชื่อว่าธัมมสัญญาความจำธัมมารมณ์
เมื่อความจำธัมมารมณ์มาปรากฏขึ้นในใจ
เป็นความเกิดขึ้นแห่งธัมมสัญญา
เมื่อความจำธัมมารมณ์เหล่านั้นดับหายไปจากใจ
เป็นความดับไปแห่งธัมมสัญญา.

• ถาม

แหมช่างซับซ้อนกันจริงๆ จะสังเกตอย่างไรถูก?

• ตอบ

ถ้ายังไม่รู้จักอาการขันธ์ ก็สังเกตไม่ถูก
ถ้ารู้จักแล้ว ก็สังเกตได้ง่าย

เหมือนคนที่รู้จักตัวแลรู้จักชื่อกันถึงจะพบหรือเห็นกันมากๆ
คนก็รู้จักได้ทุกๆ คน
ถ้าคนที่ไม่เคยรู้จักตัวหรือรู้จักชื่อกันมา
แต่คนเดียวก็ไม่รู้จักว่าผู้นั้นคือใคร

สมด้วยพระพุทธภาษิตใน คุหัฏฐกสูตรหน้า ๓๙๕ ที่ว่า

สญฺญํ ปริญฺญา วิตเรยฺย โอฆํ
สาธุชนมากำหนดรอบรู้สัญญาแล้วจะพึงข้ามโอฆะได้.


• ถาม

สังขารขันธ์ คืออะไร?

• ตอบ

สังขารขันธ์คือความคิดความนึก.

• ถาม

สังขารขันธ์เป็นทุกขสัจหรือเป็นสมุทัย?

• ตอบ

เป็นทุกขสัจ ไม่ใช่สมุทัย.

• ถาม

ก็สังขารขันธ์ตามแบบ อภิธัมมสังคหะ
ท่านแจกไว้ว่า มีบาปธรรม ๑๔ โสภณเจตสิก ๒๕
อัญญสมนา ๑๓ รวมเป็นเจตสิก ๕๒ ดวงนั้น
ดูมีทั้งบุญทั้งบาป และไม่ใช่บุญไม่ใช่บาปปนกัน

ทำไมจึงเป็นทุกขสัจอย่างเดียว ข้าพเจ้ายังฉงนนัก?

• ตอบ

อัญญสมนา ๑๓ ยกเวทนาสัญญาออกเสีย ๒ ขันธ์
เหลืออยู่ ๑๑ นี่แหละเป็นสังขารขันธ์แท้จะต้องกำหนดรู้ว่าเป็นทุกข์

ส่วนบาปธรรม ๑๔ นั้นเป็นสมุทัยอาศัยสังขารขันธ์เกิดขึ้น
เป็นส่วนปหาตัพพธรรมจะต้องละ

ส่วนโสภณเจตสิก ๒๕ นั้น เป็นภาเวตัพพธรรมจะต้องเจริญ
เพราะฉะนั้นบาปธรรม ๑๔ กับโสภณเจตสิก ๒๕ ไม่ใช่สังขารแท้
เป็นแต่อาศัยสังขารขันธ์เกิดขึ้น

จึงมีหน้าที่จะต้องดูแลต้องเจริญความคิดความนึกอะไรๆ
ที่มาปรากฏขึ้นในใจ
เป็นความเกิดขึ้นแห่งสังขารขันธ์
ความคิดความนึกเหล่านั้นดับหายไปจากใจ
ก็เป็นความดับไปแห่งสังขารขันธ์.

• ถาม

วิญญาณขันธ์ ที่รู้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ
๖ อย่างนี้ มีลักษณะอย่างไรและเวลาเกิดขึ้นแลดับไปมีอาการอย่างไร?

• ตอบ

คือ ตา ๑ รูป ๑ กระทบกันเข้า เกิดความรู้ทางตา
เช่นกับเราได้เห็นคนหรือสิ่งของอะไรๆ
ก็รู้ได้คนนั้นคนนี้ หรือสิ่งนั้นสิ่งนี้ ชื่อว่าจักขุวิญญาณ

เมื่อรูปมาปรากฏกับตา
เกิดความรู้ทางตาเป็นความเกิดขึ้นแห่งจักขุวิญญาณ
เมื่อความรู้ทางตาดับหายไปเป็นความดับไปแห่งจักขุวิญญาณ

หรือความรู้ทางหู รู้กลิ่นทางจมูก รู้รสทางลิ้น
รู้โผฏฐัพพะทางกายมาปรากฏขึ้น
ก็เป็นความเกิดขึ้นแห่งโสตวิญญาณ ฆาน วิญญาณ ชิวหา
วิญญาณ กายวิญญาณ

เมื่อความรู้ทางหู จมูก ลิ้น กาย หายไป
ก็เป็นความดับไปแห่งโสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ
ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ

เมื่อใจกับธัมมารมณ์มากระทบกันเข้า
เกิดความรู้ทางใจเรียกว่ามโนวิญญาณ.

• ถาม

ใจนั้นได้แก่สิ่งอะไร?

• ตอบ

ใจนั้นเป็นเครื่องรับธัมมารมณ์ให้เกิดความรู้ทางใจ
เหมือนอย่างตาเป็นเครื่องรับรูปให้เกิดความรู้ทางตา.

• ถาม

รู้เวทนา รู้สัญญา รู้สังขารนั้น รู้อย่างไร?

• ตอบ

รู้เวทนา นั้น เช่น สุขเวทนาเป็นปัจจุบันเกิดขึ้น
ก็รู้ว่าเป็นสุข หรือทุกขเวทนาเกิดขึ้น
ก็รู้ว่าเป็นทุกข์อย่างนี้แลรู้เวทนา

หรือสัญญาใดมาปรากฏขึ้นในใจ
จะเป็นความจำรูปหรือความจำเสียงก็ดี
ก็รู้สัญญานั้นอย่างนี้เรียกว่า รู้สัญญา

หรือความคิดเรื่องอะไรๆ ขึ้น ก็รู้ไปในเรื่องนั้นอย่างนี้
รู้สังขารความรู้ เวทนา สัญญา สังขาร ๓ อย่างนี้
ต้องรู้ทางใจเรียกว่า มโนวิญญาณ.


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 22:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


• ถาม

มโนวิญญาณความรู้ทางใจก็เหมือนกันกับธรรมสัญญา
ความจำธัมมารมณ์อย่างนั้นหรือ
เพราะนี่ก็รู้ว่าเวทนา สัญญา สังขาร นั่นก็จำเวทนา สัญญาสังขาร?

• ตอบ

ต่างกัน เพราะสัญญานั้นจำอารมณ์ที่ล่วงแล้วแต่ตัวสัญญาเอง
เป็นสัญญาปัจจุบัน
ส่วนมโนวิญญาณนั้นรู้เวทนา สัญญา สังขารที่เป็นอารมณ์ปัจจุบัน
เมื่อความรู้เวทนา สัญญา สังขาร ดับ หายไปจากใจ
เป็นความดับไปแห่งมโนวิญญาณ.

• ถาม

เช่นผงเข้าตา รู้ว่าเคืองตา เป็นรู้ทางตาใช่ไหม?

• ตอบ

ไม่ใช่ เพราะรู้ทางตานั้น
หมายถึงรูปที่มากระทบกับตาเกิดความรู้ขึ้น

ส่วนผงเข้าตานั้นเป็นกายสัมผัส ต้องเรียกว่ารู้ โผฏฐัพพะ
เพราะตานั้นเป็นกายผงนั้นเป็นโผฏฐัพพะ
เกิดความรู้ขึ้น ชื่อว่ารู้ทางกาย

ถ้าผงเข้าตาคนอื่น เขาวานเราไปดู
เมื่อเราได้เห็นผงเกิดความรู้ขึ้น ชื่อว่ารู้ทางตา.

• ถาม

สาธุ ข้าพเจ้าเข้าใจได้ความในเรื่องนี้ชัดเจนดีแล้ว
แต่ขันธ์ ๕ นั้นยังไม่ได้ความว่า
จะเกิดขึ้นทีละอย่างสองอย่าง
หรือว่าต้องเกิดพร้อมกันทั้ง ๕ ขันธ์?

• ตอบ

ต้องเกิดขึ้นพร้อมกันนั้นทั้ง ๕ ขันธ์.

• ถาม

ขันธ์ ๕ ที่เกิดพร้อมกันนั้น มีลักษณะอย่างไร?
และความดับไปมีอาการอย่างไร?
ขอให้ชี้ตัวอย่างให้ขาวสักหน่อย

• ตอบ

เช่นเวลาเรานึกถึงรูปคนหรือรูปสิ่งของอย่างใดอย่างหนึ่ง
อาการที่นึกขึ้นนั้นเป็นลักษณะของสังขารขันธ์
รูปร่างหรือสิ่งของเหล่านั้นมาปรากฏขึ้นในใจ
นี่เป็นลักษณะของรูปสัญญา

ความรู้ที่เกิดขึ้นในเวลานั้นนี่เป็นลักษณะของมโนวิญญาณ
สุขหรือทุกข์หรืออุเบกขาที่เกิดขึ้นในคราวนั้น
นี่เป็นลักษณะของเวทนามหาภูตรูป


อย่างนี้เรียกว่าความเกิดขึ้นแห่งขันธ์พร้อมกันทั้ง ๕
เมื่ออาการ ๕ อย่างเหล่านั้นดับไปเป็นความดับไปแห่งขันธ์ทั้ง ๕.

• ถาม

ส่วนนามทั้ง ๔ เกิดขึ้นและดับไปพอจะเห็นด้วย
แต่ที่ว่ารูปดับไปนั้นยังไม่เข้าใจ?

• ตอบ

ส่วนรูปนั้นมีความแปรปรวนอยู่เสมอเช่นของเก่าเสื่อมไป
ของใหม่เกิดแทนแต่ทว่าไม่เห็นเองเพราะ รูปสันตติ
รูปที่ติดต่อเนื่องกันบังเสีย จึงแลไม่เห็น
แต่ก็ลองนึกดูถึงรูปตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้เปลี่ยนไปแล้วสักเท่าไร
ถ้ารูปไม่ดับก็คงไม่มีเวลาแก่แลเวลาตาย.


• ถาม

ถ้าเราจะสังเกตขันธ์ ๕ ว่าเวลาเกิดขึ้นแลดับไปนั้น
จะสังเกตอย่างไรจึงจะเห็นได้
แลที่ว่าขันธ์สิ้นไปเสื่อมไปนั้นมีลักษณะอย่างไร
เพราะว่าเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
แล้วก็เกิดขึ้นได้อีกดูเป็นของคงที่ไม่เห็นมีความเสื่อม?

• ตอบ

พูดกับคนที่ไม่เคยเห็นความจริงนั้น ช่างน่าขันเสียเหลือเกิน

วิธีสังเกตขันธ์ ๕ นั้น
ก็ต้องศึกษาให้รู้จักอาการขันธ์ตามความเป็นจริง
แล้วก็มีสติสงบความคิดอื่นเสียหมดแล้ว
จนเป็นอารมณ์อันเดียวที่เรียกว่าสมาธิ
ในเวลานั้นความคิดอะไรๆ ไม่มีแล้ว


ส่วนรูปนั้นหมายลมหายใจ
ส่วนเวทนาก็มีแต่ปีติหรือสุข
ส่วนสัญญาก็เป็นธรรมสัญญาอย่างเดียว
ส่วนสังขารเวลานั้นเป็นสติกับสมาธิ หรือวิตกวิจารณ์อยู่
ส่วนวิญญาณก็เป็นแต่ความรู้อยู่ในเรื่องที่สงบนั้น

ในเวลานั้นขันธ์ ๕ เข้าไปรวมอยู่เป็นอารมณ์เดียว
ในเวลานั้นต้องสังเกตอารมณ์ปัจจุบัน
ที่ปรากฏอยู่เป็นความเกิดขึ้นแห่งขันธ์
พออารมณ์ปัจจุบันนั้นดับไปเป็นความดับไปแห่งนามขันธ์

ส่วนรูปนั้นเช่นลมหายใจออกมาแล้ว
พอหายใจกลับเข้าไปลมหายใจออกนั้นก็ดับไปแล้ว
ครั้นกลับมาหายใจออกอีกลมหายใจเข้าก็ดับไปแล้ว
นี่แหละเป็นความดับไปแห่งขันธ์ทั้ง ๕
แล้วปรากฏขึ้นมากอีก ก็เป็นความเกิดขึ้น

ทุกๆ อารมณ์แลขันธ์ ๕ ที่เกิดขึ้นดับไป ไม่ใช่ดับไปเปล่าๆ
รูปชีวิตินทรีย์ความเป็นอยู่ของนามขันธ์ทั้ง ๕
เมื่ออารมณ์ดับไปครั้งหนึ่ง
ชีวิตแลอายุของขันธ์ทั้ง ๕ ก็สิ้นไปหมดไปทุกๆ อารมณ์.


• ถาม

วิธีสังเกตอาการขันธ์ที่สิ้นไปเสื่อมไปนั้นหมายเอาหรือคิดเอา?

• ตอบ

หมายเอาก็เป็นสัญญา คิดเอาก็เป็นเจตนา
เพราะฉะนั้นไม่ใช่หมายไม่ใช่คิด
ต้องเข้าไปเห็นความจริงที่ปรากฏเฉพาะหน้า
จึงจะเป็นปัญญาได้.

• ถาม

ถ้าเช่นนั้นจะดูความสิ้นไปเสื่อมไปของขันธ์ทั้ง ๕
มิต้องตั้งพิธีทำใจให้เป็นสมาธิทุกคราวไปหรือ?

• ตอบ

ถ้ายังไม่เคยเห็นความจริงก็ต้องตั้งพิธีเช่นนี้ร่ำไป
ถ้าเคยเห็นความจริงเสียแล้วก็ไม่ต้องตั้งพิธี
ทำใจให้เป็นสมาธิทุกคราวก็ได้

แต่พอมีสติขึ้น
ความจริงก็ปรากฏเพราะเคยเห็นแลรู้จักความจริงเสียแล้ว
เมื่อมีสติรู้ตัวขึ้นมาเวลาใด
ก็เป็นสมถวิปัสสนากำกับกันไปทุกคราว.


• ถาม

ที่ว่าชีวิตแลอายุของขันธ์สิ้นไปเสื่อมไปนั้น
คือ สิ้นไปเสื่อมไปอย่างไร?

• ตอบ

เช่นเราจะมีลมหายใจอยู่ได้สัก ๑๐๐ หนก็จะตาย
ถ้าหายใจเสียหนหนึ่งแล้ว ก็คงเหลืออีก ๙๙ หน
หรือเราจะคิดจะนึกอะไรได้สัก ๑๐๐ หน
เมื่อคิดนึกเสียหนหนึ่งแล้ว คงเหลืออีก ๙๙ หน

ถ้าเป็นอายุยืนก็หายใจอยู่ได้มากหน
หรือคิดนึกอะไรๆ อยู่ได้มากหน
ถ้าเป็นคนอายุสั้น ก็มีลมหายใจและคิดนึกอะไรๆ อยุ่ได้น้อยหน
ที่สุดก็หมดลงวันหนึ่ง เพราะจะต้องตายเป็นธรรมดา.

• ถาม

ถ้าเราจะหมายจะคิดอยู่ในเรื่องความจริงของขันธ์อย่างนี้
จะเป็นปัญญาไหม?

• ตอบ

ถ้าคิดเอาหมายเอา ก็เป็นสมถะ ที่เรียกว่า มรณัสสติ
เพราะปัญญานั้น ไม่ใช่เรื่องหมายหรือเรื่องคิด
เป็นเรื่องของความเห็นอารมณ์ปัจจุบันที่ปรากฏเฉพาะหน้า
ราวกับตาเห็นรูปจึงจะเป็นปัญญา.

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 22:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


• ถาม

เมื่อจิตสงบแล้ว ก็คอยสังเกตดูเอาอาการขันธ์ที่เป็นอารมณ์ปัจจุบัน
เพื่อจะให้เห็นความจริง นั้นเป็นเจตนาใช่ไหม?

• ตอบ

เวลานั้นเป็นเจตนาจริงอยู่ แต่ความจริงก็ยังไม่ปรากฏ
เวลาที่ความจริงปรากฏขึ้นนั้นพ้นเจตนาทีเดียว
ไม่มีเจตนาเลย เป็นความเห็นที่เกิดขึ้นเป็นพิเศษต่อจากจิตที่สงบแล้ว.

• ถาม

จิตคู่กับเจตสิก ใจคู่กับธัมมารมณ์
มโนธาตุคู่กับธรรมธาตุ ๓ คู่นี้เหมือนกันหรือต่างกัน?

• ตอบ

เหมือนกัน เพราะว่าจิต กับมโนธาตุ กับใจนั้น อย่างเดียวกัน
ส่วนใจนั้นเป็นภาษาไทย ภาษาบาลี ท่านเรียกว่า มโน
เจตสิกนั้นก็ได้แก่เวทนา สัญญา สังขาร
ธัมมารมณ์นั้นก็ คือ เวทนา สัญญา สังขาร
ธรรมธาตุ นั้นก็ คือ เวทนา สัญญา สังขาร .

• ถาม

ใจนั้นทำไมจึงไม่ค่อยปรากฏ
เวลาที่สังเกตดูก็เห็นแต่เหล่าธัมมารมณ์
คือ เวทนาบ้าง สัญญาบ้าง สังขารบ้าง มโนวิญญาณ ความรู้ทางใจบ้าง
เพราะเหตุใดจึงไม่ปรากฏเหมือนเหล่าธัมมารมณ์ กับมโนวิญญาณ?

• ตอบ

ใจนั้นเป็นของละเอียด เห็นได้ยาก
เพราะพวกเจตสิกธรรมที่เป็นเหล่าธัมมารมณ์มากระทบเข้า
ก็เกิดมโนวิญญาณ ถูกผสมเป็นมโนสัมผัสเลยทีเดียว
จึงแลไม่เห็นมโนธาตุได้.


• ถาม

อุเบกขาในจตุตถฌาน เป็นอทุกขมสุขเวทนาใช่หรือไม่?

• ตอบ

ไม่ใช่ อทุกขมสุขเวทนานั้นเป็นเจตสิกธรรม
ส่วนอุเบกขาในจตุตถฌานนั้นเป็นจิต.

• ถาม

สังโยชน์ ๑๐ นั่น คือ
สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพัตตปรามาส กามราคะ
พยาบาท รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา
ที่แบ่งเป็นสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ เบื้องบน ๕ นั้น
ก็ส่วนสักกายทิฏฐิ ที่ท่านแจกไว้
ตามแบบขันธ์ละ ๔ รวม ๕ ขันธ์เป็น ๒๐

ที่ว่า ย่อมเห็นรูปโดยความเป็นตัวตนบ้าง
ย่อมเห็นตัวตนว่ามีรูปบ้าง
ย่อมเห็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

โดยความเป็นตัวตนบ้าง
ย่อมเห็นตัวตนว่ามีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณบ้าง
ย่อมเห็น เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณในตัวตนบ้าง
ย่อมเห็นตัวตนในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณบ้าง

ถ้าฟังดูท่านที่ละสักกายทิฏฐิได้แล้ว ดูไม่เป็นตัวเป็นตน
แต่ทำไมพระโสดาบันก็ละสักกายทิฏฐิได้แล้ว
สังโยชน์ยังอยู่อีกถึง ๗ ข้าพเจ้าฉงนนัก?

• ตอบ

สักกายทิฏฐิ ที่ท่านแปลไว้ตามแบบ
ใครๆ ฟังก็ไม่ใคร่เข้าใจ
เพราะท่านแต่ก่อน ท่านพูดภาษามคธกัน
ท่านเข้าใจได้ความกันดี

ส่วนเราเป็นไทยถึงแปลแล้วก็จะไม่เข้าของท่าน
จึงลงความเห็นว่าไม่เป็นตัวเป็นตนเสีย ดูออกจะแรงมากไป

ควรจะนึกถึง พระโกณฑัญญะ
ในธัมมจักรท่านได้เป็นโสดาบันก่อนคนอื่นท่านได้ความเห็นว่า


ยงฺกิญฺจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺ ตํ นิโรธธมมํ

สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นล้วนมีความดับเป็นธรรมดา


แลพระสารีบุตรพบพระอัสสชิ ได้ฟังอริยสัจย่อว่า.

เย ธมฺมา เหตุปฺปภวา เตสํ เหตํ ตถาคโต เตสญฺจ
โย นิโรโธ จ เอวํวาที มหาสมโณ

“ธรรมเหล่าใดเกิดแต่ธาตุ
พระตถาคตเจ้าทรงแสดงเหตุของธรรมเหล่านั้น
และความดับของธรรมเหล่านั้น
พระมหาสมณะมีปรกติกล่าวอย่างนี้”


ท่านก็ได้ดวงตาเห็นธรรม ละสักกายทิฏฐิได้.

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 22:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


• ถาม

ถ้าเช่นนั้นท่านก็เห็นความจริงของปัญจขันธ์ถ่ายความเห็นผิด
คือ ทิฏฐิวิปลาสเสียได้

ส่วนสีลัพพัดกับวิจิกิจฉา ๒ อย่างนั้น ทำไมจึงหมดไปด้วย?

• ตอบ

สักกายทิฏฐินั้น เป็นเรื่องของความเห็นผิด

ถึงสีลัพพัตก็เกี่ยวกับความเห็นว่า
สิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกจะได้ดีให้ชั่วได้
วิจิกิจฉานั้นเมื่อผู้ที่ยังไม่เคยเห็นความจริง
ก็ต้องสงสัยเป็นธรรมดา

เพราะฉะนั้นท่านที่ได้ดวงตาเห็นธรรม
คือ เห็นความจริงของสังขารทั้งปวง


ส่วนสีลัพพัตน้น เพราะความเห็นของท่านตรงแล้วจึงเป็น อจลสัทธา
ไม่เห็นไปว่าสิ่งอื่น นอกจากกรรมที่เป็นกุศลแลอกุศล
จะให้ดีให้ชั่วได้จึงเป็นอันละสีลัพพัตอยู่เอง


เพราะสังโยชน์ ๓ เป็นกิเลสประเภทเดียวกัน.

• ถาม

ถ้าตอบสังโยชน์ ๓ อย่างนี้แล้ว
มิขัดกันกับสักกายทิฏฐิตามแบบที่ว่า ไม่เป็นตัวเป็นตนหรือ?

• ตอบ

คำที่ว่าไม่เป็นตัวเป็นตนนั้น เป็นเรื่องที่เข้าใจเอาเองต่างหาก
เช่น กับพระโกณฑัญญะเมื่อฟังธรรมจักร
ท่านก็ละสักกายทิฏฐิได้แล้ว
ทำไมจึงต้องฟังอนัตตลักขณะสูตรอีกเล่า
นี่ก็ส่อให้เห็นได้ว่าท่านผู้ที่ละสักกายทิฏฐิได้นั้น
คงไม่ใช่เห็นว่าไม่เป็นตัวเป็นตน.

• ถาม

ถ้าเช่นนั้นที่ว่าอนัตตา ก็คือเห็นว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอย่างนั้นหรือ?

• ตอบ

อนัตตาในอนัตตลักขณะสูตร
ที่พระพุทธเจ้าทรงซักพระปัญจวัคคีย์
มีเนื้อความว่าขันธ์ ๕ ไม่เป็นไปในอำนาจ
สิ่งที่ไม่เป็นไปในอำนาจบังคับไม่ได้จึงชื่อว่าเป็นอนัตตา

ถ้าขันธ์ ๕ เป็นอัตตาแล้วก็คงจะบังคับได้
เพราะฉะนั้นเราจึงควรเอาความว่าขันธ์ ๕ ที่ไม่อยู่ในอำนาจ
จึงเป็นอนัตตา เพราะเหตุที่บังคับไม่ได้
ถ้าขันธ์ ๕ เป็นอัตตาตัวตนก็คงจะบังคับได้.

• ถาม

ถ้าเช่นนั้นเห็นอย่างไรเล่าจึงเป็นสักกายทิฏฐิ?

• ตอบ

ตามความเห็นของข้าพเจ้าว่า ไม่รู้จักขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริง
เห็นปัญจขันธ์ว่าตน และเที่ยงสุขเป็นตัวตนแก่นสาร
และเลยเห็นไปว่าเป็นสุภะความงามด้วย ที่เรียกว่าทิฏฐิวิปลาส
นี่แหละเป็นสักกายทิฏฐิเพราะฉะนั้นจึงเป็นคู่ปรับกัน

ยงฺกิญจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ

ซึ่งเป็นความเห็นถูกความเห็นชอบจึงถ่ายความเห็นผิดเหล่านั้นได้.

• ถาม

ถ้าเช่นนั้น ท่านที่ละสักกายทิฏฐิได้แล้ว อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา
จะเป็นอัธยาศัยได้ไหม?

• ตอบ

ถ้าฟังดูตามแบบท่านเห็น

ยงฺกิญจิ สมุทยธมฺมํ สพฺพนฺตํ นิโรธธมฺมํ ชัดเจน

อนิจฺจํ คงเป็นอัธยาศัย
ส่วนทุกขํกับอนตฺตา ถึงจะเห็นก็ไม่เป็นอัธยาศัย

เข้าใจว่าถ้าเห็น ปัญจขันธ์ เป็นทุกข์มากเข้า
กามราคะพยาบาท ก็คงน้อย

ถ้าเห็นปัญจขันธ์เป็นอนัตตามากเข้า
กามราคะพยาบาท ก็คงหมด

ถ้าเห็นว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ชัดเจนเข้า
สังโยชน์เบื้องบน ก็คงหมด

นี่เป็นส่วนความเข้าใจ
แต่ตามแบบท่านก็ไม่ได้อธิบายไว้.


• ถาม

ที่ว่าพระสกิทาคามี ทำกามราคพยาบาทให้น้อยนั้น ดุมัวไม่ชัดเจน
เพราะไม่ทราบว่าน้อยแค่ไหนไม่แตกหักเหมือนพระโสดาบัน
พระอนาคามีแลพระอรหันต์?

• ตอบ

แตกหักหรือไม่แตกหักก็ใครจะไปรู้ของท่านเพราะว่าเป็นของเฉพาะตัว.

• ถาม

ถ้าจะสันนิษฐานไปตามแนวพระปริยัติก็จะชี้ตัวอย่างให้เข้าใจบ้างหรือไม่?

• ตอบ

การสันนิษฐานนั้นเป็นของไม่แน่ ไม่เหมือนอย่างได้รู้เองเห็นเอง.

• ถาม

แน่หรือไม่แน่ก็เอาเถิด ข้าพเจ้าอยากฟัง?

• ตอบ

ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าเห็นว่าท่านที่ได้เป็นโสดาบันเสร็จแล้ว
มีอัธยาศัยใจคอซึ่งต่างกับปุถุชน
ท่านได้ละกามราคะพยาบาทส่วนหยาบถึงล่วงทุจริต
ซึ่งเป็นฝ่ายอนาคามีได้ คงเหลือแต่อย่างกลาง อย่างละเอียดอีก ๒ ส่วน

ภายหลังท่านเจริญสมถวิปัสสนามากขึ้น
ก็ละกามราคะปฏิฆะสังโยชน์อย่างกลางได้อีกส่วน ๑
ข้าพเจ้าเห็นว่านี่แหละเป็นมรรคที่ ๒

ต่อมาท่านประพฤติปฏิบัติละเอียดเข้า
ก็ละกามราคะ พยาบาท
ที่เป็นอย่างละเอียดได้ขาด ชื่อว่าพระอนาคามี.

• ถาม

กามราคะ พยาบาทอย่างหยาบ
ถึงกับล่วงทุจริตหมายทุจริตอย่างไหน?

• ตอบ

หมายเอาอกุศลกรรมบถ ๑๐ ว่าเป็นทุจริตอย่างหยาบ.

• ถาม

ถ้าเช่นนั้นพระโสดาบันท่านก็ละอกุศลกรรมบถ ๑๐ ได้ เป็นสมุจเฉทหรือ?

• ตอบ

ตามความเห็นของข้าพเจ้า เห็นว่า กายทุจริต ๓
คือ ปาณา อทินนา กาเมสุมิจฉาจาร

มโนทุจริต ๓
อภิชฺฌา พยาบาท มิจฉาทิฏฐิ
นี้ละขาดได้เป็นสมุจเฉท


ส่วนวจีกรรมที่ ๔ คือมุสาวาทก็ละได้ขาด
ส่วนวจีกรรมอีก ๓ ตัว คือ ปิสุณาวาจา ผรุสวาจา สัมผัปปลาปละ
ได้แต่ส่วนหยาบที่ปุถุชนกล่าวอยู่
แต่ส่วนละเอียดยังละไม่ได้ต้องอาศัยสังวรความระวังไว้.

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 22:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


• ถาม

ที่ต้องสำรวมวจีกรรม ๓ เพราะเหตุอะไร
ทำไมจึงไม่ขาดอย่างมุสาวาท?

• ตอบ

เป็นด้วยกามราคะกับปฏิฆะสังโยชน์ทั้งยังละไม่ได้.

• ถาม

วจีกรรม ๓ มาเกี่ยวอะไรกับสังโยชน์ทั้ง ๒ ด้วยเล่า?

• ตอบ

บางคาบบางสมัย เป็นต้นว่ามีเรื่องที่จำเป็นเกิดขึ้น
ในคนรักของท่านกับคนอีกคนหนึ่ง
ซึ่งเขาทำความไม่ดีอย่างใดอย่างหนึ่ง
จำเป็นที่จะต้องพูด

ครั้นพูดไปแล้วเป็นเหตุให้เขาห่างจากคนนั้น จึงต้องระวัง

ส่วนปิสุณาวาจา
บางคราวความโกรธเกิดขึ้นที่สุดจะพูดออกไป
ด้วยกำลังใจที่โกรธว่าพ่อมหาจำเริญ แม่มหาจำเริญ
ที่เรียกว่าประชดท่าน
ก็สงเคราะห์เข้าในผรุสวาจา
เพราะเหตุนั้นจึงต้องสำรวม

ส่วนสัมผัปปลาป นั้นดิรัจฉานกถาต่างๆ มีมาก
ถ้าสมัยที่เผลอสติมีคนมาพูดก็อาจจะพลอยพูดไปด้วยได้
เพราะเหตุนั้นจึงต้องสำรวม.

• ถาม

อ้อพระโสดาบันยังมีเวลาเผลอสติอยู่หรือ?

• ตอบ

ทำไมท่านจะไม่เผลอ
สังโยชน์ยังอยู่อีกถึง ๗
ท่านไม่ใช่พระอรหันต์จะได้บริบูรณ์ด้วยสติ.

• ถาม

กามราคะ พยาบาท อย่างกลางหมายความเอาแค่ไหน
เมื่อเกิดขึ้นได้รู้?

• ตอบ

ความรักและความโกรธที่ปรากฏขึ้น
มีเวลาสั้นหายเร็วไม่ถึงกับล่วงทุจริต
นี่แหละเป็นอย่างกลาง.

• ถาม

ก็กามราคะ พยาบาท อย่างละเอียดนั้นหมายเอาแค่ไหน
แลเรียกว่าพยาบาทดูหยาบมาก เพราะเป็นชื่อของอกุศล?

• ตอบ

บางแห่งท่านก็เรียกว่าปฏิฆะสังโยชน์ก็มี
แต่ความเห็นของข้าพเจ้าว่า ไม่ควรเรียกพยาบาท
ควรเรียกปฏิฆะสังโยชน์ดูเหมาะดี.

• ถาม

ก็ปฏิฆะกับกามราคะที่อย่างละเอียดนั้นจะได้แก่อาการของจิตเช่นใด?

• ตอบ

ความกำหนัดที่อย่างละเอียด
พอปรากฏขึ้นไม่ทันคิดออกไปก็หายทันที
ส่วนปฏิฆะนั้น เช่นคนที่สาเหตุโกรธกันมาแต่ก่อน
ครั้นนานมาคนโกรธนั้นก็หายไปแล้ว
และไม่ได้นึกถึงเสียเลย

ครั้นไปถึงที่ประชุมแห่งใดแห่งหนึ่ง
ไปพบคนนั้นเข้ามีอาการสะดุดใจ
ไม่สนิทสนมหรือเก้อเขิน
ผิดกับคนธรรมดาซึ่งไม่เคยมีสาเหตุกัน

ข้าพเจ้าเห็นว่าอาการเหล่านี้เป็นอย่างละเอียด
ควรจะเรียกปฏิฆะสังโยชน์ได้
แต่ตามแบบท่านไม่ได้อธิบายไว้.

• ถาม

สังโยชน์ทั้ง ๒ นี้ เห็นจะเกิดจากคนโดยตรง
ไม่ใช่เกิดจากสิ่งของทรัพย์สมบัติอื่นๆ?

• ตอบ

ถูกแล้ว เช่นวิสาขะอุบาสกเป็นพระอนาคามีได้ยินว่า
หลีกจากนางธัมมทินนา
ไม่ได้หลีกจากสิ่งของทรัพย์สมบัติอื่นๆ
ส่วนความโกรธหรือปฏิฆะที่เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องของคนทั้งนั้น
ถึงแม้จะเป็นเรื่องสิ่งของก็เกี่ยวข้องกับคน
ตกลงโกรธคนนั่นเอง.

• ถาม

ส่วนสังโยชน์เบื้องต่ำนั้น ก็ได้รับความอธิบายมามากแล้ว
แต่ส่วนสังโยชน์เบื้องบน ๕ ตามแบบที่อธิบายไว้ว่า
รูปราคะ คือ ยินดีในรูปฌาน อรูปราคะ ยินดีในอรูปฌาน
ถ้าเช่นนั้นคนที่ไม่ได้บรรลุฌานสมาบัติ ๘ สังโยชน์ทั้ง ๒
ก็ไม่มีโอกาสจะเกิดได้

เมื่อเป็นเช่นนี้สังโยชน์ ๒ ไม่มีหรือ?

• ตอบ

มี ไม่เกิดในฌาน ก็ไปเกิดในเรื่องอื่น.

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 22:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


• ถาม

เกิดในเรื่องไหนบ้าง ขอท่านจงอธิบายให้ข้าพเจ้าเข้าใจ?

• ตอบ

ความยินดีในรูปขันธ์
หรือความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะนั้นชื่อว่า รูปราคะ

ความยินดีในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
หรือยินดีในสมถวิปัสสนา
หรือยินดีในส่วนมรรคผล ที่ได้บรรลุเสขคุณแล้ว
เหล่านี้ก็เป็น อรูปราคะ ได้.


• ถาม

ก็ความยินดีในกาม ๕ พระอนาคามีละได้แล้วไม่ใช่หรือ
ทำไมจึงมาเกี่ยวกับสังโยชน์เบื้องบนอีกเล่า?

• ตอบ

กามมี ๒ ชั้น ไม่ใช่ชั้นเดียว

ที่พระอนาคามีละนั้น เป็นส่วนความกำหนัดในเมถุน
ซึ่งเป็นคู่กับพยาบาท

ส่วนความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
ที่ไม่ได้เกี่ยวกับเมถุน จึงเป็นสังโยชน์เบื้องบน คือ รูปราคะ

ส่วนความยินดีในนามขันธ์ทั้ง ๔
หรือ สมถวิปัสสนาหรือมรรคผลชั้นต้นๆ เหล่านี้ ชื่อว่า อรูปราคะ
ซึ่งตรงกับความยินดีในธัมมารมณ์


เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ทั้งหลายเบื่อหน่ายในรูปขันธ์
หรือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
เป็นภายนอกจึงได้สิ้นไปแห่งรูป ราคะสังโยชน์
และท่านเบื่อในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
และสมถหรือวิปัสสนาที่อาศัยขันธ์
เกิดขึ้นเมื่อท่านสิ้นความยินดีในนามขันธ์แล้ว

แม้ธรรมทั้งหลายอาศัยขันธ์เกิดขึ้นท่านก็ไม่ยินดี
ได้ชื่อว่าละความยินดียินร้ายในนามรูปหมดแล้ว
ท่านจึงเป็นผู้พ้นแล้วจากความยินดียินร้ายในอารมณ์ ๖
จึงถึงพร้อมด้วยคุณ คือ ฉะลังคุเบกขา.


• ถาม

แปลกมากยังไม่เคยได้ยินใครอธิบายอย่างนี้
ส่วนมานะสังโยชน์นั้น มีอาการอย่างไร?

• ตอบ

มานะสังโยชน์นั้นมีอาการให้วัด
เช่นกับนึกถึงตัวของตัว ก็รู้สึกว่าเป็นเรา

ส่วนคนอื่นก็เห็นว่าเป็นเขา แลเห็นว่าเราเสมอกับเขา
หรือเราสูงกว่าเขาหรือเราต่ำกว่าเขา

อาการที่วัดชนิดนี้แหละเป็นมานะสังโยชน์
ซึ่งเป็นคู่ปรับกับอนัตตา

หรือ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา.

• ถาม

ก็อุทธัจจสังโยชน์นั้นมีลักษณะอย่างไร
เช่นพระอนาคามีละสังโยชน์เบื้องต่ำได้หมดแล้ว
ส่วนอุทธัจจสังโยชน์จะฟุ้งไปทางไหน?

• ตอบ

ตามแบบท่านอธิบายไว้ว่าฟุ้งไปในธรรม
เพราะท่านยังไม่เสร็จกิจจึงได้ฝักใฝ่อยู่ในธรรม.

• ถาม

อวิชชาสังโยชน์นั้นไม่รู้อะไร?

• ตอบ

ตามแบบท่านอธิบายไว้ว่า

ไม่รู้ขันธ์ที่เป็นอดีต ๑ อนาคต ๑ ปัจจุบัน ๑
อริยสัจ ๔ ปฏิจจสมุปบาท ๑
ความไม่รู้ในที่ ๘ อย่างนี้แหละชื่อว่า อวิชชา.


• ถาม

พระเสขบุคคลท่านก็รู้อริยสัจ ๔ ด้วยกัน ทั้งนั้น
ทำไม่อวิชชาสังโยชน์จึงยังอยู่?

• ตอบ

อวิชชามีหลายชั้น เพราะฉะนั้นวิชชาก็หลายชั้น
ส่วนพระเสขบุคคล มรรคแลผลชั้นใดที่ท่านได้บรรลุแล้ว
ท่านก็รู้เป็นวิชชาขึ้น ชั้นใดยังไม่รู้ ก็ยังเป็นอวิชชาอยู่
เพราะฉะนั้นจึงหมดในขั้นที่สุด คือ พระอรหันต์.


• ถาม

พระเสขบุคคลท่านเห็นอริยสัจ แต่ละตัณหาไม่ได้
มิไม่ได้ทำกิจในอริยสัจหรือ?

• ตอบ

ท่านก็ทำทุกชั้นนั้นแหละ แต่ก็ทำตามกำลัง.

• ถาม

ที่ว่าทำตามชั้นนั้นทำอย่างไร?

• ตอบ

เช่น พระโสดาบัน ได้เห็นปัญจขันธ์ เกิดขึ้นดับไป
ก็ชื่อว่าได้กำหนดรู้ทุกข์ และได้ละ สังโยชน์ ๓
หรือ ทุจริตส่วนหยาบๆ ก็เป็นอันละสมุทัย
ความที่สังโยชน์ ๓ สิ้นไปเป็นส่วนนิโรธตามชั้นของท่าน

ส่วนมรรคท่านก็ได้เจริญมีกำลังพอละ สังโยชน์ ๓ ได้
แลท่านปิดอบายได้ชื่อว่าทำภพคือทุคติให้หมดไป
ที่ตามแบบเรียกว่า ขีณนิรโย มีนรกสิ้นแล้ว

ส่วนพระสกิทาคามี ก็ได้กำหนดทุกข์ คือ ปัญจขันธ์
แล้วแลละกามราคะ พยาบาทอย่างกลางได้ชื่อว่าละสมุทัย
ข้อที่กามราคะ พยาบาทอย่างกลางหมดไป
จึงเป็นนิโรธของท่าน

ส่วนมรรคนั้นก็เจริญมาได้เพียงละกามราคะพยาบาท
อย่างกลางนี้แหละจึงได้ทำภพชาติให้น้อยลง

ส่วน พระอนาคามี ทุกข์ได้กำหนดแล้ว
ละกามราคะพยาบาท
ส่วนละเอียดหมดได้ชื่อว่าละสมุทัย
กามราคะพยาบาทอย่างละเอียดที่หมดไปจึงเป็นนิโรธของท่าน

ส่วนมรรคนั้นก็ได้เจริญมาเพียงละสังโยชน์ ๕ ได้หมด
แลได้สิ้นภพ คือ กามธาตุ.

(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 22:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


• ถาม

ศีล สมาธิ ปัญญา ที่เป็นโลกีย์กับโลกุตตรนั้น ต่างกันอย่างไร?

• ตอบ

ศีล สมาธิ ปัญญา ของผู้ปฏิบัติ
อยู่ในภูมิกามาพจร รูปาพจร อรูปาพจร
นี่แหละเป็นโลกีย์ที่เรียกว่า วัฏฏคามีกุศล
เป็นกุศลที่วนอยู่ในโลก

ส่วนศีล สมาธิ ปัญญา
ของท่านผู้ปฏิบัติตั้งแต่โสดาบันไปแล้ว
เรียกว่า วิวัฏฏคามีกุศล
เป็นเครื่องข้ามขึ้นจากโลก
นี่แหละเป็นโลกุตตร.


• ถาม

ท่านที่บรรลุฌานถึงอรูปสมาบัติแล้ว ก็ยังเป็นโลกีย์อยู่
ถ้าเช่นนั้นเราจะปฏิบัติให้เป็นโลกุตตรก็เห็นจะเหลือวิสัย?

• ตอบ

ไม่เหลือวิสัย พระพุทธเจ้าท่านจึงทรงแสงธรรมสั่งสอน
ถ้าเหลือวิสัยพระองค์ก็คงไม่ทรงแสดง.

• ถาม

ถ้าเราไม่ได้บรรลุฌานชั้นสูงๆ
จะเจริญปัญญาเพื่อให้ถึงซึ่งมรรคแลผลจะได้ไหม?

• ตอบ

ได้เพราะวิธีที่เจริญปัญญาก็ต้องอาศัยสมาธิจริงอยู่
แต่ไม่ต้องถึงกับฌาน อาศัยสงบจิตที่พ้นนิวรณ์
ก็พอเป็นบาทของวิปัสสนาได้.

• ถาม

ความสงัดจากกามจากอกุศลที่ผู้บรรลุฌานโลกีย์
กับความสงัดจากกาม
จากอกุศลของพระอนาคามีต่างกันอย่างไร?


• ตอบ

ต่างกันมาก ตรงกันข้ามที่เดียว.

• ถาม

ทำไมจึงได้ต่างกันถึงกับตรงกันข้ามทีเดียว?

• ตอบ

ฌานที่เป็นโลกีย์ ต้องอาศัยความเพียร
มีสติคอยระวังละอกุศล
แลความเจริญกุศลให้เกิดขึ้นมีฌานเป็นต้น

และยังต้องทำกิจที่คอยรักษาฌานนั้นไว้ไม่ให้เสื่อม
ถึงแม้จะเป็นอรูปฌานที่ว่าไม่เสื่อมในชาตินี้
ชาติหน้าต่อๆ ไปก็อาจจะเสื่อมได้
เพราะเป็น กุปปธรรม.


• ถาม

ถ้าเช่นนั้น ส่วนความสงัดจากกามอกุศลของ อนาคามี
ท่านไม่มีเวลาเสื่อมหรือ?

• ตอบ

พระอนาคามี ท่านละ กามราคะสังโยชน์
กับ ปฏิฆะสังโยชน์ได้ขาด

เพราะฉะนั้นความสงัดจากกามจากอกุศลของท่าน
เป็นอัธยาศัย ที่เป็นเองอยู่เสมอ
โดยไม่ต้องอาศัยความเพียรเหมือนอย่างฌานที่เป็นโลกีย์
ส่วนวิจิกิจฉาสังโยชน์นั้นหมดมาตั้งแต่เป็นโสดาบันแล้ว

เพราะฉะนั้นอุทธัจจนิวรณ์ที่ฟุ้งไปหากามและพยาบาทก็ไม่มี
ถึงถีนะมิทธนิวรณ์ก็ไม่มี

เพราะเหตุนั้นความสงัดจากกามจากอกุศลของท่านจึงไม่เสื่อม
เพราะเป็นเองไม่ใช่ทำเอาเหมือนอย่างฌานโลกีย์.


• ถาม

ถ้าเช่นนั้นผู้ที่ได้บรรลุพระอนาคามี
ความสงัดจากกามจากอกุศล ที่เป็นเองมิไม่มีหรือ?

• ตอบ

ถ้านึกถึง พระสกิทาคามี
ที่ว่าทำสังโยชน์ทั้งสองให้น้อยเบาบาง
น่าจะมีความสงัดจากกามจากอกุศล
ที่เป็นเองอยู่บ้างแต่ก็คงจะอ่อน.

• ถาม

ที่ว่าพระอนาคามีท่านเป็นสมาชิกบริปูริการีบริบูรณ์ด้วยสมาธิ
เห็นจะเป็นอย่างนี้เอง?

• ตอบ

ไม่ใช่เป็นสมาธิ
เพราะว่าสมาธินั้นเป็นมรรคต้องอาศัยเจตนา
เป็นส่วน ภาเวตัพพธรรม

ส่วนของพระอนาคามีท่านเป็นเอง
ไม่มีเจตนาเป็น สัจฉิกาตัพพธรรม
เพราะฉะนั้นจึงได้ต่างกันกับฌานที่เป็นโลกีย์.


• ถาม

นิวรณ์แลสังโยชน์นั้น
ข้าพเจ้าทำไมจึงไม่รู้จักอาการ คงรู้จักนิวรณ์แลสังโยชน์?

• ตอบ

ตามแบบใน มหาสติปัฏฐาน พระพุทธเจ้าสอนสาวก
ให้รู้จักนิวรณ์แลสังโยชน์
พระสาวกของท่านตั้งใจกำหนดสังเกต
ก็ละนิวรณ์แลสังโยชน์ได้หมดจดเป็นพระอรหันต์โดยมาก


ส่วนท่านที่เป็นอินทรีย์อ่อน
ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ก็เป็นพระเสขบุคคล

ส่วนเราไม่ตั้งใจไม่สังเกตเป็น
แต่จำว่านิวรณ์หรือสังโยชน์
แล้วก็ตั้งกองพูดแลคิดไป
จึงไม่พบตัวจริงของนิวรณ์และสังโยชน์

เมื่อมีอาการของนิวรณ์แลสังโยชน์อย่างไรก็ไม่รู้จัก
แล้วจะละอย่างไรได้.


(มีต่อ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 22:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


• ถาม

ถ้าเช่นนั้นผู้ปฏิบัติทุกวันนี้
ที่รู้จักลักษณะแลอาการของนิวรณ์แลสังโยชน์จะมีบ้างไหม?

• ตอบ

มีถมไปชนิดที่เป็นสาวกตั้งใจรับคำสอนแลประพฤติปฏิบัติจริงๆ

• ถาม

นิวรณ์ ๕ เวลาที่เกิดขึ้นในใจมีลักษณะอย่างไร
จึงจะทราบได้ว่าอย่างนี้ คือ กามฉันท์
อย่างนี้ คือ พยาบาท หรือถีนะมิทธะ อุทธัจจะกุกุจจะ วิจิกิจฉา
และมีชื่อเสียงเหมือนกับ สังโยชน์

จะต่างกันกับ สังโยชน์ หรือว่าเหมือนกัน
ขอท่านจงอธิบายลักษณะของนิวรณ์แลสังโยชน์
ให้ข้าพเจ้าเข้าใจจะได้สังเกตถูก?

• ตอบ

กามฉันทนิวรณ์ คือ ความพอใจในกาม

ส่วนกามนั้นแยกเป็นสอง คือ กิเสลกามหนึ่ง วัตถุกามอย่างหนึ่ง
เช่น ความกำหนัดในเมถุนเป็นต้น ชื่อว่า กิเลสกาม

ความกำหนัดในทรัพย์สมบัติเงินทองที่บ้านนาสวน
และเครื่องใช้สอยหรือบุตรภรรยาพวกพ้อง
และสัตว์ของเลี้ยงที่เรียกว่าวิญญาณกทรัพย์
อวิญญาณกทรัพย์เหล่านี้ ชื่อว่า วัตถุกาม

ความคิดกำหนัดพอใจในส่วนทั้งหลายเหล่านี้
ชื่อว่า กามฉันทนิวรณ์

ส่วนพยาบาทนิวรณ์ คือ ความโกรธเคือง
หรือคิดแช่งสัตว์ให้พินาศชื่อว่า พยาบาทนิวรณ์

ความง่วงเหงาหาวนอน ชื่อว่า ถีนะมิทธนิวรณ์
ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ชื่อว่า อุธัจจกุกกุจจนิวรณ์

ความสงสัย ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
แลสงสัยในกรรมที่สัตว์ทำเป็นเป็นบาป
หรือสงสัยในผลของกรรมเหล่านี้ เป็นต้น

ชื่อว่าวิจิกิจฉารวม ๕ อย่างนี้ ชื่อว่า นิวรณ์ เป็นต้น
ชื่อว่านิวรณ์ เป็นเครื่องกั้นกางหนทางดี.


• ถาม

กามฉันทนิวรณ์ อธิบายเกี่ยวไปตลอดกระทั้ง วิญญาณกทรัพย์
อวิญญาณกทรัพย์ ว่าเป็นวัตถุกาม

เช่นนั้นผู้ที่ยังอยู่ครองเรือน
ซึ่งต้องเกี่ยวข้องกับทรัพย์สมบัติอัฐฬสเงินทอง
พวกพ้อง ญาติมิตร ก็จำเป็นจะต้องนึกถึงสิ่งเหล่านั้น
เพราะเกี่ยวเนื่องกับตนก็มีเป็นกามฉันทนิวรณ์ไปหมดหรือ?

• ตอบ

ถ้านึกตามธรรมดาโดยจำเป็นของผู้ที่ยังครองเรือนอยู่
โดยไม่ได้กำหนดยินดีก็เป็น อัญญสมนา
คือเป็นกลางๆ ไม่ใช่บุญไม่ใช่บาป

ถ้าคิดถึงวัตถุกามเหล่านั้นเกิดความยินดีพอใจรักใคร่เป็นห่วง
ยึดถือหมกมุ่นพัวพันอยู่ในวัตถุกามเหล่านั้น
จึงจะเป็นกามฉันทนิวรณ์

สมด้วยพระพุทธภาษิตที่ตรัสไว้ว่า

น เต กามา ยานิ จิตฺรานิ โลเก
อารมณ์ที่วิจิตรงดงามเหล่าใดในโลกอารมณ์เหล่านั้นมิได้เป็นกาม

สงฺกปฺปราโค ปุริสสฺส กาโม
ความกำหนัดอันเกิดจากความดำริ นี้แหละเป็นกามของคน

ติฏฐนฺติ จิตฺรานิ ตเถว โลเก
อารมณ์ที่วิจิตรงดงามในโลก ก็ตั้งอยู่อย่างนั้นเอง

อเถตฺถธีรา วินยนฺติ ฉนฺทํ
เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้นักปราชญ์ทั้งหลายจึงทำลายเสียได้
ซึ่งความพอใจในกามนั้น


นี่ก็ทำให้เห็นชัดเจนได้ว่า

ถ้าฟังตามคาถาพระพุทธภาษิตนี้
ถ้าคิดนึกถึงวัตถุกามตามธรรมดาก็ไม่เป็นกามฉันทนิวรณ์

ถ้าคิดนึกอะไรๆ ก็เอาเป็นนิวรณ์เสียหมด
ก็คงจะหลีกไม่พ้นนรก เพราะนิวรณ์เป็นอกุศล
.

• ถาม

พยาบาทนิวรณ์นั้น หมายความโกรธเคืองประทุษร้ายในคน
ถ้าความกำหนัดในคน ก็เป็นกิเลสกามถูกไหม?

• ตอบ

ถูกแล้ว.

• ถาม

ความง่วงเหงาหาวนอน เป็นถีนะมิทธนิวรณ์
ถ้าเช่นนั้นเวลาที่เราหาวนอนมิเป็นนิวรณ์ทุกคราวไปหรือ?


• ตอบ

หาวนอนตามธรรมดา เป็นอาการของร่างกายที่จะต้องพักผ่อน
ไม่เป็นถีนะมิทธนิวรณ์ กามฉันทหรือพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้วก็อ่อนกำลังลงไป
หรือดับไปในสมัยนั้นมีอาการมัวซัวแลง่วงเหงา
ไม่สามารถจะระลึกถึงกุศลได้ จึงเป็นถีนะมิทธนิวรณ์

ถ้าหาวนอนตามธรรมดา เรายังดำรงสติสัมปชัญญะอยู่ได้จนกว่าจะหลับไป
จึงไม่ใช่นิวรณ์ เพราะถีนะมิทธินิวรณ์เป็นอกุศล
ถ้าจะเอาหาวนอนตามธรรมดาเป็นถีนะมิธนิวรณ์ไม่ได้
เพราะต้องมีหาวนอนทุกวันด้วยกันทุกคน.

• ถาม

ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ ที่ว่าเป็นอุทธัจจกุกกุจจนิวรณ์นั้น หมายฟุ้งไปในที่ใดบ้าง?

• ตอบ

ฟุ้งไปในกามฉันทบ้าง พยาบาทบ้าง
แต่ในบาปธรรม ๑๔ ท่านแยกเป็นสองอย่าง
อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน กุกกุจจ ความรำคาญใจ
แต่ในนิวรณ์ ๕ ท่านรวมไว้เป็นอย่างเดียวกัน.

• ถาม

นิวรณ์ ๕ เป็นจิตหรือเจตสิก?

• ตอบ

เป็นเจตสิกธรรมฝ่ายอกุศลประกอบกับจิตที่เป็นอกุศล.

(มีต่อ)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 25 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 34 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร