วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 09:49  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 35 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2011, 18:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ตามคติธรรมดา ขันธ์อันเป็นส่วนสมมุติก็ไปตามสมมุติ วิสุทธิจิตอันเป็นส่วนวิมุตติก็ไปตามบริสุทธิ์ของตน ไม่ระคนคละเคล้ากัน ท่านให้ข้อเปรียบเทียบว่า ยถา ทีโป จ นิพฺพุโต” เหมือนประทีปดวงไฟอันหมดเชื้อแล้วดับไปฉะนั้น การอธิบายสังขารภายในคือความคิดปรุงของใจ จนเตลิดเปิดเปิงไปถึง “ยถา ทีโป จ นิพฺพุโต” หวังว่าท่านผู้ฟังคงให้อภัยแก่พระป่า ซึ่งไม่ค่อยจะเข้าใจในสถานที่ กาลเวลาและสังคมที่ควรจะเข้าใจ


เท่าที่แสดงธรรมโดยยกท่านผู้มรณกรรมเป็นต้นเหตุด้วยคาถาว่า “มรณธมฺโมมฺหิ มรณํ อนตีโต” ให้บรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลายทราบ หวังว่าจะพอเข้าใจในเรื่องสังขารธรรม เพราะที่ตายไปแล้วนั้นก็คือสังขารธรรม เราก็ได้เห็นอยู่ประจักษ์ตา ส่วนเรายังไม่เคยเห็นเรื่องของตัว เพราะยังไม่เคยตายสำหรับชาตินี้ ดังนั้นขอได้โปรดพิจารณาเรื่องของคนอื่นมาเทียบกับเรื่องของตัว เพราะเรื่องของท่านกับเรื่องของเรา เป็นเรื่องเหมือนกัน ที่แตกต่างกันก็เพียงกาลสถานที่เท่านั้น ส่วนความตายนั้นจะต้องมีเหมือนกันแน่นอน โปรดนำมาพิจารณา อย่าได้ประมาทนอนใจ ศึกษาให้รู้เรื่องธาตุขันธ์ของตนให้เพียงพอ ด้วยหลักธรรมของพระพุทธเจ้าอันเป็นหลักวิชาที่ถูกต้อง ไม่มีสิ่งใดจะคัดค้านได้แล้ว เรียกว่าสวากขาตธรรม เป็นธรรมที่ตรัสไว้ชอบและเป็นนิยยานิกธรรม นำผู้ประพฤติปฏิบัติตาม ให้พ้นจากทุกข์ไปได้โดยลำดับ จนถึงที่สุดวิมุตติพระนิพพานประจักษ์ใจ จึงควรนำไปปฏิบัติบำเพ็ญ เพื่อเป็นเครื่องพยุงใจซึ่งกำลังหาหลักยึดอยู่ตลอดเวลา


แต่เพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจว่า อะไรถูกอะไรผิด จิตจึงคว้าถูกแต่ยาพิษคืออารมณ์ที่เป็นข้าศึกแก่ตน ให้เกิดความรุ่มร้อน เราสังเกตดูก็พอทราบได้ในบรรดาอารมณ์ที่สามัญชนชอบ โดยมากต้องเป็นอารมณ์ที่เปรียบเหมือนยาพิษเคลือบน้ำตาลทั้งนั้น จึงแสดงผลเป็นทุกข์ ทั้งขณะที่สัมผัสและในกาลต่อมา บางอย่างก็ทำให้เพลิดเพลินในขณะนั้นแต่แล้วก็ให้ผลเป็นทุกข์ในภายหลัง เพราะน้ำตาลที่เคลือบยาพิษไว้มีหนาหรือบางต่างกัน คือ ให้ผลเร็วและช้าต่างกัน สุดท้ายก็คือยาพิษและให้โทษอยู่นั่นเอง


เพื่อความแน่ใจไม่ผิดหวัง จึงควรนำธรรมไปปฏิบัติต่อจิตใจ ลองดูผลจะต่างกันอย่างไรบ้างกับสิ่งที่เคยคิดนึกและดำรงมาแล้ว โดยทางภาวนาในท่าต่างๆ คือ นั่ง ยืน เดินหรือนอนก็ได้ ทำความสำรวมใจด้วยดี นึกกำหนดอานาปานสติ คือลมหายใจเข้าหายใจออก และทำความรู้สึกอยู่กับลมเข้าลมออก หรือจะบริกรรมบทว่าพุทโธก็ได้ ว่าพุทโธๆๆ อยู่ในใจด้วยความมีสติกำกับรักษาให้ติดต่อกัน ใจจะค่อยๆ เปลี่ยนความรู้สึกเข้าเป็นความสงบเย็นสบายภายในใจอย่างบอกไม่ถูก ถ้าจิตปรากฏผลดังที่ว่านี้ แม้ออกจากที่ภาวนาแล้วไปทำการงานในที่ต่างๆ อยู่ก็ตาม แต่จิตต้องคิดประหวัดถึงความสุขที่เคยได้รับในเวลาภาวนาอยู่เสมอวันหนึ่งหลายๆ ครั้ง เพราะเป็นความสุขที่แปลกกว่าความสุขอื่นใดที่เคยผ่านมา ทั้งใจก็จะจดจ่อต่องานภาวนาไม่ลดละ การทำงานก็ตั้งหน้าทำอย่างดีและเป็นระเบียบเรียบร้อย ใจไม่ค่อยหงุดหงิดผลุนผลันแบบคนใจร้อนที่มีเรื่องวุ่นวาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2011, 18:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ร้อยแปดอยู่ในใจ แต่กลายเป็นคนใจเย็นไม่โกรธง่าย แม้มีใครมาทำไม่ถูกใจก็มีการใคร่ครวญอย่างมีเหตุมีผล ไม่นำความโกรธเข้ามาตัดสินให้ตัวเองและคนอื่นต้องเดือดร้อนไปด้วย


การทำภาวนาในคราวต่อไปก็ทำตามวิธีที่เคยทำมาแล้ว คือให้จิตมีความรู้สึกอยู่กับคำบริกรรมหรือลมหายใจ โดยไม่คาดผลว่าจะเกิดขึ้นอย่างไรบ้าง มีสติกำกับอยู่กับงานของจิตเท่านั้น เมื่อเหตุควรแก่ผลเพียงใด ผลก็จะแสดงขึ้นมาเป็นความสงบสุข หรือยิ่งขึ้นไปกว่าคราวที่แล้วๆ มาแต่นักภาวนาไม่ควรเป็นคนจับจด โดยคอยเอาแต่ผลอย่างเดียวแต่ลืมต้นเหตุคือการบำเพ็ญ ถ้าไม่ได้อย่างใจก็หยุดเสีย การทำอย่างนั้นไม่ค่อยเกิดผลเท่าที่ควร ทางที่ถูกควรมีความอดทน ทำจริงๆ จังๆ แล้วทำทุกวันได้ยิ่งเป็นการดี ส่วนเวลาทำควรเริ่มต้นน้อยไปหามาก นอกจากจิตรวมสงบลงเป็นความรู้อันเดียวแล้วเท่านั้น นั้นไม่ขึ้นอยู่กับเวลา จะรวมอยู่สักกี่ชั่วโมงก็ไม่มีปัญหา มันเป็นเหมือนครู่เดียวเท่านั้นในความรู้สึกเวลาจิตถอนขึ้นมาแล้ว ถ้าเพียรพยายามทำจนเห็นผลดังที่ว่านี้ จะเห็นของแปลกประหลาดและอัศจรรย์ขึ้นกับใจอย่างแน่นอน จิตนี่แลคือของอัศจรรย์ในโลกและในตัวเรา ควรค้นหาให้พบ ถ้าพบแล้วจะลืมและเห็นโทษในบรรดาสิ่งที่เคยหลงตะครุบเงามานาน และจะออกอุทานเป็นคำแปลกๆ ขึ้นมาทันทีที่ได้พบเห็นในขณะนั้น


การเห็นจิตนั้น เริ่มเห็นแต่ขณะใจก้าวลงสู่ความสงบ มีอารมณ์เป็นอันเดียว และเห็นละเอียดเข้าไปเป็นขั้นๆ คือ ขั้นสมาธิ ขั้นปัญญา เป็นขั้นที่เห็นจิตไปโดยลำดับ จนถึงขั้นวิมุตติหลุดพ้น ก็ยิ่งรู้แจ้งชัดว่าจิตหลุดพ้นแล้ว ไม่มีทางสงสัยในระหว่างจิตกับขันธ์ วิธีที่จะให้เห็นจิตได้เป็นลำดับนับแต่หยาบจนถึงละเอียดสุด คือวิมุตติพระนิพพานนั้น คือการภาวนาอบรมจิต นี่เป็นวิธีที่ถูกต้องและแน่นอน ท่านที่ปลีกตัวออกแสวงหาที่วิเวกสงัด เพื่อกำจัดสิ่งที่ปิดบังจิต ท่านต้องทำตามแบบนี้ทั้งนั้น แบบนี้เรียกว่าภาวนาดูใจของตัวจนเห็นชัด กำจัดความสงสัยอันเป็นเรื่องของกิเลสทั้งมวลเสียได้ กลายเป็นโลกวิทู รู้แจ้งโลกขึ้นมาภายในใจดวงที่เคยมืดมิดมาเป็นเวลานาน


เพราะศูนย์กลางของโลกของธรรมคือจิตดวงเดียวนี้แล นอกนั้นเขาไม่มีความหมายว่าตนเป็นโลกหรือเป็นอะไร มีจิตดวงนี้เท่านั้นไปให้ชื่อให้นามแล้วก็มาหลงตัวเอง และหลงสิ่งเหล่านั้นเท่านั้น ความรู้แจ้งเรื่องของตัวและรู้ตามหลักความจริงในสิ่งทั้งหลายนี้ ย่อมเกิดจากหลักภาวนา เพียงคิดเดาเอาเฉยๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้ ถ้าความเดากลายเป็นความจริงขึ้นมาได้ โลกและธรรมก็ไม่จำเป็นต้องมีกฎเกณฑ์และนำมาปฏิบัติกัน ทำอะไรไม่ต้องมีแบบฉบับ ไม่ต้องมีแบบแปลนแผนผัง ความด้นเดาจะพากลายมาเป็นความจริง ความถูกและสบายไปเลย แต่ความจริงก็ต้องเป็นความจริงอยู่วันยังค่ำ ผู้ต้องการความถูกความจริง จำต้องมีแบบฉบับมาเป็นเครื่องดำเนิน ดังนั้น การอยากรู้ความจริงจากจิต การทำภาวนาจึงเป็นวิธีที่เยี่ยมยอดกว่าวิธีอื่นใดทั้งสิ้น ผู้หวังความปลอดภัยอยู่เย็นเป็นสุขและหวังความพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง โปรดสนใจดูตนคือใจ ด้วยการอบรมภาวนาให้เห็นเท่าที่จะเห็นได้ ความสวัสดีมงคลทั้งหลายจะไหลมาสู่ตัวเราเอง


เท่าที่อธิบายมาก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา ในธรรมที่ได้พยายามอธิบายให้บรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลายทราบนี้โดยมากก็เป็นธรรมป่า เนื่องจากผู้แสดงเป็นพระป่า การแสดงธรรมจึงเป็นแบบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ก.พ. 2011, 18:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


ป่าๆ ย่อมจะมีผิดพลาดไม่น้อย หวังได้รับอภัยจากบรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลายโดยทั่วกัน ในอวสานแห่งการแสดงธรรม ขอบุญญานุภาพแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมทั้งพระธรรมและพระสงฆ์ จงมาคุ้มครองรักษาท่านทั้งหลายให้มีแต่ความสุขกายสบายใจ ปรารถนาสิ่งใดจงสมหวังในสิ่งนั้น และกุศลทั้งมวลที่บรรดาคณะญาติทั้งหลายมีท่านเจ้าภาพเป็นต้น ได้บำเพ็ญในการนี้ ขออุทิศกัลปนาผลถึงคุณแม่ทิพย์ พงศ์พิพัฒน์ ที่ล่วงลับไปแล้ว แม้ท่านจะสถิตอยู่ในสถานที่ใดก็ขอได้โปรดทราบด้วยญาณวิถีทางใดทางหนึ่ง แล้วมารับอนุโมทนาทานของท่านทั้งหลายที่อุทิศให้นี้ แม้ท่านพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย มีท่านเจ้าภาพเป็นต้น ก็จงมีส่วนแห่งบุญนี้ด้วยโดยทั่วกัน โดยนัยที่แสดงมาก็สมควรแก่เวลา
เอวํก็มีด้วยประการฉะนี้

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.พ. 2011, 16:04 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.พ. 2011, 15:38
โพสต์: 80


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2011, 11:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: :b8: :b8: :b20:

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 35 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron