ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
กัมมวัฎฎ์ http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=20620 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | นัน555 [ 15 ก.พ. 2009, 17:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | กัมมวัฎฎ์ |
แลธรรมทั้ง ๕ คือ อวิชชา แลสังขาร ตัณหา แลอุปาทาน แลภวะ ซึ่งบังเกิดในปัจจุบันภพนี้ ก็ได้นามบัญญัติชื่อว่ากัมมวัฏฏ์ .................... |
เจ้าของ: | นัน555 [ 15 ก.พ. 2009, 17:05 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: กัมมวัฎฎ์ |
อธิบายว่า โมหะที่ปิดบังปัญญา (ไม่ให้?) เห็นพระไตรลักษณะเป็นอาทินั้น ได้ชื่อว่า อวิชชา ...................... |
เจ้าของ: | อัญญาสิ [ 15 ก.พ. 2009, 17:07 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: กัมมวัฎฎ์ |
![]() ![]() ![]() |
เจ้าของ: | นัน555 [ 15 ก.พ. 2009, 17:09 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: กัมมวัฎฎ์ |
กุศลแลอกุศลที่ตกแต่งปฎิสนธิวิญญาณเป็นอาทินั้น ได้ชื่อว่า สังขาร |
เจ้าของ: | นัน555 [ 15 ก.พ. 2009, 17:11 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: กัมมวัฎฎ์ |
กิริยาที่ยินดีในภพ ปรารถนาสมบัติในภพนั้น ได้ชื่อว่า ตัณหา |
เจ้าของ: | นัน555 [ 15 ก.พ. 2009, 17:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: กัมมวัฎฎ์ |
ความที่ปรารถนาบังเกิดกล้า ให้ถือมั่นว่าเป็นของๆตนนั้น ได้ชื่อว่า อุปาทาน |
เจ้าของ: | นัน555 [ 15 ก.พ. 2009, 17:16 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: กัมมวัฎฎ์ |
กุศลเจตนาแลอกุศลเจตนา ที่ให้สำเร็จกิจอันเป็นบุญแลบาปนั้นได้ชื่อว่า ภวะ |
เจ้าของ: | นัน555 [ 15 ก.พ. 2009, 17:22 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: กัมมวัฎฎ์ |
กมฺมสฺส การโก นตฺถิ วิปากสฺส จ เวทโก สุธธมฺมา ปวตฺตนฺติ เอวเมตํ สมทสฺสนํ ฯ เอวํ กมฺเม วิปาเก จ วตฺตมาเน สเหตุเก พีชรุกฺขาทีกานํว ปุพฺพาโกฏิ น ขายติ ฯ เปฯ สุญฺญธมฺมา ปวตฺตนฺติ เหตุสมฺภารปจฺจยาติ อธิบายในพระบาทคาถาว่า สิ่งอื่นนอกออกไปจากอวิชชาเป็นอาทิแล้ว จะได้เป็นผู้ตกแต่งซึ่งนามรูปนี้หามิได้ สิ่งอื่นนอกออกไปจากวิบากจิตแล้ว จะได้เป็นผู้เสวยหามิได้ สัตว์โลกซึ่งท่องเที่ยวไปในไตรภพนี้ คือรูปธรรมเท่านี้เอง จะเป็นสิ่งอื่นพ้นจากอรูปธรรมนามธรรมนี้หามิได้ กิริยาที่พระโยคาพจรพิจารณาเห็นฉะนี้ ได้ชื่อว่าเห็นชอบเห็นโดยดีเห็นไม่วิปริต แท้จริง สรรพสัตว์ซึ่งจะท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏที่มีสุดเบื้องต้นบ่มิได้ปรากฏนั้น อาศัยแก่กรรมแลวิบาก ในเมื่อกรรมแลวิบากกอปรด้วยเหตุดังกล่าวแล้วนั้น ประพฤติเป็นไปเนื่อง ๆ กันอยู่แล้ว กิริยาแล้วที่จะหยั่งรู้ซึ่งที่สุดเบื้องต้นแห่งสงสารนั้น ก็เป็นอันพ้นวิสัยที่จะหยั่งรู้หยั่งเห็นเปรียบเหมือนพืชคามแลพฤกษาชาติต่าง ๆ ซึ่งบังเกิดเนื่อง ๆ สืบ ๆ กัน มาตามประเพณีโลกวิสัยนั้น สุดที่จะค้นคว้าหาข้อมูลให้ตลอดไปถึงที่สุดเบื้องต้นนั้นได้ แลมีอุปมาฉันใด กิริยาที่จะหยั่งรู้ที่สุดเบื้องต้นแห่งสงสารนั้น ก็พ้นวิสัยที่จะหยั่งรู้หยั่งเห็นมีอุปไมยดังนั้น อาการที่กรรมวิบาก กอปรด้วยเหตุดังกล่าวแล้ว ประพฤติเป็นไปในสงสารในอนาคตกาลภายหน้านั้น ปรากฏเป็นอันมากยิ่งนัก จะได้ปรากฏนิดหน่อยนั้นหามิได้ ดิรัตถีย์นิครนถ์ ภายนอกจากพระพุทธศาสนานั้นไม่พิจารณาเห็นเหตุอันสำแดงมานี้ ก็ถือมั่นสำคัญผิดประพฤติตามลัทธิวิปริตแห่งตน ๆ ถือว่าสัตว์ว่าบุคคล เห็นผิดเป็นสัสสตทิฏฐิ แลอุจเฉททิฏฐิถือตามมิจฉาลัทธิ ทิฏฐิทั้ง ๖๒ ประการ กล่าวถ้อยคำนั้นเก่งแย่งผิด ๆ กันจะได้เข้ากันหามิได้ ดิรัตถีย์ทั้งหลายนั้นครั้นติดอยู่ในบ่วงทิฏฐิเปลื้องทิฏฐิเสียมิได้ เที่ยวท่องล่องลอยอยู่ตามกระแสแห่งตัณหา ๆ พัดพาให้เวียนตายเวียนเกิดเอากำเนิดมิรู้สุดสิ้นเสวยทุกขเวทนาหาที่สุดมิได้ ไปไม่พ้นจากสงสารทุกข์เลย เพราะเหตุถือผิดเห็นว่าเป็นตัวเป็นสัตว์เป็นบุคคลนั้น ฝ่ายพระสาวกในพระพุทธศาสนานี้ เห็นชอบเห็นจริงรู้แท้ว่าไม่ใช่สัตว์ใช่บุคคล ปัญญานั้นลึกละเอียด เห็นว่าเป็นกองแห่งรูปธรรมนามธรรมแล้ว เห็นตลอดลงไปถึงเหตุถึงปัจจัย เห็นชัดว่าสิ่งนั้น ๆ เป็นเหตุให้เกิดรูปธรรม สิ่งนั้น ๆ เป็นเหตุให้เกิดนามธรรม ประการหนึ่งเห็นละเอียดลงไปว่า กรรมกับวิบากนี้แยกกันอยู่เป็นแผนก ๆ กัน จะได้ปะปนระคนกันหามิได้ กรรมนั้นมิได้มีในวิบาก มิได้ระคนอยู่ด้วยวิบาก ฝ่ายวิบากนั้นก็มิได้มีในกรรม มิได้ระคนอยู่ด้วยกรรม แลกรรมวิบากนี้ถึงมาตรแม้ว่าจะอยู่ต่างกัน ไม่ปะปนระคนกันก็จริงแลแต่ทว่าเป็นปัจจัยแก่กัน ถ้อยทีถ้อยอาศัยแก่กันจะได้ละเว้นกันหามิได้ กรรมไม่ละวิบาก วิบากไม่ละกรรม จะมีครุวนาฉันใด มีครุวนาดุจดังว่าแว่นส่องไฟกับแสงอาทิตย์ อันเป็นปัจจัยให้เพลิงติด เพลิงนั้นจะได้มีอยู่ในแสงอาทิตย์นั้นก็หามิได้ จะได้มีอยู่ในแว่นส่องไฟแลโคมัยอันแห้งนั้นก็หาไม่ อนึ่งจะว่าเพลิงนั้นอยู่ภายนอกพ้นออกจากแสงอาทิตย์ แลพ้นออกไปจากแสงแว่นแลโคมัยนั้นก็ว่าไม่ได้ แต่ทว่าอาศัยแสงอาทิตย์ แลแว่นส่องไฟ แลโคมัยอันแห้งนั้นประชุมกันตกแต่ง เป็นเหตุเป็นปัจจัยแล้วผลคือเพลิงนั้นก็ติดขึ้น อันนี้แลมีฉันใด เมื่อกรรมมีเหตุเป็นปัจจัยแล้ววิบากคือผลแห่งกรรมนั้น ก็บังเกิดมีขึ้นแลมีฉันนั้น ถ้าจะว่าที่แท้นั้น วิบากจะได้มีอยู่ภายในแห่งกรรมก็หามิได้ จะได้มีอยู่ภายนอกแห่งกรรมก็หามิได้ แต่ทว่าอาศัยมีกรรมเป็นเหตุเป็นปัจจัยแล้ว วิบากก็บังเกิดโดยสมควรแก่กรรมที่เป็นกุศลแลอกุศลนั้น นักปราชญ์พึงสันนิษฐานว่านามรูปนี้ มิใช่อื่นใช่ไกลคือวิบากแห่งกรรม แลข้อซึ่งว่านามรูปได้นามบัญญัติ ชื่อว่ามนุษย์ ชื่อว่าเทพยดา ชื่อว่าอินทร์พรหมยักษ์อสูรคนธรรมพ์นาคสุบรรณต่าง ๆ นั้นเป็นสมมุติสัจกำหนดเรียกตามวิสัยโลกยังเอาเที่ยงจริงบ่มิได้ เมื่อพิจารณาโดยละเอียดตรองเอาที่เที่ยงที่จริงแล้ว ก็คงเป็นแต่รูปธรรมนามธรรมเท่านั้นเอง นามแลรูปนี้เป็นธรรมอันเปล่าสูญปราศจากแก่นสาร บังเกิดแต่สัมภาระคือเหตุแลปัจจัยประชุมแต่งอิศวรนารายณ์อินทร์พรหมผู้หนึ่งผู้ใดจะได้ตกแต่ง รูปธรรมนามธรรมนี้หามิได้ สิ้นคำโบราณาจารย์แต่เท่านี้ เมื่อพระโยคาพจรพิจารณาเห็นปัจจัยแห่งรูปนามแลรูป โดยนัยแห่งกัมมวัฏฏ์ แลวิปากวัฏฏ์สละละเสียได้ซึ่งโสฬวิจิกิจฉา ๑๖ ประการให้ปราศจากสันดานแล้ว รูปธรรมนามธรรมอันเป็นอดีตแลอนาคตแลปัจจุบันนั้น ก็จะปรากฏด้วยสามารถแห่งจุติแลปฏิสนธิปัญญา อันชื่อว่าญาตปริญญานั้น ก็บังเกิดมีในสันดานแห่งพระโยคาพจร ๆ นั้น ก็จะรู้แจ้งชัดว่าขันธปัญจกซึ่งบังเกิดแต่ปัจจัย คือกรรมอันบังเกิดในอดีตภพนั้น ก็ดับ ---------------- http://www.larnbuddhism.com/visut/3.9.html |
เจ้าของ: | นัน555 [ 15 ก.พ. 2009, 17:38 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: กัมมวัฎฎ์ |
เป็นใจความว่าธรรมทั้ง ๕ คือ อวิชชา แลสังขาร แลตัณหาแลอุปาทาน แลภวะ ซึ่งบังเกิดในปุริมภพแต่ก่อน ๆ นั้น ได้ชื่อว่ากัมมวัฏฏ์ ๆ นั้นด้วยอรรถว่า เป็นปัจจัยให้บังเกิดวิญญาณ แลนามรูปแลสฬายตนะ แลผัสสะ แลเวทนา ในปัจจุบันภพนี้ แลธรรม ๕ ประการมีวิญญาณเป็นอาทิ ซึ่งบังเกิดในปัจจุบันภพนี้ ได้ชื่อว่าวิปากวัฏฏ์ ๆ นั้น ด้วยอรรถว่าเป็นผลแห่งกัมมวัฏฏ์บังเกิดแต่กิริยาอันกัมมวัฏฏ์ตกแต่งให้บังเกิด แลธรรมทั้ง ๕ คือ อวิชชา แลสังขาร ตัณหา แลอุปาทาน แลภวะ ซึ่งบังเกิดในปัจจุบันภพนี้ ก็ได้นามบัญญัติชื่อว่ากัมมวัฏฏ์เหมือนกัน ด้วยอรรถว่าเป็นปัจจัยให้บังเกิดวิญญาณ แลนามรูป แลสฬายตนะ แลผัสสะ แลเวทนา ในอนาคตภพเบื้องหน้า แลธรรม ๕ ประการมีวิญญาณเป็นอาทิ ซึ่งจักบังเกิดมีในอนาคตภพเบื้องหน้านั้น ก็ได้ชื่อว่าวิปากวัฏฏ์เหมือนกัน ด้วยอรรถว่าเป็นผลแห่งกัมมวัฎฎ์ในปัจจุบันภพ บังเกิดแต่กิริยาอันกัมมวัฏฏ์ในปัจจุบันภพแต่งให้บังเกิด แลกรรมทั้ง ๑๒ ประการมีทิฏฐธรรมเวทนียกรรมเป็นอาทิ มีอุปฆาตกรรมนั้นเป็นปริโยสานนั้น ก็สงเคราะห์เข้าในกัมมวัฏฏ์นี้จะได้เป็นอื่นหามิได้ แลกิริยาที่กรรมทั้งปวงให้ผลในสุคติแลทุคตินั้น ก็สงเคราะห์เข้าในวิปากวัฏฏ์นี้เอง จะได้พ้นไปจากวิปากวัฏฏ์นี้หามิได้ เมื่อพระโยคาพจรพิจารณาซึ่งปัจจัยแห่งนามรูป โดยนัยแห่งกัมมวัฏฏ์แลวิปากวัฏฏ์ ด้วยประการฉะนี้ก็อาจสละละเสียซึ่งโสฬสวิจิกิจฉา ๑๖ ประการ ให้ปราศจากสันดานแห่งอาตมาได้โดยนัยดังพรรณนามาแล้วแต่หลังนั้น |
เจ้าของ: | นัน555 [ 26 มี.ค. 2009, 06:29 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: กัมมวัฎฎ์ |
เมื่อพระโยคาพจรพิจารณาเห็นปัจจัยแห่งนาม แลรูปปรากฏด้วยอาการทั้งปวง จำเดิมแต่จุติแลปฏิสนธินั้นหาด้วยประการฉะนี้ ปัญญานั้นจะแกล้วกล้ามีกำลัง วิจิกิจฉา ๑๖ ประการก็จะปราศจากสันดานเป็นอันดีโดยพิเศษ ใช่จะปราศจากได้แต่เพียงโสฬสวิจิกิจฉาเท่านี้หาบ่มิได้ กิริยาที่สงสัย ๘ ประการ มีสงสัยในพระศาสดาจารย์เป็นอาทินั้นก็ปราศจากสันดารจะสละละได้เป็นอันดี แล้วจะข่มขี่สละละทิฏฐิ ๑๖ เสียได้ ด้วยอำนาจปัญญาอันชื่อว่า กังขาวิตรณวิสุทธิ อันมีลักษณะข้ามสนเท่ห์สงสัยได้ในกาลทั้ง ๓ ด้วยกิริยาอันพิจารณาซึ่งปัจจัยแห่งนามแลรูป ด้วยนัยต่าง ๆ อย่างพรรณนัยมาฉะนี้ ปัญญาอันชื่อว่ากังขาวิตรณวิสุทธินี้ บางทีพระพุทธองค์ตรัสเทศนาเรียกว่าธัมมัฏฐิติญาณ บางทีตรัสเทศนาเรียกว่า ยถาภูตญาณ บางทีตรัสเทศนาเรียกว่า สัมมาทัสสนญาณ ต่างกันแต่พยัญชนะ อรรถจะได้ต่างกันหาบ่มิได้ อรรถอันเดียวกันพระโยคาพจรผู้ประกอบไปด้วยปัญญากังขาวิตรณวิสุทธิพิจารณาเห็นอย่างพิจารณามาฉะนี้ จะมีคติอันเที่ยง จะได้นามบัญญัติชื่อว่าจุลโสดาในพระพุทธศาสนาแล้ว จะได้ซึ่งที่พึ่งคือพระอริยมรรคจะได้ซึ่งความชื่นชมคือพระอริยผล เหตุดังนั้น ภิกษุผู้เห็นภัยในวัฏฏสงสารมีประโยชน์ด้วยกังขาวิตรณวิสุทธิญาณพึงมีสติบำเพ็ญเพียรพิจารณา ซึ่งปัจจัยแห่งนามและรูปสิ้นกาลทุกเมื่อ อย่าได้ประมาทลืมเสียซึ่งพิธีอันพิจารณาซึ่งปัจจัยแห่งรูปธรรมนามธรรม โดยนัยที่วิสัชนามาฉะนี้ วิปัสสนาซึ่งปัญญาอันชื่อว่ากังขาวิตรณวิสุทธิ |
เจ้าของ: | นัน555 [ 26 มี.ค. 2009, 06:39 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: กัมมวัฎฎ์ |
เมื่อตั้ง ศีลวิสุทธิ จิตวิสุทธิ ๒ ประการไว้เป็นรากแล้ว ลำดับนั้นให้พระโยคาพจรจำเริญวิสุทธิทั้ง ๕ สืบขึ้นไปโดยลำดับ ๆ เอา ทิฏฐิวิสุทธิ แล กังขาวิตรณวิสุทธิเป็นเท้าซ้ายเท้าขวา เอา มัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ แลปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ เป็นมือซ้ายมือขวาแล้วเอา ญาณทัสสนวิสุทธิเป็นศีรษะเถิด จึงจะอาจสามารถที่จะยกตนออกจากวัฏฏสงสารได้ |
เจ้าของ: | นัน555 [ 26 มี.ค. 2009, 06:52 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: กัมมวัฎฎ์ |
แต่นี้จะวิสัชนาในกังขาวิตรณวิสุทธิสืบไป กังขาวิตรณวิสุทธินั้นมิใช่อื่นไกล ได้แก่ปัญญานั้นเอง ปัญญาที่พิจารณาเห็นเหตุ เป็นปัจจัย แห่งนามธรรมและรูปธรรม เข้าใจชัดว่า นามธรรมบังเกิดแต่ปัจจัยสิ่งนี้ ๆ รูปธรรมบังเกิดแต่ปัจจัยสิ่งนี้ ๆ เข้าใจรู้สันทัดปราศจากสงสัยในกาลทั้ง ๓ คือ อดีต และอนาคต และปัจจุบันแล้วในกาลใด ปัญญานั้นก็ได้ชื่อว่ากังขาวิตรณวิสุทธิในกาลนั้น “ตํ สมฺปาเทตุกาโม ” พระโยคาพจรภิกษุผู้มีความปรารถนาเพื่อจะยังปัญญาชื่อว่ากังขาวิตรณวิสุทธินั้นให้สมบูรณ์ ก็พึงประพฤติจิตสันดานให้เหมือนแพทย์ เอาเยี่ยงอย่างแพทย์ผู้ฉลาดในการรักษาโรค ธรรมดาว่าแพทย์ผู้ฉลาดนั้น เมื่อจะรักษาซึ่งโรคพิจารณาดูโรคนิทานให้เห็นแจ้งว่าโรคสิ่งนี้บังเกิดแต่เหตุปฐวีธาตุกำเริบ โรคสิ่งนี้บังเกิดแต่อาโปธาตุกำเริบ โรคสิ่งนี้บังเกิดแต่เหตุแห่งเตโชธาตุ และวาโยธาตุกำเริบ เมื่อรู้ชัดสันทัดแท้ในโรคสมุฏฐานแล้ว แพทย์นั้นจึงประกอบยาตามที่ “ยถา ” อันนี้มีครุวนาฉันใด พระโยคาจรภิกษุ ก็พึงพิจารณาหาเหตุหาปัจจัยอันเป็นที่เกิดแห่งนามธรรม และรูปธรรม ให้เห็นแจ้งว่านามธรรมบังเกิดแต่เหตุปัจจัยสิ่งนี้ ๆ รูปธรรมบังเกิดแต่ปัจจัยสิ่งนี้ ๆ พึงประพฤติเอาเยี่ยงแพทย์ผู้ฉลาดที่พิจารณาดูซึ่งโรคนิทานฉันนั้น ถ้ามิฉะนั้น ให้พระโยคาพจรภิกษุเอาเยี่ยงบุคคลอันมีสันดานมากไปด้วยความกรุณา ได้เห็นทารกอันนอนหงายอยู่ในกลางตรอก และแสวงหาบิดามารดาแห่งทารกนั้น ธรรมดาว่าบุคคลผู้มีสันดานมากไปด้วยความกรุณานั้น ถ้าเห็นทารกน้อย ๆ นอนหงายอยู่ในกลางตรอกกลางถนน ก็ย่อมมีจิตสันดานกัมปนาทหวาดหวั่นไหว ตะลึงใจว่า “ อยํ ปุตฺตโก” ทารกผู้นี้ลูกของใคร ๆ เอามานอนหงายไว้ที่ท่ามกลางหนทางอย่างนี้ ใครเป็นบิดามารดาแห่งทารกผู้นี้หนอ บุคคลผู้มากไปด้วยความกรุณาแสวงหาบิดามารดาแห่งทารกผู้นั้น และมีอุปมาฉันใด พระโยคาพจรภิกษุก็แสวงหาซึ่งเหตุปัจจัยแห่งนามรูป และมีอุปไมยดังนั้น แท้จริง พระโยคาพจรผู้แสวงหาซึ่งเหตุปัจจัยแห่งนามและรูปนั้นเดิมทีให้พิจารณาว่า “อิทํ นามรูปํ ” นามและรูปแห่งสรรพสัตว์ทั้งปวง แต่บรรดามีในไตรโลกสันนิวาสนี้ ย่อมมีเหตุมีปัจจัยประชุมแต่สิ้นทั้งปวง ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ![]() ถ้านามและรูปไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยบังเกิดแต่ธรรมดาแห่งตนแล้ว ก็หน้าที่นามและรูปแห่งสัตว์ทั้งปวง แต่บรรดาที่มีในภพทั้งปวงนี้ จะเหมือน ๆ กันเป็นอันหนึ่งอันเดียวจะมิได้แปลกประหลาดกัน สัตว์ที่บังเกิดเป็นยมเป็นยักษ์เป็นอสุรกายกุมกัณฑ์ เป็นนิกรเทพคนธรรพ์นั้นก็จะเหมือนกันเป็นพิมพ์เดียว รูปพรรณสัณฐานนั้นจะไม่ห่างไกลกัน อนึ่งสัตว์ที่บังเกิดในมุนษย์สุคติ กับสัตว์บังเกิดในทุคตินั้นก็จะเหมือน ๆ กันสิ้นทั้งปวง จะหาที่ดีกว่ากันชั่วกว่ากันนั้นจะหาไม่ได้ เพราะเหตุว่านามและรูปนั้นบังเกิดโดยธรรมดาแห่งตนเองหาเหตุหาปัจจัยบ่มิได้ นี้สิไม่เป็นดังนั้น นามและรูปนี้แปลกประหลาดกันทุก ๆ ภพจะได้เหมือนกันหาบ่มิได้ นามและรูปในสุคติภพนั้นอย่างหนึ่ง ในทุคติภพนั้นอย่างหนึ่ง ในฉกามาพจรสวรรค์อย่างหนึ่ง ในรูปภพนั้นอย่างหนึ่งจะได้เหมือนกันนั้นหาบ่มิได้ ถึงบังเกิดในหมู่เดียวกันในพวกเดียวกันก็ดีที่จะเหมือนกันนั้นไม่เหมือนกันเลยเป็นอันขาด โดยกำหนดเป็นที่สุด จนแต่พี่น้องซึ่งเป็นลูกแฝดก็ยังมีแปลกประหลาดกันอยู่ จะได้เหมือนกันแท้ทีเดียวก็หามิได้ อาศัยเหตุฉะนี้จึงเห็นแจ้งว่านามและรูปนี้ มีเหตุมีปัจจัยประชุมแต่งสิ้นด้วยกัน ถ้าไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยประชุมแต่ง นามและรูปบังเกิดโดยธรรมดาแห่งตน แล้วนามและรูปก็จะเหมือนกันสิ้นทั่วทั้งไตรภพมณฑลสกลไตรโลกธาตุ ดังฤๅจะเปลี่ยนจะแปลกกันเล่า นามและรูปที่บังเกิดขึ้นเก่า ๆ กับนามรูปที่บังเกิดขึ้นใหม่ ๆ นั้น ก็เหมือนกันทุก ๆ ชาติ จะไม่ต่างกัน นี้สิไม่เป็นดังนั้น นามและรูปนี้เปลี่ยนแปลงไปทุก ๆ ชาตินี้อย่างหนึ่ง ชาติหน้าอย่างหนึ่ง ชาติโน้นอย่างหนึ่ง จะได้เหมือนกันอยู่เป็นนิจจะได้เหมือนกันอยู่สิ้นกาลทุกเมื่อนั้นหามิได้ อาศัยเหตุฉะนี้เห็นว่า นามและรูปนี้มีเหตุมีปัจจัยประชุมแต่งอยู่เป็นแท้ .......... ![]() |
เจ้าของ: | นัน555 [ 26 มี.ค. 2009, 07:01 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: กัมมวัฎฎ์ |
เมื่อเห็นว่านามรูปมีเหตุมีปัจจัยแท้แล้ว ลำดับนั้นพระโยคาพจรจึงพิจารณาหาซึ่งธรรมอันเหตุตัวปัจจัยนั้นว่า “ เก นุ โข เต” ธรรมสิ่งดังฤๅ เป็นเหตุเป็นปัจจัยตกแต่งซึ่งรูปธรรมนามธรรม เมื่อพิจารณาซึ่งธรรมอันเป็นตัวปัจจัยดังนี้ ก็มีมนสิการกำหนดจิตพิจารณาซึ่งรูปกายนั้นก่อน เห็นว่า “อยํ กาโย ” รูปกายนี้ “นิพฺพตฺตมาโน ” เมื่อจะบังเกิดนั้น จะได้บังเกิดภายในห้องแห่งอุบลและบัวหลวงและบัวขาวและจงกลนีเป็นอาทินั้นหาบ่มิได้ จะได้บังเกิดภายในแห่งแก้วมณีและแก้วมุกดาหารเป็นอาทินั้นหาบ่มิได้ รูปกายนี้บังเกิดภายในอุทรประเทศแห่งมารดาเบื้องบนนั้นกำหนดด้วยกระเพราะอาหารใหม่ เบื้องต่ำนั้นกำหนดด้วยกระเพราะอาหารเก่า เบื้องหน้านั้นกำหนดด้วยกระดูกหนามสันหลังแห่งมารดา “อนฺตอนฺตคุณปริวาริโต ” ไส้ใหญ่และไส้น้อยนั้นแวดล้อมอยู่โดยรอบ มีกลิ่นอันเหม็นเป็นปฏิกูลพึงเกลียดพึงชัง ที่อันนั้นเป็นที่คับคับแคบยิ่งนัก อาหารที่รูปกายแห่งสัตว์บังเกิดในที่นั้นเปรียบประดุจกิจมิชาติหมู่หนอน อันบังเกิดในปลาเน่าแลขนมบูดแลที่น้ำคลำไหลรูปกายแห่งสัตว์ทั้งปวงนี้บังเกิดด้วย ธรรม ๔ ประการ คือ อวิชชาประการ ๑ ตัณหาประการ ๑ อุปาทานประการ ๑ กรรมประการ ๑ ธรรม ๔ ประการนี้เป็นเหตุให้บังเกิดรูปกายสิ้นทั้งปวง อาหารนั้นเป็นปัจจัยในกิจอุปถัมภกอุดหนุน ตกว่า อวิชชาและตัณหา แลอุปาทานทั้ง ๓ ประการนี้ เป็นที่อาศัยแห่งรูปกาย เปรียบประดุจ มารดาอันเป็นที่อาศัยแห่งทารก กรรมนั้นเป็นเหตุบังเกิดรูปกาย เปรียบประดุจบิดาอันยังทารกให้บังเกิด อาหารนั้นอุปถัมภ์อุดหนุนซึ่งรูปกาย เปรียบประดุจแม่นมอันอุ้มชูทารก เมื่อพิจารณาเห็นซึ่งเหตุ แลปัจจัยแห่งรูปกายด้วยประการดังนี้ แล้วลำดับนั้นพระโยคาพจรจึงพิจารณาเห็นซึ่งเหตุแห่งนามกายว่า “ จกฺขญฺจ ปฏิจฺจ รูเป จ อุปฺปชฺชติ จกขุวิญฺญาณํ” ว่าจักขุประสาทแลรูปารมณ์แล้ว จึงบังเกิดขึ้นในสันดาน ฝ่ายว่าโสตวิญญาณอันอาศัยโสตประสาทแลสัททารมณ์แล้ว จึงบังเกิดฆานวิญญาณนั้นอาศัยฆานประสาท แลคันธารมณ์แล้วจึงบังเกิด ชิวหาวิญญาณนั้นอาศัยชิวหาประสาทแลรสารมณ์ แล้วจึงบังเกิดกายวิญญาณนั้นอาศัยกายประสาทแลโผฏฐัพพารมณ์ แล้วจึงบังเกิดมโนวิญญาณนั้นอาศัยหทัยวัตถุแลธัมมารมณ์แล้วจึงบังเกิด เมื่อพระโยคาพจรภิกษุพิจาณาเห็นชัดรู้สันทัด ว่านามรูปบังเกิดแต่เหตุปัจจัยโดยนัยดังพรรณามานี้แล้ว ลำดับนั้นก็จะเข้าใจประจักษ์ตลอดไปในอดีตแลอนาคตแลปัจจุบัน จะรู้ชัดสันทัดแท้ว่านามรูปในปัจจุบันนี้บังเกิดแต่เหตุปัจจัยแลมีฉันใด นามรูปในอดีตที่บังเกิดแล้วแต่หลัง ๆ นั้น ก็บังเกิดแต่เหตุแต่ปัจจัยฉันนั้น ถึงนามรูปที่จะบังเกิดต่อไปในอนาคตเบื้องหน้านั้น ๆ ก็จะบังเกิดแต่เหตุปัจจัยสิ้นด้วยกัน เมื่อเข้าใจแจ้งประจักษ์ตลอดไปในอดีตแลอนาคต ว่าเหมือนกันกับปัจจุบันนี้แล้ว ลำดับนั้นพระโยคาพจรภิกษุ ก็จะสละ วิจิกิจฉาเสียได้สิ้นทั้ง ๑๖ ประการ |
เจ้าของ: | นัน555 [ 26 มี.ค. 2009, 07:10 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: กัมมวัฎฎ์ |
แลวิจิกิจฉาทั้ง ๑๖ ประการ ![]() จัดเป็น วิจิกิจฉาในอดีต ๕ ในอนาคต ๕ ปัจจุบัน ๖ สิริเข้าด้วยกันเป็นวิจิกิจฉา ๑๖ ประการ ... ![]() วิจิกิจฉาในอดีต ๕ ประการนั้น คือสงสัยในอดีตชาติเบื้องหลัง ๆ ว่า “ อโห กึ นุ โข อหํ อตีตมทธานํ” ดังเรารำพึงในอดีตกาลเบื้องหลัง ๆ นั้น อาตมะได้บังเกิดหรือเป็นประการใด สงสัยฉะนี้เป็นอดีตวิจิกิจฉาเป็นปฐม แลอดีตวิจิกิจฉาเป็นคำรบ ๒ นั้น คือสงสัยว่าในอดีตกาลนั้น อาตมะไม่ได้บังเกิดหรือเป็นประการใด แลอดีตวิจิกิจฉาเป็นคำรบ ๓ นั้น คือ สงสัยว่าในอดีตกาลนั้นอาตมะได้เป็นขัตติยชาติ หรือพราหมณชาติ หรือเป็นชาวนา พ่อค้าพ่อครัวเป็นประการใด แลอดีตวิจิกิจฉาเป็นคำรบ ๔ นั้น คือสงสัยว่าในอดีตกาลนั้น อาตมะมีรูปพรรณสัณฐานใหญ่น้อยสูงต่ำดำขาวเป็นประการใด แลอดีตวิจิกิจฉาเป็นคำรบ ๕ นั้น คือ สงสัยว่าในอดีตกาลนั้น แต่แรกเริ่มเดิมทีอาตมะบังเกิดเป็นสิ่งดังฤๅ แล้วอาตมะมาบังเกิดเป็นสิ่งดังฤๅเล่า กำหนดสงสัยในอดีต ๕ ประการฉะนี้ ............. ![]() แลสงสัยในอนาคต ๕ ประการนั้น.... ![]() คือสงสัยว่า “ ภวิสฺสามิ นุ โข อหํ อนาคตมทฺธานํ” ในอนาคตเบื้องหน้านั้น อาตมาจะได้บังเกิดอีกหรือเป็นประการใด สงสัยฉะนี้เป็นอนาคตวิจิกิจฉาเป็นปฐม แลอนาคตวิจิกิจฉาเป็นคำรบ ๒ นั้น คือสงสัยว่าสืบต่อไปในอนาคตกาลเบื้องหน้านั้น อาตมะจักบ่มิได้บังเกิดอีกหรือเป็นประการใด แลอนาคตวิจิกิจฉาเป็นคำรบ ๓ นั้น คือสงสัยว่าสืบต่อไปในอนาคตกาลนั้น อาตมะจะได้บังเกิดเป็นขัตติยชาติ หรือจักได้บังเกิดเป็นพราหมณชาติหรือจักได้บังเกิดเป็นชาวนาพ่อค้าพ่อครัวเป็นประการใด แลอนาคตวิจิกิจฉาเป็นคำรบ ๔ นั้น คือสงสัยว่าสืบไปในอนาคตกาลเบื้องหน้านั้น อาตมะจักได้บังเกิดมีรูปพรรณสัณฐานใหญ่น้อยสูงต่ำดำขาวเป็นประการใด แลอนาคตวิจิกิจฉาเป็นคำรบ ๕ นั้น คือสงสัยว่าสืบไปในอนาคตกาลนั้น อาตมะจักได้บังเกิดในสิ่งดังฤๅก่อนแล้ว อาตมะจักบังเกิดเป็นสิ่งดังฤๅอีกเล่า กำหนดสงสัยในอนาคต ๕ ประการฉะนี้ ..... ![]() แลสงสัยในปัจจุบัน ๖ ประการนั้น.... ![]() คือสงสัยในสันดานอันเป็นภายในว่า “อหํ นุ โขสฺมิ ” ดังเรารำพึง ทุกวันนี้ได้ชื่อว่าอาตมะบังเกิดอยู่หรือไม่เป็นประการใด สงสัยฉะนี้ เป็นปัจจุบันวิจิกิจฉาเป็นปฐม แลปัจจุบันวิจิกิจฉาเป็นคำรบ ๒ นั้น คือสงสัยว่า “โน นุ โขสฺมิ ” ดังเรารำพึง ทุกวันนี้ได้ชื่อว่าอาตมะไม่ได้บังเกิดหรือเป็นประการใด แแลปัจจุบันวิจิกิจฉาเป็นคำรบ ๓ นั้น คือสงสัยว่าทุกวันนี้ได้ชื่อว่าอาตมะบังเกิดเป็นขัตติยชาติ หรือพราหมณชาติ หรือเป็นชาวนาพ่อค้าพ่อครัวเป็นประการใด แลปัจจุบันวิจิกิจฉาเป็นคำรบ ๔ นั้น คือสงสัยว่าทุกวันนี้ได้ชื่อว่าอาตมะบังเกิด มีรูปพรรณสัณฐานใหญ่น้อยสูงต่ำดำขาวเป็นประการใด แลปัจจุบันวิจิกิจฉาเป็นคำรบ ๕ นั้น คือสงสัยว่า “อยํ นุ โข สตฺโต กุโต อาคโต” ดังเรารำพึง สัตว์ผู้นี้มาแต่ไหน มาบังเกิดในที่นี้ แลปัจจุบันวิจิกิจฉาเป็นคำรบ ๖ นั้น คือสงสัยว่าสัตว์ผู้นี้มาบังเกิดในที่นี้แล้ว จักไปบังเกิดในที่ไหนอีกเล่า กำหนดสงสัยในปัจจุบัน ๖ ประการฉะนี้ .......... เมื่อพระโยคาพจรภิกษุ พิจารณาเห็นชัดรู้ว่าสันทัดว่านามแลรูปบังเกิดแต่เหตุแต่ปัจจัย เหมือนกันทั้งอดีตแลอนาคตปัจจุบันเห็นชัดฉะนี้แล้วก็จะสละละสงสัย ๑๖ ประการนั้นเสียได้ ด้วยอนุภาพปัญญาที่พิจารณาเห็นนามรูปกับทั้งเหตุแลปัจจัยนั้น ตกว่าปัญญาที่พิจารณาเห็นนามธรรมรูปธรรมกับทั้งเหตุแลปัจจัยนี้แลได้นามบัญญัติชื่อว่า กังขาวิตรณวิสุทธิ เป็นที่ชำระสันดานให้บริสุทธิ์ข้ามพ้นจากสงสัย ๑๖ ประการ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |