วันเวลาปัจจุบัน 23 เม.ย. 2024, 21:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2011, 21:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล
(ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน)
วัดป่าบ้านตาด อำเภอบ้านตาด จังหวัดอุดรธานี




สารบัญ
กัณฑ์ที่ ๑ พระธรรมเทศนา วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๗
กัณฑ์ที่ ๒ พระธรรมเทศนา วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๐๕
กัณฑ์ที่ ๓ พระธรรมเทศนา วันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๘
กัณฑ์ที่ ๔ พระธรรมเทศนา วันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๐๕




พระธรรมเทศนา วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๗
ณ วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี





การตั้งข้อสังเกตจิตในเวลาฟังเทศน์หรือเวลานั่งภาวนา เราไม่ต้องกดขี่บังคับจิตจนเกินไป
เป็นเพียงทำความรู้ไว้เฉพาะหน้าเท่านั้น

ท่านผู้กำลังเริ่มฝึกหัด โปรดจดจำวิธีไว้ แล้วนำไปปฏิบัติ
ส่วนจะปรากฏผลอย่างไรนั้น โปรดอย่าคาดคะเน
และถือเป็นอารมณ์ ในผลของสมาธิที่เคยปรากฏในคราวล่วงแล้ว


ขอให้ตั้งหลักปัจจุบัน คือระหว่างจิตกับอารมณ์มีลมหายใจเป็นต้น
ที่กำลังพิจารณาอยู่ให้มั่นคง จะเป็นเครื่องหนุนให้เกิดความสงบ
เยือกเย็นขึ้นมาในเวลานั้น เมื่อปรากฏผลชนิดใดขึ้นมา
จะเป็นความสงบนิ่ง และเย็นสบายใจก็ดี

จะเป็นนิมิตเรื่องต่าง ๆ ก็ดี ในขณะนั่งฟังเทศน์ หรือขณะนั่งภาวนาก็ตาม
เวลาจะทำสมาธิภาวนาในคราวต่อไป โปรดอย่าถืออารมณ์ที่ล่วงแล้วเหล่านี้
เข้ามาเป็นอารมณ์ของใจในขณะนั้น จิตจะไปทำความรู้สึกกับอารมณ์อดีต

โดยลืมหลักปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่รับรองผล แล้วจะไม่ปรากฏผลอะไรขึ้นมา
โปรดทำความเข้าใจว่า เราทำครั้งแรก ซึ่งยังไม่เคยมีความสงบมาก่อนเลย
ทำไมจึงปรากฏขึ้นมาได้ ทั้งนี้เพราะการตั้งหลักปัจจุบันจิตไว้โดยถูกต้อง :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2011, 21:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


สิ่งที่จะถือเอาเป็นแบบฉบับ จากอดีตที่เคยได้รับผลมาแล้วนั้น
คือหลักเหตุ ได้แก่วิธีตั้งจิตกับอารมณ์แห่งธรรม ตามแต่จริตชอบ
ตั้งจิตไว้กับอารมณ์แห่งธรรมบทใด และปฏิบัติต่อกันอย่างไร ในเวลานั้น

จึงปรากฏผลเป็นความสงบสุขขึ้นมา โปรดยึดเอาหลักการนี้
มาปฏิบัติในคราวต่อไป แต่อย่าไปยึดผลที่ปรากฏขึ้น และล่วงไปแล้ว
จะไม่มีผลอะไรในเวลานั้น นอกจากจะทำให้จิตเขวไปเท่านั้น


โดยมากที่จิตได้รับความสงบในวันนี้ แต่วันต่อไปไม่สงบ ทั้งนี้เพราะจิต
ไปยึดเอาสัญญาอดีตที่ผ่านไปแล้ว มาเป็นอารมณ์

ในเวลาทำสมาธินั้น ถ้าเรายึดเอาเพียงวิธีการมาปฏิบัติ ผลจะปรากฏขึ้น
เช่นที่เคยเป็นมาแล้วหนึ่ง จะแปลกประหลาดยิ่งกว่า
ที่เคยเป็นมาแล้วเป็นลำดับหนึ่ง


ส่วนมากผู้บำเพ็ญทางด้านจิตใจ ที่เคยได้รับความสงบเย็นใจมาแล้ว
แต่ขาดการรักษาระดับที่เคยเป็นมาแล้ว ทั้งความเพียรด้อยลง
เพราะได้รับความเย็นใจแล้ว ประมาทนอนใจ
จิตก็มีความเสื่อมลงได้ เมื่อจิตเสื่อมลงไปแล้ว พยายามหาทางปรับปรุงจิตให้ขึ้น
สู่ระดับเดิม

แต่ไม่สามารถจะยกขึ้นสู่ระดับเดิมได้ ทั้งนี้เพราะจิตไปยึดเอาสัญญาอดีต
ที่เคยเจริญและผ่านมาแล้ว มาเป็นอารมณ์

จึงเป็นการกีดขวางหลักปัจจุบันให้ตั้งลง เต็มที่ไม่ได้ขณะที่นั่งทำความเพียร
ฉะนั้น ผู้
4


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2011, 21:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


4
จะพยายามทำใจให้มีความเจริญก้าวหน้าเป็นลำดับ จึงควรระวังสัญญาอดีต
อย่าให้เข้ามารบกวนใจในเวลาเช่นนั้น

ให้มีแต่หลักปัจจุบันดังที่กล่าวมาแล้วล้วน ๆ แม้ผู้จิตเสื่อมลงจากสมาธิชั้นใดก็ตาม
ถ้านำวิธีนี้ไปใช้ จะสามารถรื้อฟื้นสมาธิที่เสื่อมไปแล้วคืนมาได้
โดยไม่ต้องสงสัย

อารมณ์เช่นที่ว่านี้ ต้องปล่อยวางทั้งสิ้นในขณะบำเพ็ญภาวนา โดยถือหลักปัจจุบัน
เป็นหลักใจ เราชอบธรรมบทใด น้อมมากำกับใจ

ทำความรู้ไว้กับธรรมบทนั้นให้มั่นคง ไม่ต้องไปคาดผลว่าจะเกิดขึ้นอย่างไรบ้าง
ความสุขที่เกิดขึ้น จากการทำสมาธิภาวนา

จะมีลักษณะเช่นไรบ้าง เหตุการณ์ต่าง ๆ จะเกิดขึ้น จากการภาวนา
จะเป็นเหตุการณ์อะไรบ้าง และเกี่ยวกับเรื่องความได้เสียอะไรบ้าง

เหล่านี้เราไม่ต้องไปสนใจ และคาดคะเน โปรดทำความมั่นใจในหลักปัจจุบันเป็นสำคัญ
ไม่ว่าจิตของนักบวช ไม่ว่าจิตของฆราวาส และไม่ว่าจิตของผู้หญิง ผู้ชาย

เพราะเป็นธรรมชาติ ที่มุ่งต่อความรู้สึกในสิ่งต่าง ๆ อยู่ด้วยกัน
เมื่อได้รับการอบรมถูกทาง ต้องหายพยศและหยั่งลงสู่ความสงบสุขได้เช่นเดียวกัน
ทั้งหญิง ชาย นักบวช ฆราวาส
ทั้งจะเป็นจิตที่มีหลักฐานมั่นคงไปโดยลำดับเช่นเดียวกัน :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2011, 21:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


นับแต่ครั้งพุทธกาลมาจนถึงสมัยปัจจุบัน เวลาพระอุปัชฌาย์จะบวชพระบวชเณร
ท่านต้องให้กรรมฐานห้า คือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เรียกว่า ตจปัญจกรรมฐาน แปลว่า กรรมฐานมีหนังเป็นที่ห้า

เพื่อเป็นหลักใจของนักบวชนั้น ๆ ในเวลาบำเพ็ญเพียร ทุกประโยค
จิตจะได้อาศัยอยู่กับอาการทั้งห้านี้ อาการใดอาการหนึ่ง ที่ถูกกับจริตนิสัยของตน
โดยพิจารณาเข้าข้างใน และพิจารณาออกข้างนอก

ให้ความรู้ได้อยู่กับอาการเหล่านี้เป็นประจำ ความรู้อาจจะซึมซาบไปสู่อาการอื่น ๆ
ทั่วร่างกาย และทราบได้ว่าสิ่งเหล่านี้มีลักษณะเช่นไรบ้าง

หลักความจริงที่มีประจำร่างกายนี้ แม้ท่านจะระบุไว้เพียงห้าอย่างเท่านั้นก็ตาม
สิ่งที่ไม่ระบุไว้ นอกนั้นจิตจะซาบซึ้งไปโดยตลอด
ไม่มีส่วนใดลี้ลับ

เมื่อจิตไปอาศัยและมีสติอยู่กับอาการใด ย่อมจะรู้และทำความเข้าใจตนเอง
กับอาการเหล่านั้นได้โดยถูกต้อง และซึมซาบไปตามอาการต่างๆ :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2011, 15:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ย่อมจะรู้และทำความเข้าใจตนเองกับอาการเหล่านั้นได้โดยถูกต้องและซึมซาบไปตามอาการต่างๆ



บางครั้งก็ปรากฏ เห็นอาการของกายเช่นเดียวกับเห็นด้วยตาเนื้อ
และจิตก็มีความสนใจ ใคร่จะรู้ความจริงของร่างกายมากขึ้น นี้

เรียกว่าจิตอยู่ในปัจจุบันกาย และปัจจุบันจิต ที่เนื่องมาจากการเห็นกาย
และมีความสนใจจดจ่อกับอาการที่เห็นนั้น ความรู้สึกซึมซาบไปทุกแห่งทุกหน
เบื้องบน เบื้องล่าง ในส่วนร่างกาย

จนเกิดความสลดสังเวชต่อร่างกายของตน ว่า มีสิ่งบาง ๆ สิ่งเดียวเท่านั้น
ไม่หนาเท่าใบลานเลย ปกปิดหุ้มห่อไว้จนทำความลุ่มหลงแก่ตนเอง
นอกจากนั้นยังเต็มไปด้วยสิ่งไม่พึงปรารถนา

แต่เพราะสติปัญญามองข้ามไปเสีย จึงเห็นสภาพเหล่านี้กลายเป็นตน เป็นตัว
เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรา เป็นเขา เป็นหญิง เป็นชายขึ้นมา


แล้วกลายเป็นจุดที่ยึดหมายของ อุปาทานในขันธ์ขึ้นมาอย่างเต็มที่


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2011, 15:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ตามธรรมดาของจิต ถ้าได้ปักปันมั่นหมายลงในที่ใด ย่อมฝังลึกจนตัวเองก็ไม่ยอมถอน
และถอนไม่ขึ้น ขอยกรูปเปรียบเทียบ เช่น มีผู้ไปปักปันเขตแดน
ลงในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง โดยถือว่าเป็นของตนขึ้นมา แม้ที่นั้นจะยังไม่มีสมบัติ
สิ่งเพาะปลูกชนิดต่าง ๆ มีเพียงที่ดินว่าง ๆ อยู่เท่านั้นก็ตาม

เกิดมีผู้ใดผู้หนึ่งเข้ามาล่วงล้ำเขตแดนนั้นเข้า อย่างน้อยก็ต่อว่าต่อขานกัน
มากกว่านั้นก็เป็นถ้อยเป็นความ หรือฆ่าฟันรันแทงกัน จนเกิดเรื่องเกิดราวขึ้นโรงขึ้นศาล
เกิดความเสียหายป่นปี้ ไม่มีชิ้นดีเลย


เพราะที่ว่าง ๆ มีราคานิดเดียว ยังยอมเอาตัวซึ่งเป็นของมีคุณค่ามาก
ไปพนันขันตายแทนได้ ลักษณะของอุปาทานในขันธ์ก็มีนัยเช่นเดียวกัน
เขตแดนประเภทนี้ ต้องอาศัยการไตร่ตรองพิจารณา โดยทางปัญญาซ้ำ ๆ ซาก ๆ
และถือเป็นงานประจำของผู้จะรื้อจะถอน เชื้อวัฏฏะออกจากใจ

เหมือนเขานวดดินเหนียวทำภาชนะต่าง ๆ ต้องถือเป็นงานใหญ่ และจำเป็นจริง ๆ
ไม่เช่นนั้นสิ่งที่สำเร็จรูปออกมา จะไม่มีคุณภาพ ความสวยงาม และความแน่นหนามั่นคงพอ

เราจะไปที่ใด อยู่ที่ใด ในอิริยาบถความเคลื่อนไหว ให้เป็นเรื่องของสติปัญญาทำงานในขันธ์
ของจริงกับของจริง ต้องเจอกันวันหนึ่งแน่นอนคือ ขันธ์ก็ทรงความจริงไว้ตามธรรมชาติ
ของตน สติปัญญา ความพากเพียรก็เพียร เพื่อรู้เห็นของจริง

ที่มีอยู่ภายในขันธ์ในจิต ธรรมของจริงอันเป็นส่วนผลเป็นขั้น ๆ ก็มีอยู่ในขันธ์และในจิต


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2011, 15:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ของจริงทั้งสาม คือ ขัน[color=#FF0000]ธ์ ความเพียร ธรรม[/color]
อันเป็นผลต้องเจอกัน และรวมลงในธรรมแห่งเดียวได้ในวันหนึ่งข้างหน้า
ขออย่างเดียวคือ

อย่าเห็นความเพียรเป็นข้าศึกแก่ตนเอง จะหาทางเล็ดลอดไปไม่ได้
ถ้าเห็นความเพียรเป็นคู่มิตร ผู้ร่วมคิดช่วยปราบศัตรูแล้ว อย่างไรต้องมีหวังผ่านพ้นจากอุปสรรคนานาชนิดไปได้โดยแน่นอน

ขันธ์เป็นหลักธงชัย อันสำหรับผู้ต้องการผ่านพ้นทุกข์โดยสิ้นเชิง
เพราะฉะนั้น กรรมฐานห้า ที่พระอุปัชฌาย์มอบให้ จึงเป็นหลักใหญ่อันสำคัญ
ในส่วนแห่งกาย

ถ้าจะพูดถึงอริยสัจ ก็มีอยู่ที่กายนี้คือ ุกข์ เกิดขึ้นที่กาย
สมุทัยก็หมายถึงความถือกาย มรรค แม้จะมีอยู่ในที่แห่งเดียวกันก็หาทางเดินไม่ได้
เพราะร่างกายท่อนนี้ เกลื่อนไปด้วยเรื่องสมุทัยเที่ยวปักปันเขตเอาไว้


ดังนั้น อุบายทั้งห้า คือ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ อันเป็นส่วนใหญ่
ที่ท่านมอบให้แก่นักบวช จึงเป็นเหมือนให้อาวุธเข้าถากถาง
เพื่อถอดถอนอุปาทาน ที่ฝังเกลื่อนอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย

ให้หมดสิ้นไปเป็นลำดับ เริ่มแต่การพิจารณาชั้นต้น จนถึงขั้นความชำนาญ
และสามารถรู้เท่าทันส่วนร่างกาย ทั้งภายนอกภายใน ทั้งเบื้องบนเบื้องล่างโดยทั่วถึง
ถ้าจะแยกกายนี้ออกเป็นประเภทของทุกข์ ทุกอาการของกาย
จะวิ่งลงสู่สายทุกข์ตามกันหมด ไม่มีชิ้นใดฝืนตัวอยู่ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2011, 15:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อความประจักษ์ใจ และแน่นอนกับทุกข์ในกาย ลองเอาปลายเข็ม
จรดลงด้านใดด้านหนึ่งของกายสักนิดหนึ่ง จะทราบทันทีว่า
ทุกข์มีอยู่ทุกขุมขนทั่วร่างกาย ของบุคคลและสัตว์ผู้หนึ่ง ๆ ดังนั้น

ผู้ใช้สติปัญญาตรวจตรองอยู่กับขันธ์ ย่อมมีทางทราบเรื่องของตัว และทุกข์ที่อยู่ในขันธ์นี้
ทั้งขันธ์โดยลำดับ เพราะทุกข์ทั้งมวล ไม่นอกไปจากขันธ์นี้เลย
แม้คำว่าอริยสัจซึ่งถือว่าเป็นธรรมลึกซึ้ง


จึงไม่เลยความรู้สึกของผู้รับสัมผัสไปได้ ต้องอยู่ในวงความรู้สึกของเราด้วยกัน
จะสูงก็ไม่เลยกายกับใจนี้ไปได้ สมุทัยก็ไม่ลึกเลยความรู้อันนี้

เพราะความรู้สึกเป็นฐานที่เกิดของสมุทัย สมุทัยไม่มีที่อื่นเป็นแดนเกิด นอกจากใจดวงนี้เท่านั้น การพิจารณาทางปัญญา ไปตามส่วนต่าง ๆ ของขันธ์

จึงเป็นอุบายจะรื้อถอนอุปาทาน คือตัวสมุทัยนั้นขึ้นมา เพื่อให้ธรรมชาติเหล่านั้น
ได้อยู่เป็นปกติ ไม่ถูกกดบังคับจับจองจากใจ เพื่อใจได้อยู่เป็นสุข
ไม่ต้องกังวลกับสิ่งใด

เป็นเราเป็นของเรา คือต่างอันต่างจริง ต่างอันต่างอยู่ ที่เรียกว่า ยถาภูตํ ญาณทสฺสนํ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 มี.ค. 2011, 15:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


รู้เห็นตามเป็นจริงด้วยปัญญาจริง ๆ ไม่เพียงจำได้และพูดออกมาด้วยสัญญา
ยังสามารถถอดถอนหนาม จากอุปาทานของขันธ์ที่ทิ่มแทงใจได้อีก

สมุทัยที่ทำงานเกี่ยวกับกาย ก็ถอนตัวออกไป ส่วนสมุทัยที่เกี่ยวกับใจ
โดยเฉพาะ ก็เป็นวิสัยของสติ ปัญญาจะตามสอดรู้ และทำลายเช่นเดียวกันเพราะทุกข์
สมุทัย นิโรธ มรรค ทั้งหยาบและละเอียด เกิดขึ้นจากใจอันเดียวกัน

ฉะนั้น ทุกข์ สมุทัยจึงไม่มีเกาะใด จะเป็นที่ออกตัวว่าได้ผ่านพ้นสายตา ของสติปัญญาไปได้
และไม่สูงต่ำไปที่ไหนนอกจากใจดวงนี้

ที่ไม่อาจมองเห็นความจริง อันตั้งปรากฏชัดอยู่ยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูก
เนื่องจากการมองข้ามกายข้ามใจดวงนี้ ไปเสียเท่านั้น จึงไม่ทราบว่าอริยสัจอันแท้จริงอยู่ที่ไหนและเป็นอย่างไร

เราเคยทราบมาจนชินหูว่า พระพุทธเจ้าและสาวกตรัสรู้มรรคผลนิพพาน
ท่านตรัสรู้อะไร นอกจากจะรู้แจ้งทุกข์ สมุทัย ที่ได้ยินแต่เสียง
และรู้อยู่ด้วยใจทุกเวลา ที่เขาแสดงตัวอยู่ในห้องมืดอย่างเปิดเผย
ไม่เกรงขามต่อผู้ใด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2011, 12:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


โดยการเปิดม่านออกดูด้วยมรรค คือสติ กับ ปัญญา นิโรธก็แสดงตัวออกมา
ในขณะม่านเครื่องกั้นห้องของสมุทัย ได้ถูกเปิดขึ้น เป็นความดับสนิทแห่งทุกข์ขึ้นมาเท่านั้น
ธรรมของจริง ซึ่งควรจะรู้ภายในใจจะเป็นอื่นมา

แต่ที่ไหนก็ต้องเป็นของจริงอยู่กับใจ และรู้ขึ้นที่ใจ พ้นทุกข์ที่ใจ เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า
และสาวกเท่านั้นแล ถ้าทำถูกตามแบบท่าน ฉะนั้น คำว่า มัชฌิมา
ในครั้งนั้นกับครั้งนี้ จึงเป็นอริยสัจอันเดียวกัน และตั้งอยู่ท่ามกลางแห่งขันธ์ของท่านกับของเราเช่นเดียวกัน

ไม่เคยย้ายตำแหน่งหน้าที่ไปทำงานที่ไหน คงเป็นธรรมของจริงอยู่ประจำขันธ์
และประจำจิตตลอดมา จึงควรจะกล่าวได้ว่า อริยสัจให้ความเสมอภาคทั่วหน้ากัน
นอกจากเรา ยังไม่ได้นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ตน เท่าที่ควรแก่เพศและฐานะเท่านั้น
อริยสัจจึงไม่มีช่องทาง จะอำนวยประโยชน์ให้สมกับว่าเป็นธรรมอันประเสริฐ

อนึ่ง ความไม่สงบก็คือ เรา ผู้พยายามทำเพื่อความสงบ โดยวิธีดัดแปลงต่าง ๆ
ก็เป็นเรื่องของเราเอง แต่เหตุใดจึงจะเป็นไปเพื่อความสงบไม่ได้
อย่างไรใจจะหนีจากความพยายามไม่ได้แน่นอน

ต้องหยั่งลงสู่ความสงบได้ ก็ความสงบของใจมีหลายขั้น สงบลงไปชั่วขณะ
แล้วถอนขึ้นมา นี่ก็เรียกว่า ความสงบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2011, 12:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ความสงบที่รวมจุดลงแล้ว ถอยออกมาเล็กน้อย แล้วออกรู้สิ่งต่าง ๆ
เป็นเรื่องภายนอกบ้าง ภายในของตัวออกแสดงบ้าง แต่ตัวเองไม่รู้
เพราะขั้นเริ่มแรกสติไม่ทัน นี้ก็เรียกความสงบประเภทหนึ่ง

แต่ความสงบอย่างสนิทท่านเรียกว่า อัปปนาสมาธิ แม้จะถอนออกจากสมาธิมาทรงตัวเป็นจิตธรรมดา ก็มีความสงบประจำ ไม่ฟุ้งเฟ้อไปกับอารมณ์ต่าง ๆ

ตั้งอยู่ด้วยความสงบสุข มีความเยือกเย็น สบายเป็นประจำ จะคิดอ่านการงานอะไรได้
ตามความต้องการ แต่ความสงบของสมาธิที่เป็นภาคพื้นอยู่แล้ว ย่อมทรงตัวอยู่เป็นปกติ

ขณะที่รวมสงบเข้าไป ก็ปล่อยวางกิริยาความคิดปรุงต่าง ๆ เสีย อยู่เป็นเอกจิตหรือเอกัคตา
เท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ และรวมได้เป็นเวลานาน ๆ ตามต้องการ

ปัญญาก็มีเป็นขั้น ๆ เหมือนกับสมาธิที่เป็นขณิกะ อุปจาระ และอัปปนาสมาธิ
ปัญญามีขั้นหยาบ ขั้นกลาง และขั้นละเอียด ซึ่งควรจะใช้ไปตามขั้นของสมาธิขั้นนั้น ๆ ปัญญาที่เริ่มฝึกหัดเบื้องต้น ก็เป็นขั้นหยาบ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2011, 12:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


อาศัยการฝึกหัดเสมอ ก็ค่อยมีกำลังขึ้นเป็นลำดับ อาศัยการฝึกหัดมากเท่าไร
ก็ย่อมมีความชำนาญคล่องแคล่วและรวดเร็วขึ้น เช่นเดียวกับสมาธิ
ที่ฝึกอบรมพอตัวแล้วต้องการ จะให้จิตสงบลงสู่สมาธิเมื่อไรก็ได้ตามต้องการ
ปัญญาก็จำต้องอาศัยการฝึกเช่นเดียวกัน มิใช่เพียงจิตเป็นสมาธิแล้ว
จะกลายเป็นปัญญาขึ้นมาเอง และจิตเป็นสมาธิขั้นไหน จะกลายเป็นปัญญาขั้นนั้น ๆ ขึ้นมาตาม ๆ กัน

ต้องอาศัยการฝึกหัดเป็นสำคัญ ถ้าปัญญาจะปรากฏตัวแฝงขึ้นมาตามสมาธิ โดยไม่ต้อง
อาศัยการฝึกหัดแล้ว ผู้บำเพ็ญใจเป็นสมาธิแล้ว จะไม่ติดอยู่ในสมาธิเลย
เพราะปัญญาก็มีแฝงขึ้นมา และมีหน้าที่ทำงานแก้ไขปลดเปลื้องกิเลส
ช่วยสมาธิไปเช่นเดียวกัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2011, 12:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


แต่การติดสมาธิ รู้สึกจะมีดาษดื่น เพราะความเข้าใจว่า สมาธิก็เป็นตัวของตัวได้พออยู่แล้ว
ทางที่ถูกและราบรื่นในการปฏิบัติ ควรจะเป็นทำนองว่า สมาธิก็ให้ถือว่าเป็นสมาธิเสีย
ปัญญาก็ควรถือว่าเป็นปัญญาเสีย

ในเวลาที่ควรจะเป็น คือ ขณะที่จะทำเพื่อความสงบก็ให้เป็นความสงบจริง ๆ
เมื่อจิตถอนออกจากความสงบแล้ว ควรฝึกหัดคิดอ่านไตร่ตรองธาตุขันธ์
อายตนะ และสภาวธรรมต่าง ๆ

แยกส่วนแบ่งส่วนของสิ่งเหล่านั้นออก ดูให้ชัดเจนตามเป็นจริงของเขาด้วยปัญญา
จนมีความชำนาญเช่นเดียวกับสมาธิ ปัญญาก็จะรู้หน้าที่งานของตนไปเอง
ไม่ใช่จะต้องถูกบังคับขู่เข็ญอยู่ตลอดเวลา

และจะก้าวขึ้นสู่ระดับอันละเอียดเป็นขั้น ๆ ไป จนกลายเป็นมหาสติมหาปัญญาไปพร้อม ๆ กัน
และกลายเป็นสติปัญญาอัตโนมัติ โดยไม่ต้องสั่งเสียบังคับว่าให้พิจารณาสิ่งนั้น
ให้ตรวจตราสิ่งนี้ ให้เห็นสิ่งนี้ ให้รู้สิ่งนี้ แต่สติกับปัญญาจะทำงานกลมเกลียวกันไป
ในหน้าที่ของตนเสมอกัน

สิ่งใดมาสัมผัสตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สติกับปัญญาจะรู้ และแก้ไขสิ่งที่มาสัมผัสนั้นได้ทันท่วงที แต่สติปัญญาขั้นนี้ ทำงานเกี่ยวกับนามธรรมล้วน ๆ

ซึ่งเป็นส่วนละเอียด ไม่เกี่ยวกับเรื่องของกายเลย เพราะกายนี้
เพียงสติปัญญาขั้นกลาง ก็สามารถพิจารณารู้และปล่อยวางได้ ส่วนนามธรรม
ซึ่งเป็นส่วนละเอียด และเกิดดับพร้อมอยู่จำเพาะใจ
เป็นหน้าที่ของสติปัญญา อันละเอียดจะทำการพิจารณา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2011, 12:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะสติปัญญาขั้นนี้ มีความกระเพื่อมและหมุนตัวเองอยู่เสมอ นอกจากเวลาเข้าอยู่ในสมาธิและเวลานอนหลับเท่านั้น ทั้งไม่มีการบังคับ

นอกจากจะทำการยับยั้งไว้ เพื่อพักสงบตามโอกาสอันควรเท่านั้น ไม่เช่นนั้นจะไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อนตัวเองเลย

เพราะความเพลิดเพลินในการคิดอ่านไตร่ตรอง เพื่อการถอดถอนตัวเอง
ที่ท่านกล่าวไว้ในธรรมขั้นสูงว่า อุทธัจจะความฟุ้งของใจนั้น

ได้แก่ความเพลิน ในการพิจารณาธรรมทั้งหลาย ที่สัมผัสใจจนเกินไป
ไม่ตั้งอยู่ในความพอดีนั่นเอง เมื่อจิตผ่านไปแล้ว ย้อนกลับมารู้ว่าการที่จิตเพลิน
ในธรรมจนเกินไป

แม้จะเป็นไปเพื่อถอดถอน ก็จัดเป็นทางผิดได้ทางหนึ่งเหมือนกัน เพราะจิตไม่ได้พักผ่อน
ทางด้านความสงบ ซึ่งเป็นทางถูกและเป็นการเสริมกำลังปัญญา
เพียงการทำงานตลอดเวลา ไม่มีการพักผ่อนหลับนอน
ก็ยังรู้สึกเหนื่อยและทอนกำลัง แม้จะเป็นไปเพื่อผลรายได้จากงานที่ทำ


ดังนั้น จิตแม้จะอยู่ในปัญญาขั้นไหน จำเป็นต้องพักสงบ ถอนจากความสงบออกมา
แล้วก็ทำงานต่อไป ตามแต่อะไรจะมาสัมผัส สติกับปัญญาต้องวิ่งออกรับช่วง
และพิจารณาทันที ที่ทำงานของจิตก็คือธรรมทั้งสี่

ได้แก่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่มีความเกี่ยวโยงกัน ทั้งเป็นงานติดกับตัว
ซึ่งควรจะพิจารณาได้ทุกขณะที่เคลื่อนไหว

การเกิดและการดับของเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณอันเป็นส่วนภายใน
เมื่อนำมาเทียบกับด้านวัต คือกายแล้ว ก็คือการเกิด การตายของแต่ละสิ่งนั่นเอง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มี.ค. 2011, 12:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ก.พ. 2009, 22:21
โพสต์: 1975


 ข้อมูลส่วนตัว


ที่ต่างกันอยู่บ้างก็เพียง ไม่เห็นซากของสิ่งเหล่านี้ยังเหลืออยู่ เหมือนซากแห่งร่างกายเท่านั้น เวทนา ความสุข ความทุกข์ ความเฉย ๆ

ที่ปรากฏอยู่กับใจ สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ปรากฏออกมาจากใจ จะหมดความหมายกับสิ่งภายนอก เพราะสิ่งภายนอกเหล่านั้น เป็นด้านวัตถุและเป็นส่วนหยาบ

จะเป็นเพียงปรากฏขึ้นภายในจิต แล้วก็รับรู้กันและดับไป เกิดขึ้นและดับไปเท่านั้น
พยายามสอบสวนทบทวนดู เรื่องความเกิดความดับของอาการทั้งสี่นี้

โดยทางปัญญาที่ทำหน้าที่ของตนอยู่ทุกเวลา จนสามารถรู้ชัดว่า อาการทั้งสี่นี้
กับเรื่องรูปขันธ์ มีลักษณะเช่นเดียวกัน แม้จะเป็นด้านวัตถุกับด้านนามธรรม
ซึ่งไม่เหมือนกันก็ตาม

แต่ก็รวมลงในไตรลักษณ์เช่นเดียวกัน ฉะนั้น การสังเกตทบทวนดู เรื่องความเกิดดับของอาการทั้งสี่นี้ โดยทางปัญญา จึงเป็นเหมือนไปเยี่ยมคนตายในสงคราม
หรือเมรุเผาศพนั่นเอง

ไม่มีอะไรผิดแปลกกันทั้งขันธ์หยาบ (รูปขันธ์) ทั้งขันธ์ละเอียด (นามขันธ์)
สงเคราะห์ลงในความพังพินาศเสมอกัน ไม่มีใครมีอำนาจราชศักดิ์
ไปยึดเอาขันธ์เหล่านี้มาเป็นขันธ์เที่ยง

คือนึกเอาตามใจหวังได้แม้แต่รายเดียว ผู้พิจารณาหยั่งลงถึงไตรลักษณะด้วย
ไตรลักษณญาณจริง ๆ แล้วก็มีอยู่ทางเดียว

คือต้องรีบออกไปให้พ้นจากป่าช้า แห่งความเกิด-ตายทุกประเภทเท่านั้น
ไม่ต้องมาเป็นกังวลซากศพของเขา ของเรา
ซึ่งเป็นสภาพที่น่าทุเรศเสมอกันทั้งสัตว์ทั้งคนอีกต่อไป


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 18 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร