วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 06:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 เม.ย. 2010, 12:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ


ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย


ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรม
อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว
ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังให้ดี
เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา


ในขณะใดที่มีไฟเกิดขึ้นไหม้สิ่งของ ในบ้านเรือนของเรา
ในขณะนั้นเราต้องรีบหาน้ำสำหรับดับไฟ หรือถ้าเป็นบ้านสมัยใหม่
ก็มีน้ำยาสำหรับเอาไปฉีดเพื่อให้ไฟนั้นหายไป
ที่เราไปดับไฟก็เพราะว่า ไม่ต้องการให้มันไหม้ลุกลาม
อันจะเป็นเหตุให้เกิดไหม้ขึ้นมา
เราก็เสียดาย จึงได้ทำการดับไฟอย่าง รีบด่วน ฉันใด
ในชีวิตของคนเรานี้ก็เหมือนกัน
เมื่อไฟเกิดขึ้นภายใน ทำให้ใจเร่าร้อนกระวนกระวายด้วย
ไฟนั้น เราก็ต้องหาสิ่งสำหรับดับไฟ
เพื่อให้จิตใจของเราอยู่ในสภาพสงบไม่วุ่นวายไม่เดือดร้อนต่อไป


สังคมโลกยุคปัจจุบันนี้ มีสภาพเหมือนกับไฟไหม้
เพราะมีปัญหานานาประการเกิดขึ้นในหมู่มนุษย์ ด้วยประการต่างๆ
บรรดาปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ให้ประชาชนทั่วๆ ไปมีความร้อนอกร้อนใจ
มีความเป็นทุกข์ ล่วงหน้า กลัวว่าสิ่งเหล่านั้นมันจะมาทำลายเรา
ทำลายทรัพย์สมบัติของเรา ทำลายอิสระเสรี ซึ่งเราเคยได้เคยมีไว้ให้เสียไป
ก็มีความวิตกกังวลด้วยปัญหานั้นๆ ด้วยประการต่างๆ


อันการเป็นอยู่ในรูปอย่างนี้ มันก็มีความทุกข์ มีความไม่สบายทั้งกายทั้งใจ
เพราะในขณะใด ที่ใจเราเร่าร้อนกระวนกระวาย ด้วยปัญหาอะไรก็ตาม
ร่างกายของเราก็พลอยเดือดร้อน กระวนกระวายไปด้วย
พลอยมีความทุกข์มีปัญหาเกิดขั้นด้วยเหมือนกัน เพราะสภาพกายกับจิตนั้น
มีความสัมพันธ์กันอยู่ตลอดเวลา สิ่งใดเกิดขั้นแก่ร่างกาย
ก็ย่อมจะส่งผลไปถึงจิตด้วย สิ่งใดที่เกิดขึ้นในจิต
ก็ส่งผลมาถึงร่างกายของเราด้วย เพราะร่างกาย กับจิตนั้น
ว่ากันโดยความจริงแล้ว เป็นสิ่งที่เนื่องถึงกัน
อาศัยความเป็นอยู่ร่วมกันตลอดเวลา


เพราะฉะนั้น เมื่อมีอะไรเกิดขึ้น ก็มีความเป็นทุกข์ทั้งกายและใจ
ยกตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ เช่นว่าเรามีความวิตกกังวล ด้วยปัญหาอะไรก็ตาม
เราจะรู้สึกว่าร่างกายผิดปกติ เช่นว่าการเปลี่ยนแปลงทางหัวใจ
คือหัวใจต้องทำงานหนัก ต้องสูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงร่างกายมากขึ้น
มีความผิดปกติทางกาย เช่นมือสั่น ตัวสั่น บางทีก็มีการผิดปกติ
ในระบบการย่อยอาหาร ท้องไส้ไม่เป็นปกติ บางทีก็กระทบกระเทือน
ไปถึงระบบขับถ่าย เช่นเป็นคนท้องผูก ถ่ายไม่เป็นปกติ
สิ่งเหล่านี้เกิดมาจากเนื่องด้วยปัญหาทางจิต
คือความวิตกกังวลในเรื่องอะไรต่างๆ
อันเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน



เพราะฉะนั้นคนเราถ้ามีปัญหา คือความทุกข์ความเดือดร้อน
กระทบกระเทือนจิตใจบ่อยๆ ก็ล่อแหลมที่จะเป็นโรคทางประสาท
ระบบประสาทไม่ค่อยดี สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากปัญหา คือความวิตกกังวล
อันเป็นความทุกข์ความเดือดร้อนในชีวิตประจำวัน
ซึ่งเราทั่วๆ ไปไม่มีความปรารถนาที่จะให้เกิดสิ่งนั้นขึ้น ในวิถีชีวิตของเรา
แต่ว่ามันก็หลีกเลี่ยงยากอยู่เหมือนกัน
ก็เพราะในโลก ชีวิตของเราเกี่ยวข้องกับคน ต่างๆ ทั่วๆ ไป


ก็คนที่เราอยู่ร่วมกันนั้น ไม่ใช่ว่าจะมีจิตใจเป็นปกติ เสมอกันทุกคนก็หามิได้
บางคนก็มี สภาพจิตใจอย่างหนึ่ง บางคนก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง
เช่นบางคนใจร้อนใจเร็ว บางคนก็ใจเย็นใจสงบ บางคนก็มีความรู้สึกรุนแรง
บางคนก็ไม่ค่อยจะมีความรุนแรงเท่าใด การพูดจาของคนบางคนก็เป็นไปตามใจ
เช่นถ้าเป็นคนใจร้อนใจเร็ว มักจะใช้ถ้อยคำประเภทรุนแรงสามหาว
ด้วยประการต่างๆ แต่ถ้าเป็น คนใจสงบใจเย็น การพูดจาก็ไม่ค่อยจะรุนแรง
มีความยั้งคิดยั้งตรอง ไม่พูดอะไรไปตามอารมณ์
แต่ว่าคิด แล้วจึงพูด คิดแล้วจึงทำ



คนที่มีสภาพจิตใจอย่างนั้น ไม่ค่อยจะเป็นปัญหาเท่าใดนัก
แต่ถ้าเราอยู่ร่วมกับคนที่มีจิตใจไม่ได้ฝึกฝน ไม่ได้อบรมมาก่อน
เป็นอยู่ตามสภาพของสิ่งแวดล้อม เราก็ย่อมจะมีปัญหา มีความทุกข์
ความเดือดร้อนเป็นธรรมดา เราจะไปห้ามสิ่งนอกกายนั้นย่อมไม่ได้
เช่นเราจะไปห้ามเรื่อง ดินฟ้าอากาศ อันเป็นธรรมชาติ
ที่เป็นอยู่ตามเรื่องตามราวนั้น ไม่ได้ เราจะไปห้ามคนนั้นคนนี้
ว่าอย่า คิดอย่างนั้นอย่าพูดอย่างนั้น อย่าทำอย่างนั้นอย่างนี้
ก็ย่อมจะไม่ได้เสมอไป ถึงแม้จะทำได้ก็ต้องใช้เวลา
เพราะมันเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล


ยิ่งในสมัยนี้ด้วยแล้ว มนุษย์เรามีความตื่นตัวในเรื่องไม่เข้าเรื่อง
คือ ตื่นในเรื่องเสรีภาพ ที่ไม่ใช่เสรีภาพ
ตื่นตัวในระบบที่เขารียกกันว่า ประชาธิปไตยแบบที่ไม่เป็นเรื่องเป็นราว
แล้วก็ทำอะไรแปลกๆ แผลงๆ ให้คนอื่นมีความทุกข์
มีความเดือดร้อนใจอยู่ตลอดเวลา อันนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคมทั่วๆ ไป
เราทั้งหลายผู้มีชีวิตอยู่ในสังคม เราจะไปห้ามไปกันคนเหล่านั้น
ไม่ให้เขาประพฤติอย่างนั้น ไม่ให้กระทำอย่างนั้น
ก็ทำได้เหมือนกัน แต่ว่าก็ชักช้าเสียเวลา


เรื่องที่จะทำนั้นไม่ใช่ไปห้ามไปกันคนอื่น แต่เราจะห้ามกันตัวเราเองดีกว่า
จะไปจัดการกับเรื่องคนอื่น เพราะการจัดเรื่องของคนอื่นนั้น มันยาก
แต่จัดการกับตัวเราเองนั้นง่ายกว่า อันนี้เป็นความจริง
แต่คนเราไม่เข้าใจความจริงข้อนี้ ไม่พยายามที่จะจัดปรับตัวเอง
แต่ว่าไปปรับตัวคนอื่น ปัญหาจึงเกิดขึ้นทุกวันทุกเวลา



ในการปรับตัวเราเองนั้น ก็เรียกว่าเป็นการปฏิบัติธรรมนั่นเอง
การปฏิบัติธรรมก็คือการปรับตัว เองให้ต้อนรับสิ่งทั้งที่เกิดขึ้นได้
โดยไม่เป็นทุกข์ นั่นแหละคือการปฏิบัติธรรมก็คือ การปฏิบัติธรรม
เราปรับจิตใจของเราเอง ให้ต่อสู้กับสิ่งทั้งหลายโดยเราไม่ต้องเป็นทุกข์
อันเป็นเรื่องจำเป็นหรือไม่ ญาติ โยมทั้งหลายลองพิจารณาสักเล็กน้อย
เมื่อพิจารณาแล้วก็จะเห็นว่า มันเป็นเรื่องจำเป็น เป็นงานรีบด่วน
เป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิตเราโดยแท้
เพราะว่าเราจะต้องประสบกับอารมณ์อันไม่เป็นที่รัก
ไม่เป็นที่พึงอกพึงใจอยู่ทุกเวลา ถ้าเราไม่จัดการกับตัวเรา
เพื่อให้เข้ากับสิ่งเหล่านั้นแล้ว ไม่เป็นทุกข์ได้แล้ว
เราก็ต้องเป็นทุกข์เรื่อยไป เป็นทุกข์ในเรื่องของคนอื่น
ในกิริยาท่าทางของคนอื่น ในการกระทำอะไรต่างๆ ของคนอื่นอยู่ตลอดเวลา


การเป็นเช่นนี้ก็คล้ายๆ กับว่า เราเปิดประตูบ้าน เปิดหน้าต่างไว้
สิ่งสกปรกคือฝุ่นละอองมันก็ปลิว เข้ามาในบ้านของเรา
จนกระทั่งเต็มบ้าน ฝุ่นหนาไปทั้งบ้านทั้งเรือน
อันนี้เป็นการไม่ถูกต้อง ในการที่ เราจะกระทำเช่นนั้น
แต่ว่าเราควรระมัดระวังตัวเราเอง ในการที่จะรับรู้สิ่งเหล่านั้น
ทำให้เราเป็นผู้มีสติปัญญารู้เท่ารู้ทันต่อสิ่งนั้นๆ
ที่มากระทำชีวิตจิตใจของเรา เพื่อเราได้ไม่ต้องขึ้นๆ ลงๆ
กับสิ่งที่มากระทบ เรามากเกินไป



โดยปกติธรรมดานั้น ถ้าเราไม่ปรับจิตใจของเราให้มีกำลังใจต่อต้านอย่างดีแล้ว
เราก็มีอาการขึ้นๆ ลงๆ กับอารมณ์อย่างนั้นอยู่ตลอดเวลา
เรื่องดีมากระทบ ใจมันฟุ้งขึ้น เรียกว่าดีใจ
ถ้าเรื่องไม่ ดีมากระทบใจ ก็เหี่ยวแห้งร่วงโรยลงไป
ซึ่งเราเรียกว่าเป็นความเสียใจ ในบางครั้งเราก็ดีใจ
แต่ในบางครั้งก็เสียใจ ความดีใจความเสียใจนั้น
มันมีสภาพคล้ายกับขึ้นๆ ลงๆ ถ้าวัดด้วยปรอทก็เรียกว่ามีขึ้นมีลงอยู่ตลอดเวลา
ไม่เป็นปกติ สภาพจิตใจของเราควรจะอยู่ในสภาพที่เรียกว่าปกติ
ถ้าปกติมันก็ไม่ขึ้นไม่ ลง ไม่ดีใจไม่เสียใจกับสิ่งที่มากระทบ
อันจะทำให้เกิดเป็นปัญหาขึ้นในชีวิตประจำวันของเรา


เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องที่เรา ควรจะได้ศึกษาสนใจปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
แล้วเราจะมี ความสุขทางใจ มีความสงบ
มีความเป็นอยู่อย่างเรียบร้อยตามฐานะพุทธบริษัท
อะไรๆ เกิดขึ้นก็จะไม่เป็น ปัญหาให้เราต้องกระวนกระวาย
ต้องมีความทุกข์ความเดือดร้อนกับสิ่งนั้นเสมอไป
สิ่งภาพนอกเท่าที่เรา มีเราได้ไว้เช่นว่าเงินทอง
ข้าวของ เกียรติยศ ชื่อเสียง อะไรๆ ต่างๆ ในสังคมนั้น
มันก็ไม่ได้ช่วยให้เรามี ความสงบใจเสมอไป
ไม่ได้ช่วยให้เรามีความสุขทางจิตเสมอไป
ถ้าว่าเราไม่เข้าใจ จัดทำใจของเรา ให้เหมาะกับสิ่งเหล่านั้น
ซ้ำร้ายมันอาจจะเป็นพิษเป็นภัยกับเราด้วยซ้ำไป


เช่นว่าเราได้อะไรมาเราดีใจเกินไป หรือว่าสูญเสียอะไรไป
เราก็ความเสียใจมากเกินไป ความดีใจเกินไปก็ดี
ความเสียมากเกินไปก็ดี มันทำให้เป็นทุกทั้งนั้น
ดีใจก็เป็นทุกข์ เสียใจก็เป็นเหมือนกัน
แต่ว่าดีใจนั้น เป็นทุกข์ที่มองไม่เห็น
เราเห็นว่ามันเป็นความสบาย หัวเราะหัวไห้
แต่ว่าหลังจากนั้นมันก็เป็น ทุกข์ได้ในภายหลัง
เพราะอะไร ก็เพราะสิ่งทั้งหลายมันไม่คงที่
มันมีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรคงสภาพอยู่อย่างนั้นตลอดไป


สัจจะหรือความจริงที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า
"สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์
ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา"
อันนี้เป็นหลักที่พระองค์ตรัสไว้แน่นอน ไม่มีความเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
ทีนี้เราไม่เข้าใจในความจริงของสิ่งเหล่านี้
เมื่อไม่เข้าใจในสิ่งนี้เราก็ไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านั้น
สำคัญผิดว่า มันจะเป็นไปตามที่ใจเราปรารถนา
มันไม่เที่ยง แต่เรานึกว่ามันเที่ยง มันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์
แต่เรานึกว่ามันเป็นเหตุให้เกิดความสุข ความสบาย
มันไม่มีอะไรที่เรียกว่าเป็นเนื้อแท้ แต่เราไปคิดว่ามันเป็นสิ่งเที่ยงแท้ถาวร


อันนี้คือความเข้าใจผิดในจิตใจของเรา แล้วเราเข้าไปเกาะจับสิ่งนั้นไว้
ด้วยความหลงผิด ด้วยความเข้าใจผิด
จิตเราก็มีปัญหาเกิดความทุกข์ความเดือดร้อนเรื่อยไป
เพราะฉะนั้น สิ่งทั้งหลายที่เราเข้าไปเกี่ยวข้อง
ถ้าเราเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นด้วยไม่มีปัญญา
เราก็เข้าไปเกี่ยว ข้องอย่างเป็นทุกข์
ถ้าเราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยปัญญา เราก็ไม่มีความทุกข์ทางใจ
คล้ายๆ กับว่าเราจะ ต้องจับถ่านไฟ
ถ้าเราจับเป็นมันไหม้นิดหน่อย แต่ถ้าเราจับไม่เป็นมันก็ไหม้เอามาก
ถ้าเราไปจับทั้งห้านิ้ว มันก็ไหม้มือเราทั้งห้านิ้ว
แต่เรารู้ว่ามันร้อนแต่จำเป็นต้องไปจับ เราก็จับเพียงสองนิ้ว
หรือถ้าไม่ จับสองนิ้วเราเขี่ยมันออกมา ไฟนั้นมันก็ไม่ทำให้มือเราไหม้
ให้ได้รับความปวดร้าวทางจิตใจต่อไป ฉันใด


เรื่องอะไรๆ ในชีวิตของเรานี้ก็เหมือนกัน จะเป็นเรื่องลาภเรื่องยศ
เรื่องคำสรรเสริญเยินยอ เรื่องความสุขความสบาย
หรือเรื่องของความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ได้รับนินทาว่าร้าย จากคนนั้นคนนี้
มี ความทุกข์เกิดขึ้นในจิตใจของเรา
สิ่งเหล่านี้ในทางพระท่านเรียกว่าเป็นโลกธรรม
เป็นธรรมที่ ปรากฏอยู่ในโลกตลอดเวลา
คล้ายกับลมกับแดด ที่มีปรากฏอยู่ตามธรรมชาติ


คนเราเมื่อออกไปจากบ้านเรือน ก็ต้องถูกลมแดดบ้างธรรมดา
บางคราวก็ถูกลมแรงๆ พัด ทำให้เกิด ความเจ็บไข้ได้ป่วย
บางคราวก็ถูกความร้อนจัด ทำให้เราเกิดความเจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนกัน
เราอยู่ใน โลกมันก็ต้องกระทบกับสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดา
ความสุขความทุกข์ ความเสื่อมความเจริญทั้งหลายที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา
ที่เรียกว่า ธรรมสำหรับโลก ฝ่ายที่เราพอใจก็คือได้ลาภ ได้ยศ
ได้รับการสรรเสริญเยินยอ จากคนอื่น แล้วก็มีความสบายทางใจ
สิ่งสี่ประการนี้เป็นฝ่ายที่เรียกว่า อิฏฐารมณ์
คือเป็นอารมณ์ที่เราพอใจ เราอยากได้


แต่ว่าการเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทาว่าร้าย
มีความทุกข์ทางกาย ทางใจ สิ่งนี้เราไม่ต้องการ
เพราะมันทำให้เราประสบปัญหา แต่ว่าทั้งที่เราต้องการและไม่ต้องการนั้นแหละ
สิ่งเหล่านี้มันอาจจะเกิดขึ้นแก่เราเมื่อใดก็ได้
เพราะเราไม่ได้อยู่ผู้เดียวในโลกนี้ เราอยู่ในครอบครัว มีมารดาบิดา
มีพี่มีน้อง มีญาติที่เราเกิดความคุ้นเคย มีความรักใคร่เอ็นดู
มีความสนิทสนมกัน ก็อาจจะใคร สักคนหนึ่งจากไปเราก่อน
เช่นมารดาจากไปเราบ้าง บิดาจากไปเราบ้าง
หรือลูกอาจตายก่อนเราจะตายก็ได้
อันนี้เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นแก่เราเป็นธรรมดา เราหนีไม่พ้น
และเมื่อมันเกิดขึ้น ก็อาจทำให้เรา มีความทุกข์กระวนกระวาย
ไม่สบายทางจิตใจ เสียดมเสียดายด้วยประการต่างๆ



การที่เราเป็นเช่นนั้นก็แสดงว่า เรายังไม่เข้าถึงธรรมะ
เรายังไม่มีธรรมะเป็นเกราะป้องกันตัว
ศัตรูคือความทุกข์ความเดือดร้อนโจมตีเราได้
เราต้องพ่ายแพ้แก่ความทุกข์ความเดือดร้อนนั้นไป
อันนี้คือการไม่ได้อบรมฝึกฝนจิตใจของเราอย่างเพียงพอ
เราจึงตกอยู่ในสภาพมีความทุกข์ มีความเดือดร้อนทางใจ


แต่ถ้าบุคคลใดได้รับการอบรมบ่มจิตใจตัวเองไว้
ให้รู้เท่ารู้ทันต่อสิ่งนั้นๆ อยู่เสมอแล้ว สิ่งอะไรจะ เกิดขึ้นในชีวิตของเรา
เราก็เฉยๆ ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไม่ยินดียินร้ายกับสิ่งนั้นๆ
อันนั้นแหละเป็นจุดหมายที่ เราต้องการในชีวิตประจำวันของเรา
เราควรจะอยู่ด้วยจิตที่สงบอยู่ตลอดเวลา อยู่ด้วยจิตที่มีความรู้ชัด
เห็นชัดในเรื่องนั้นๆ อยู่ตลอดเวลา เราจึงจะมีสุขทางใจได้สมความปรารถนา
ญาติโยมทั้งหลายต้อง การสภาพจิตเช่นนี้หรือไม่
ถ้าหากว่าถามอย่างนี้ ญาติโยมทั้งหลายก็คงจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า
มี ความต้องการ เราไม่อยากเป็นคนขึ้นๆ ลงๆ เข้าๆ ออกๆ
ในเรื่องอารมณ์ประเภทต่างๆ เมื่อเราต้อง การสภาพจิตในรูปอย่างนี้
ก็ต้องมีการฝึกฝนอบรมตัวเราเอง ซึ่งเรียกว่าเป็นการปฏิบัติธรรม



การปฏิบัติธรรมนั้นมันมีหลายชั้นหลายเชิง สลับซับซ้อน
แต่ว่าจุดหมายก็เป็นอันเดียวกัน คือต้องการให้จิตเราคงที่
อยู่ในสภาพสงบสะอาดสว่าง อะไรมากระทบจิตใจของเรา
ก็ไม่ทำให้หวั่นไหวโยกโคลงได้ ไม่ทำให้เราเป็นทุกข์ ไม่ทำให้เราเป็นสุข
แต่ทำให้เรามีอาการเฉยๆ ความเฉยๆ ของจิตในลักษณะที่ว่านั้น
ไม่ใช่เฉยอย่างคนที่ไม่รู้อะไร ความเฉยของคนที่ไม่รู้อะไรก็มีเหมือนกัน
เขาเรียกว่าเฉยแบบคนโว่ หรือมีอวิชชาครอบงำจิตใจไม่รู้ไม่เข้าใจ
ไม่มีความคิดความอ่าน ก็ไม่เศร้าโศกไม่เสียใจ
เช่นเด็กๆ ที่สูญเสียพ่อแม่ไป จะเห็นว่าเด็กตัวน้อยๆ
พ่อถึงแก่ความตายไป เด็กเขาไม่ได้มีความเสียอกเสียใจอะไร
แล้วเขาอาจจะถามในรูปแปลกๆ


เช่นถามว่า คุณแม่ คุณพ่อทำไมจึงนอนอยู่ในหีบเล็กๆ เช่นนั้น
ไม่ออกมานั่ง เขา ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ไม่รู้ว่าพ่อนั้นไม่มีชีวิตแล้วหรือตายแล้ว
เขาไม่เข้าใจ เวลาเอาพ่อขึ้นไปบนเชิงตะกอนเผา
บางทีเขาก็ถามแม่ที่ยังมีชีวิตอยู่ว่า แม่ทำไมเอาพ่อไปเผาเสียละ
พ่อไม่ร้อนหรือ อย่างนี้เป็นตัว อย่าง นั่นเป็นความรู้สึกของเด็กๆ ตัวน้อยๆ
ซึ่งยังไม่เข้าใจเรื่องของชีวิตตามสภาพที่เป็นอยู่จริงๆ
เขาไม่มีความรู้สึกเป็นทุกข์ร้อนอกร้อนใจ เขาวิ่งเขาเล่นไปตามปกติ


ในสมัยอาตมาเป็นเด็กๆ ก็จำได้ว่า มีความรู้สึกคล้ายกันในรูปอย่างนั้น
คือว่าพี่ชายถึงแก่ความตาย พี่ชายที่ตายก็เป็นโรคบิด
ยังจำภาพได้เวลานั่งถ่ายนี่ร้องให้ เอามือกุมท้องบิดตัวด้วยความเจ็บปวด
ก็นั่ง ดูไปตามเรื่องตามราว นึกในใจว่าทำไมต้องร้องให้ด้วย
เวลาถ่ายทำไมต้องร้อง เวลาถ่ายทำไมต้อง เอามือจับท้องบิดตัวอย่างนั้น
ไม่รู้ว่ามันเป็นอะไร ใจมันคิดอย่างนั้น ครั้นเวลาตายแล้วเขาเอาไปเผาที่ป่าช้า
ยังไปถามคุณโยมผู้ชายว่า จุดไฟเผาอย่างนั้นพี่ๆ ไม่ร้อนแย่หรือพ่อ
พ่อก็ไม่พูดจาอะไร จับมือแล้วก็ จูงพากลับบ้านไปเลย
เพราะว่าพ่อก็พูดไม่ออกเหมือนกัน ลูกชายคนนั้นก็เป็นที่รักที่หวงแหน
เป็นที่พอใจ เมื่อมาถึงแก่ความตายไปท่านก็เสียดาย
เราไปพูดคำที่มันไม่เดียงสา ท่านก็เลยไม่ตอบปัญหานั้น
อันนี้เป็น คิดของเด็กๆ ที่ยังไม่มีความยึดมั่นในเรื่องอะไรๆ มากเกินไป


แต่ว่าเด็กก็ไม่ใช่ว่าไม่ยึดถืออะไรเสียเลย ก็มีความยึดถือเหมือนกัน
ในสิ่งที่เขาพอจะยึดถือได้ เช่นยึดถือในของเล่นว่าเป็นของฉัน
ยึดถือในขนมนมเนยว่าเป็นของฉัน ยึดถือคุณแม่คุณพ่อว่าเป็นของฉัน
แต่วาความยึดถือนั้นของเด็กไม่ถาวร
ไม่อยู่อย่างที่เรียกว่า ฝังลึกลงไปในจิตใจเท่าใด เป็นอารมณ์ชั่วแล่น
เกิดขึ้นแล้วก็หายไป ไม่เหมือนเราที่เป็นผู้ใหญ่


เพราะฉะนั้น ถ้าจะเปรียบเทียบชีวิตของเด็กน้อยกับผู้ที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว
จึงรู้สึกว่าแตกต่างกัน ในบางครั้ง
เราน่าจะถอยกลับไปสู่สภาพจิตใจแบบเด็กๆ เหล่านั้น
ในเมื่อกระทบอารมณ์ที่มันทำให้เกิดความ ทุกข์ เราน่าจะเป็นเด็กเสียบ้าง
เพื่อจะไม่ให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อนใจ
แต่นั่นแหละ คนเรามันขึ้น มาแล้ว ลงไม่ได้ถอยไม่ได้
เรื่องของชีวิตไม่เหมือนรถที่เราถอยได้ออกได้
ถอยหลังได้ไปหน้าได้ ชีวิตมัน ถอยไม่ได้ มีแต่ไปข้างหน้า
เมื่อเติบโตขึ้นมาแล้วก็ไปยึดจับนั่นจับนี่ไว้
มีอุปาทานในเรื่องอะไรๆ ต่างๆ มาก มาย
เมื่อยึดไว้แล้ว ปล่อยไม่เป็นวางไม่เป็น
แต่ว่าเด็กนั้นเขาไม่ได้ยึดถือมาก
เพราะฉะนั้นเขาจึงไม่มี ความทุกข์ความเดือดร้อนใจ
นั่นจิตใจของเด็กมันเป็นอย่างนั้น


อีกประเภทหนึ่ง จิตใจที่ไม่มีความทุกข์ คือคนที่เราเรียกว่าปัญญาอ่อน
พวกคนปัญญาอ่อนนี่มันไม่มี ความทุกข์ มันไม่มีเสียอกเสียใจ
ไม่มีวุ่นวายอะไร แล้วก็ไม่ค่อยจะดีอกดีใจในเรื่องอะไรๆ มากเกินไป
เขามีใจเฉยๆ ที่เฉยเช่นนั้นก็เพราะว่าปัญญามันอ่อน
ไม่มีความคิด ไม่รู้จักคุณค่าของสิ่งที่เขาเข้าไปเกี่ยวข้อง
เขาไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร พวกนี้ก็ไม่มีความทุกข์ ไม่มีความเดือดร้อนใจ
เหมือนกับคนธรรมดา เพราะฉะนั้น เราจะเห็นว่าเด็กปัญญาอ่อนเขาอยู่อย่างนั้น
สภาพจิตใจเขาอย่างไร เมื่อตัวน้อยๆ เป็นหนุ่ม ก็อยู่อย่างนั้น
จนอายุมากกลางคน เขาก็อยู่อย่างนั้น ไม่ค่อยจะเปลี่ยนแปลง


เคยพบเด็กประเภทอย่างนี้ เมื่อสมัยเด็กๆ ก็เคยเล่นเคยอะไรกัน
ทำอะไรเขาก็อย่างนั้น เขาไม่รู้สึกอะไร เอามือตีเข้าที่สันหลัง
เขาก็ไม่ได้ร้องให้อะไร ไม่ได้แสดงอาการโกรธเคืองอะไร
ตีแล้วเราวิ่งหนีไปมันก็มองเฉยๆ ไม่เหมือนคนเรามอง
คนธรรมดาที่ไม่ใช่ปัญญาอ่อน ถ้าไปตีอย่างนั้นมันก็มองด้วยสายตาขุ่นเคือง
แล้วบางทีมันก็วิ่งไปเตะให้มั่งเท่านั้นเอง
แต้ถ้าเด็กอย่างนั้นมันไม่วิ่งไปเตะต่อยอะไร
แต่ถ้ามันเจ็บเหลือเกินขั้นมา มันจึงจะทำเอาบ้าง
และถ้ามันทำแล้วหนักที่สุดเลย มันทำถึงตายเลย
เพราะมันไม่มีความยั้งคิด ไม่มีสติสำหรับยั้ง
ไม่มีปัญญาสำหรับชั่งสำหรับตรอง ทำอะไรก็จะเกินไป ไม่ทำก็ไม่ทำ
นั่นพวกนั้นมันมีความยึดถือน้อย
เหมือนกันแต่ที่ไม่ยึดถือนั้นเพราะไม่รู้ในสิ่งนั้น ว่ามันมีคุณมีค่าอย่างไร


ทีนี้เราพูดว่าคนมีจิตใจเป็นปกติ คือว่าสิ่งทั้งหลายเป็นปกติ
มีความรู้มีปัญญาเป็นปกติ ก็ย่อมจะมี ความคิดในรูปต่างๆ
รู้จักรักสิ่งนั้นสิ่งนี้ รู้จักคุณค่าของสิ่งที่เรารักเราพอใจสภาพจิตใจ
ที่เป็นอย่างนั้นมันมีอยู่ในคนเราทั่วๆ ไป
ถ้าหากว่าเราทำใจให้รู้จักปล่อยรู้จักวาง ในเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้
เราก็สบายใจ การปล่อยวางนั้นก็เพราะอาศัยปัญญาที่สูงขึ้นไป
เรามีปัญญาระดับปกติธรรมดา แล้วก็รู้จักว่าสิ่งนั้นคืออะไร
มันมีประโยชน์แก่ชีวิตของเราอย่างไร มันเอร็ดอร่อยอย่างไร ดีอย่างไร
เราก็เข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ กับสิ่งนั้น
โดยนึกว่ามีนดีมันมีประโยชน์แก่ชีวิตจิตใจของเรา
นั่นเป็นปัญญาเพียงขั้นหนึ่ง เป็นปัญญาที่ทำให้เราเข้าไปรู้คุณค่าของสิ่งนั้น
รู้จักรักษาสิ่งนั้น รู้จักใช้สิ่งนั้น เอาสิ่งนั้นมาเป็นประโยชน์ของตัว
ปัญญาอย่างนี้มันก็เป็นเรื่องธรรมดาๆ ยังไม่สูงอะไร



แต่ถ้าเราศึกษาทำความเข้าใจ แล้วก็มีปัญญาสูงขึ้นไปกว่านั้น
ปัญญาในแง่ที่ว่าสิ่งเหล่านี้ แม้จะดีจะเป็นประโยชน์
จะเอร็ดอร่อยควรแก่ความต้องการอย่างไรก็ตาม
แต่ว่ามันก็ไม่ใช่ของเที่ยงแท้ ไม่ใช่ว่าจะเป็นสุขเสมอไป
และมันก็ไม่มีอะไรที่เรียกว่า เป็นเนื้อแท้ในตัวของมันเอง
มันเกิดขึ้นไหลไป ตามอำนาจของการปรุงแต่ง
แล้วผลที่สุดมันก็ดับไป อันนี้เป็นปัญญาสูงขึ้นไป
เป็นปัญญาประเภทที่เรียกว่า เกิดจากการเพ่งพินิจพิจารณา
ในทางพระพุทธศาสนาเรานั้น สอนให้เราหยั่งลึกลงไป
สอนให้เราสอบสวน ให้เราเข้าใจในเรื่องนั้นอย่างถูกต้อง แท้จริง
ซึ่งมีคำตรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า ในมหาปรินิพพานสูตร
คือพระองค์ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเธอได้รับฟังสิ่งใด
ได้เรียนรู้ในเรื่องอะไร อย่าขัดคอเขา
หรืออย่ารับเอาเรื่องนั้นว่าเป็นการถูกต้องทันที
แต่เธอต้องเอามาพิจารณาอย่างซาบซึ้ง
สอบสวนทวนถามให้รอบคอบ
เพื่อให้เกิดการเห็นชัดในเรื่องนั้นอย่างถูกต้อง และ แท้จริง"

ซึ่งท่านใช้ศัพท์ว่า "สาเรตัพพา สาเรตัพพัง โอสาเรตัพพัง"
เป็นคำที่เตือนใจพุทธบริษัท ว่า ให้คิดอย่างรอบคอบ
มองทุกแง่ทุกมุมในเรื่องนั้นๆ แล้วก็หยั่งลงไปให้ลึกถึงเนื้อแท้ของสิ่งนั้น
อย่ามองแต่ เพียงผิวเผิน อย่าเห็นแต่เปลือกผิวภายนอก
แล้วจะลงมติว่าเป็นของน่ารักน่าพอใจ อย่าไปคิดง่ายๆ อย่างนั้น
หรือว่าน่าเกลียดน่าชัง ไม่น่าพอใจ อย่าไปคิดง่ายๆ อย่างนั้น
แต่ว่าต้องคิดลงไปให้ลึกซึ้งใน เรื่องนั้นตามสภาพที่มันเป็นอยู่จริงๆ
หลักการนี่เป็นหลักการที่ประเสริฐแท้ ใช้ได้ทุกแง่มุม
ไม่ว่าเราจะ ประกอบกิจกรรมใดๆ
งานการในทางโลกทางธรรมจะสร้างชีวิตจิตใจก็ใช้ได้ทั้งนั้น



เช่นคนทำงานทำการ ในชีวิตชาวบ้านทำมาค้าขาย ทำราชการ
หรือทำงานอะไรที่เป็นอาชีพก็ตาม ถ้าเราใช้หลักทั้งสองประการนี้
เป็นเครื่องประกอบ คือเมื่อมีอะไรเกิดขึ้น ก็คิดให้มันถ่องแท้แน่นอน
ในเรื่องนั้น คิดลงไป ให้ลึกซึ้งในเรื่องนั้น
ให้เห็นชัดว่าเรื่องนั้นที่เกิดขึ้น มันเรื่องอะไร มันมีมูลฐานมาจากอะไร
แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป จากเรื่องนั้นๆ มองให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง
แล้วก็มองลงไปให้ลึกแทงตลอดสิ่งนั้นอย่างถูกต้อง
เราก็จะเป็นคนไม่งมงาย ไม่เชื่ออะไรง่ายๆมากเกินไป
ในเรื่องนี้ก็อยากจะขอเตือนญาติโยมทั้งหลายในบางเรื่อง
เช่นว่าในสมัยนี้เรียกว่า เราอยู่กันด้วยสงครามจิตวิทยา
คือทำให้คนวิตกกังวล ทำให้เกิดความหวาดกลัว ให้เกิดความเกลียดชัง
ให้เกิดความรู้สึกที่เรียกว่า ไม่เป็นมิตรแก่กันและกันในแง่ต่างๆ


มีคนประเภทหนึ่ง ซึ่งเขาก็เรียนรู้ในเรื่องจิตวิทยามามากเหมือนกัน
แต่ว่าไม่ได้ใช้เพื่อให้เกิด ความสงบสุขในสังคม
ไม่ได้ใช้เพื่อให้เกิดการสร้างสรรคฺ์ ในทางที่เห็นของเขาต่อไป
ไม่ได้คิดให้มันเป็นการถูกต้องว่า
การกระทำเช่นนั้น จะเป็นการริดรอนอะไรๆ ของประชาชนหรือไม่
เช่นริดรอนความ คิดความเห็น สิทธิเสรีภาพของประชาชนอะไรหรือไม่
หรือว่าจะทำให้เกิดปัญหา เกิดการเบียดเบียนกัน
ทำร้ายกันในรูปต่างๆ หรือไม่ เขาไม่ได้คิดถึงเรื่องอย่างนั้น
เพราะคนที่มีความคิดในรูปดังกล่าวนั้น ไม่มีฐานทางศีลธรรมประจำจิตใจ
ฐานทางศีลธรรมนี่มันสำคัญ ไม่มีฐานคือศาสนาเป็นเครื่องรองรับจิตใจ
คนเราถ้าไม่มีฐานทางศาสนา หรือศีลธรรมประจำจิตใจแล้ว
การกระทำอะไรก็มักจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัว หมู่ของตัว
คณะของตัว มุ่งเอาแต่ว่าจะให้ได้ดังที่ตนต้องการ
หรือที่หมู่คณะของตัวต้องการ


จะฆ่าหั่นคนสักเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไร
แต่ให้มันไปบรรลุจะประสงค์อันนั้นก็แล้วกัน
อันนี้คือการคิดการกระทำที่ขาดฐานคือศาสนา เป็นหลักครองจิตใจ
จึงได้คิดอย่างนั้น มุทะลุไปใน รูปอย่างนั้น มุ่งแต่จะให้ได้
คนจะตายสักเท่าไรก็ช่างหัวมัน อันนี้เป็นความยุ่งยากในสังคมมนุษย์
สมัยหนึ่ง ในสมัยโบราณโน้น
พระเจ้าอโศกมหาราชท่านก็มีความคิดอย่างนั้นในชั้นแรก
ไม่มีฐานอริยธรรมอยู่ในใจ ตามแบบของคนอินเดีย
คนอินเดียเขาถือว่า ธรรมะเป็นอริยธรรมของประเทศอินเดีย
ไม่ว่าศาสดาผู้ใดจะ นำมาสอน เขาก็ถือว่าเป็นอริยธรรมของอินเดียทั้งนั้น
เขายึดถือไว้เป็นหลักเป็นฐานของจิตใจ แต่ว่าพระเจ้าอโศกในวัยหนุ่ม
ท่านคึกคะนองไปหน่อย ท่านเอาฐานทิ้งเสีย
ท่านต้องการให้ได้ดังใจ ท่านจึงยกทัพ
ไปเที่ยวรุกรานแคว้นนั้นแคว้นนี้ ฆ่าฟันผู้คนตายไปไม่น้อย


ในการรบครั้งสุดท้าย รบกันที่แคว้นกาลิงคะ
ซึ่งเรียกในสมัยนั้นว่า แคว้นโอริสา รบกันมาก คนตายมากเหลือเกิน
ท่านไปยืนบงการอยู่ในสนามรบ เห็นคนตายเกลื่อนกลาด เลือดนองแผ่นดิน
ถ้าจะพูดเป็นสำนวนเขาเรียกว่า "เลือดท่วมท้องช้าง"
แต่ว่าความจริงมันไม่ท่วมหรอก มันออกแล้วมันก็จมดินไป
มันจะท่วมท้องช้างได้อย่างไร
แต่อุปมาว่ามันมากเหลือเกิน ตายกันเกลื่อนกลาด


เมื่อเห็นคนตายเช่นนั้นฐานเดิมมันเกิดขึ้นในใจ
ความรู้สึกดั้งเดิมมันมีแต่ว่า ความที่อยากเป็นใหญ่เป็นโต
เป็นพระเจ้าจักรพรรดิครองบ้านครองเมืองนั้นรุนแรง
เลยฐานนั้นไม่ปรากฏออก มา คือเกิดความสังเวชสลดใจ ว่านี้เราทำอะไรกัน
ทำไม่เราไปฆ่าผู้คนตายมากขนาดนี้ เราต้องการอะไร เราจะได้อะไร
ก็ได้รับคำตอบว่า เราต้องการเป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้
เราเป็นใหญ่แต่ว่าทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย มีความทุกข์ความเดือดร้อน
มันผิดอริยธรรมประเทศบ้านเมืองของเรา คนโบราณๆ เขาสอนไว้ว่า
ผู้ใดต้องการความสุข แต่ไปทำให้คนอื่นมีความทุกข์ความเดือดร้อน
ผู้นั้นจะไม่ได้ความสุขสมใจ
แต่ว่าผู้ใดต้องการความสุข แล้วไปช่วยให้มนุษย์ทั้งหลายมีความสุขขึ้นก่อน
ผู้นั้นแหละจะได้ความสุขทางใจ
ความสุข ความยิ่งใหญ่ ความมีอำนาจวาสนานั้น
ควรจะไต่เต้าไปในหนทางที่จะทำให้คนเป็นสุข มีความสบายไปโดยลำดับ
แต่ถ้าเราไต่เต้าไปบนฐานแห่งความทุกข์ ความเดือดร้อนของบุคคลอื่น
อันนี้มันไม่ใช่วิถีทางของบัณฑิต
ไม่ใช่วิถีทางของอริยชนคนทั้งหลายจะพึงกระทำ



ในเรื่องอย่างนี้ เราควรจะนึกถึงคนๆ หนึ่ง
ในสังคมยุคปัจจุบัน คือท่านมหาตมะคานธี
ท่านมหาตมะคานธี ท่านมีฐานจิตใจมั่นคงด้วยศีลธรรมเหลือเกิน
ท่านเป็นคนยึดมั่นในศาสนา
เป็นคนเคร่งครัดในหลักธรรมคำสั่งสอนในทางศาสนา
เริ่มชีวิตตั้งแต่เป็นเด็กน้อยๆ จนกระทั้งมาเป็นผู้ใหญ่การเมือง
แล้วก็ตายไปตามวิถีทางของชีวิต แต่การดำเนินชีวิตของท่าน
ทุกบททุกตอน ท่านถือหลักว่า อย่าทำให้ใครเดือดร้อน
อุดมการของท่านมีอยู่ว่า "อหิงสา ปรโม ธัมโม"
การไม่เบียดเบียนเป็นบรมธรรม การไม่เบียดเบียนเป็นอุดมการณ์
เป็นจุดหมายที่เราจะต้องปฎิบัติ ไม่ให้เกิดการเบียดเบียน
ไม่ให้เกิดการรบราฆ่าฟันกัน แม้แต่การต่อสู้
ถ้าทำให้ศัตรูเลือดตกยางออก
นี้เป็นการต่อสู้ที่ไม่ชอบธรรม ไม่ใช่อุดมการณ์ของท่าน


แต่ว่าท่านจะไปห้ามคนมากๆ มันก็ไม่ไหว
คนเยอะแยะที่มาร่วมงานกับท่าน บางคนก็ใจร้อนใจเร็ว
อยากจะให้ได้อะไรดังใจ การที่จะให้ได้ดังใจมันต้องทุบต้องต่อยกันมั่ง
ถ้าเกิดมีการทุบตีกันขึ้นท่านเลิกทันที บอกว่าไม่เอาแล้วทำแบบนี้
มันไม่ถูกต้องฉันไม่ชอบวิธีการอย่างนี้
ต่อไปนี้ฉันจะทรมารตัวเอง แล้วฉันจะอดข้าว ฉันจะไม่กินอาหารเดือนหนึ่ง
เอาแล้วพวกเรานั้นกลัวคานธีร์จะตายขึ้นมาแล้ว
ต้องนั่งเงียบๆ ไปตามๆ กัน ไม่ลุกขึ้นไปต่อยใครตีใครอีกต่อไป
แม้ใครจะมาตีมาต่อยก็ไม่ยอมตอบ ท่านหัดคนอย่างนั้น
ให้คนต่อสู้ด้วยอหิงสา การต่อสู้ของท่านก็สำเร็จเหมือนกัน
แผ่นดินอินเดียก็ได้รับอิสรเสรีสมความตั้งใจด้วยวิธีการที่ท่านทำ
ทำให้ชาวโลกทั้งหลายได้มองว่า
การต่อสู้ไม่ใช่จะสู้แบบสัตว์เดรัจฉานเสมอไป เราสู้แบบมนุษย์ผู้มีคุณธรรมยิ่ง



เดี๋ยวนี้โลกมันเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่วิธีการของมนุษย์ผู้มีคุณธรรม
หรือพูดว่ามนุษย์มันก็พอแล้ว เพราะว่า
มนุษย์หมายถึงผู้มีคุณธรรม มีจิตใจสูง
ถ้าเราจะต่อสู้แบบมนุษย์ เรื่องมันก็ไม่วุ่นวาย
แต่ถ้าเราลืมความเป็น มนุษย์เมื่อได้ ก็มีความวุ่นวายเหมือนกัน
ได้ฟังการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร วันพฤหัสบดี
ถ้าไม่ไปไหนก็เปิดวิทยุนั่งฟังนอนฟังไปตามเรื่อง
ทำงานอื่นไปบ้าง ฟังไปบ้าง ฟังๆ ดูแล้วรู้สึกว่า
การพูดอภิปรายของผู้แทนบางคนนั้น ขาดหลักคุณธรรม
ลืมความเป็นมนุษย์ไป มักจะพูดอะไรเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ออกนอกลู่นอกทาง


แล้วใช้ถ้อยคำสำนวน ซึ่งเด็กเลี้ยงวัวในทุ่งนามันก็ใช้
คำประเภทที่เด็กเลี้ยงวัวใช้ เราก็ไม่น่าเอามาใช้ในสภาผู้แทนราษฎร
ซึ่งเป็นสถานที่มีเกียรติ เป็นคนที่ประชาชนเขาเลือกเข้ามา
เพื่อให้ทำหน้าที่แทนเขา เราก็ควรสำรวมปาก สำรวมวาจา
ให้เป็นการเรียบร้อย พูดหยาบคาย จนท่านประธานต้องบอกว่า
ผมเช็คดูแล้วว่าเครื่องขยายเสียงก็เรียบร้อย
ประธานก็ดีฟังดูก็ใจเย็นพอใช้ ไม่พูดดังๆ พูดค่อยๆ
แม้ใครจะดื้อก็พูดว่า นั่งลงๆ พูดค่อยๆ
เพราะค่อยมันก็ได้ยินไม่ต้องตระโกนก็ได้
แล้วถ้าคนไหนพูดดังท่านก็พูดว่า
ผมให้คนเช็คดูแล้วเครื่องขยายเสียงเรียบร้อยไม่เสีย
พูดว่าอย่างนั้น ก็เท่ากับพูดว่าไม่ต้องพูดดังๆ ก็ได้
เพราะมีเครื่องขยายเสียงอยู่แล้ว แต่ว่าก็ไม่พูดอย่างนั้น
ใช้คำสุภาพนิ่มนวล น่าจะเป็นบทเรียนอยู่บ้าง
แต่คนบางคนก็เรียกว่าสันดานมันเป็นอย่างนั้น
เคยพูดคำหยาบมาก่อนก็พูดออกไป
กระทบกระเทียบเปรียบเปรยคนนั้นคนนี้ต่างๆ นานา
ฟังดูแล้วก็รู้สึกว่ามันแสลงหู ไม่เหมาะที่จะไปพูดในรูปเช่นนั้น


แต่ว่าไม่มีโอกาสจะคุยกับคนเหล่านั้น ก็เลยพูดๆ ไปอย่างนี้
เผื่อว่าจะดังไปถึงคนเหล่านั้นบ้าง แล้วก็จะได้พูดว่า
พระท่านติในเรื่องอย่างนี้ บัณฑิตติต้องฟังหน่อย
ถ้าคนพาลติเขาติด้วยอารมณ์ แต่ถ้าพระสงฆ์องค์เจ้าติ
หมายความว่าท่านใช้เหตุผลคงไม่พูดด้วยอารมณ์แล้ว
นี่แหละเขาเรียกว่าฐานไม่มีแล้ว ฐานมันลำบาก


อาตมาจึงพูดกับคนบางคนว่า คนฐานเล็กนี่มันลำบาก
พอฐานเล็กข้างบนมันใหญ่โตขึ้นไปมันก็พังเท่านั้นเอง
เพราะฐานมันเล็กจะอยู่ได้อย่างไร ใครเป็นใหญ่เป็นโตถ้าฐานเล็กอยู่ไม่ได้
แต่ถ้าฐานใหญ่อยู่ได้ เพราะสิ่งใหญ่ๆ เช่นพระปรางค์วัดแจ้ง เจดีย์ภูเขาทอง
เราไปสังเกตุดู ฐานมันใหญ่ เขาลงรากไว้กว้างๆ ทำฐานใหญ่ๆ
แล้วก็ค่อยๆ สูงๆ ขึ้นไปจนถึงยอดเล็กที่สุดมันอยู่ได้
ถ้าทีนี้ ถ้าว่าฐานมันกลับกันเสียเอา ยอดลงล่างเอาฐานขึ้นบนมันอยู่ไม่ได้
คนเราก็เหมือนกันถ้าเอายอดลงเอาฐานขึ้นมันอยู่ไม่ได้
เพราะฉะนั้น คนที่ทำอะไรแผลงๆ ไม่เข้าท่าอะไรอย่างนั้น
อาตมาเรียกว่า "คนฐานเล็ก" มันอยู่ไม่ได้เพราะฐานมันเล็กมันก็พังกันเท่านั้นเอง
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะอะไร เพราะขาดธรรมะเป็นพื้นฐานทางจิตใจ
แล้วไปทำ อะไรมันก็เสีย เราจึงต้องตั้งฐานไว้ในใจ


อันนี้เป็นเรื่องสำคัญในชีวิตประจำวันของมนุษย์
ขอให้เราช่วยกันหน่อย พบปะสมาคมกับใครๆ
เราก็ช่วยพูดช่วยแนะช่วยชี้ให้เห็นว่า ฐานทางจิตใจเป็นเรื่องสำคัญ
ถ้าไม่มีฐานแล้วอะไรมันตั้งอยู่ไม่ได้
เพราะสิ่งทั้งหลายตั้งอยู่บนรากฐานของสิ่งเหล่านั้น
ทีนี้ชีวิตการทำงานของมนุษย์มันต้องมีฐาน
ฐานนั้นก็คือ ความมีคุณธรรมในจิตใจ
ถ้ามีคุณธรรมเป็นพื้นฐานแล้ว เราก็อยู่ด้วยความเรียบร้อย
ฐานที่ควรจะตั้งไว้ทั่วๆ ไปนั้น เราก็ควรมีหลักสักอย่างไว้ในจิตใจ
เช่นในเบื้องต้นก็มีหลักเกี่ยวกับชาติ เกี่ยวกับประเทศ เกี่ยวกับศาสนา
เกี่ยวกับสิ่งที่เราเรียกว่า เป็นประมุขของชาติของบ้านเมือง
ที่ เราพูดกันว่า ชาติ ศาสนา องค์พระมหากษัตริย์
อันนี้ เป็นฐานเป็นสิ่งตั้งไว้ในใจ ว่าเราจะเป็นอยู่ทำงานทำการทุกอย่าง
เพื่อสิ่งเหล่านี้ เราอยู่เพื่อประเทศชาติ เราอยู่เพื่อศาสนา เพื่อธรรมะ
เราอยู่เพื่อองค์พระมหากษัตริย์ ที่เป็นประมุขของชาติของบ้านเมือง
เราบูชาสิ่งนั้น เราต้องการให้ชาติอยู่อย่างนี้



คือมีชาติ มีศาสนา มีองค์พระมหากษัตริย์
เราถือหลักนี้ไว้ในใจแล้วเราก็สอนลูก สอนหลานเรา
ให้เข้าใจ ว่าเมืองไทยของเรานั้น ต้องประกอบด้วยชาติ ศาสนา
ด้วยองค์พระมหากษัตริย์ ประเทศอื่นบางทีเขามี ไม่ครบ
บางที่เขามีแต่ชาติแต่เขาไม่มีศาสนาก็มี
เขาไม่มีองค์พระมหากษัตริย์ก็มี เขาก็อยู่ได้ แต่การอยู่ มันไม่เหมือนกัน
การอยู่โดยไม่มีศาสนานั้น อยู่ได้ด้วยการบังคับอย่างแรง
อยู่กันเหมือกับอย่างว่าต้องถือ แส้กันอยู่ตลอดเวลา
เหมือกับผู้คุมนักโทษเอานักโทษไปใช้งาน เขาต้องคุมอยู่ตลอดเวลา
ถ้านักโทษเกะ กะยิ่งคุมใหญ่ต้องถือหวาย
ถือมีดถือปืนไว้แล้วคอยจ้องอยู่ตลอดเวลา
เพื่อให้คนเหล่านั้นทำงานเป็นปกติ
แต่ถ้าผู้ต้องขังเหล่านั้นมีจิตสำนึกในหน้าที่ในการงาน
ไม่ต้องคุมก็ได้ ปล่อยให้ทำงานทำการได้


เมื่อไม่กี่วันมานี้ ทางเรือนจำบางขวาง เขาส่งผู้ต้องหามาถางหญ้าในวัดนี้
มาถางอยู่หลายวัน แล้วก็มีคนมาคอยคุม
อาตมาสังเกตดูคนคุมไม่ใช่ว่าไปยืนเฝ้าอยู่ตลอดเวลาหามิได้
เขาก็ไปนั่งที่ร่มๆ แห่งใดแห่งหนึ่ง แล้วก็ให้คนทำงานไป


นึกถึงสมัยเด็กเลี้ยงควายอยู่ในทุ่ง ควายที่มันไม่เกเรเราไม่ต้องไปตามมันหรอก
เรามานั่งที่ร่มไม้ เล่นหมากรุกกันก็ได้ เล่นเสือกินวัวกันก็ได้เล่นอะไรก็ได้
ปล่อยควายไปตามเรื่อง มันไม่ไปไหน มันกิน หญ้าอยู่บริเวณนั้น
แล้วไม่ไปทำให้ใครเสียหาย แต่ถ้าเรามีควายสักตัวที่มันชอบเดิน
เขาเรียกว่าควาย เกเรชอบเดิน เดินเรื่อยๆ
เรานั่งนานไม่ได้แล้วต้องคอยดูมันมันจะเดินไปไหน
เดี่ยวมันไปลงหม้อแกงที่ บ้านโน้นเสียเท่านั้น ต้องเฝ้าอยู่ตลอดเวลา
เกิดเป็นความทุกข์ คนเรานี่ก็เหมือนกัน ถ้าอยู่โดยเขา คุมอยู่ตลอดเวลา
มันสบายไหม มนุษย์เราอยากมีสิทธิเสรีตามเรื่อง


แม้เด็กตัวน้อยๆ มันก็อยากจะสบาย
เราไปคอยอุ้มมันตลอดเวลาไม่ใช่มันชอบใจ
เขาอยากจะทำอะไรตามเรื่องราว เราผู้เลี้ยงเพียงแต่คอยจับตาดูไว้
อย่าให้มันตกลงไปข้างล่าง อย่าให้มันไปเล่นของที่เป็นอันตราย
ปล่อยให้เขาเป็นอิสระพอสมควร เขาก็อยู่ได้สบาย
เพราะมนุษย์นี้ต้องการอิสระ ต้องการเสรี
แต่ถ้ามีคนคอยบังคับเคี่ยวอยู่ตลอดเวลามันก็ไม่สบายใจ
อย่างนี้เพราะไม่มีศาสนาเป็นเครื่องบังคับจิตใจ
ต้องบังคับให้อยู่ในสภาพอย่างนั้น บ้านเมืองเราไม่อย่างนั้น
เรามีสิ่งที่เรียกว่า มีชาติเป็นพื้นฐาน มีศาสนาเป็นหลักใจ
มีพระมหากษัตริย์เป็นธงชัยในชาติในบ้านเมือง
นี่เป็นหลักฐานที่สำคัญเบื้องต้น


แต่ว่าฐานใหญ่คือศาสนา ธรรมเป็นหลักครองใจ
เราจะต้องมีธรรมะเป็นหลักประคับประคองจิตใจไว้
เช่นว่าอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม เป็นพื้นฐานเบื้องต้น
การอยู่ในศีลในธรรมนั้น ก็เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้
ด้วยความสุข ไม่มีความวุ่นวาย นี่เป็นหลักฐานอันแรก
แล้วต่อไปเราก็มีหลักศาสนาคุ้มครองใจ
หลักศาสนานั้นหมายถึงข้อปฏิบัติ
ที่ทำให้จิตใจเราพ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อน
ตัวศาสนาแท้ๆ คือตัวการปฏิบัติที่ทำให้เราพ้นจากความทุกข์ ความเดือดร้อน
ก็ใครบ้างที่ยังมีความทุกข์ความเดือดร้อน
ก็ต้องมี ศาสนาเป็นยาสำหรับแก้ความทุกข์ เราจึงต้องมีหลักศาสนาประจำจิตใจ


คนไม่มีศีลธรรมคนอื่นรู้ว่าไม่มีศีลธรรม
คนไม่มีศาสนาตัวเองรู้ว่าไม่มีศาสนา เพราะอะไร
คือเรารู้ว่าเราเป็นทุกข์เราไม่สบายใจ
เรามีความวุ่นวายทางจิตใจ เราจึงได้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน
เราก็ต้องรีบเชิญธรรมะเข้ามาใส่ไว้ในจิตใจ มาคิดมาแก้ปัญหา
คือมาคิดว่าทำไมจึงต้องเป็นทุกข์
ทำไมต้องเดือดร้อนใจ อะไรเป็นเหตุให้เกิดสิ่งนี้ขึ้น
ให้พิจารณาด้วยปัญญาให้คิดค้นจาการคิดการพูด
การกระทำของเราเองในเวลาที่ผ่านมาแล้ว ว่าเราได้ทำอะไรไว้บ้าง
แล้วสิ่งนั้นมันจึงได้เกิดขึ้น แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นนี้
มันทำให้เรามีจิตใจไม่สบาย ีความทุกข์มีความเดือดร้อน
เราจะตัดสิ่งนั้นไม่กระทำต่อไปได้หรือไม่



การที่เราจะตัดอะไรนั้น เราก็ต้องพิจารณาในแง่ดีและแง่เสียของสิ่งนั้น
พิจารณาในแง่ดีว่ามันดีอย่างไรบ้าง แล้วต่อไปพิจารณาในเสียของสิ่งนั้น
เสียกับดีอันไหนมันมากกว่ากัน สองอย่างเอามาขึ้นตาชั่งดูแล้วเห็นว่า
เรื่องเสียมีมากกว่า แต่ว่าดีนิดเดียวมันไม่คุ้มกันกับเรี่ยวแรง เวลา ที่เราลงทุนไป
เพราะฉะนั้นเราเลิกดีกว่า การที่จะเลิกนั้นต้องแข็งใจเลิก
ถ้าไม่แข็งใจเลิกแล้วก็เลิกไม่ได้ พอใจอ่อนแอเราก็แพ้มันเรื่อยไป
แต่ถ้าเราแข็งใจ เออ วันนี้จะสู้มันหน่อยแข็งใจไว้ ไม่ทำดังที่เราเคยกระทำ
ถ้าแข็งใจไว้ได้ อดทนบังคับตัวเองไว้ได้ ไม่เท่าใดเราก็ชนะ
การต่อสู้มันลำบากนิดหน่อย สบายตอนชนะแล้ว
คนเราก็เหมือนกัน อารมณ์อันใดที่มันทำให้เกิดความเสียหาย
เราต่อสู้ คณะต่อสู้มันวุ่นวาย ฝ่ายหนึ่งจะเอาให้ชนะ
อีกฝ่ายหนึ่งก็จะเอาให้ชนะ ถ้าฝ่ายดีมีกำลังมาก
ฝ่ายเสียแพ้ ถ้าฝ่ายชั่วมีกำลังมากฝ่ายดีแพ้


ถ้าฝ่ายดีแพ้ไม่ก้าวหน้าเราต้องให้ฝ่ายดีชนะ เพิ่มกำลังฝ่ายดี
คือเพิ่มความอดทนมากขึ้น เพิ่มการบังคับตัวเองมากขึ้น
เพิ่มสติปัญญาให้มากขึ้น พิจารณาหาเหตุผลตลอดเวลา
ขณะที่เราพิจารณาหาเหตุผลในเรื่องนั้น จิตมันก็อยู่ในความดีแล้ว
ความคิดในเรื่องที่จะทำสิ่งชั่วร้าย มันก็หายไปแล้วในขณะนั้น
แล้วเราก็คิดเรื่อยไปๆ ความคิดชั่วมันก็ไม่เข้ามา มันก็พอชนะได้
ทีนี้เมื่อชนะอะไรแล้ว ต้องรักษาความชนะนั้นไว้อย่าให้กลับแพ้เสียเป็นอันขาด
เพราะฉะนั้นต้องตั้งฐานไว้ให้ดี แล้วก็เพิ่มกำลังให้ฐานนั้นงอกงาม
ไปในทางดีตลอดเวลา เราก็จะเอาตัวรอดปลอดภัย
พ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อน



ดังที่ได้แสดงมา เพื่อเป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจแก่ญาติโยมทั้งหลาย
ก็พอสมควรแก่เวลา ขอยุติ ไว้แต่เพียงเท่านี้


ที่มา... http://www.panya.iirt.net/

:b48: :b8: :b48:


แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 05 เม.ย. 2010, 12:48, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 12 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron