วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 15:12  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ธ.ค. 2020, 09:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ธ.ค. 2008, 09:34
โพสต์: 1322


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

แก้วอัศจรรย์สามดวง
พระธรรมวิสุทธิมงคล
(หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)
เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๒๖


:b49: :b45: :b50:

คำว่า มยํ ภนฺเต ติสรเณน สห ปญฺจ สีลานิ ยาจาม หรือยาจามิ
นี้หมายถึง คนเดียวและหลายคน
ว่าข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอถือซึ่งพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ
พร้อมกับรักษาคุณสมบัติห้าประการ คือศีลห้า
คำว่า ติสรเณน สห หมายถึงสรณะสามพระองค์
ได้แก่พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
ท่านเหล่านี้ เราเกิดแล้วตาย ตายแล้วก็เกิดก็ไม่ได้พบท่านง่ายๆ
ให้พากันเข้าใจและระลึกให้ถึงใจทุกท่าน
พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ จะอุบัติขึ้นมาในโลกนี้แต่ละพระองค์แทบเป็นแทบตาย
ทั้งสามแดนโลกธาตุนี้ไม่มีใครสามารถอุบัติขึ้นมาหรือเกิดขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้าได้
นั่นเป็นของหายากหรือง่าย ให้ท่านทั้งหลายพิจารณาเอา

คนและสัตว์ทั้งหลายเกิดตลอดเวลา ไม่ว่าในน้ำบนบก
เกิดได้ทุกแห่งทุกหน ตำบลหมู่บ้าน ทุกเวล่ำเวลา นาที วินาที ซ้ำกันแล้วซ้ำกันเล่า
วินาทีหนึ่งเกิดไม่รู้กี่ล้านกี่แสนคนกี่แสนสัตว์ เกิดได้ง่ายๆ
พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์กว่าจะได้ตรัสรู้ขึ้นมา
ต้องตะเกียกตะกายแทบล้มแทบตาย สลบไสล เพราะความทุกทรมานมาก
อุบัติขึ้นมาแต่ละพระองค์เท่านั้น ไม่มากไปกว่านั้นเลย
ผิดกับสัตว์ทั้งหลายซึ่งเกิดง่ายและเกิดทีละมากๆ จนเทียบกันไม่ได้
ทั้งนี้ก็เพื่อโปรดพรมสัตว์ทั้งหลายที่จมอยู่ในแหล่งแห่งกองทุกข์
ให้หลุดพ้นขึ้นมาตามความตะเกียกตะกายหมายยึดธรรม
เป็นที่เกาะและฝากเป็นฝากตาย ด้วยความหิวกระหายสุดหัวใจ
เมื่อได้ยินได้ฟังกระแสธรรมจากพระโอษฐ์ประทานโสรจสรง
จิตใจย่อมชื่นฉ่ำเพราะน้ำธรรมเข้าครองใจ
พร้อมทั้งความยิ้มแย้มแจ่มใสในการประพฤติปฏิบัติธรรม
ประหนึ่งชุบชีวิตเป็นคนใหม่ขึ้นมา ด้วยน้ำทิพย์จากกระแสธรรมประพรมโสรจสรง
ทั้งนี้เพราะสัตว์โลกที่มีอุปนิสัยควรแก่มรรคแก่ผล
ในช่วงระยะที่พระพุทธเจ้าจะมาตรัสรู้ยังมีอยู่มาก ราวกับปลารอน้ำฉะนั้น

จึงไม่มีอันใดที่หายากมากในสามโลกธาตุนี้
เหมือนพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาแต่ละพระองค์
ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ ถ้าพระพุทธเจ้าไม่อุบัติ ธรรมก็ไม่ปรากฏ พระสงฆ์ก็ไม่ปรากฏ
เราจะไปหาท่านทั้งสามพระองค์อันเลิศนี้ เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดก็ไม่พบ
ชีวิตของบุคคลและสัตว์รายหนึ่งๆ เปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติกี่ร้อยกี่พันภพชาติ
ก็ไม่อาจเจอพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ได้ง่ายๆ เลย
เกิดแล้วตายเล่า ก็เกิดแล้งตายแล้งแห้งผาก
จากพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ อยู่นั่นแล

แต่นี้ทำไมเราเกิดมาในแดนพระพุทธศาสนา
เราไม่มีวาสนาเกิดมาได้อย่างไร เราควรจะภาคภูมิในวาสนาของเรา
ชีวิตของเรานี้รอดพ้นขึ้นมาได้เห็นพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
นับว่าเป็นบุญลาภอันประเสริฐ
กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ การอุบัติขึ้นมาเป็นมนุษย์
พร้อมกับได้พบพระพุทธศาสนานี้เป็นลาภอันประเสริฐ
ที่เราทั้งเลยได้เปล่งวาจาเมื่อสักครู่นี้ เปล่งถึงท่านผู้วิเศษ ท่านผู้หาได้อยากนี้เอง
เว้นพระพุทธเจ้าเสียอย่างเดียว ไปที่ไหนเกลื่อนไปด้วยมนุษย์และสัตว์เต็มแผ่นดิน
จนจะหาที่อยู่อาศัยกันไม่ได้ เวลาก้าวเดินต้องได้ระวังไม่งั้นขาหัก
เพราะโดนมนุษย์และสัตว์ด้วยกันซึ่งมีมากต่อมากเกลื่อนอยู่ในโลกอันนี้ไม่อดไม่อยาก
แต่จะไปหาพระพุทธเจ้าแม้องค์เดียวไม่เจอ ฟังดูซิ หายากไหมหาพระพุทธเจ้าน่ะ
ยังจะสนุกบ่นกันว่า สิ่งนั้นหายาก สิ่งนี้หายาก
ไม่กระดากอายสิ่งมีค่ามหาศาลที่หายากมากกว่านั้นบ้างหรือ
คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ องค์รัตนะสามดวงอันประเสริฐ
นี่ที่แสนหายาก พบยาก เจอยากในโลก

จึงควรจะภาคภูมิใจในความเป็นมนุษย์ของเรา
นี่แหละท่านว่าผู้หาได้ยากสามพระองค์
คือพุทธ ธรรม สงฆ์องค์ประเสริฐเกี่ยวเนื่องกัน

พุทฺโธ ธมฺโม สงฺโฆ จาติ นานาโหนฺตมฺปิ วตฺถุโต
อญฺญมญฺญาวิโยคา ว เอกีภูตมฺปนตฺถโต


พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ทั้งสามนี้เป็นธรรมชาติที่เกี่ยวเนื่องกัน
พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระธรรม พระธรรมอันพระสงฆ์ทรงไว้
พระสงฆ์เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า แยกเป็นอาการสามเกี่ยวเนื่องกัน
อญฺญมญฺญาวิโยคา ว เอกีภูตมฺปนตฺถโต

พูดตามหลักธรรมชาติมีเพียงอันเดียว รวมเป็นอันเดียวกัน

เราทั้งหลายก็ได้เปล่งวาจาถึงท่านเมื่อสักครู่นี้
พึงทราบและภาคภูมิใจว่าชีวิตของเราไม่เป็นหมัน
ได้เกิดในท่ามกลางแห่งพุทธศาสนา
ท่านผู้ใดจะสนใจในชีวิตของตนเกี่ยวกับพุทธศาสนาก็ให้สนใจ
เวลานี้ยังมีลมหายใจอยู่ ตายแล้วจะเกิดประโยชน์อะไร ไม่เกิดประโยชน์
กุสลา ธมฺมา ตายเปล่าๆ สวดเปล่าๆ ถ้าเจ้าตัวไม่สนใจเสียแต่บัดนี้
กุสลา ธมฺมาๆ ไม่ทราบว่าได้เรื่องอะไร ถือขลังอะไรกับเวลาตาย
ซึ่งไร้ผลไร้ประโยชน์ไปหมดแล้ว
ที่ถูกตามหลักศาสนธรรม ก็ควรสนใจกับ กุสลา ธมฺมา
ธรรมที่ยังคนให้ฉลาดตั้งแต่ยังมีชีวิตลมหายใจอยู่
จะเกิดผลเกิดประโยชน์ประจักษ์ใจตัวเอง

กุสลา ธมฺมา แปลว่าธรรมยังคนให้ฉลาด
เมื่อยังเป็นคนยังมีชีวิตอยู่ไม่ฉลาด ตายแล้วจะเอาความฉลาดมาจากไหน
จงคิดดูให้ดีเสียแต่บัดนี้ อย่าให้สายเกินแก้จะแก้ไม่ได้ จะแก้ไม่ตก
จะขาดทุนสูญดอก จะหาทางออกไม่ได้ ควรหาความฉลาดเสียแต่บัดนี้
เราเป็นลูกชาวพุทธให้คำนึงถึงพุทธ พุทธไม่ใช่คนโง่คนเขลาเบาปัญญา
คนที่ฉลาดแหลมคมที่สุดในสามแดนโลกธาตุนี้คือพุทธะ
ได้แก่พระพุทธเจ้า ธรรมะอันประเสริฐ ก็ไม่มีใครสามารถค้นขึ้นมาได้
มีพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียวเท่านั้นสามารถขุดค้นขึ้นมาได้
นี่แหละของประเสริฐในโลก
มีแก้วอัศจรรย์สามดวงกลมกลืนเป็นธรรมแท่งเดียวกันอยู่คู่กับโลกชาวพุทธเรา

ฉะนั้นชีวิตของเราเกิดมาแล้วอย่าให้ตายทิ้งไปเปล่าๆ เหมือนต้นไม้ใบหญ้า
เพราะเราเป็นมนุษย์ทั้งคน มิใช่ต้นไม้ใบหญ้า จะทำตนแบบนั้นไม่ถูกไม่ควร
เวลาตายแล้วนิมนต์พระวัดนั้นวัดนี้ไป กุสลา ธมฺมาๆ ได้ประโยชน์อะไร
นั่นเป็นเพียงตามรอยบุญกุศลไปเท่านั้น
มิใช่การจับตัวบุญตัวกุศลด้วยการบำเพ็ญของตัวเอง นั่นเป็นสิ่งไม่แน่นอนนัก
สิ่งที่แน่ใจจริงก็คือ ต้องบำเพ็ญด้วยตัวเองให้เต็มสติกำลังตอนยังมีชีวิตลมหายใจอยู่
นี่คือวิธีจับตัวบุญตัวกุศลที่ถูกต้องไม่ข้องใจไม่สงสัย ตายแบบสุคโต

นี่เวลายังมีชีวิตอยู่ไม่สนใจกับอรรถกับธรรมกับบุญกุศลอะไรเลย
มั่วสุมอยู่กับอบายมุขตลอดวัย เวลาตายแล้วให้พระไปหาบุญหากุศลที่ไหนมาให้
ถ้าหากเป็นไปได้อย่างนั้นจริงๆ แล้วมันจะยากอะไร
หลวงตาบัวนี่ก็ไม่ต้องบวช จะอยู่ให้สะดวกสบาย
อยากกินเหล้าเมาสุรา เกี้ยวพาราสีสีกาอย่างสนุกสนาน
สะดวกสบายไปตามแบบคนที่มีผู้รับรอง กุสลา มาติกา อย่างอุ่นหนาฝาคั่งอยู่แล้ว
ตายแล้วจึงให้พระมา กุสลา ธมฺมาๆ ไปสวรรค์กันเลย
ไม่ต้องยุ่งยากลำบากใจขวนขวายบุญกุศลศีลทานใดๆ ในเวลามีชีวิตอยู่
แต่นี้มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นนี่
ต้องฝึกฝนอบรมเจ้าของให้เป็นคนดีทุกวิธี ทุกวิถีทางแทบล้มแทบตาย

การจะทำอะไรให้ดี สู้การทำคนให้ดีไม่ได้ ยากที่สุดก็คือการทำคนให้ดี
เพราะเหตุนั้นจึงต้องมีแบบมีฉบับสำหรับการสร้างการฝึกอบรมคนให้ดี
พระพุทธเจ้ามาสอนก็สอนคน เพื่อทำคนให้ดีนั่นเอง
มาตรัสรู้ก็เพื่อจะมาหล่อหลอมคนให้ดี
ไม่ได้มาหล่อหลอมวัตถุ ต้นไม้ ภูเขาให้ดีอะไรแหละ
มาหล่อหลอมมนุษย์ สอนมนุษย์ ให้มนุษย์เป็นคนดีมีความฉลาดรักษาปฏิบัติตน
ผลคือความสงบสุขจะพึงมีในแดนมนุษย์

ถ้ามนุษย์ไม่ดีแล้ว มนุษย์ก็เลวที่สุดในโลกนี้ เป็นโลกวินาศ
เพราะมนุษย์นี่ฉลาดสามารถทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีใครเกินมนุษย์
ถ้าฉลาดไปในทางชั่วก็โลกพินาศได้จริงๆ มนุษย์เรา
แต่ถ้าฉลาดในทางที่ดี เช่น ผู้มีความรักชอบในศีลในธรรม
ดังท่านทั้งหลายที่ได้อุตส่าห์พยายามบำเพ็ญเรื่อยมานี้
โลกไม่มีใครจะให้ความร่มเย็นแก่กันได้ยิ่งกว่ามนุษย์เรา เพราะมนุษย์เราฉลาด
มนุษย์สามารถทำความร่มเย็นเป็นสุขแก่กันได้ชนิดไม่คาดไม่ฝัน

เดี๋ยวจะว่าหลวงตาบัวดุๆ ท่านทั้งหลายแบกกิเลสมาไม่สนใจคิดบ้างสมกับมาแสวงธรรม
มาว่าหลวงตาบัวดุ หลวงตาบัวไม่ได้ดุให้ใครนี่ เราพูดตามอรรถตามธรรมตามเหตุตามผล
เพื่อผู้ฟังที่มุ่งอรรถมุ่งธรรมได้เข้าใจตามความจริง
กรุณาทำความเข้าใจว่าพลังของกิเลสมี พลังของธรรมไม่มีปราบกันได้ยังไง
กรุณานำไปพิจารณาซี พลังของกิเลสเวลาแสดงออกมามันเป็นความโมโหโทโสใช่ไหม
พลังของธรรมแสดงออกมาปราบความโมโหโทโสให้แหลกไปเลย
นั่นถ้ากำลังของธรรมไม่มีปราบกิเลสไม่อยู่ ปราบกิเลสไม่ได้

เพราะฉะนั้น พลังของกิเลสมี พลังของธรรมต้องมี
ไม่มีปราบกันไม่อยู่ ปราบกันไม่ได้แต่ไหนแต่ไรมา
ไม่ใช่หลวงตาบัวมาอุตริพูดโดยหามูลความจริงไม่ได้
ต้องมีความจริง คือกิเลสมีอยู่ที่หัวใจเราบีบคั้นเรา
ธรรมมีสติปัญญาเป็นต้นก็ผลิตขึ้นที่หัวใจเรา และปราบกิเลสให้หมอบราบไปจากใจเรา
ตามกำลังของกิเลสและกำลังของธรรมที่ควรแก่การปราบปรามกันได้
กรุณานำไปพิจารณาเพื่อถือเอาประโยชน์เท่าที่ควร

รู้สึกร่ำลือเหลือเกินในเมืองไทยเรา ใครก็ว่าอาจารย์มหาบัวดุๆ
ถ้าเป็นความจริงตามที่เขาว่า อาจารย์มหาบัวตัวดุเก่งๆ
ทำไมไม่ล่มจมฉิบหายไปเสียก่อนที่จะมาดุด่าว่ากล่าวประชาชนพระเณรทั่วแผ่นดินไทยเราเล่า
นี่ได้อบรมสั่งสอนเจ้าของมาแทบล้มแทบตายด้วยด้วยการฝึกฝนทรมาน
ควรหนักต้องหนัก ควรเบาต้องเบา ควรเป็นก็เป็น ควรตายก็ยอมตายไปตามเหตุการณ์
เวลาเข้าที่คับขันในการต่อสู้กับกิเลส
เอ๊า เป็นก็เป็น ตายก็ยอมตายไม่เสียดายชีวิตยิ่งกว่าธรรม
ฆ่ากิเลสต้องฆ่าอย่างนั้น ไม่ฆ่าอย่างนั้นไม่ได้ เดี๋ยวกิเลสเหยียบหัวแหลกหมด

กิเลสมีอำนาจมากขนาดไหน ธรรมะต้องมีอำนาจมากขนาดนั้น ไม่งั้นปราบกันไม่อยู่
เห็นไหมพระพุทธเจ้าท่านต่อสู้กับกิเลส
ท่านฝึกฝนทรมานท่านจนสลบสามหน ในตำรับตำราบอกไว้
เรียนไปทำไมเรียนไม่สังเกต เรียนไม่พิจารณา
เรียนไม่นำมาเป็นคติเครื่องพร่ำสอนตนจะเกิดประโยชน์อะไร
เพราะการเรียนการจดจำเปล่าๆ นั้น ถ้าไม่นำมาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์แก่ตนน่ะ

พระพุทธเจ้าก่อนที่จะมาตรัสรู้ในชาติปัจจุบันเรานี้
ท่านสลบสามหน ยากหรือไม่ยากการฆ่ากิเลส
การทำคนให้ดียากหรือไม่ยาก ไม่มีอะไรทำยากยิ่งกว่าการทำคนให้ดี
และไม่มีอะไรยาก ไม่มีการสอนใครยากยิ่งกว่าสอนคน
สอนคนคือสอนใคร ก็สอนเราละซิ เราต้องสอนเราเสียก่อน
พระพุทธเจ้าสอนพระองค์สลบสามหนเห็นไหม
แม้ที่ไม่ถึงขั้นสลบไสลก็ล้วนแต่เป็นทุกข์ทรมานเพราะการฝึกทรมานอยู่นั่นแล
อย่าเข้าใจว่าท่านไม่ทุกข์
พระสาวกแต่ละองค์ย่อมได้รับความทุกข์ทรมานเพราะการฝึกทรมานเช่นเดียวกัน
เป็นแต่ไม่ได้จดจารึกไว้หมดเท่านั้น บางองค์ฝ่าเท้าแตก บางองค์จักษุแตก
เห็นไหมในตำรับตำรา ยากหรือไม่ยากสอนมนุษย์ ฝึกฝนทรมานมนุษย์น่ะ
เราต้องคิดเพื่อเป็นแบบฉบับ แม้ได้น้อยก็ยังดีกว่าไม่ได้สนใจคิดเสียเลย

เวลาสอนเราจะให้ง่ายๆ เหมือนปอกกล้วยหอมได้ยังไง
ศาสนาไม่ใช่ศาสนากล้วยหอม
กิเลสไม่ใช่กล้วยหอมพอจะปอกเอาๆ
กินเอากลืนเอาอย่างนั้นน่ะ เอาไปพิจารณาซิ
การสั่งสอนที่ยากที่สุดก็คือสั่งสอนเราฝึกเรา ยากที่สุดฝึกคนคนนี้
เมื่อเวลาฝึกดีแล้วก็เยี่ยมที่สุด ไม่มีอะไรเยี่ยมยิ่งกว่าคนที่ฝึกตนดีแล้ว
พากันจดจำไปปฏิบัติต่อตัวเองให้เป็นคนดี

ข่าวร่ำลือเหลือเกิน ได้ยินน่ะหลวงตาบัว
เพราะกิริยาที่ว่าดุนั้นออกจากปากหลวงตาบัว แล้วก็ย้อนกลับมาเข้าหูหลวงตาบัว
ใครก็ว่าหลวงตาบัวดุๆ เราหาเหตุผลไม่ได้ว่าเราดุคนเพราะเหตุผลกลไกอะไร
ตัวเราเองก็ฝึกตัวเรามาอย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็ฝึกพระองค์มาอย่างนั้น
พระองค์ก็ดีด้วยการฝึกการทรมาน ควรหนักต้องหนัก ควรเบาต้องเบา
พระองค์ได้เป็นพระพุทธเจ้าเพราะการฝึกด้วยแง่หนักเบา
ตามเรื่องของสิ่งชั่วช้าต่ำทราม ซึ่งมีกำลังมากน้อย
แง่ของธรรมเครื่องฝึกเครื่องปราบปรามก็ต้องให้หนักเบาตามๆ กัน
จนกิเลสประเภทต่างๆ สู้กำลังของธรรมไม่ได้ ขาดหลุดลอยออกจากพระทัยไม่มีเหลือ
จึงได้ผุดขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้าได้ด้วยการฝึกการทรมาน

พระธุดงคกรรมฐานทั้งหลายที่หนักแน่นในธรรม และเป็นครูเป็นอาจารย์ของเรา
ล้วนแต่ผ่านชีวิตเดนตายมาทั้งนั้น แล้วดุอะไรพิจารณาซิ ท่านดุอะไร
ถ้าการดุเป็นความผิดความเสียหาย
ท่านทำไมไม่ล่มจมฉิบหายไปก่อนที่ประชาชนพระเณรจะได้กราบท่าน
ท่านควรจะฉิบหายเพราะท่านเป็นตัวดุเจ้าของก่อนมาดุพวกเรา
การสั่งสอนโลกสั่งสอนประชาชน
อุบายวิธีการยังไงที่ท่านเคยได้รับผลได้รับประโยชน์จากการทรมานการฝึกฝนท่านมา
ท่านก็นำอุบายนั้นมาสอนเราแล้วมันผิดไปตรงไหน
ตัวกิเลสนั่นแบกมาๆ ไม่ได้มองดูอรรถดูธรรมเลย
เอะอะก็ว่าแต่ท่านดุ อะไรก็ท่านดุ
ให้กิเลสเอาเป็นเครื่องมือเสียแหลกๆ ธรรมหาทางก้าวเดินไม่ได้เลย
แล้วจะไปหาผลประโยชน์อะไรจากผู้ใด จากครูอาจารย์ใด
จึงจะเหมาะกับกิเลสที่บงการอยู่บนหัวใจ

ไปไหนก็มีแต่กิเลสมันขวางหน้าๆ เสีย
ไปวัดนั้นว่าเป็นอย่างนั้น ไปวัดนี้ว่าเป็นอย่างนี้
ไปดูพระองค์นั้นเป็นอย่างงั้น พระองค์นี้เป็นอย่างงี้
ตัวเองเป็นยังไงไม่ดูไม่คิดบ้างเลย มันได้ประโยชน์อะไร
ไปหาดูแต่นอกๆ ไม่สนใจดูตัวเอง
เท้าสะดุดรากไม้หัวตออยู่ตลอดเวลาจนล้มลุกคลุกคลาน
ไม่ดูที่สะดุด ดูแต่ต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศโน่น อวกาศโน่น
แต่หัวตอที่จะให้โดนสะดุดหัวแม่เท้าอยู่ไม่สนใจดู
ความผิดมันอยู่กับเจ้าของ ไม่ได้อยู่ที่รากไม้หัวตอ
จึงควรดูเจ้าของมากกว่าดูสิ่งอื่นใด

เราเป็นมนุษย์ผู้ฉลาดและเป็นชาวพุทธ ต้องดูตัวของตัวเสมอเพื่อรู้จุดบกพร่อง
จะได้แก้ไขดัดแปลงให้ดี ไม่งั้นไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรนะ
ศาสนากระเทือนโลกมาได้ ๒๕๐๐ กว่าปีนี้สำหรับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเรา
ศาสนาพุทธกับเราชาวพุทธได้กระเทือนใจของเราบ้างไหมเป็นยังไง
มีแต่ สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม สวดกันไปเปล่าๆ ไม่ได้สนใจอรรถสนใจธรรม
ไม่ได้สนใจประพฤติปฏิบัติธรรมนั้นจะปรากฏได้ยังไง ก็มีแต่ลมปากน่ะซิ
ศาสนาก็มีแต่ตำราเขียนไว้ในตำราเต็มไปหมด
แต่ศาสนาที่แท้จริงซึ่งจะปรากฏขึ้นในใจไม่มี
มีแต่กิเลสเต็มหัวใจ บรรจุอยู่เต็มหัวใจ
มีแต่กิเลสไม่ได้มีธรรมบรรจุบ้างเลยเกิดประโยชน์อะไร เอาไปพิจารณาดู
ถ้าอยากทราบข้อเท็จจริงของศาสนาและสวากขาตธรรมประจักษ์ใจ

ธรรมพระพุทธเจ้ากระเทือนโลกมา ๒๕๐๐ กว่าปีนี้แล้ว
สอนใจมนุษย์แท้ๆ ไม่ได้สอนอะไรที่ไหน ให้ผิดจากหลักธรรมและวิธีการสั่งสอน
เอาไปพินิจพิจารณาดูซิให้เกิดผลเกิดประโยชน์
อะไรจะเลิศยิ่งกว่ามนุษย์เราในโลกนี้
ฝึก.....อยากดีต้องฝึก ควรหนักต้องหนัก ควรเบาต้องเบา
เราเป็นคนฉลาดคนหนึ่งจะให้กิเลสมันเหยียบหัวเราอยู่ทำไมนักหนา
กิเลสมันฉลาดก็รู้ว่ามันฉลาดอยู่แล้ว
ธรรมยังฉลาดเหนือกิเลสอีกนี่ เอามาเหยียบหัวมันให้แหลกลงไปซิ
กิเลสแตกจากหัวใจแล้วอยู่ไหนอยู่เถอะสบายทั้งนั้นมนุษย์เรา

ไม่ได้สนใจกับดินฟ้าอากาศ ไม่สนใจกับความมีความจน
ไม่สนใจกับการเกิดการตาย ตายแล้วจะไปเกิดที่ไหน
ไปตกนรกหมกไม้ ไปสวรรค์ชั้นพรหมที่ไหน
นิพพานที่ไหนไม่ต้องถาม รู้อยู่ในหัวใจนี้เสร็จหมดแล้ว
ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ นี่อันหนึ่ง สนฺทิฏฺฐิโก นี้อันหนึ่ง
พระพุทธเจ้าแสดงไว้อย่างสดๆ ร้อนๆ สำหรับผู้ปฏิบัติจะได้รู้ได้เห็นในหัวใจตนเอง
รู้นี่แล้วไม่ต้องถามใคร แม้พระพุทธเจ้าประทับอยู่ต่อหน้าก็ไม่ทูลถาม
เพราะธรรมที่รู้อยู่ภายในใจกับ สนฺทิฏฺฐิโก เวทิตพฺโพ วิญฺญูหิ ก็คือองค์ศาสดาอยู่แล้ว

เช่นเรารับประทานด้วยกัน จะรวมอยู่ด้วยกันห้าคนหกคน ร้อยคนพันคนก็ตามเถอะ
รับประทานรวมกันอยู่นั่น ใครอิ่มๆ เสร็จลงไปโดยลำดับ
มีใครมาถามกันไหมว่าความอิ่มเป็นยังไง ผมหรือฉันอิ่มแล้วยังไม่มี
มีกี่ร้อยกี่พันคนใครอิ่มก็รู้ตัวเองๆ และไม่สงสัยกันด้วย ไม่ถามกันด้วย
นี่ความอิ่มแห่งธรรมทั้งหลายเป็นลำดับลำดาก็เหมือนกันเช่นนั้น
ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ไปนานเท่าไร
นิพพานนานเท่าไรก็ตามเถอะ ความจริงเป็นอันเดียวกัน
เช่นเดียวกับเรารับประทาน ความอิ่มเป็นเหมือนกันไม่จำเป็นต้องถามกัน
ถ้าไม่อยากแสดงลวดลายบ้าให้คนอื่นเห็น
พอรับประทานแล้วคนทั้งหลายทั้งโลกทั้งสงสารเขาไม่ถามกันว่าฉันอิ่มแล้วยังๆ
เพราะกลัวคำตอบว่า แกกำลังเป็นบ้าหรือ เขาจะว่างั้นน่ะซี

ธรรมพระพุทธเจ้าไม่ใช่ธรรมบ้านี่นา
สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศกังวานอยู่ในหัวใจของผู้ปฏิบัติ
เอาให้เห็นซิ ธรรมพระพุทธเจ้าเป็นโมฆะเชียวหรือ
มันมีแต่ธรรมในตำรับตำราเวลานี้น่ะ ความจริงในหัวใจจะไม่ปรากฏ
มีแต่ลมปากหลอกกัน ยั่วกิเลสกัน อวดน้ำลายกันอยู่ทุกแห่งทุกหน
อันนั้นดีอันนี้ดีประกาศลั่นกันไปนอกโลกนอกทวีป
ตะครุบเงากันไปโน่น หัวใจเจ้าของดีไม่ดีไม่ดูนี่ซิ
ถ้าดูตรงใจนี้ ธรรมของจริงตามที่ท่านประกาศสอนไว้
ก็จะมีทางปรากฏให้ได้ชมพอให้อบอุ่นใจสมกับเป็นชาวพุทธและปฏิบัติ
จำได้ทั้งชื่อ รู้ทั้งกิเลสบาปธรรม ได้ทั้งตัวจริงขึ้นกับใจหายสงสัย

เมื่อจิตรู้ตัวเองแล้ว ควรแนะนำสั่งสอนหนักเบามากน้อยก็ว่ากันไป สอนกันไป
ไม่ควรสั่งสอนก็ไม่ยุ่ง ไม่หนัก ไม่หิวไม่โหย ไม่เป็นบ้าน้ำลาย อยู่สบายๆ
ธรรมเป็นของอิ่มของพอและมีประมาณในตัวเองไม่เหมือนกิเลส
ถ้ากิเลสแล้วไม่มีเมืองพอ เช่น ความโลภมันพอตัวของมันเมื่อไร
เหมือนกับไฟได้เชื้อ ไสเชื้อเข้าไปเท่าไรมันยิ่งลุกส่งเปลวขึ้นจรดเมฆโน่น
ถ้าธรรมแล้วพอ สมาธิก็พอ
เมื่อภาวนาสมาธิเต็มภูมิแล้วสมาธิก็พอ พอในหัวใจเจ้าของรู้เอง
ปัญญาก้าวออกไปพิจารณาออกไป แตกแขนงออกไป
กระจายออกไปตามสภาวธรรมที่ควรแก่การพิจารณา
ทั้งข้างในข้างนอกตลอดทั่วถึง จนรู้เท่าทันและละได้หมดไม่มีอะไรเหลือแล้ว
ปัญญาก็พอ วิมุตติหลุดพ้นนั่นคือเมืองพอ
ธรรมมีเมืองพอ มีความพอเป็นลำดับลำดา
ส่วนกิเลสไม่มีคำว่าพอ ทุกประเภทของกิเลสไม่มีคำว่าพอตัวและพอกับสิ่งทั้งหลาย
โลภจนตาย โกรธจนตาย รักจนตาย ชัง รังเกียจจนตายก็ไม่มีคำว่าพอ
กิเลสกับธรรมจึงต่างกันมาก

พระพุทธเจ้าไม่ได้มาหลอกลวงโลก ไม่ใช่ศาสดาหลอกลวงโลก
อย่างที่เทียบให้ทราบแล้วเมื่อกี้นี้
รับประทานอิ่มแล้วไม่ได้ถามกันนี่ กี่ร้อยกี่พันกี่หมื่นกี่แสนคน รับประทานด้วยกัน
เมื่ออิ่มแล้วไม่ได้ถามกัน เพราะความอิ่มมันพอดิบพอดีกับเจ้าของทุกคน
รู้กันทุกคนไม่จำเป็นต้องไปถามกัน
นี้ธรรมก็คือความพอดีและรู้ชัดยิ่งกว่านั้นไปอีกหลายร้อยเท่าพันทวีจะไปถามใคร
นี่ละศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นธรรมสดๆ ร้อนๆ
และให้ผลแก่ผู้ปฏิบัติตามอย่างสดๆ ร้อนๆ
ไม่มีคำว่าล้าสมัยดังคำหลอกลวงของกิเลส
ที่เคยหลอกชาวพุทธเราเรื่อยมาซึ่งมักได้ผลไม่ขาดทุน

คำว่ามัชฌิมาคืออะไร มัชฌิมามีสองประเภท
มัชฌิมาในการฆ่ากิเลสประเภทหนึ่ง
เอ๊า กิเลสประเภทนี้หนักและรุนแรง ผาดโผนมาก
เช่นเดียวกับข้าศึกที่มีกำลังพล กำลังศัสตราอาวุธมาก
ศัสตราวุธเขาก็เพียงพอในการรบการต่อสู้
มีแต่อาวุธชนิดเลวร้าย มีแต่อาวุธที่เป็นพิษเป็นภัยมากทั้งสิ้น
ส่วนกองทัพฝ่ายเราทำยังไงจะมีกำลังอย่างน้อยทัดเทียมกันและยิ่งกว่า
เมื่อข้าศึกมีกำลังมาก เราผู้จะปราบข้าศึกให้อยู่ในเงื้อมมือ
จะมีกำลังน้อยกว่าข้าศึกไม่ได้ ต้องให้มีกำลังมากกว่า
เอ๊า กิเลสมันมีกำลังมาก กองทัพธรรมต้องมีกำลังมากและผาดโผนรุนแรง
ฟัดกันลงไปให้แหลก ไม่ยังงั้นแพ้มันโดยไม่ต้องสงสัย

นี่แหละมัชฌิมาปฏิปทา แปลว่าการดำเนินด้วยความเหมาะสม
กิเลสโผนมา ธรรมะโผนไป กิเลสโหดร้าย ธรรมะโหดดี ต่อสู้กัน
กิเลสสกปรก ธรรมะสะอาด ชะล้างกันลงไป
กิเลสมีจำนวนมากขนาดไหน ธรรมะต้องมีน้ำหนักมาก อย่างน้อยพอๆ กัน
พอทรงตัวไว้ได้ และมีกำลังมากกว่านั้นเอาให้กิเลสแหลก
คือกำลังของธรรมต้องมาก นี่แลเรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา
การปฏิบัติดำเนินด้วยความเหมาะสมในธรรมทุกขั้น
ไม่อวดยิ่งไม่อวดเก่งกว่าครู
และไม่หย่อนกว่าครูชนิดไม่มองดูหลักธรรมวินัยคือองค์แทนศาสดา

คำว่ามัชฌิมาปฏิปทา เดินทางสายกลาง
ไม่ยิ่งนักไม่หย่อนนักนั้นมันหมายความว่ายังไง
ที่ว่าไม่ยิ่งนักไม่หย่อนนัก เดินทางสายกลางนั่นน่ะ
เรามันเรียนน้อยปฏิบัติน้อย
ไม่ทราบความหมายคำว่าเดินทางสายกลาง ไม่ยิ่งนักไม่หย่อนนักนั้น
ส่วนมากเห็นแต่กลางเสื่อกลางหมอนนั่นแหละ นอนกันครอกๆ
จะภาวนาเพียงห้านาทีนี้ โอ๊ย มันจะเคร่งเกินไป
เดี๋ยววันพรุ่งนี้จะทำงานนั้นงานนี้ นี่มันจะเคร่งเกินไป
ก็ทำไมจะไม่เคร่งล่ะ เพราะศีรษะพลาดเสื่อพลาดหมอนไปนั่น
ถ้าอยากให้เป็นมัชฌิมาก็รีบปรับตัวปรับศีรษะให้ลงตรงกลางเสื่อกับหมอนนั่นซิ
เสื่อหมอนนั่นไม่เคร่ง พอดี เสียงดังครอกๆ
นั่นพิจารณาดูซิ จะว่าหลวงตาบัวดุน่ะ เอาความจริงมาพูดให้ท่านทั้งหลายฟัง
เพราะส่วนมาก มักดำเนินกันด้วยมัชฌิมาแบบนี้
นี่มันแบบมัชฌิมาของกิเลสตัวขี้เกียจ ตัวนอนตื่นสาย ตัวไม่เอาไหนต่างหาก
มิใช่มัชฌิมาฆ่ากิเลสที่ปราชญ์มีพระพุทธเจ้าเป็นต้นพาดำเนินมา

มัชฌิมาของกิเลสมันก็มีของมัน มัชฌิมาของธรรมก็มี
ส่วนมากเราลงแต่มัชฌิมาของกิเลส คือ กลางเสื่อกลางหมอนหลับครอกๆ นั่นแล
ส่วนมัชฌิมาของธรรมไม่ได้เรื่อง
พอจะก้าวความเพียรบ้างสักนิด เอ๊ะ นี่เดี๋ยวมันเคร่งเกินไปนะๆ
แล้วอันไหนจะพอดี ก็มีแต่เสื่อกับหมอน
แน่ะ จะเดินจงกรมภาวนาหย็อกๆ ห้านาทีมองดูนาฬิกาแล้ว
มันจะเกินประมาณแล้วนี่ นี่นาฬิกาได้เท่านั้นแล้วนี่
มันเกินประมาณแล้วนะ มันจะเคร่งมากไปนะ เดี๋ยวผิดหลักมัชฌิมาปฏิปทาไปนะ
บทกิเลสเหยียบหัวกี่นาทีกี่ชั่วโมง กี่กัปกี่กัลป์ไม่เห็นนับนาทีโมงเดือนปีกันเลย
พอจะก้าวออกจากที่คุมขัง คือจากกิเลสเท่านั้น มันเลยเวลานะๆ
เห็นไหมกิเลสมันหลอกคนรู้ไหม รู้แล้วยัง
เหล่านี้ล้วนแต่กลมายาหลวกลวงของกิเลสทั้งสิ้น
เวลาเราปฏิบัติตามกิเลสดังที่ว่ามานี้ กิเลสมันเคยบอกไหมว่าจะเคร่งเกินไป
นอนจมหมอนนั่น ตื่นเสียบ้าง เดี๋ยวศีรษะเน่าจะว่ากิเลสไม่บอก
อย่างนี้มีไหม เปล่า ไม่มีเลย

ถ้าอยากจะรู้กลมายาของกิเลส เอ๊า ภาคปฏิบัติฟาดลงไป กิเลสจะออกตรงไหนรู้หมด
ขอให้ได้ฟาดกิเลสแตกกระจายลงจากหัวใจไม่มีอะไรเหลือแล้วเถิด
กิเลสจะอยู่ในหัวใจใดทำไมจะไม่รู้
มันเคยอยู่หัวใจเรามาแล้ว ปราบมันจนแหลกหมดไปแล้ว
มันไปแสดงท่าทางอวดลวดลายอยู่ที่ไหน เพ่นพ่านอยู่ที่ไหนรู้หมด
มันเพ่นพ่านอวดอำนาจบนหัวใจนี้ไม่ได้ ถูกทำลายแตกไปหมดแล้ว พังทลายลงไปแล้ว
มันไปแสดงลวดลายร่ายมนต์กลหลอกโลกอยู่ที่ไหนรู้หมด
จึงเรียกว่า โลกวิทู ซิ รู้แจ้งโลกรู้ไปหมดนั่นแหละ
นี่ก็เรียกว่ามัชฌิมาประเภทหนึ่ง
มัชฌิมาปฏิปทาการปฏิบัติดำเนินด้วยความเหมาะสม
กับการทำลายกิเลสทุกประเภทให้บรรลัยไปจากใจหนึ่ง
มัชฌิมาในหลักธรรมชาติของธรรมและใจที่บริสุทธิ์หนึ่ง
จะเรียกว่า มัชฌิมาฝ่ายเหตุ มัชฌิมาฝ่ายผลก็ได้
ไม่มีอะไรขัดแย้งเมื่อกิเลสตัวขัดแย้งสิ้นซากไปจากใจแล้ว

เอ๊า กิเลสหย่อนกำลังลงไป อ่อนกำลังลงไป มัชฌิมาก็ละเอียดเหมาะกันๆ
กิเลสละเอียด มัชฌิมาก็ละเอียด คือสติปัญญาละเอียดลงไปๆ
กิเลสละเอียดสุด สติปัญญาก็ละเอียดสุด เป็นมหาสติ-มหาปัญญา
ทำการพินิจพิจารณาอยู่ตลอดอิริยาบถเว้นแต่ขณะหลับเท่านั้น
ราวกับน้ำซับน้ำซึมที่ไหลรินอยู่ทั้งหน้าแล้งหน้าฝนไม่มีหยุด
พิจารณาทำลายจนกระทั่งกิเลสแหลกไปแล้ว
มัชฌิมาก็หยุดทำงานโดยไม่ต้องบังคับ
นี่แลมัชฌิมาแปลว่าความเหมาะสม กิเลสหนักมา มัชฌิมาหนักไป
กิเลสขนาดไหน มัชฌิมาขนาดนั้น ต่อสู้ขนาดนั้น
จนกิเลสสิ้นซากไปหมดแล้วมัชฌิมาก็หมดหน้าที่
และหยุดไปเองโดยอัตโนมัติ จะรบอะไรก็ชนะหมดแล้วนี่
นั่นแลคำว่ามัชฌิมา เหมาะสมกับการทำลายกิเลสทุกประเภทดังกล่าวมา

ถ้าอยากจะทราบก็ออกแนวรบซิ
เรียนแต่ภาควิชารบเฉยๆ ไม่ได้ออกแนวรบก็ไม่รู้จักวิธีรบ ก็ยังไม่สมบูรณ์
เอ้า คนนี้ก็เรียนวิชาแนวรบ คนนั้นก็เรียนวิชาแนวรบ
แต่ไม่ได้ออกสนามก็ไม่รู้แง่หนักเบาของการรบ เมื่อออกสนามแล้วรู้ทั้งนั้นแหละ
นักปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน เหมือนกับเข้าสู่แนวรบ
เรียนเฉยๆ เรียนไปตามตำรับตำรา เรียนกระทั่งพุงแตกก็แตกตายทิ้งเปล่าๆ
นั่นแหละ พุงก็พุงเรานั่นแหละแตก น้ำลายก็หมด เอามาอวดกันคุยกันสนุกกัน
มีแต่เรื่องกิเลสตัณหาทิฐิมานะสำคัญว่าตัวฉลาด
แต่กิเลสไม่ได้ถลอกแม้นิดหนึ่งเลย นั่นมันเกิดประโยชน์อะไร
ถ้าอยากให้กิเลสถลอกก็เข้าสู่สงคราม คือภาคปฏิบัติจิตตภาวนาฟัดกันลงไปซิ

กิเลสมีมากน้อยเท่าไร มันมีลูกมีหลานมีเหล่ามีกอ
มีปู่ย่าตายายเหมือนกันกับเรานั่นแหละ
ฟัดกันเข้าไปด้วยความพากเพียรมีสติ ปัญญา ศรัทธา อุตสาหะ
เป็นธรรมคู่พึ่งเป็นพึ่งตายไม่ลดละท้อถอย
จนกิเลสแหลกไปหมดไม่มีอะไรเหลือเป็นเชื้อแล้ว
นั้นแลท่านว่าธรรมอันวิเศษอยู่ที่หัวใจผู้นั้น
และนี่คือมัชฌิมาในแนวรบของผู้เรียนจบพรหมจรรย์ด้วยภาคปฏิบัติ
กรุณาจดจำและนำไปปฏิบัติ
ถ้าอยากทราบความจริงซึ่งมีอยู่กับตัวกับใจของเราทุกคน
จะรู้จะเห็นที่กายที่ใจเราเองหนีไม่พ้น
เมื่อถึงขั้นนี้ กิเลสตายไปหมดไม่มีอะไรเหลือแล้ว
มัชฌิมาในหลักธรรมชาติได้แก่ความบริสุทธิ์สุดส่วนก็ปรากฏเองโดยไม่ต้องหา
นี่แหละมัชฌิมาเหมาะสมอยู่ตลอดเวลาอกาลิโก ทั้งฝ่ายเหตุฝ่ายผลสมดุลกัน

เบื้องต้นได้พูดถึงเรื่องพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
ว่าพระพุทธเจ้าเกิดยากแสนยาก คนเกิดกี่ร้อยชาติก็ไม่ได้พบท่าน
นี่เรายังมาพบนับว่าบุญของเรามาก
พระธรรม พระสงฆ์ก็เหมือนกัน ท่านเหล่านี้เป็นท่านที่เกิดได้ยากทั้งนั้น
แต่เราได้มาพบสิ่งที่หาได้ยากจึงเป็นบุญของเราโดยแท้
เพราะฉะนั้น จึงขอให้พากันระลึกถึงท่านให้ถึงใจนะ
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ข้าพเจ้าขอถึงซึ่งพระพุทธเจ้าว่าเป็นที่พึ่งที่ระลึกฝากเป็นฝากตาย
ให้ฝากจริงๆ ในจิตใจ อย่าสักแต่ว่าพูดแต่ปากแต่คำเฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์
นกขุนทองก็พูดได้ถ้าไม่ถึงใจ

เทศน์ยังไม่ถึงไหนเลยเริ่มเหนื่อยภายในหัวใจแล้ว
ใส่โก้กๆ เหมือนเสือถูกปืนนะ ใส่จะเป็นไร ก็เราไม่ได้โกรธ
เราว่าเฉยๆ เราไม่ได้โกรธให้ใครนี่ คนไม่ได้โกรธว่านี่มันสนุกว่านะ
แต่คนโกรธนั้นว่าแบบตาดำตาแดง
ว่าแล้วก็ติดความโกรธเจ้าของๆ ตาดำตาแดง
เจ้าของก็ฆ่าเจ้าของ ถ้าอย่างนั้นไปไม่รอดแหละ
ผู้ไม่โกรธพูดไปเท่าไรก็ได้ถ้าไม่เหนื่อยนะ เอาตรงนั้นซิ
เพราะความเหนื่อยทางธาตุขันธ์มีได้ด้วยกันทั้งคนโกรธและคนไม่โกรธ

อีกประการหนึ่งที่ได้เคยพูดกันอยู่เสมอเรื่องถ่ายรูป ยังไงก็มันไม่ใช่ควาย
คนทั้งคนยิ่งเป็นพระทั้งองค์ ครูบาอาจารย์ทั้งองค์
ควรจะปรึกษาปรารภกันให้เป็นที่เรียบร้อยก่อน
เมื่อเหตุผลลงกันแล้วถ่ายเท่าไรก็ได้เราไม่ว่าเราไม่หวง
ถ้าขัดแย้งต่ออรรถต่อธรรมต่อเหตุต่อผล ไม่ใช่ทางของชาวพุทธเรา
อย่าได้พากันฝืน อย่าได้พากันทำ
นี่เราเคยพูดหลายหนแล้ว พูดกันถึงเรื่องถ่ายรูป
แสดงเหตุผลให้ทราบและเป็นที่ยอมรับแล้ว อยู่ๆ ก็ถ่ายพึ่บออกมาเลย
มันยังไงถึงเป็นยังงั้น ชาวพุทธอะไรถึงหน้าด้านขนาดนั้นมีหรือ พิจารณาดูซิ
นี่ที่เราเข็ด เพราะศาสดาไม่ใช่ศาสดาองค์หน้าด้าน
เราก็ไม่อยากจะคุยนะ เราก็ไม่ใช่พระหน้าด้านอย่างนั้น
พอจะหาคนหน้าด้านมาถ่ายรูปเรา
นี่แหละเรื่องมันหน้าด้านอย่างนี้ ไม่เอา สกปรก
ใช้ไม่ได้ในวงชาวพุทธเรา ให้พากันฟังเหตุฟังผล

เราอยู่เราเป็นอยู่ทุกวันนี้ เราตะเกียกตะกายทุกวันนี้เพื่อหัวใจโลกนั้นแหละ
เราหวังที่สุดเรื่องหัวใจ เราไม่ได้หวังวัตถุเงินทองข้าวของเหล่านี้
เพราะไม่ใช่ศาสนเงิน นี่ศาสนธรรมต่างหาก หรือศาสนธรรมแท้ๆ ไม่ใช่ศาสนเงิน
ไม่เห็นแก่ความโลภ ไม่เห็นแก่สิ่งนั้นสิ่งนี้ยิ่งกว่าหัวใจคน
ลำบากลำบนขนาดไหนเราก็ไปถ้าเป็นเรื่องหัวใจคนแล้ว
ถ้าเป็นเรื่องจะเอาอะไรมาหลอกเราอย่ามาหลอก
เช่นขอนิมนต์หลวงตาบัวไปเทศน์ที่นั่นจะให้เงินหนึ่งล้านบาท
หลวงตาบัวจะตอบว่าไม่ไป ขี้เกียจ.....ทันทีเลย

ก็เราไม่ได้บวชมาหาเงินล้านนี่วะ เราบวชมาหาธรรมหาหัวใจเรา หาหัวใจโลกต่างหาก
ไม่ได้บวชมาหาเงินหาทองกองทรัพย์สินใดๆ ทั้งสิ้น
ส่วนปัจจัยเครื่องอาศัยของสมณะนั้น ในวงนักบวชยอมรับกันทั่วสังฆมณฑล
เราไม่ปฏิเสธ เรายินดีเสมอการแนะนำสั่งสอนคนด้วยอรรถด้วยธรรม
ไม่ว่าคนมีคนจน คนโง่คนฉลาด ถ้ามาด้วยอรรถด้วยธรรมแล้วมาเถอะๆ ว่างี้เลยเราน่ะ
ถ้ามาแบบอวดก้าม อย่ามาๆ วัดนี้ไม่ใช่วัดก้าม วัดนี้ไม่มีก้าม เราบอกอย่างนี้เลย
และไม่ยินดีต้อนรับสนทนาให้เสียเวลาและเหนื่อยเปล่าด้วย

นี่ท่านทั้งหลายได้มาถวายทาน ทานนี้เป็นผลบุญของท่านทั้งหลายเอง
วัตถุไทยทานนี้เป็นสิ่งที่ท่านทั้งหลายได้ขวนขวายมาด้วยศรัทธาของตนทุกๆ ท่าน
เวลาถวายแล้วอันนี้เป็นวัตถุหยาบ
เป็นสาเหตุที่ให้เกิดขึ้นซึ่งคุณสมบัติอันละเอียดได้แก่บุญ ยื่นอันนี้ออกมาให้ทาน
ส่วนละเอียดคือบุญกุศลย้อนเข้ามาสู่ใจของเราผู้ทำ
เพราะนี้เป็นต้นเหตุคือผู้ทำ ผลก็ต้องเข้ามาที่ตรงนี้ไม่ไปที่อื่น

วัตถุทานเหล่านี้ไม่ได้ไปสวรรค์นิพพาน
ให้แล้วท่านก็ใช้สอยไป และมีความชำรุดทรุดโทรมและสลายไปตามเรื่อง
วัตถุไทยทานเหล่านี้ไม่ได้ไปสวรรค์นิพพาน
ใจของท่านผู้เป็นบุญ ผู้ให้ผู้เสียสละนั้นแลจะไปสวรรค์นิพพาน
ให้พากันจำไว้นะ อันนี้เป็นวัตถุต้นเหตุที่จะให้บุญกุศลเข้าสู่ใจ
ใจเป็นนามธรรม เป็นของละเอียดมาก ไม่มีอะไรจะรู้ได้นอกจากธรรม
ใจนี้แหละเป็นสิ่งละเอียดมาก บุญก็เป็นของละเอียดเหมือนกัน เป็นคู่ควรกัน
เวลาสิ่งเหล่านี้สลาย ร่างกายแตก ใจจึงไม่แตก บุญจึงไม่แตก
บุญกับใจไม่ตายจึงไปด้วยกัน นี่แหละท่านว่าไปสวรรค์
ใจกับบุญนี้ต่างหากเป็นผู้ไป ไม่ใช่วัตถุทานเหล่านี้ไป
บุญที่ท่านทั้งหลายสละทานลงไปนั้นแล
จะพาท่านทั้งหลายไปสวรรค์และไปนิพพาน พากันจำไว้

เช่นวัตถุเครื่องก่อสร้างนี่ คนนั้นมีศรัทธา คนนี้มีศรัทธาช่วยกันสร้าง
ศาลานี้ก็เป็นศาลา วัดเป็นวัด ศาลาและวัดไม่ได้สนใจจะไปสวรรค์นิพพาน
แต่ผู้ทำต่างหากจะไป บุญกุศลที่เกิดขึ้นจากการกระทำนี้
สะท้อนย้อนกลับเข้ามาสู่ใจซึ่งเป็นคู่ควรของกันกับบุญนั้น
อันนี้แหละเป็นเครื่องพยุงใจและพาไปสวรรค์นิพพาน

ใจไม่เคยตาย ไม่เคยมีป่าช้า พระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างแม่นยำ
ไม่มีใครจะสอนถูกต้องแม่นยำยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า
จึงเรียกว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว
คำว่าชอบก็คือไม่มีผิด ตั้งแต่พื้นๆ แห่งธรรมจนถึงวิมุตติพระนิพพานไม่มีผิดเลย
จึงเรียกว่าตรัสชอบ สัตว์ตายแล้วเกิดนี่คือพระพุทธเจ้าเป็นผู้สอนเอง
อะไรพาให้เกิด ก็สิ่งที่ละเอียดเหมือนจิตนั่นแหละควบคุมจิต เป็นเชื้อของจิตที่พาให้เกิด
ท่านแสดงไว้ในหลักธรรมว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นั่นแหละเชื้อเพาะสัตว์ทั้งหลายให้เกิด
วิบากได้แก่ดีชั่วเป็นเครื่องพยุงและเครื่องกดถ่วงใจสัตว์
ให้ไปเกิดในสถานที่สูงต่ำ ลุ่มๆ ดอนๆ เพราะอำนาจแห่งบาปและบุญ ท่านเรียกว่าวิบาก
อันนี้ไม่ตายไปด้วยร่างกาย แต่เป็นวิบากดี-ชั่วติดแนบไปกับจิต

ใจเป็นของไม่ตาย อันพวกหูหนวกตาบอดกิเลสมันหลอกคนว่าตายแล้วสูญๆ
รู้ไหมกิเลสมันหลอกคน ธรรมพระพุทธเจ้าปราบกิเลสเรียบหมด
เห็นกลมายาหลอกลวงของกิเลสทุกอย่าง
แล้วจึงเปิดเผยความลามกของกิเลสออกมาให้พวกเรารู้
กิเลสมันว่าตายแล้วสูญ แต่ตัวกิเลสเองไม่ได้สูญนี่น่ะ
กิเลสมันนั่งนอนอยู่บนหัวใจสัตว์โลกอย่างสบาย
ประกาศหลอกสัตว์โลกว่าตายแล้วสูญๆ
คือสัตว์โลกเมื่อตายไปแล้วก็สูญสิ้นมิได้เกิดอีก
ก็เมื่อดวงใจที่กิเลสยึดเอาเป็นที่อยู่อาศัยได้สูญสิ้นไปแล้ว กิเลสจะไม่พังไม่สูญไปด้วยหรือ
ตรงนี้เป็นตรงหมัดเด็ดตีหัวกิเลส มันจึงไม่บอกเคล็ดลับของมันให้พวกเราทราบ
จึงหลงกลของมันเรื่อยมา เมื่อกิเลสตายไปหมดแล้วไม่มีใครมาค้านแหละ

เรื่องของกิเลสพระพุทธเจ้าเห็นหมด พวกเราถูกกิเลสครอบหัวอยู่อย่างนี้
และถูกหลอกประจำจิตว่า ตายแล้วสูญๆ บาปไม่มี บุญไม่มีๆ
ผู้นั้นละผู้สร้างบาปมากที่สุด คลังแห่งบาป กองรับเหมาบาปก็คือผู้นั้นแหละ
ผู้ว่านรกไม่มี สวรรค์ไม่มี บาปไม่มี บุญไม่มี ตายแล้วสูญ
นั้นแลผู้รับเหมาบาปมากกว่าใครๆ ในโลกันตมนุษย์
ผู้นั้นแหละจะไปเจอแต่บาปทั้งนั้น
ผู้ว่าบาปไม่มีนั้นแลจะเผาหัวใจผู้ว่าบาป-บุญ นรก สวรรค์ นิพพานไม่มีนั้นแหละ
เพราะกิเลสหลอกให้เชื่อมันต่างหากไม่ใช่ความจริง
ความจริงก็ดังพระพุทธเจ้าผู้ทรงโลกวิทูแสดงไว้แล้วนั่นแล
ว่าบาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี พรหมโลกมี นิพพานมี
และทรงประกาศว่ากิเลสเอาหัวใจสัตว์โลกเป็นที่อยู่อาศัย เป็นเครื่องมือของมัน

ความจริงคือตายแล้วเกิด นี่คือความจริง
บุญมี บาปมี นรกมี สวรรค์มี คือความจริง
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์มาตรัสรู้นี้ไม่เคยมีองค์ใด
เป็นล้านๆ องค์มาตรัสรู้ในแดนมนุษย์เรานี้
ไม่เคยมีพระพุทธเจ้าองค์ใดคัดค้านกันว่า บาป-บุญ นรก สวรรค์เป็นต้นไม่มี
เพราะเห็นอย่างเดียวกัน รู้อย่างเดียวกันปฏิเสธกันได้ยังไง

เช่นท่านทั้งหลายจำนวนมากมานั่งอยู่เวลานี้ หลวงตาบัวพูดคุยอะไรกับท่านทั้งหลาย
ท่านทั้งหลายทั้งเห็นหลวงตาบัวด้วย ทั้งได้ยินได้ฟังหลวงตาบัวพูดด้วย
แล้วท่านทั้งหลายจะปฏิเสธได้อย่างไรว่าไม่ได้มาวัดป่าบ้านตาดด้วย
ไม่ได้ถวายวัตถุไทยทานนี้ด้วย ไม่ได้ฟังเทศนาว่าการของหลวงตาบัวด้วย
ไม่พบเห็นหลวงตาบัวด้วย ปฏิเสธได้ลงคอละหรือ
เมื่อมาเห็นด้วยกันและได้ยินได้ฟังเรื่องต่างๆ ด้วยกันแล้ว
ต้องพูดเป็นเสียงเดียวกันหมด เพราะไม่มีอะไรจะปฏิเสธกันได้
นี่เราก็เห็นชัดๆ แล้วว่า ไม่มีใครคัดค้านกันเลยว่าไม่ได้มาวัดนี้ และไม่ได้ถวายทานเป็นต้น
ดังกล่าวมาแล้วนี้ ทุกคนต้องพูดเป็นเสียงเดียวกัน ยอมรับสภาพความจริงด้วยกัน

ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสรู้ธรรมก็เหมือนกัน
อันนั้นก็รู้ อันนี้ก็รู้ รู้เหมือนกัน เห็นเหมือนกัน นำมาพูดแบบเดียวกันหมด
กิเลสที่เคยปิดหัวใจมนุษย์มันก็พูดแบบเดียวกันหมด นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี
มันครอบหัวใจดวงไหนมันก็ต้องหลอก ต้องโกหกแบบเดียวกันหมด
เพราะพวกนี้พวกปลอม พวกหลอกลวงต้มตุ๋น
มันอยู่ได้ ครองอำนาจได้ด้วยการโกหกหลอกลวง
มันจำต้องหลอกลวงเพื่อความอยู่รอดของมัน ขืนบอกตามความเป็นจริงมันต้องจม
ธรรมะเป็นของจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ กิเลสเป็นของปลอมร้อยเปอร์เซ็นต์
เดินสวนทางกันอย่างนี้แต่ไหนแต่ไรมา มันคอยลบล้างกันอยู่เสมอ
ไม่ลบล้างที่ไหนแหละมันลบล้างที่หัวใจเรานั่นแล
พวกเราดูนะจะว่าหลวงตาบัวไม่บอกขอฝากคำนี้ไว้
เพราะกิเลสมันอยู่ที่หัวใจเรา แม้ธรรมก็เกิดที่หัวใจเรา อยู่ที่หัวใจเราเช่นเดียวกัน
จะบอกอุบายของกิเลสลบล้างธรรมในหัวใจเรา

เช่น เวลาจะไปวัดไปวาฟังธรรมจำศีลจะนั่งภาวนา
กิเลสมันจะหักแข้งหักขาเจ็บปวดไปหมดละ อวัยวะปกติดีๆ อยู่ก็เจ็บ
เจ็บแข้งเจ็บขาปวดหูปวดตาเป็นไปหมด เจ็บท้องปวดศีรษะเป็นไปหมดนั่นแหละ
กิเลสมันตีเอาๆ มันไม่อยากให้ออกจากเงื้อมมือของมัน
ถ้าเราจะออกไปหาศีลหาธรรมคือจะออกจากอำนาจของมัน มันจะกีดจะขวางทันทีเลย
ดีไม่ดียังถูกมันขู่เอาด้วยว่าไปทำไม ไปวัดได้ประโยชน์อะไร ได้ประโยชน์อะไร
ไปฟังธรรมะน่ะเสียเวลาและสิ้นเปลืองไปเปล่าๆ
ไปฟังเพลงดีกว่า ได้สนุกสนานรื่นเริง ได้หัวเราะลั่นกันอย่างเพลิดเพลิน
ส่วนเงินทองหมดไป ใจเสียไป คนเสียไปมันไม่บอก มันหลอกอย่างนั้น
และเคยหลอกมานานเท่าไรแล้วเราก็ไม่เข็ดไม่จำ

ไม่มีใครจะรื้อความชั่วของมันขึ้นมาให้เห็นอย่างชัดเจนได้ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า
ยิ่งกว่าพระสงฆ์สาวกท่าน ยิ่งกว่าท่านผู้มีใจบริสุทธิ์
ถ้าผู้บริสุทธิ์นับแต่พระอรหันต์ขึ้นไปถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลายแล้วแจ้งชัดหมด
กลมายาของกิเลสจะหลอกท่านไม่ได้เลย ท่านรู้หมด
ท่านเหล่านี้แหละเป็นผู้เปิดความชั่วกลมายาชั่วของกิเลสออกมาให้เราทั้งหลายได้ดู
ส่วนกิเลสอย่าเข้าใจว่ามันจะเปิดความชั่วของมันให้ดู มีแต่มันจะหลอกเราตลอดเวลา
ให้จำเอาไว้นะจะว่าหลวงตาบัวไม่บอกไม่แนะ เวลาไปเจอดีกับกิเลส

เป็นไงหลวงตาบัวดุไหม ใครๆ ทั่วแดนไทยว่าแต่หลวงตาบัวดุๆ
พระที่มาอยู่วัดนี้ ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอกก็มี
มาอยู่นี่ทำไม หูหนวกตาบอดหรือจึงไม่ทราบว่าหลวงตาบัวดุ
คนนอกกำแพงวัดนี้เขายังรู้ว่าหลวงตาบัวดุๆ พระเหล่านี้หูหนวกตาบอดหรือ
พระข้าราชการก็มี พระที่เคยเป็นปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอกก็มี
ทำไมไม่หนีไปกับเขาล่ะ ถ้าว่าหลวงตาบัวดุจริง
ก็เห็นมีแต่พระเก่าๆ เต็มอยู่นี้ แม้ไล่หนีก็คงไม่หนีจะว่าไง
แต่เราไม่ได้ขับไล่ท่านเพราะท่านไม่มีความผิดนี่
มันเป็นยังไงพระเหล่านี้ เวลาอยู่นอกกำแพงวัดท่านก็ฉลาด
แต่พอมาอยู่ในกำแพงวัดป่าบ้านตาดแล้วจึงพากันโง่ไปตามๆ กันหมด
ทั้งนี้คงเป็นเพราะอาจารย์พาโง่ ลูกศิษย์ก็เลยโง่ไปตามๆ กัน
พระเหล่านี้แต่ก่อนที่อยู่นอกกำแพงวัดท่านฉลาดทั้งนั้น
พอก้าวเข้ามาในกำแพงวัดป่าบ้านตาดแล้วเลยโง่กันไปหมด
เพราะหลวงตาบัวพาโง่ ว่าไง ฟังเอานะเอาไปพิจารณา

เอาละเหนื่อยแล้ว ก็ดุ ดุไม่โกรธจะเป็นไรไป ทำท่าเฉยๆ ก็ทำได้
ดูแต่ท่านทั้งหลายดุลูก ทำท่าดุลูกเจ้าของ ทำท่าเฆี่ยนตีลูกเจ้าของ
อื๊อๆ เงื้อมือสูงจรดเมฆโน่น เวลาตีลูกดังแป๊ะแค่นี้ก็ยังทำได้วะ
ทำไมหลวงตาบัวทำไม่ได้ หลวงตาบัวมาจากคนทำไมจะทำไม่ได้ คนทำได้
หลวงตาบัวมาจากคน แม้มาบวชเป็นพระ ก็คือหลวงตาบัวมาจากคนนั่นแล
ทำไมจะทำไม่ได้ พิจารณาดูซิ ทำได้ทั้งนั้นแหละ
คิดดู กิเลส กลมายามันละเอียดสุขุมยิ่งกว่านี้ยังรู้มันและต่อสู้มันได้
นี่ก็เรื่องธรรมดาๆ ทำไมจะพูดกันไม่ได้มนุษย์เรา
ชาวพุทธแท้ๆ ซึ่งมีใจเป็นอรรถเป็นธรรมอยู่แล้ว
ต้องพูดได้ ฟังได้อย่างสะดวกสบายกว่าสมาคมใดๆ ในโลก

เอาละพอเท่านี้


:b8: :b8: :b8: คัดมาจาก...หนังสือ ศาสนธรรมปลุกคนให้ตื่น
ท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน หน้า ๔๑๘-๔๓๑


:b44: ประวัติและปฏิปทา “หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=24738

:b44: รวมคำสอน “หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=38517


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร