ลานธรรมจักร http://dhammajak.net/forums/ |
|
อรูปาวจรจิต : พระนิติเกษตรสุนทร http://dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=66&t=20666 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | แมวขาวมณี [ 17 ก.พ. 2009, 19:18 ] |
หัวข้อกระทู้: | อรูปาวจรจิต : พระนิติเกษตรสุนทร |
อรูปาวจรจิต อรูปาวจรจิต จิตที่ประกอบด้วยตัณหาอยากมีอยากเป็น ดิ้นรนประพฤติเป็นไปในอรูปภูมิ หมายถึงจิตที่ท่องเที่ยวติดอยู่ในอารมณ์ของอรูปฌาน คือฌานที่ไม่เพ่งรูป หรือฌานที่ไม่ยึดเอารูปเป็นอารมณ์ ท่านที่บรรลุ ปัญจมฌานในการยึดรูปดังกล่าวแล้วในรูปวจรจิต เกิดความเบื่อหน่ายเห็นว่า การยึดรูปยังมิใช่ทางที่จะหลุดพ้นจากทุกข์ได้ รูปยังเป็นอารมณ์แห่งทุกข์อยู่ การปราศจากรูปย่อมเป็นทางพ้นทุกข์ จึงได้กำหนดอารมณ์ใหม่โดยยึดเอาอารมณ์ที่ไม่มีรูป คือ อากาสวิญญาณ ความไม่มีอะไร และสัญญาเป็นอารมณ์ในการเพ่ง จนจิตนั้นเกิดเป็นฌานแน่วแน่ติดอยู่ในอารมณ์นั้นๆ เรียกว่า อรูปาวจรจิต (อรูปฌาน) เป็นจิตที่สูงกว่ารูปาวจรจิต(รูปฌาน) เพราะจะต้องได้รูปปัญจมฌานเสียก่อน จึงจะทำฌานในอรูปาวจรจิตได้ เป็นจิตที่เพ่ง โดยผู้บำเพ็ญเพียรมิได้มีความปรารถนาในรูป อารมณ์ที่ใช้ในการเพ่งของอรูปวจรจิตได้แก่ ธรรมารมณ์ซึ่งมีอยู่ ๔ ประการ คือ อากาสาบัญญัติ วิญญาณ นัตถิภาวะ(ความไม่มีอะไร) อรูปวจรจิตมี ๑๒ ดวง คือ อรูปวจรกุศลจิต ๔ อรูปวจรวิบากจิต ๔ อรูปวจรกิริยาจิต ๔ ๑.อรูปวจรกุศลจิต ๔ ได้แก่ ก.อากาสานัญจายตนะกุศลจิต คืออรูปฌานที่ ๑ มีอธิบายว่า เมื่อเจริญภาวนาจนได้ ปัญจมรูปฌานแล้ว รู้สึกเบื่อหน่ายที่เห็นว่ายังมีโทษในรูป โรคภัยไข้เจ็บอันตรายต่าง ๆ เกิดมีเป็นขึ้น เพราะอาศัยรูปเกาะเกี่ยวอยู่ จึงปรารถนาดิ้นรนจะให้พ้นไปจากรูป เมื่อปรารถนาแรงกล้ามากขึ้นก็มิได้กำหนดเอารูปกสิณเป็นอารมณ์ มีความใส่ใจในอากาศอันปราศจากรูปเป็นอารมณ์เจริญภาวนาอยู่ เวลาเมื่อรูปกสิณอันตรธานหายไปอากาศปรากฎแจ้งอยู่ในมโนทวาร อากาศนี้เรียกว่าเป็น กสิณุคฺฆาฎิมากาส คือความว่าง เช่นในปัญจมรูปฌานเพ่ง ปถวีกสิณ เมื่อต้องการทำอากาสานัญจายตนฌาน ก็เพิกอารมณ์ปถวีกสิณเสียเพ่งเอาอากาศที่ว่างจากกสิณนั้นเป็นภาวนาอารมณ์สืบไป โดยบริกรรมว่า อากาโส อนนฺโต ๆ อากาศไม่มีที่สุด ๆ จิตก็ละเอียดยิ่งขึ้น ๆ จนยังให้เกิดอากาสานัญจายตนฌาน ยึดหน่วงเอาอากาศนิมิตรนั้นเป็นอารมณ์ (เพิก คือไม่นึกถึงนิมิตรนั้น อนนฺตํ = ไม่มีที่สุดคือไม่มีเกิดดับ มีการเกิดขึ้นเพราะมนสิการ) ข.วิญญาณัญจายตนกุศลจิต คือ อรูปฌานที่ ๒ เป็นจิตพิจารณาเพ่งวิญญาณความรู้สึกไม่ที่สุด กล่าวคือ เมื่อการเจริญภาวนาจนได้บรรลุถึงอากาสานัญจายตนฌาน (อรูปฌานที่ ๑) และได้เพียรเจริญอยู่จนเกิดความชำนาญแล้ว เกิดความปรารถนาอยากได้ฌานที่สูงขึ้น อาจเห็นว่าอรูปฌานที่ตนได้แล้วนั้น ยังใกล้อยู่กับรูปฌาน จะได้ละเอียดเหมือนวิญญาณหาได้ไม่ อาจมีการเสื่อมไปได้ จึงน้อมเอาอารมณ์ที่มั่นคงกว่า โดยละจากอากาสานัญจายตนฌาน มาใส่ในวิญญาณที่รู้อากาสานัญจายตนฌานนั้น บริกรรมว่า วิญญานํ อนนฺตํ ๆ วิญญาณความรู้สึกไม่มีที่สิ้นสุด ๆ จนยังให้เกิดวิญญาณัญจายตนฌาน ค.อากิญจัญญายตนกุศลจิต คือ อรูปฌานที่ ๓ เป็นจิตพิจารณาเพ่งความไม่มีอะไร กล่าวคือเมื่อเจริญภาวนาอรูปฌานที่ ๒ คือ เพ่งวิญญาณที่รู้อากาสบัญญัติ จนวิญญาณัญจายตนฌานเกิด และมีความชำนาญในฌานนั้นแล้ว ภายหลังตระหนักในความว่างเปล่า เห็นว่าทั้งหมดทั้งปวงไม่มีอะไรเลย จึงละจากเพ่งวิญญาณความรู้สึกในอรูปฌานที่ ๒เสีย น้อมอารมณ์ที่ไม่มีอะไรเลยนั้นมาเจริญภาวนา โดยบริกรรมว่า นัตถิกิญจิ ๆ น้อยหนึ่งนิดหนึ่งไม่มี ๆ จนเกิดอากิญจัญญายตนฌาน ง.เนวสัญญานาสัญญายตนกุศลจิต คือ อรูปฌานที่ ๔ เป็นจิตพิจารณาเพ่งสัญญาความรู้อันละเอียด กล่าวคือ เมื่อการเจริญภาวนาอารมณ์ที่ไม่มีอะไรเลย จนอากิญจัญญายตนฌานเกิด สัญญาความรู้อันหยาบก็เปลี่ยนสภาพเป็นสัญญาละเอียดประณีตขึ้น การพิจารณาก็ปรากฎสัญญาบ้าง ไม่ปรากฎบ้าง จะว่ามีก็ไม่ใช่ จะว่าไม่ก็ไม่เชิง ทั้งนี้เป็นเพราะสัญญาความรู้นั้นละเอียดอ่อนประณีตยิ่งนัก กล่าวอีกนัยหนึ่ง สัญญาหยาบที่รู้ใช้เป็นกิจจะลักษณะได้นั้นไม่มี คงเหลือแต่สัญญาละเอียดที่จวนจะหมดและใช้ทำอะไรไม่ได้มีอยู่ เหมือนภาชนะใส่กระปิเอาน้ำล้างแล้ว เนื้อกระปิไม่มีแต่กลิ่นนั้นยังอยู่ เมื่อละจากความไม่มีอะไรในอากิญจัญญายตนฌานแล้ว ก็เอามาใส่ใจในสัญญาความรู้สึกอันละเอียดอ่อนนั้น โดยบริกรรมว่า เอตํ สนฺตํ เอตํ ปณีตํ ๆ นี้สงบ นี้ประณีต ๆ จนยังให้เกิดเนวสัญญายตนฌาน (อารมณ์ของรูปฌานโปรดดูอารัมมณปัจจยประกอบด้วย) ๒.อรูปวจรวิบากจิต ๔ เป็นผลของอรูปาวจรกุศล กล่าวคือเมื่ออรูปฌานกุศลจิตใดเกิดขึ้น วิิบากคือผลก็เกิดขึ้นตามอรูปฌานนั้น เป็นมหัคคตกุศลละเอียดประณีตสูงกว่ารูปฌาน เมื่อตายจากปัจจุบันชาติ ถ้าจุติจิตยังหน่วงในอารมณ์อรูปฌานอยู่ ก็ไปบังเกิดในอรูปพรหมตามชั้นของฌานที่ได้ ๓.อรูปาวจรกิริยาจิต ๔ เป็นจิตของพระอรหันต์ในขณะที่อยู่ในฌานสมาบัติของอรูปาวจร เป็น มหัคคตกิริยาไม่มีวิบากที่จะให้ผลในต่อไป เพราะพระอรหันต์หมดอาสวกิเลสและไม่มีการเกิดอีก อรูปพรหมที่ไม่ใช่พระอริยะ คือสามัญพรหม ปุชนที่ยังไม่ได้มรรคจิตเบื้องต่ำ ย่อมไม่สามารถปฏิบัติให้ได้มรรคผล เพราะการที่จะปฏิบัติให้ได้มรรคผลต้องอาศัยรูปนามเป็นอารมณ์ แต่อรูปพรหมนั้นไม่มีปรารถนารูป จึงมีแต่นามประการเดียว แต่อย่างไรก็ดี อรูปธรรมก็เป็นคุณวิเศษอยู่มาก เพราะตราบใดที่ยังครองรูปขันธ์อยู่ ย่อมต้องเผชิญกับทุกข์ตางๆ นานาประการ พ้นจากรูปสัญญาไปได้แล้ว สัญญาอันเกิดจากรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ทั้งดีและชั่วก็ไม่เกิดขึ้น ทุกข์ เพราะรูปสัญญานั้น ๆ ก็ไม่มี อรูปาวจรกุศลถ้าไม่เสื่อม หรืออันตรายสลายไป ย่อมได้รับผลคือ วิบากเกิดเป็นอรูปพรหมในชาติที่ถัดจากปัจจุบันชาติไป ถ้าฌานนั้นเสื่อมเป็นอันตรายก็ไม่ได้รับผลและเป็นอโหสิกรรม คือกรรมที่ไม่มีโอกาสให้ผลสนองในต่อไป การเจริญสมถภาวนาคือการทำฌาน มีอารมณ์ หรือที่เรียกว่าอารมณ์กรรมฐานสำหรับเจริญสมภาวนา ๔๐ ประการ คือ กสิณ ๑๐ อสุภ ๑๐ อนุสสติ ๑๐ อัปมัญญาหรือพรหมวิหาร ๔ อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ จตุธาตุววัตถาน ๑ และ อรูปกรรมฐาน ๔ ที่มา : พระอภิธรรมสังเขปและธรรมบางประการที่น่าสนใจ; พระนิติเกษตรสุนทร; ๒๕๐๕; หน้า ๓๘-๔๓ |
เจ้าของ: | ฌาณ [ 23 ก.พ. 2009, 21:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อรูปาวจรจิต...พระอภิธรรมสังเขป... |
![]() ![]() |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |