วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 22:23  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ธ.ค. 2010, 14:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 13:20
โพสต์: 821


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

หนี้ศักดิ์สิทธิ์
โดย ชยสาโร ภิกขุ


เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว ตอนที่ยังไม่ได้บวช อาตมาเชื่อว่าปัญญาเกิดจากประสบการณ์ จึงเดินทางออกจากบ้านเกิดเมืองนอนที่ประเทศอังกฤษ ระเหเร่ร่อนหาประสบการณ์ชีวิตทางยุโรปและเอเซีย ยิ่งลำบากยิ่งชอบ เพราะรู้สึกว่าความลำเค็ญ ช่วยให้รู้จักตัวเองมากขึ้น ซึ่งเป็นกำไรชีวิต

แต่การเดินทางไปอินเดียผิดหวังนิดหน่อย ไม่ได้ท้าทายอย่างที่คาดหวัง ขากลับจึงตัดสินใจออกเดินทาง จากประเทศปากีสถาน ไปยังอังกฤษโดยไม่ใช้เงิน โบกรถไปเรื่อยอยากจะรู้ว่าเป็นไปได้ไหม อยากจะทราบความรู้สึกของผู้ไม่มีอะไรอย่างลึกซึ้ง

ผจญภัยเยอะเหมือนกัน และผ่านเหตุการณ์ที่ไม่มีวันลืมเลือน อย่างเช่นพอถึงเตหราน เมืองหลวงของประเทศอิหร่าน รู้สึกจะหมดแรงแล้ว ผอมแห้งบักโกรก เสื้อผ้าก็มอมแมมกระดำกระด่าง คงดูน่าเกลียดพอสมควร เห็นหน้าในกระจกห้องน้ำสาธารณะ ก็ตกใจ ส่วนใจก็เป็นเปรตมากขึ้นทุกวัน กังวลหมกมุ่นแต่ในเรื่องอาหารการกิน วันนี้เราจะมีอะไรทานไหมหนอ ? แต่ละวันท้องจะอิ่ม จะว่าง ก็แล้วแต่น้ำใจของเพื่อนมนุษย์ เราจำเป็นต้องพึ่งบารมีเพราะไม่มีอย่างอื่น

พอดีเจอผู้ชายอิหร่านคนหนึ่ง เขาคงสงสารและอยากฝึกพูดภาษาอังกฤษด้วย เขายังพาไปกินน้ำชาแล้วให้สตางค์เล็กๆ น้อยๆ กลางคืนพักข้างถนนในซอยเงียบ กลัวว่าตำรวจเห็นจะซ้อม รุ่งเช้าเดินไปร้านขายซุปแห่งหนึ่ง ซึ่งจำได้ว่าซื้อซุปหนึ่งจาน แล้วเขาให้ขนมปังฟรี ในขณะที่กำลังเดินไปโดยพยายามไม่มองร้านอาหารข้างทางที่ดึงดูดตาเหลือเกิน ไม่ดมกลิ่นหอมที่โชยออกมา เราได้สวนทางกับผู้หญิงคนหนึ่ง เขาเห็นเราแล้วก็หยุดชะงัก จ้องมองเราอย่างตะลึงสักพักหนึ่ง แล้วเดินตรงมาหาหน้าตาบูดบึ้ง แล้วสั่งให้ตามเขาไปโดยใช้ภาษามือ เราเป็นนักแสวงหาเลยยอมตามไป เดินไปสักสิบนาที ก็ถึงตึกแถว ขึ้นลิฟท์ไปถึงชั้นที่สี่ สันนิษฐานว่าคงเป็นบ้านเขา แต่เขาไม่พูดไม่จาอะไรเลย ยิ้มก็ไม่ยิ้ม หน้าถมึงทึงตลอด

พอเปิดประตูเข้าไปปรากฏว่าเป็นบ้านของผู้หญิงคนนี้จริงๆ เขาพาเข้าห้องครัวแล้วชี้ไปที่เก้าอี้ ให้นั่ง นั่งแล้วเขาเอาอาหาร มาให้ทานหลายๆ อย่าง อาตมารู้สึกเหมือนกับขึ้นสวรรค์ ทำให้รู้ว่าอาหารที่อร่อยที่สุดในโลก คืออาหารที่ทานในขณะที่หิว และท้องกำลังร้องจ๊อกๆ เขาเรียกลูกชายมาสั่งอะไรก็ไม่รู้ เพราะฟังไม่รู้เรื่อง แต่สังเกตว่าลูกดูจะอายุไล่เลี่ยกับเรา สักพักใหญ่ ลูกชายก็กลับมาด้วยกางเกงและเสื้อเชิ้ตชุดหนึ่ง พอเขาเห็นว่าเราอิ่มหนำสำราญแล้วก็ชี้ไปที่ห้องน้ำ สั่งให้อาบน้ำเปลี่ยนผ้าชุดใหม่ (ของเก่าน่ากลัวเอาไปเผา) เขาไม่ยิ้มไม่แย้ม ไม่พูดจาอะไรเลย มีแต่สั่งอย่างเดียว ขณะที่อาบน้ำอยู่ ก็คิดสันนิษฐานว่า แม่คนนี้ อาจเห็นอาตมาแล้ววาดภาพนึกถึงลูกชายเขาเองว่า ถ้าสมมติว่าลูกเราเดินทางไปต่างประเทศแล้วตกทุกข์ได้ยากอย่างนี้ อยู่ในสภาพน่าสมเพชอย่างนี้ มันจะเป็นอย่างไร ฉะนั้นอาตมาจึงคิดว่าเขาช่วยเราด้วยความรักของแม่ เลยคิดแต่งตั้งเขา เป็นแม่กิตติมศักดิ์ประจำเมืองอิหร่าน ยืนยิ้มหน้าบานอยู่ในห้องน้ำคนเดียว

เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ไปส่งเราตรงจุดที่ได้เจอกัน แล้วเดินลุยเข้าไปในกระแสชาวเมือง ที่กำลังเดินไปทำงาน อาตมายืนมองผู้หญิงอิหร่านคนนั้น ถูกหมู่ชนกลืนไป รู้อย่างแม่นยำว่าชาตินี้คงไม่มีวันลืมเขาได้ อาตมาประทับใจและซาบซึ้งมาก น้ำตาทำท่าจะไหลคลอ เขาให้เราทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกันเลย ตัวสูงๆ ผอมๆ เหมือนไม้เสียบผี จากป่าช้าที่ไหนก็ไม่รู้ เสื้อผ้าก็เหม็นสกปรก ผมก็ยาวรุงรัง แต่เขากลับไม่รังเกียจเลย หนำซ้ำยังพาเราไปที่บ้าน และดูแลเราเหมือนเป็นลูกของเขาเอง โดยไม่หวังอะไรตอบแทน จากเราเลย แม้แต่การขอบคุณ เวลาผ่านมา ๒๐ กว่าปีแล้ว อาตมาจึงอยากประกาศคุณของพระโพธิสัตว์หน้าบูดคนนี้ ให้ทุกคนได้ทราบว่า แม้ในเมืองใหญ่ๆ ก็ยังมีคนดีและอาจมีมากกว่าที่เราคิด


ไม่ ใช่เพียงแค่คนนี้คนเดียว ตอนสมัยที่อาตมาแสวงหาประสบการณ์ชีวิตนั้น ได้รับความเมตตาอารี ความช่วยเหลือเจือจาน จากหลายๆ ชาติ ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ขออะไรจากใคร ทำให้ตั้งใจว่ามีโอกาสเมื่อไหร่ต้องช่วยเหลือคนอื่นบ้าง ต้องมีส่วนในการสืบอายุของน้ำใจ ในหมู่มนุษย์ แม้สังคมทั่วไปจะอัตคัตกันดารคุณงามความดีเพียงไร แต่ขอให้เราพยายามเป็นแหล่งเขียวเล็กๆ แก่เพื่อนร่วมโลกก็ยังดี

ต่อมาอาตมาได้กลับไปอยู่อินเดียอีกครั้งหนึ่ง พักปฏิบัติธรรมกับครูบาอาจารย์สายฮินดูองค์หนึ่ง ท่านน่าเลื่อมใสมาก มีข้อวัตรปฏิบัติ คล้ายกับของพุทธ อยู่กับท่านมีเวลานั่งคิดไตร่ตรองชีวิตของตนเองมาก ตอนบ่ายชอบเดินขึ้นเขา ไปนั่งใต้ต้นไม้เก่าแก่ ท่ามกลางสายลม ดูทะเลสาบข้างล่าง และทะเลทรายที่ยาวเหยียดออกไปถึงขอบฟ้า ความคิดก็ปลอดโปร่งดี แล้ววันหนึ่งก็นั่งนึกแปลกใจตัวเองว่า เมื่อไหร่ที่ระลึกในความมีน้ำใจของผู้ที่เคยเกื้อกูลการเดินทางของเรา ให้อาหารบ้าง ให้ที่พักสักคืนสองคืนบ้าง เราจะรู้สึกทึ่งทุกครั้ง แต่ทำไมพ่อแม่เลี้ยงเรามา ๑๘ ปี ให้อาหารทุกวันไม่เคยขาด วันละสามมื้อบ้าง สี่มื้อบ้าง ยังเป็นห่วงว่าจะไม่ถูกปากเราอีก ท่านให้ทั้งเสื้อผ้าและที่นอน ยามป่วยไข้ท่านก็พาไปหาหมอและดูเหมือนว่าท่านจะเป็นทุกข์มากกว่าเราเสียอีก ทำไมเราไม่เคยซึ้งในเรื่องนี้เลย ? มันไม่ยุติธรรมและน่าละอาย สำนึกตัวว่าประมาทเหลือเกิน ในขณะนั้นเหมือนเขื่อนพัง ตัวอย่างความดีของพ่อแม่ไหลทะลักเข้ามาในจิตใจจนตื้นตันใจมาก นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการรู้จักบุญคุณของพ่อแม่ในชีวิตของอาตมา

เราคิดต่อไปว่าตอนคุณแม่ท้องก็คงลำบากในช่วงแรกคงแพ้ท้อง ต่อมาการเดินการเหิน การเคลื่อนไหวทุกปะเภท คงไม่สะดวก ไปหมด ปวดเมื่อย แต่ท่านก็ยอม เพราะเชื่อว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้น มีความหมายและความหมายนั้นคือเรา

ตอนเด็กเราต้องอาศัยท่านหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ทำให้เรารู้สึกเฉยๆ เหมือนกับว่าเป็นหน้าที่ของท่าน ที่จะต้องให้ และเป็นสิทธิ์ของเราที่จะรับ ต่อมาเลยสำนึกว่า ที่มีโอกาสปฏิบัติธรรม เพื่อเป็นที่พึ่งของตน ก็อาศัยที่ว่า คุณพ่อคุณแม่เคยเป็นที่พึ่งอันมั่นคงแก่เราในกาลก่อน ทำให้จิตใจเรามีฐานที่เข้มแข็งพอที่จะสู้กับกิเลสของเราได้

เมื่ออายุ ๒๐ ปี อาตมาเดินทางมาเมืองไทย เพื่อบวชในบวรพระพุทธศาสนา โยมพ่อโยมแม่ก็ไม่ขัดข้อง เพราะต้องการให้ลูก ดำเนินชีวิตในทางที่พอใจ และมีความสุข ได้ชนะความหวังส่วนตัวในใจของท่าน ปีที่แล้วนี้เอง ที่โยมแม่สารภาพกับอาตมาว่า วันที่ลูกจากบ้านไป เป็นวันที่แม่เศร้าโศกที่สุดในชีวิต อาตมาประทับใจมากที่ท่านพูดอย่างนั้น แต่ที่ประทับใจยิ่งกว่านั้นคือ การที่โยมแม่อาตมาอดทน ไม่พูดให้เราทราบความทุกข์นี้ตั้ง ๒๐ ปีเพราะกลัวเราจะไม่สบายใจ

พอบวชแล้วบางครั้งอดที่จะตำหนิตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่า ตอนที่อยู่กับพ่อแม่ มีโอกาสตอบแทนบุญคุณท่านทุกวัน แต่ไม่ค่อยได้ทำอะไร ปัจจุบันอยากทำ แต่ทำไม่ได้เพราะอยู่ห่างไกลและเป็นพระ จึงรู้สึกเสียดาย ต้องตั้งใจแผ่เมตตาให้แก่ท่านทุกวัน

ในภาษาอังกฤษคำว่า “บุญคุณของพ่อแม่” ไม่มี ที่เมืองนอก ความรักและความผูกพันระหว่างพ่อแม่กับลูกมีอยู่เหมือนกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่ความรู้สึกว่าสมาชิกครอบครัวมีหน้าที่ต่อกันมีน้อยกว่าที่นี่ ชาวตะวันตกชอบเป็นตัวของตัวเอง ไม่ชอบการก้าวก่าย ไม่ค่อยเชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูกมีความลึกลับอะไร ไม่เห็นว่าพ่อแม่มีสิทธิ์อะไรพิเศษที่จะได้กำหนดแนวทางชีวิตของลูก

ในบทสอนเกี่ยวกับสัมมาทิฏฐิระดับโลกีย์ คือ พื้นฐานของความเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรในชีวิต พระพุทธองค์ทรงตรัสข้อหนึ่งว่า ต้องเชื่อว่าพ่อมีจริงแม่มีจริง อ่านแล้วชวนให้งงนะ เอเรื่องนี้น่าจะชัดแจ้งต่อทุกคนอยู่แล้ว ใครจะไม่รู้ว่าคนเราจะเกิดเป็นคนได้ก็เพราะมีพ่อมีแม่

ในเรื่องนี้ขอให้เข้าใจว่าเป็นสำนวนในภาษบาลี อาจแปลขยายความได้ว่า ต้องเชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูกมีความหมายสำคัญที่ควรยอมรับ และเคารพ ความสัมพันธ์นี้เป็นเรื่องลึกลับและลึกซึ้ง พระพุทธองค์ทรงสอนว่า ไม่มีบาปกรรมใดหนักกว่าการฆ่ามารดาหรือบิดา ในภาษาบาลีท่านเรียกว่าเป็น อนันตริยกรรม คือ กรรมชนิดที่สำนึกบาปแล้วกลับตัวอย่างไรก็แก้ไม่ได้เลย ฉะนั้น องคุลิมาลฆ่าคน ๙๙๙ คน แต่ยังบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ แต่ถ้าสมมุติว่าองคุลิมาลได้ฆ่าพ่อหรือแม่เพียงคนเดียวก็หมดหนทาง เรียกว่าเป็นเรื่องลึกซึ้ง ไม่ใช่ว่าพระพุทธองค์ทรงสอนอย่างนั้น เพียงเพื่ออุบายช่วยเสริมความมั่นคงของสถาบันครอบครัวนะ แต่เป็นสัจธรรมความจริงที่ท่านทรงค้นพบแล้ว เปิดเผยเพื่อประโยชน์สุขแก่มนุษย์ทุกยุคทุกสมัย ฉะนั้น มติของพระพุทธศาสนาคือเรากับท่านทั้งสอง คือคุณพ่อคุณแม่มีความผูกพันที่ลึกล้ำ คงข้ามภพชาติ หลายภพหลายชาติแล้ว เป็นสิ่งที่เราควรยอมรับ เคารพ และเอาใจใส่


สรุป แล้วเรามีอะไรที่ยังค้างอยู่กับท่าน ซึ่งในบางกรณีอาจจะเป็นสิ่งที่ไม่ดีบ้างเหมือนกัน ลูกที่ถูกทอดทิ้ง หรือโดนทารุณกรรม โดยการทุบตีหรือล่วงละเมิดทางเพศก็มี และดูจะมีมากขึ้นทุกวัน แต่ความสัมพันธ์พิเศษระหว่างพ่อแม่กับลูก ยังมีอยู่ในทุกราย ชาตินี้เป็นแค่ฉากเดียว ฉากก่อนเราไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น เราความประณามและพยายามทุกวิถีทางที่จะป้องกันการเบียดเบียนลูก ลงโทษผู้กระทำผดตามกฎหมาย แต่ไม่ต้องเพ่งโทษเขาด้วยอคติเพราะข้อมูลเราไม่ครบ ฝ่ายลูกควรตอบแทนบุญคุณ ที่อาจมองไม่เห็น เท่าที่ทำได้ อย่างน้อยที่สุดด้วยการให้อภัย

พ่อแม่ที่เป็นยักษ์เป็นมารกับลูกยังมีน้อย ส่วนใหญ่เป็นพรหมเป็นพระกับลูกมากกว่า พระพุทธองค์ทรงสอนเรื่อง การตอบแทนบุญคุณ ของพ่อแม่ ในที่หลายแห่ง ที่ชินหูมากที่สุดคือตอนที่ท่านทรงสอนทิศหก ให้กับหนุ่มชื่อสังคาละกะ มีข้อความตอนหนึ่งว่า

บุตรธิดาควรบำรุงมารดาบิดาผู้เป็นเหมือนทิศเบื้องหน้าว่าโดย
ท่านเลี้ยงเรามาแล้วเลี้ยงท่านตอบ
ช่วยทำกิจธุระการงานของท่าน
ดำรงวงศ์สกุล
ประพฤติตนให้เหมาะสมกับความเป็นทายาท
เมื่อท่านล่วงลับไปแล้วทำบุญให้ท่าน

คำสอนในพระสูตรนี้เป็นโครงสร้างของสังคมพุทธที่เน้นความรับผิดชอบต่อกัน หรือหน้าที่ มากกว่าสิทธิ์ของแต่ละคน ทุกวันนี้ ในเมืองไทย ยังมีลูกที่ปฏิบัติตามหลักนี้ อย่างน่าชม จำนวนไม่น้อย แต่ทีนี้อาตมาอยากจะให้พระพุทธพจน์อีกบทหนึ่ง ซึ่งมีการปฏิบัติตาม น้อยกว่า คือ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ลูกคนไหนเชิญคุณพ่อคุณแม่ไปนั่งบนบ่าคนละข้าง แล้วแบกไปแบกมาตลอดร้อยปี รับใช้ด้วยอาหารประณีตที่ท่านชอบ อาบน้ำ นวดเส้นให้ท่าน แม้จนกระทั่งปล่อยให้ท่านถ่ายปัสสาวะ และอุจจาระราดบ่า หรือไม่อย่างนั้น มอบเงินให้ท่านเป็นจำนวนล้าน หรือสิบๆล้าน ตั้งท่านไว้ในตำแหน่งมีเกียรติยศและอำนาจ ทำถึงขนาดนี้ ก็ยังยาก ที่จะตอบแทน บุญคุณท่านได้หมด

แต่ว่าลูกคนใด สามารถปลูกฝัง หรือชักนำให้พ่อแม่ผู้ไม่มีศรัทธาในหลักธรรม หรือมีศรัทธาน้อย ได้มีศรัทธาเพิ่มขึ้น พ่อแม่ผู้ไม่มีศีล หรือมีศีลที่ขาดตกบกพร่อง ได้มีศีลมากขึ้น พ่อแม่ผู้ตระหนี่ ให้กลายเป็นผู้ยินดีในทาน และการช่วยเหลือเกื้อกูล พ่อแม่ผู้ไม่มี ปัญญาชนะกิเลส และดับความทุกข์ได้ มีปัญญา ลูกที่ทำอย่างนี้ได้สำเร็จ ก็ถือว่า ตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ได้สมบูรณ์ ได้ใช้หนี้อันศักดิ์สิทธิ์ได้หมด

พระสูตรนี้ให้ข้อคิดหลายอย่าง อาตมาเข้าใจว่า พระองค์ทรงตรัสบทนี้อย่างอมยิ้ม ไม่เชื่อลองวาดภาพตัวเอง ป้อนอาหารแก่พ่อแม่ ผู้นั่งบนบ่าเราดูเถิด รับน้ำหนักท่านไม่ถึงร้อยปีหรอก อาจไม่ได้ห้านาทีด้วยซ้ำไป คุณแม่บางคนอาจไม่กล้าขึ้นเลย เพราะกลัวตกขั้นแขนขาหัก ที่พระพุทธองค์ตรัสอย่างนี้ น่าจะเป็นเพราะว่า ท่านทรงต้องการให้เราพิจารณาว่า โอ้โฮ ! ทำถึงขนาดนั้นยังไม่พอ นับประสาอะไรกับที่พวกเราทำกันทุกวันนี้ ท่านคงอยากให้เห็นว่าเราเป็นหนี้จำนวนมหาศาล ดิ้นรนแทบตายก็ได้แต่ดอกเบี้ยไปให้เขา เขาทวงเงิน เราจะอ้างความเหน็ดเหนื่อยกับเจ้าหนี้ไม่ได้ ไม่ใช่ประเด็น เขาสนใจแต่เงินที่ยังเหลืออยู่ เราทำอะไรให้พ่อแม่ก็เหมือนกัน เราอาจคิดว่าเราทำได้มากแล้ว จริงๆ แล้วถ้าไม่ช่วยทางด้านธรรม การปรนนิบัติเป็นแค่การชำระดอกเบี้ยเท่านั้นเอง เพราะหนี้พ่อแม่ไม่ใช่หนี้ธรรมดา แต่เป็นหนี้ศักดิ์สิทธิ์

พระพุทธองค์จึงทรงสอนว่า นอกเหนือจากการปฏิบัติพ่อแม่แบบทิศหกแล้ว ชาวพุทธเราต้องพยายามส่งเสริมให้ท่านทำแต่คุณงามความดี เรียกว่า เป็นกัลยาณมิตรของบิดามารดา

ตรงนี้เราสามารถเห็นลักษณะของสังคมพุทธชัดขึ้นว่า เป็นสังคมที่ทุกคนพยายามเป็นกัลยาณมิตรต่อกัน พ่อแม่ควรเป็นกัลยาณมิตรต่อลูก ลูกควรเป็นกัลยาณมิตรต่อพ่อแม่ พี่ควรเป็นกัลยาณมิตรต่อน้อง น้องควรเป็นกัลยาณมิตรต่อพี่ สามีควรเป็นกัลยาณมิตรต่อภรรยา ภรรยาควรเป็นกัลยาณมิตรต่อสามี ทุกคนควรช่วยกันขัดเกลากิเลส สร้างชีวิตและสังคมแห่งความเมตตา กรุณา และปัญญา

ในพระสูตรข้างต้น พระพุทธองค์ทรงระบุธรรมสี่ประการ ก่อนอื่นขอทบทวนและขยายความของธรรมเหล่านั้น

ศรัทธา คือความเชื่อมั่นว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้จริง เชื่อว่าคำสอนของท่านเป็นจริง เมื่อศึกษาและปฏิบัติตามแล้ว มีผลจริงต่อผู้ที่ปฏิบัติจริง เชื่อว่าผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามคำสอนมีจริง และหมู่อริยชนนั้นน่าเคารพนับถือ มากกว่าหมู่ชนอื่น ทั้งหลายทั้งปวง เชื่อว่ามนุษย์เป็นผู้กำหนดชะตากรรมของมนุษย์เอง เราจะดีจะชั่ว จะสุขจะทุกข์ก็อยู่ที่เรา ชีวิตของเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับภูติผีปีศาจ เทวดา พรหม หรือการดลบันดาลของใครที่ไหน หาขึ้นอยู่กับการกระทำของมนุษย์เอง ทางกาย วาจา ใจ ทั้งในอดีตและสำคัญที่สุดในปัจจุบัน เชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเอง ที่จะบรรลุธรรม และเชื่อว่าความเป็นอิสระจากความทุกข์ และกิเลสเป็นสิ่งสูงสุดที่มนุษย์ควรจะได้จากชีวิต


ศีล คือความงดงาม คือการห้ามใจจากการทำหรือพูดในสิ่งที่เบียดเบียนตนหรือคนอื่น การหลุดพ้นจากบาปกรรมทางกายและวาจา ศีลจะมั่นคงด้วยการคุ้มครองของความละอายต่อบาปและความเกรงกลัวต่อบาป ศีลคือมาตรฐานชีวิตสำหรับผู้มุ่งการเจริญทางธรรม

จาคะ คือความไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งนอกตัว คือความยินดีในการให้ทานและการเกื้อหนุนจุนเจือ ผู้มีจาคะเป็นคนใจดี อารีอารอบ ไม่ขี้งก ขี้ตืด ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว เป็นผู้มีน้ำใจ

ปัญญา คือความรู้ที่ดับทุกข์ดับกิเลสได้ มนุษย์อยู่ดีๆก็เป็นทุกข์ได้ ทั้งๆ ที่ไม่อยากเป็นแม้แต่นิดเดียว เพราะไม่เข้าใจว่า ความทุกข์เกิดขึ้น และดับไปได้อย่างไร ทำไมไม่เข้าใจ ? เพราะไม่เข้าใจตัวเอง ต้องใช้ชีวิตเป็นเหยื่อของอารมณ์อยู่เรื่อยไป อยู่ในห้องมืดกับงูเห่า จะเดินไปเดินมาโดยไม่โดนงูกัดได้หรือ แค่ไม่ชนเฟอร์นิเจอร์ก็เหลือวิสัย

ปัญญาในเบื้องต้น คือความรู้ระดับสัญญา ความจำที่เกิดจากการได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ความเห็นและความคิด ผู้ที่เคยฟังหลักธรรม แล้วจดจำเอาไว้ไตร่ตรอง จนเข้าใจความหมายแล้ว จะมีแนวคิดที่ดี เมื่อจิตตกหล่นไปตามแนวคิดที่ดี ก็ไม่ตกร่อง ไม่กระแทก ไม่ลื่นไหล เช่น เมื่อมีใครกลั่นแกล้ง ผู้ที่ไม่เคยฟังเทศน์หรืออ่านหนังสือธรรมะ มันจะโกรธแค้นหรือกลัดกลุ้ม ส่วนผู้ที่เคยศึกษาธรรมะจะจำได้ว่า พระเคยเล่าว่าแม้พระพุทธองค์เองทรงเคยโดน ทำไมเราจะโดนไม่ได้ เลยทำใจได้มากขึ้น ไม่ต้องคว้าเอาขวดเหล้าหรือยานอนหลับเป็นที่พึ่ง ปัญญาในระดับนี้ เป็นปัญญาที่รู้บาปบุญคุณโทษ ให้มุมมองของชีวิต และโลกที่สงบและตรงต่อความเป็นจริง

ปัญญาในระดับสูงขึ้นไป เป็นปัญญาที่ทำให้ความรู้ ความเข้าใจที่เกิดขึ้นในจิต ของผู้มีศีลบริสุทธิ์ และสมาธิหนักแน่น ถึงขั้นนี้ ไม่ใช่ความคิดเสียแล้ว มันเร็วกว่าความคิด เหมือนเครื่องบินรบที่เร็วกว่าเสียง ปัญญาคือการเห็นสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง อย่างประจักษ์แจ้ง จนหมดสนุก ในการยึดติด ว่าเป็นเราหรือของเรา ปัญญาทะลุปรุโปร่ง รู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวง รวมถึงความรู้สึกนึกคิด ของตน ล้วนแต่เป็นของธรรมชาติที่ไม่มีเจ้าของ ปัญญาค้นพบว่าชีวิตไม่ใช่ป้อมปราการในที่กันดาร หากเป็นแม่น้ำที่ไหลอย่างเยือกเย็น อยู่ในอุทยานแห่งโลก เมื่อปัญญาเห็นอย่างนี้ก็จะปล่อยวาง

พระพุทธองค์ทรงสอนว่าลูกที่ดีควรเอาใจใส่ ปรนนิบัติมารดาบิดา การปรนนิบัตินั้นเริ่มต้นด้วยวัตถุ แต่ไม่ได้จบด้วยวัตถุ การให้วัตถุ หรือการอำนวยความสะดวกสบาย เป็นสัญลักษณ์ของความรัก แต่ไม่ใช่เครื่องพิสูจน์ความรัก และไม่ควรเป็นสิ่งทดแทนความรักเสียเลย

วิธีการปฏิบัติต่อพ่อและแม่แต่ละครอบครัวจะไม่เหมือนกัน เพราะขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยหลายอย่าง เช่น ลูกมีกี่คน ยังเด็กหรือโตแล้ว อยู่ที่บ้านหรือออกเรือนแล้ว อยู่ใกล้หรือไกล เป็นต้น ถ้าคุณพ่อคุณแม่อยู่ในวัยชราแล้ว ลูกที่ดีก็ต้องช่วยกันดูแล หรือผู้ที่ไม่สะดวกจริงๆ (ไม่ใช่ข้ออ้าง) ก็ไปเยี่ยมบ่อยๆ หรืออย่างน้อยที่สุดโทรไปคุยหรือเขียนจดหมายเป็นประจำ เล่าให้ท่านฟังเรื่องราวในชีวิตของลูก เพราะความที่รู้ว่า ลูกคิดถึงและเป็นห่วง เป็นยาเย็นที่สามารถสงบจิต สงบใจของพ่อแม่ ได้อย่างสนิท มีฤทธิ์มากกว่ายา ที่หมอจัดให้ท่านเยอะ ฉะนั้น ลูกต้องให้ในสิ่งที่ตนมีอยู่ ท่านป่วยเราเสียค่ายา ค่าหมอ ให้ท่านก็ดีมาก แต่ถ้าเรายากจนช่วยด้านนั้นไม่ได้ เราต้องให้ในสิ่งที่เรามี เช่น เวลา การนั่งเป็นเพื่อนอ่านหนังสือให้ท่านฟังหรือการพยาบาลเท่าที่เราทำได้ เช่น การนวด การเช็ดตัว การป้อนข้าว อาจมีค่าต่อท่านมากกว่าเงิน

พระสูตรที่อ้างถึงข้างต้นนั้น ทำให้เข้าใจว่า ตัวกำหนดความสุข และความทุกข์ในชีวิตของเรา ที่ยิ่งใหญ่ คือความรู้สึกนึกคิด หรือจิตใจเราเอง ท่านจึงสอนว่า ลูกที่สามารถช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ ตั้งอยู่ในคุณธรรม มีจิตใจแจ่มใสเบิกบานได้ก็ได้บุญมากทีเดียว เพราะเป็นการให้และช่วยให้ท่านได้สิ่งล้ำค่า การให้สิ่งของมันเสียได้เสื่อมได้ บางครั้งกลายเป็นดาบสองคมก็มี การรับใช้ก็ช่วยท่านได้เฉพาะชาตินี้ แต่คุณงามความดีไม่มีโทษอย่างนั้นเลย ไม่ลอยตัวตามความเชื่อถือของใคร ไม่มีขึ้นมีลง ไม่มีใครแย่งชิงได้ และยังเป็นเสบียงในการเดินทาง ไปสู่ชาติหน้าได้ด้วย ท่านจึงเรียกคุณธรรมต่างๆ ว่าเป็นอริยทรัพย์ คือเป็นทรัพย์อันประเสริฐ คือความเป็นอิสระจากความทุกข์อย่างสิ้นเชิง เราควรจะให้ความสุขสบาย แก่ผู้มีบุญคุณต่อเรา ให้มากที่สุดเท่าที่เราทำได้ แต่ในขณะเดียวกันไม่ควรลืมความจริงว่า สิ่งที่สูงกว่านั้นยังมีอยู่ ต้องเข้าใจว่าการช่วยลดความทรมาน ในการตุรัดตุเหร่ในวัฏสงสารของพ่อแม่ ยังสู้ลดเหตุที่พ่อแม่ต้องรับการทรมานนั้นต่อไปไม่ได้


มติของพระพุทธศาสนาในเรื่องการตอบแทนบุญคุณจึงขึ้นอยู่กับหลักความเชื่อของเราว่า

๑. การเวียนว่ายตายเกิดเป็นทุกข์และการไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดเป็นสุข

๒. การเวียนว่ายตายเกิดมีกิเลสเป็นเชื้อ

๓. มนุษย์ปล่อยวางกิเลสได้และควรปล่อยวาง

๔. การปล่อยวางกิเลสและบำเพ็ญความดีคือการปฏิบัติไปสู่ความสุขที่แท้จริง

ปัญหาอยู่ที่ว่า ทำอย่างไรเราจึงจะได้ปลูกฝังหรือชักนำให้คุณพ่อคุณแม่ของเราเจริญด้วยศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา อย่างที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำให้ ก่อนอื่นของให้เตรียมตัวรับความผิดหวัง เราอาจจะทำไม่ได้เหมือนกันหรืออาจจะได้ผลน้อย ไม้อ่อนของเรายังดัดยากพอสมควร ทำไมไม้แก่ของท่านต้องดัดง่าย อย่ารำคาญท่านเลย อย่าหงุดหงิด อย่าท้อแท้ ใจจะไม่เป็นบุญ การที่คนเราเปลี่ยนยากเป็นเรื่องธรรมดา ฉะนั้นขอให้ทำโดยไม่ต้องคาดหวังมาก ทำเพราะเป็นหน้าที่ของลูกที่ดี อย่ายอมให้เป็นทุกข์กับการทำความดีเลย

สิ่งที่สำคัญคือ เราต้องเป็นตัวอย่างที่ดี โบราณบอกว่าสิ่งที่ทำดังกว่าคำที่พูด การชักนำที่ดีที่สุดอาจจะไม่ใช่คำพูดก็ได้ จงให้คุณพ่อคุณแม่เห็นประโยชน์ที่เราได้จากการศึกษาและปฏิบัติธรรม ให้ท่านเห็นความใจดี ความใจเย็น ความเมตตา ความสุขุมรอบคอบ ความไม่ท้อแท้ต่ออุปสรรคของเรา ท่านจึงจะเลื่อมใสและมีกำลังใจทำตาม พูดง่ายๆ ว่า อยากช่วยคุณพ่อคุณแม่ต้องช่วยตัวเองพร้อมๆ กัน

การช่วยในข้อที่สามคือจาคะ คงจะง่ายกว่าเพื่อนเพราะวัฒนธรรมไทยได้เน้นในเรื่องนี้มาตลอด คงไม่มีประเทศไหนในโลกที่คนยินดีในทานเหมือนเมืองไทย อย่างไรก็ตาม ลูกกตัญญูต้องคอยชวนท่านทำบุญอยู่ตามโอกาส และในอัตราที่เหมาะสมและพอดี ควรชวนท่านให้ในทางที่เป็นประโยชน์ต่อพระศาสนาและสังคมทั่วไป อย่างแท้จริง มีสติปัญญาในการให้ รู้ความควรและไม่ควร เช่นให้ทราบว่าพระวินัยห้ามพระขออะไรจากโยม ผู้มิใช่ญาติ นอกจากว่าโยมเคยปวารณาไว้ ฉะนั้น พระเรี่ยไรกำลังทำสิ่งที่ผิดวินัย ไม่ต้องกลัวว่าถ้าไม่ให้จะเป็นบาป ตรงกันข้ามให้แล้วเป็นบาปมากกว่า เพราะเป็นการส่งเสริมความทุศีลของพระและความเสื่อมเสียของสถาบันสงฆ์

นอกจากนี้ การเป็นตัวอย่างในการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ไม่ฟุ่มเฟือยฟุ้งเฟ้อ ไม่สุรุ่ยสุร่าย ไม่หลงใหลกับวัตถุ เป็นการเตือนสติให้พ่อแม่ไม่ให้ติดในวัตถุด้วย ซึ่งเป็นอีกความหมายหนึ่งของคำว่า จาคะ ในกรณีนี้เราทำหน้าที่เป็นกระจกให้ท่านได้ดูตัวเอง คุณพ่อบางคนเห็นรถยนต์รุ่นใหม่เอี่ยมก็กระโดดโลดเต้นเหมือนเด็กหนุ่ม คุณแม่บางคนพอเห็นเสื้อผ้าแบบใหม่เอี่ยมก็อุทานออกมาเหมือนสาวรุ่น ทั้งสองมักจับไข้อยากได้โดยฉับพลัน ในสมัยปัจจุบันอากัปกิริยาที่โบราณถือว่า เป็นการเสียผู้ใหญ่กลายเป็นเรื่องธรรมดา การรู้จักความพอดีของเราจึงอาจเตือนท่านได้บ้าง

ในข้ออื่นคงแล้วแต่นิสัยของพ่อแม่ ถ้าท่านเคยเข้าวัดและสนใจเรื่องธรรมะ เราคงชวนท่านคุยในเรื่องมีสาระได้ง่ายหน่อย แต่ถ้าท่านไม่เคยและสุขภาพยังดี (คือยังไม่กลัวตาย) ท่านอาจจะไม่ชอบ เพราะผู้ที่ยังหวงแหนกิเลสว่าเป็นของมีค่า เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีรสชาติ จะรู้สึกว่าธรรมะเป็นสิ่งที่คุกคาม และเขาจะพยายามหลบหลีกหรือปัดเป่า ถ้าเป็นอย่างนั้นต้องยอมรับด้วยความเคารพในสิทธิของท่าน อย่าพึงตื้อท่านมาก ไม่ต้องเคี่ยวเข็ญ ธรรมะไม่ใช่สิ่งที่ใครจะยัดเยียดให้ใครได้ ถึงแม้ว่าผู้อยากให้มีความหวังดีก็ตาม ต้องปล่อยวางไว้ก่อน ถ้าท่านพร้อมเมื่อไหร่เราก็ยังยินดีเหมือนเดิม

ส่วนพ่อแม่ที่สนใจชวนท่านไปวัดก็ดี ให้ท่านได้ทำบุญ ฟังเทศน์ นั่งสมาธิภาวนาในที่สงบบ้าง ท่านยังงมงายในเรื่องวัตถุมงคล ไสยศาสตร์ การดูหมอ หาคนทรง ไหว้พระราหู ฯลฯ พูดได้ก็พูด แต่หาการหาเวลาอันสมควร และอย่าให้ท่านรู้สึกว่าเรารู้ท่านไม่รู้ เราฉลาดท่านโง่ ชวนให้ท่านออกกำลังกายเป็นประจำ การรำมวยจีนเหมาะดีเพราะเป็นการเจริญภาวนาอยู่ในตัว หาหนังสือธรรมะดีๆ ให้ท่านอ่านหรือเปิดเทปให้ท่านฟัง ชวนท่านคุยในเรื่องความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายบ้าง โดยไม่ถือว่าเป็นเรื่องอัปมงคล ศรัทธาและปัญญาเกิดจากการกล้าเผชิญหน้ากับความจริงของชีวิต ไม่ใช่ว่าไม่ยอมคิดถึงเรื่องพรรคนี้ จะพ้นมันไปได้


ขอ ให้เข้าใจด้วยว่าการเป็นลูกที่ดีไม่ได้หมายความว่าต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างที่ คุณพ่อคุณแม่สั่งหรือขอร้อง ไม่ใช่ว่าการฝืนใจท่าน ต้องบาปเสมอ ทำไม ? ก็เพราะพ่อแม่ที่สั่งและขอร้องในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือไม่เหมาะสมก็มี ท่านชวนเราทำในเรื่องผิดกฏหมาย หรือในอบายมุขต่างๆ เช่น กินเหล้าหรือเล่นการพนันเป็นต้น เราไม่ทำตามก็ไม่ผิด นอกจากพ่อแม่เราแล้ว เรายังเป็นลูกชองพระพุทธเจ้าอยู่ บุญคุณของพระพุทธองค์ ยิ่งมากกว่าพ่อแม่อีก ฉะนั้น ในเมื่อการตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่ ขัดแย้งหลักความถูกต้อง ผู้มีปัญญา ต้องเอาความถูกต้องก่อน การเป็นกัลยาณมิตรกับตัวเอง และคุณพ่อคุณแม่ ไม่ต้องเอาใจท่านในทุกเรื่อง เราต้องมีหลักการที่ชัดเจน ดีงาม และไม่เข้าข้างตัวเอง

มีเวลาว่างตอนเช้าหรือตอนเย็นก็ทำวัตรสวดมนต์กับท่าน ชวนท่านนั่งสมาธิด้วยกัน ความสงบให้ความสุข ความเข้มแข็ง และความผ่องใสที่น่าอัศจรรย์แก่ผู้ที่เข้าถึง และผู้ใดทำจิตสงบได้แล้วมักมีอายุยืน ด้วยเนื่องจากว่า พลัง สมาธิข่มความว้าวุ่นขุ่นมัว ความวิตกกังวล ซึ่งเป็นตัวทำลายภูมิต้านทานโรค ถ้าท่านฝึกสมาธิจนชำนาญ ท่านจะมีที่พึ่งภายในอันเลิศในยามเจ็บไข้ได้ป่วย ส่วนการช่วยท่านขัดเกลากิเลส วิธีการง่ายๆ อย่างหนึ่งคือการไม่ยอมพูดคุยในเรื่องที่เป็นอกุศล ไม่ยินดีในการนินทาใครลับหลัง ถ้าเราเงียบไปท่านจะไม่สนุกและคงจะรู้สึกตัวบ้าง

ลูกที่ยังอยู่ที่บ้านต้องเป็นกลางในการปะทะกัน ระหว่างพ่อและแม่ที่อาจเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ในยามตึงเครียดทั้งสองฝ่ายมักจะทาบทามเพื่อให้เราเข้าข้างเป็นพันธมิตร ลูกที่ดีต้องไม่ยอมอย่างนั้น คงอยู่เป็นกรรมการดีกว่า พยายามพูดให้ท่านเย็นลง ระวังอย่าทำอะไร หรือพูดอะไรที่ทำให้เหตุการณ์กำเริบ ชวนให้ท่านยอมซึ่งกันและกัน โดยไม่ต้องมีแพ้มีชนะกัน อดทนในการฟังเรื่องทุกข์ใจ ของท่านทั้งสอง โดยไม่เบื่อหน่าย อย่างนี้เรียกว่าการตอบแทนบุญคุณเหมือนกัน เป็นการช่วยให้ท่านมีสติ ไม่ละเมิดในหลักสัมมาวาจา

ถ้าเราปฏิบัติเป็นกัลยาณมิตรต่อคุณพ่อคุณแม่นานๆ เข้า ความเชื่อถือของท่านในตัวเรา จะเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ และโอกาสที่เรา จะได้ชักนำท่านในทางที่ดี จะมีมากขึ้น แต่ต้องค่อยเป็นค่อยไป อย่าใจร้อน ของให้สังเกตว่า ตัวเราเองก็ได้กำไรอยู่เรื่อง เพราะในการปฏิบัติ ต่อผู้ใหญ่ เราต้องใช้ความอดทนมาก ผู้ที่ชราแล้วชอบหงุดหงิด จุกจิกหรือหลงลืม เห็นอย่างนั้นแล้ว เราต้องรักษาความทรงตัวของจิตใจไว้ ทั้งๆ ที่อยากรำคาญ การช่วยท่านกับช่วยตัวเองจึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

ที่จริงโลกนี้เป็นโลกแห่งบุญคุณ อาหารที่เราได้ทานวันนี้ เราปลูกเองไหม ? มันมาจากไหนบ้าง ? เสื้อผ้าที่ใส่วันนี้เราตัดเองไหม ? ผ้ามาจากไหน ? เสื้อที่ทำจากฝ้ายชิ้นหนึ่งต้องมีทั้งผู้ปลูกฝ้าย ผู้เก็บเกี่ยวฝ้าย ผู้ทอฝ้าย ผู้ตัดเสื้อหรือผู้ออกแบบ เครื่องทอและตัด ผู้ผลิต ผู้ขาย ฯลฯ วันนี้ถ้าได้ใช้โทรศัพท์ ดูโทรทัศน์ หรือนั่งรถยนต์ เราได้อาศัยความฉลาดและความเพียรของเพื่อนมนุษย์สักกี่คนในกี่ประเทศ ? การสำนึกในสิ่งที่เราได้ว่ามาจากไหนบ้าง จะทำให้จิตใจสงบลงไปได้ และทำให้เรารู้สึกถึงสายสัมพันธ์ระหว่างชาวโลกที่ตาเนื้อมองไม่เห็น

ไม่ใช่ว่าเราเป็นหนี้แต่มนุษย์อย่างเดียว สัตว์ก็มีบุญคุณต่อเราเหมือนกัน เช่น ไส้เดือนไม่กินดินมนุษย์ก็ทำการเกษตรไม่ได้ ทำการเกษตรไม่ได้ก็ตายทั้งนั้นแหละ ไส้เดือนก็มีบุญคุณต่อเรามาก ไม่ต้องพูดถึงวัว ความย และสัตว์เลี้ยงอย่างอื่น เราเคยคิดขอบใจมันบ้างไหม

จริงๆ แล้วมนุษย์หายจากโลกเมื่อไร น่ากลัวสัตว์ทุกจำพวกต้องออกมาโห่ร้องกันจนเสียงแหบเมื่อนั้น เพราะ มนุษย์เราเนรคุณ ใช้สอยของธรรมชาติตลอด แต่กลับทำลายธรรมชาติจนโลกจวนจะพินาศ เพียงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ด้วยหลงว่าเราเป็นเจ้าโลก ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรต่อสัตว์และพืชร่วมโลก ของใครของมัน แม้ชาวพุทธเราซึ่งน่าจะฉลาดกว่านี้ก็รับเอาความคิดบ้าๆ บอๆ ของชาวตะวันตกโดยไม่ค่อยรู้สึกตัว เลยยินดีกับการทำลายอนาคตของโลกอย่างหน้าตาเฉย ต่อจากนี้ไปเราและลูกหลานของเราจะต้องรับผลกรรม แล้วเราจะไปโทษใคร ? เดี๋ยวนี้อาจจะไม่สายเกินแก้ แต่เราต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ให้รับรู้ในความลึกซึ้งของบุญคุณ ช่วยกันปราบความเห็นแก่ตัวของมนุษย์ จุดเริ่มต้นคือครอบครัวของเราเอง

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ในโลกนี้ผู้ที่ไม่เคยเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่เป็นน้องของเราในชาติก่อน หาได้ยากมาก ฉะนั้น ผู้ที่ซาบซึ้งในบุญคุณของผู้มีอุปการคุณต่อตน ควรจำบทนี้ไว้ด้วย แล้วให้เราปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์ทุกคนในลักษณะเป็นเพื่อนที่ดี และให้เราเป็นเพื่อนที่ดีของโลกที่เราอยู่ด้วย

สุดท้ายนี้ จึงขอให้เราทุกๆ คนใช้ชีวิตอย่างกัลยาณมิตร เป็นเพื่อนที่ดีแก่ตัวเอง ทำพูดและคิดแต่เรื่องที่เป็นประโยชน์แก่ตนและคนอื่น เป็นเพื่อนที่ดีแก่ผู้มีอุปการคุณต่อเราทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณพ่อคุณแม่ ให้ในสิ่งที่ควรให้ รับใช้ในสิ่งที่ควรรับใช้ ที่สำคัญที่สุดคือให้ท่านและให้เราเองเจริญด้วยศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญา ตลอดกาลนานเทอญ.


ที่มา http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=9516


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2011, 16:09 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.พ. 2011, 15:38
โพสต์: 80


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2011, 19:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุๆๆ


เราเองก็พยายามปรนนิบัติพ่อแม่และน้องอย่างดีค่ะ ทำด้วยความรู้สึกที่ดีอย่างจริงใจ เอาพวกเขาเป็นตัวทดสอบจิตใจ เรานักปฏิบัติต้องไม่ขี้บ่น ไม่โวยวายเวลาเจอสิ่งที่ไม่ได้ดังใจ ตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ให้เรียบร้อยใช่มะ :b15: :b13:

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ก.พ. 2011, 20:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 07:51
โพสต์: 132

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 8 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร