วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 19:45  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 01:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ธ.ค. 2009, 22:46
โพสต์: 167

แนวปฏิบัติ: buddhism
อายุ: 0
ที่อยู่: nontaburi

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8:

สัตว์ดิรัจฉานทำบุญ ทำบาปได้หรือไม่

น่าจะเป็นอภิธรรม เลยจับมาลงตรงนี้ครับ

ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ


เป็นสัตว์มีกายกับจิต เมื่อมีจิต ก็ต้องมีกุศลจิต และ อกุศลจิตด้วย แล้วแต่ว่าอกุศลจิตจะเกิดมาก หรือ กุศลจิตจะเกิดมาก

กำเนิดสัตว์ดิรัจฉานนั้น โดยภาวะที่ไม่เอื้อหลายอย่าง ไม่มีกัลยาณมิตรที่ดี ไม่ได้มีคนชักนำ ไม่ได้เรียนรู้ มีความเข้าใจทรงจำน้อย และสั้น กุศลจิต จะเป็นญาณวิปปยุตย่อมเกิดได้น้อยกว่าภูมิมนุษย์

ฉะนั้น จิตส่วนใหญ่จึงเป็นอกุศลมากกว่า


พิจารณาเรื่องนี้ประกอบครับ

เรื่องมาใน อรรถกถา อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต


.......ก่อนพระศาสดาของเราบังเกิด เกิดอหิวาตกโรคขึ้นในแคว้นอัลลกัปปะ.
ในเรือนหลังหนึ่งๆ คน ๑๐ คนบ้าง ๒๐ คนบ้าง ๓๐ คนบ้างก็ตายพร้อมๆ กัน.
ส่วนผู้คนที่หนีไปนอกแคว้นได้ ก็รอดชีวิต. บุรุษผู้หนึ่งรู้เรื่องนั้นแล้วก็พาบุตรภริยาของตนหนีไปนอกแคว้นนั้น ด้วยหมายจะไปแคว้นอื่น.


คราวนั้น เสบียงเดินทางที่เอามาด้วย ยังไม่ทันข้ามทางกันดารในระหว่างทาง
ก็เกิดหมดสิ้นไป. เรี่ยวแรงร่างกายของพวกเขาก็ลดลง. มารดา บิดาก็ผลัดกันอุ้มบุตร


ครั้งนั้น บิดาของบุตรนั้นจึงคิดว่า เรี่ยวแรงร่างกายของพวกเขาก็ลดลงแล้ว จะแบกบุตรเดินไปคงไม่อาจข้ามทางกันดารไปได้.
บุรุษนั้นแอบไม่ให้ภรรยารู้ วางบุตรทิ้งไว้กลางทาง แล้วก็เดินทางไปลำพังคนเดียว.


คราวนั้น ภริยาของเขาคอยเขามาไม่เห็นบุตรในมือก็ร้องกล่าวว่า บุตรฉันไปไหนล่ะนาย.
เขาพูดปลอบว่า เจ้าต้องการบุตรไปทำไม เรายังมีชีวิตอยู่จักได้บุตรเอง.
นางกล่าวว่า ชายผู้นี้ใจร้ายนักหนอ แล้วกล่าวว่า ท่านไปเถิด ฉันไม่ไปกับท่านดอก.
เขากล่าวว่า แม่นางจ๋า ฉันไม่ทันใคร่ครวญได้ทำไปแล้ว จงยกโทษข้อนั้นแก่ฉันเสียเถิด
แล้วกลับไปเอาบุตรไปด้วย.
คนเหล่านั้นข้ามทางกันดารนั้นแล้ว เวลาเย็นก็ถึงบ้านคนเลี้ยงโคตำบลหนึ่ง.


วันนั้น พวกบ้านคนเลี้ยงโค หุงข้าวปายาสไม่มีน้ำ เห็นคนเหล่านั้น ก็คิดว่า คนเหล่านี้คงหิวจัด จึงเอาปายาสใส่เต็มภาชนะใหญ่ ลาดเนยเต็มกระบวยให้ไป
เมื่อคนเหล่านั้นบริโภคข้าวปายาสนั้น สตรีนั้นก็บริโภคพอประมาณ ส่วนบุรุษบริโภคเกินประมาณ
ไม่อาจให้ไฟธาตุย่อยได้ ก็ทำเสียชีวิตในเวลาหลังเที่ยงคืน
.

เขาเมื่อเสียชีวิต เพราะยังมีความอาลัยในคนเหล่านั้น จึงถือปฏิสนธิในท้องนางสุนัขในเรือน
ของพวกคนเลี้ยงโค. ไม่นานนัก นางสุนัขก็ออกลูก คนเลี้ยงโคเห็นสุนัขนั้นมีลักษณะสง่างาม
ก็ปรนเปรอด้วยก้อนข้าว จึงพาสุนัขที่เกิดความรักในตนเที่ยวไปด้วยกัน.


ต่อมาวันหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่งมาถึงบ้านของคนเลี้ยงโค
ในเวลาแสวงหาอาหาร คนเลี้ยงโคนั้นเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นแล้ว
ก็ถวายอาหาร จึงนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้าไว้. พระปัจเจกพุทธเจ้าก็เข้าอยู่
ณ ราวป่าแห่งหนึ่ง ไม่ไกลจากบ้านคนเลี้ยงโค.


คนเลี้ยงโคไปสำนักพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็พาสุนัขนั้นไปด้วย ก็ตีต้นไม้หรือแผ่นหินเพื่อไล่สัตว์ร้าย ในที่อยู่สัตว์ร้ายระหว่างทาง แม้สุนัขนั้นก็กำหนดจำวิธีทำของคนเลี้ยงโคนั้นไว้.

ต่อมาวันหนึ่ง คนเลี้ยงโคนั่งในสำนักพระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า ท่านผู้เจริญ กระผมมาไม่ได้ทุกครั้ง แต่สุนัขนี้ฉลาด
ขอให้เข้าใจว่าเมื่อสุนัขนี้มาหาแล้ว ก็จะนำท่านมายังประตูเรือนของกระผมได้
.

วันหนึ่ง คนเลี้ยงโคนั้นก็ส่งสุนัขไปด้วยกล่าวว่า เจ้าจงพาพระปัจเจกพุทธเจ้ามา.
สุนัขนั้นฟังคำของคนเลี้ยงโคนั้นก็ไปในเวลาแสวงหาอาหาร ก็เอาอกหมอบแทบเท้าพระปัจเจกพุทธเจ้า.

พระปัจเจกพุทธเจ้ารู้ว่าสุนัขนี้มาหาเราแล้ว ก็ถือบาตรจีวรเดินทาง
แต่ท่านจะทดลองสุนัขนั้น จึงแยกออกเดินทางอื่น สุนัขก็ยืนขวางหน้า
ต้อนให้ไปทางที่ไปหมู่บ้านคนเลี้ยงโค ก็ในที่ใด คนเลี้ยงโคตีต้นไม้หรือแผ่นหินเพื่อขับไล่สัตว์ร้าย
สุนัขถึงที่นั้นแล้ว ก็ส่งเสียงเห่าดังๆ ด้วยเสียงของสุนัขนั้น สัตว์ร้ายทั้งหลายก็หนีไป.


แม้พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ให้ก้อนข้าวที่เย็นๆ ก้อนใหญ่แก่มัน เวลาฉันเสร็จแล้ว
แม้สุนัขนั้นก็รักอย่างยิ่งในพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยความอยากได้ก้อนข้าว
คนเลี้ยงโคถวายผ้าพอแก่การที่จะทำจีวรได้ ๓ ผืน แก่พระปัจเจกพุทธเจ้าตลอดไตรมาสแล้วกล่าวว่า
ท่านเจ้าข้า ถ้าท่านชอบใจก็โปรดอยู่เสียในที่นี้นี่แหละ แต่ถ้าไม่ชอบใจก็โปรดไปได้ตามสบาย.
พระปัจเจกพุทธเจ้าแสดงอาการว่าจะไป คนเลี้ยงโคตามไปส่งพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วก็กลับ.


สุนัขรู้ว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าไปที่อื่น ก็เกิดความโศกเศร้าอย่างแรงเพราะรัก หัวใจแตกตาย ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์.
ก็โดยที่สัตว์ร้ายหนีไป เพราะสุนัขนั้นทำเสียงดังเวลาไปกับพระปัจเจกพุทธเจ้า เสียงของเทวบุตรนั้น
เมื่อพูดกับเหล่าเทวดาจึงกลบเสียงเทวดาเสียสิ้น ด้วยเหตุนั้นนั่นแล เทวบุตรนั้นจึงได้ชื่อว่าโฆสกเทพบุตร
(แปลว่าเทพบุตรเสียงกังวาน เสียงดัง เสียงก้อง เสียงดี).......... (มีต่ออีก)


มีพิสดารเยอะ สำนวนไม่ได้ขัดเกลา แบบโบราณ ๆ ลองพิจารณาอ่านเพลิน ๆ ครับ

เผื่อมีคนรักสัตว์ จะพยายามฝึกสัตว์ให้ทำดี ไม่ต้องรอทำบุญให้ครั้งเดียวตอนตายแล้ว

:b42: :b42: :b42:


แก้ไขล่าสุดโดย ไวโรจนมุเนนทระ เมื่อ 21 ม.ค. 2010, 01:50, แก้ไขแล้ว 2 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 09:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ธ.ค. 2009, 22:46
โพสต์: 167

แนวปฏิบัติ: buddhism
อายุ: 0
ที่อยู่: nontaburi

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue

ช่วยกันพิจารณาครับ

รูปภาพ


คนแห่พิสูจน์ "หมาสวดมนต์"แน่นวัด เผยเป็นพันธุ์ชิวาวาพระตั้งชื่อ "โคนัน" เพราะขอบตาคล้ายใส่แว่นเหมือนการ์ตูนยอดฮิตญี่ปุ่น ทุกวันเวลาพระเริ่มสวดจะทำท่ายืนด้วยสองขาหลัง ส่วนขาหน้ายกขึ้นประกบเหมือนคนพนมมือสวดมนต์ สร้างความประทับใจให้ผู้พบเห็นจนพูดปากต่อปากและแห่มาพิสูจน์แน่นวัดในเมืองโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น พระเตรียมฝึกให้นั่งสมาธิเป็นลำดับต่อไป

เมื่อวันที่ 24 มี.ค. สำนักข่าวเอพีและเอเอฟพีรายงานว่า ชาวเมืองนาฮา จังหวัดโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น แห่ไปยังวัดนิกายเซน ชูริ-คันนันโดะ เพื่อดู "หมาสวดมนต์" ซึ่งกลายเป็นดาราดังประจำเมือง ให้เห็นกับตาตัวเอง โดยสุนัขตัวดังกล่าวเป็นพันธุ์ชิวาวา เพศผู้ อายุปีครึ่ง ชื่อเจ้า "โคนัน" ที่ทางวัดเลี้ยงเอาไว้ มีสีขาวสลับดำ ตรงรอบขอบตาเป็นสีดำดูเหมือนคนใส่แว่น แบบตัวละคร "โคนัน ยอดนักสืบจิ๋ว" การ์ตูนยอดฮิตของญี่ปุ่น

พระโยอิ โยชิคูนิ เจ้าอาวาสวัดเซนชูริ-คันนันโดะ กล่าวว่า ทุกๆ วันเวลาพระเริ่มสวดในโบสถ์เจ้าโคนันจะเข้ามานั่งด้วย จ้องมองพระพุทธรูปในวัด พร้อมกับทำท่ายืนด้วยขาหลัง ส่วนขาหน้าทั้งสองขาจะยกขึ้นมาประกบกันเหมือนเวลาคนเราพนมมือสวดมนต์ เรียกเสียงฮือฮาจากบรรดาญาติโยมที่มาพบเห็นและบอกกันไปปากต่อปาก จนปัจจุบันมีทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยวแห่มาพิสูจน์ด้วยตาตัวเองว่า โคนันสวดมนต์ได้จริงหรือไม่

"ทุกวันนี้สถิติคนที่มาที่วัดเพิ่มขึ้นมากกว่าในอดีตถึง 30 เปอร์เซ็นต์ โคนันใช้เวลาเรียนรู้หัดทำท่าสวดมนต์ได้ภายใน 2-3 วันเท่านั้นเอง อาตมาคิดว่ามันทำแบบนี้เพราะเห็นอาตมาทำทุกวันเลยอยากทำตามอย่างบ้าง หรือไม่ก็อาจทำเพื่อขอบคุณที่วัดเราคอยดูแลมัน" พระโยอิกล่าว และว่า ขณะนี้กำลังทดลองฝึกให้โคนันนั่งสมาธิ แต่แน่นอนว่าไม่ใช่นั่งขัดสมาธิเหมือนคน เพียงแค่อยากให้มันนั่งนิ่งๆ อยู่เฉยๆ ในช่วงที่พระนั่งทำสมาธิเท่านั้น

ด้านนายคาซูโกะ โอชิโร วัย 71 ปี ชาวบ้านที่มาทำบุญสวดมนต์ที่วัดชูริเป็นประจำ กล่าวว่า สิ่งที่โคนันทำนั้นทั้งขำและทั้งแปลก ถ้ามีใครมานั่งทับที่ประจำของมันขณะสวดมนต์มันจะออกอาการหงุดหงิดฉุนเฉียว ในแต่ละสัปดาห์มีคนมาที่วัดเพื่อขอถ่ายรูปคู่กับโคนันจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น

:b53: :b53: :b53:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 10:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 10:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ธ.ค. 2009, 22:46
โพสต์: 167

แนวปฏิบัติ: buddhism
อายุ: 0
ที่อยู่: nontaburi

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: :b42: :b42:

ประกอบการพิจารณาครับ

รูปภาพ



พบวัวเพศเมียอายุ 1 ปี ออกเดินตามพระบิณฑบาตทุกวันเป็นระยะทาง 2 กิโลเมตร ชอบกินข้าวที่เหลือจากพระ และน้ำอัดลม

กรณีพบลูกวัวกำพร้าแม่เกิด 3 วันแม่ตาย เจ้าของนำมาถวายพระครูวีระธรรมโสภณ เจ้าอาวาสวัดสะเดา หมู่ 7 ต. บางกระบือ อ.เมือง จ.สิงห์บุรี เจ้าอาวาสได้มอบให้พระมนัส เข็มงาน อายุ 44 ปี พระลูกวัดเป็นคนเลี้ยงดูลูกวัวตัวดังกล่าว โดยมีพฤติกรรมกินข้าวก้นบาตรและน้ำอัดลม ทุกเช้าจะมายืนรอพระมนัสเพื่อออกบิณฑบาตพร้อมกัน

สำหรับลูกวัวตัวนี้จะเดินตามพระมนัสทุกวันเป็นระยะทาง 2 กิโลเมตร จนเป็นที่กล่าวขานของคนละแวกนั้นว่าพระมีลูกวัวเป็นลูกศิษย์ หลังจากชาวบ้านตื่นเตรียมอาหารใส่บาตรพระแล้วยังเตรียมข้าวและแตงโม กล้วยน้ำว้า ฝานใส่ถาดคลุกกับข้าวสุกให้ลูกวัวตัวนี้กินพร้อมน้ำอัดลมตามท้าย ขนาดขวดลิตรให้กินด้วย

เมื่อ 05.30 น. วันที่ 26 พ.ค. ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่วัดสะเดา ม.7 ต. บางกระบือ เพื่อสังเกตการณ์โดยได้ไปที่บ้านเลขที่ 82 ม.7 บ้านของนายพเยาว์ ไม้ดัด อายุ 54 ปี เจ้าของร้านพเยาว์ฟอร์นิเจอร์ พบว่ามีชาวบ้านมายื่นรอใส่บาตรหลายคน พอถึงเวลาพระมนัสเดินมาถึงบริเวณดังกล่าว ก็ได้เห็นลูกวัวเพศเมียแสนรู้ ชื่อ “สีนวล” อายุ 1 ปี เดินตามหลังพระมาด้วยไม่มีอาการตื่นคนแม้จะมีสุนัขเดินตามก็ไม่กลัว

วัวแสนรู้ตัวดังกล่าวเป็นวัวของนางสุพรรณี นิลเนตร อายุ 42 ปี อยู่บ้านเลขที่ 4/2 ม. 4 ต. เชียงรากน้อย อ. บางไทร จ. พระนครศรีอยุธยา ซึ่งนางสุพรรณีได้เลี้ยงแม่วัวตัวหนึ่งไว้เป็นวัวไทยเกิดตั้งท้องออกลูกมาได้ 3 วัน แม่วัวก็ตายจึงได้เลี้ยงลูกวัวไว้โดยเลี้ยงด้วยนมผงเลี้ยงเด็กประมาณ 2 เดือนจึงนำมาถวายพระครูวีระธรรมโสภณ เจ้าอาวาสวัดสะเดา ลูกวัวตัวดังกล่าวเป็นวัวที่แสนรู้ ชอบเดินเคลียคลอกับประชาชนที่เข้ามาในวัดเหมือนกับเด็กที่ประจบผู้ใหญ่เพื่อขอน้ำอัดลมดื่ม ซึ่งผู้ที่เข้ามาในวัดต่างรักใคร่ลูกวัวตัวดังกล่าว สร้างความประหลาดใจให้กับผู้ที่มาวัดเป็นอย่างมาก

พระมนัส กล่าวเพิ่มเติมว่า วัวตัวนี้ไม่กินหญ้าเป็นอาหารตั้งแต่เข้ามาอยู่วัด ซึ่งอาหารที่วัวสีนวลกินอยู่ทุกวันคือ อาหารที่ได้มาจาการที่ชาวบ้านใส่บาตรให้ รวมถึงน้ำอัดลมจะชื่นชอบมาก "สีนวล"เป็นวัวที่กินอาหารจุมากหลังจากพระฉันอาหารแล้ว ต้องนำข้าวก้นบาตรมาคลุกรวมให้กิน ส่วนน้ำดื่ม หากได้น้ำอัดลมมาก็จะเปิดให้กิน

:b48: :b48: :b48:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 12:37 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ธ.ค. 2009, 22:46
โพสต์: 167

แนวปฏิบัติ: buddhism
อายุ: 0
ที่อยู่: nontaburi

 ข้อมูลส่วนตัว


tongue

ประกอบการพิจารณาครับ

เทพบุตรกบ


รูปภาพ


มัณฑุกเทวปุตตวิมานขุททกนิกาย วิมานวัตถุ มหารถวรรคที่ ๕ พระไตรปิฎกเล่ม ๑๖

พระผู้มีพระภาคตรัสถามมัณฑุกเทพบุตรว่า

[๕๑] ใครมีวรรณะงามยิ่งนัก รุ่งเรืองด้วยฤทธิ์และยศ ยังทิศทั้งปวงให้สว่าง
ไสว ไหว้เท้าทั้งสองของเราอยู่?


มัณฑุกเทพบุตรกราบทูลว่า

เมื่อชาติก่อน ข้าพระองค์เป็นกบเที่ยวหาอาหารอยู่ในน้ำ เมื่อข้าพระองค์
กำลังฟังธรรมของพระองค์อยู่ คนเลี้ยงโคได้ฆ่าข้าพระองค์ ขอพระองค์
ทรงดูฤทธิ์ ยศ อานุภาพ ผิวพรรณและความรุ่งเรืองของข้าพระองค์
ผู้มีจิตเลื่อมใสครู่หนึ่งเท่านั้น ข้าแต่พระโคดม ก็ผู้ใดได้ฟังธรรมของ
พระองค์สิ้นกาลนาน ผู้นั้นพึงได้บรรลุนิพพานอันเป็นฐานะไม่หวั่นไหว
เป็นสถานที่ที่ไปแล้วไม่เศร้าโศกเป็นแน่.



อรรถกถามัณฑูกเทวปุตตวิมาน ท่านอธิบายไว้ว่าอย่างนี้

มัณฑูกเทวปุตตวิมานเกิดขึ้นอย่างไร?

พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ริมฝั่งสระโบกขรณี ชื่อคัคครา นครจัมปา.

เวลาใกล้รุ่ง พระองค์ทรงเข้ามหากรุณาสมาบัติอันเป็นพุทธาจิณวัตร ทรงออกจากสมาบัตินั้น แล้วทรงตรวจดูเหล่าสัตว์พวกที่เป็นเวไนยพอจะแนะนำได้ ทรงเห็นว่า เวลาเย็นวันนี้ เมื่อเรากำลังแสดงธรรม กบตัวหนึ่งถือนิมิตในเสียงของเรา จักตายด้วยความพยายามของผู้อื่นแล้วบังเกิดในเทวโลก มาให้มหาชนเห็นพร้อมด้วยเทพบริวารเป็นอันมาก คนเป็นจำนวนมากจักได้ตรัสรู้ธรรมในที่นั้น.

ครั้นทรงเห็นแล้ว เวลาเช้าทรงนุ่งแล้วทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังจัมปานครพร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่ ทรงทำให้ภิกษุทั้งหลายหาบิณฑบาตได้ง่าย เสวยภัตกิจ เสร็จแล้วเสด็จเข้าพระวิหาร.

เมื่อภิกษุทั้งหลายทำวัตรปฏิบัติแล้วไปที่พักกลางวันของตนๆ ก็เสด็จเข้าพระคันธกุฎี ทรงใช้เวลาครึ่งวันให้หมดไปด้วยสุขในผลสมาบัติ เวลาเย็นเมื่อบริษัททั้ง ๔ ประชุมกัน เสด็จออกจากพระคันธกุฎีอันหอมตลบ เสด็จเข้ามณฑปศาลาประชุมธรรม ริมฝั่งสระโบกขรณี ด้วยพระปาฏิหาริย์ซึ่งเหมาะแก่ขณะนั้น ประทับนั่งเหนือพระบวรพุทธอาสน์ที่ประดับไว้ ทรงเปล่งพระสุรเสียงเพียงดังเสียงพรหม ซึ่งประกอบด้วยองค์ ๘ ราวกะว่าพญาไกรสรสีหราชมิหวาดหวั่น บันลือสีหนาทเหนือพื้นมโนศิลาฉะนั้น ทรงเริ่มแสดงธรรมด้วยพระพุทธสีลาอันหาอุปมามิได้ ด้วยพระพุทธานุภาพอันเป็นอจินไตย.

ในขณะนั้น กบตัวหนึ่งมาแต่สระโบกขรณี จึงนอนถือนิมิตในพระสุรเสียงด้วยธรรมสัญญาว่านี้เรียกว่าธรรม อยู่ท้ายบริษัท.

ขณะนั้น คนเลี้ยงลูกโคคนหนึ่งมายังที่นั้น เห็นพระศาสดากำลังทรงแสดงธรรม และบริษัทกำลังฟังธรรมอย่างสงบเงียบส่งใจไปในเรื่องนั้น ยืนถือไม้ [สำหรับต้อนโค] ไม่ทันเห็นกบจึงได้ยืนปักไม้บนหัวกบเข้า.

กบมีจิตเลื่อมใสด้วยธรรมสัญญา ทำกาละตายในขณะนั้นเอง ไปบังเกิดในวิมานทอง ๑๒ โยชน์ ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเหมือนหลับแล้วตื่นขึ้น เห็นตนถูกหมู่อัปสรแวดล้อม นึกดูว่า เรามาแต่ไหนจึงบังเกิดในที่นี้ เห็นชาติก่อนนึกทบทวนดูว่า เราเกิดในที่นี้และได้รับสมบัติเช่นนี้ เราทำกรรมอะไรหนอ ไม่เห็นกรรมอื่น นอกจากถือนิมิตในพระสุรเสียงของพระผู้มีพระภาคเจ้า

เทพบุตรนั้นมาพร้อมด้วยวิมานในขณะนั้นเอง ลงจากวิมานทั้งที่มหาชนเห็นอยู่นั่นแล เข้าไปถวายบังคมพระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า แล้วยืนประคองอัญชลีนมัสการอยู่ ด้วยอานุภาพทิพย์ยิ่งใหญ่ ด้วยบริวารหมู่ใหญ่.

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเทพบุตรนั้น เพื่อจะทรงทำผลแห่งกรรมและพุทธานุภาพให้ประจักษ์แก่มหาชน จึงตรัสถามว่า

ใครรุ่งเรืองด้วยฤทธิ์ ด้วยยศ มีวรรณะงามทำทิศทุกทิศให้สว่างไสว กำลังไหว้เท้าของเรา.

ครั้งนั้น เทพบุตรเมื่อกระทำให้แจ้งซึ่งชาติก่อนเป็นต้นของตน ได้ทูลพยากรณ์ด้วยคาถาเหล่านี้ว่า

เมื่อชาติก่อน ข้าพระองค์เป็นกบอยู่ในน้ำ มีน้ำเป็นถิ่นที่หากิน กำลังฟังธรรมของพระองค์อยู่ คนเลี้ยงโคก็ฆ่าเสีย ขอพระองค์โปรดดูฤทธิ์และยศ.

ดูอานุภาพวรรณะและความรุ่งเรืองของความเลื่อมใสแห่งจิตเพียงครู่เดียวของข้าพระองค์.

ข้าแต่ท่านพระโคดม ชนเหล่าใดได้ฟังธรรมของพระองค์ตลอดกาลยาวนาน ชนเหล่านั้นก็ถึงฐานะที่ไม่หวั่นไหว ซึ่งคนไปแล้วไม่เศร้าโศกเลย.

พระองค์ได้ฟังแล้ว คือได้โอกาสที่จะฟังพระธรรมของพระองค์ตลอดเวลานาน สัตว์เหล่านั้นชื่อว่าทำลายสังสารวัฏเด่นชัดตลอดกาลนาน สัตว์เหล่านี้ไปในที่ใดไม่พึงเศร้าโศก สัตว์เหล่านั้นถึงที่นั้นที่ไม่เศร้าโศก อันชื่อว่าไม่หวั่นไหว เพราะความเป็นของเที่ยง คือสันติบท (พระนิพพาน) เพราะถึงสันติบทนั้น สัตว์เหล่านั้นจึงไม่มีอันตราย.


ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูอุปนิสัยสมบัติของเทพบุตรนั้น และของบริษัทที่ประชุมกันอยู่ แล้วทรงแสดงธรรมโดยพิสดาร.

จบเทศนา เทพบุตรนั้นตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล สัตว์แปดหมื่นสี่พันได้ตรัสรู้ธรรม.
เทพบุตรนั้นถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทำประทักษิณ ทำอัญชลีแด่ภิกษุสงฆ์ พร้อมด้วยบริวารกลับเทวโลก.


. :b42: :b42: :b42: .


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 17:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2007, 11:39
โพสต์: 85

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8:

อ่านกระทู้แล้ว ทำให้นึกถึงเรื่องเก่า ๆ ไม่รู้ว่าสมควรถามรึเปล่า
แต่เก็บไว้ ก็อัดอั้นตันใจ ขอถามนะครับ


คือครอบครัวเป็นคนบ้านนอก ชาวนา สมัยยังเด็กทำนาเยอะมาก แล้วที่บ้านก็เลี้ยงควายเอาไว้
หลาย ๆ ตัว เอาไว้ไถนา คราดนา ทุกอย่าง เวลาฝึกมันไถนา มันก็ฝืนอยู่สักพัก เราตีมัน ๆ ก็ยอม
แต่พอมันเป็นมันก็ทำนา ไถนาให้ตามปกติ มันไม่ฝืน

ทีนี้ มาถึงคำถาม

1.ควายไถนา ช่วยคนให้มีข้าวกิน ควายมันจะได้บุญมั๊ย (คือไม่รู้ว่าควายมันดีใจ หรือเสียใจ)
2.คนเลี้ยงควายไว้ไถนา จะได้บุญ หรือได้บาบ
3.คนกะควาย จะถือว่าเป็นผู้มีพระคุณต่อกัน ได้รึปล่าว คนได้ข้าว ควายได้บุญ ประมาณนั้น


ขอถาม 3 ข้อนี้ครับ

กราบขอบพระคุณมาก ๆครับ


:b8: :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย aswakos เมื่อ 21 ม.ค. 2010, 17:38, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 17:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


aswakos เขียน:
:b8: :b8:

อ่านกระทู้แล้ว ทำให้นึกถึงเรื่องเก่า ๆ ไม่รู้ว่าสมควรถามรึเปล่า
แต่เก็บไว้ ก็อัดอั้นตันใจ ขอถามนะครับ


คือครอบครัวเป็นคนบ้านนอก ชาวนา สมัยยังเด็กทำนาเยอะมาก แล้วที่บ้านก็เลี้ยงควายเอาไว้
หลาย ๆ ตัว เอาไว้ไถนา คราดนา ทุกอย่าง เวลาฝึกมันไถนา มันก็ฝืนอยู่สักพัก เราตีมัน ๆ ก็ยอม
แต่พอมันเป็นมันก็ทำนา ไถนาให้ตามปกติ มันไม่ฝืน

ทีนี้ มาถึงคำถาม

1.ควายไถนา ช่วยคนให้มีข้าวกิน ควายมันจะได้บุญมั๊ย (คือไม่รู้ว่าควายมันดีใจ หรือเสียใจ)
2.คนเลี้ยงควายไว้ไถนา จะได้บุญ หรือได้บาบ
3.คนกะควาย จะถือว่าเป็นผู้มีพระคุณต่อกัน ได้รึปล่าว คนได้ข้าว ควายได้บุญ ประมาณนั้น


ขอถาม 3 ข้อนี้ครับ

กราบขอบพระคุณมาก ๆครับ


:b8: :b8:



:b14: :b14: :b14: :b2: :b2: :b2:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 19:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


น่าคิดนะครับ

ต้องได้สิ


ถ้าใครบังเอิญได้เป็นเดรัจฉานแล้ว ไม่สามารถมีบุญได้
แสดงว่า วัฏสงสารนี้เป้นลักษณะขาเดียว คือวันเวย์
คือไม่มีทางโงหัวขึ้นเลย มีแต่ตกลงเรื่อยๆ
ซึ่งขัดกับพระไตรปิฏก
ที่ปรากฏมากมายว่ามีสัตว์เดรัจฉาน ได้เกิดในภูมิที่ดีขึ้น
เช่นพระพุทธเจ้าเคยเป็นนก เป็นอะไรต่อมิอะไรมาก่อน

อีกทั้งพระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญบารมี
ไม่เฉพาะแต่ในฐานะมนุสภูมิเท่านั้น
พระองค์ยังเสวยพระชาติเป้นอะไรต่อมิอะไรเพื่อบำเพ็ญบารมีด้านต่าง

ด้วยวิธีคิดแบบนี้ แน่นอนว่าสัตว์ย่อมบำเพ็ญบารมีได้

แต่ลำบากกว่าคนมาก

ทั้งหมดนี้ความเห็นส่วนตัวนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 21:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ก.พ. 2009, 20:42
โพสต์: 699


 ข้อมูลส่วนตัว


ขึ้นอยู่กับว่า ไปเกิดเป็นเดรัจฉานด้วยเหตุอะไร...

ถ้าเกิดด้วยจิตที่ต่ำ ก็ย่อมยากที่จะไปเกิดในภูมิที่สูงกว่า มีแต่จะต่ำลงเรื่อยๆ แต่ถ้าเกิดโดยพลาด เช่น อาลัยอาวรณ์ หรือตั้งจิตไปเกิด หรืออะไรก็ตามที เมื่อพ้นจากสภาพสัตว์ ก็มีโอกาสที่จะไปเกิดในภูมิที่สูงกว่า

สัตว์และมนุษย์มีสังขาร ทำให้จิตที่มาเกิด ต้องติดอยู่ในสังขารนั้นจนกว่าจะสิ้น
สัตว์มีหลายชนิด ถ้าเกิดเป็นสัตว์ที่มีพัฒนาการสมองมาก ความทรงจำสูง ก็มีโอกาสทำดีได้ โดยมากจะเป็นสัตว์ใหญ่ เช่น ช้าง ซึ่งมักมีพฤติกรรมตามธรรมชาติ ที่เอื้อต่อสัตว์เล็กอยู่แล้ว (ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม)
แต่ถ้าพูดถึง "โดยทั่วไป" เดรัจฉานนั้น ยากจะทำดีได้ ถ้าตายลงไปเป็นเปรต ก็ยังพอมีโอกาสได้รับทาน กลายเป็นมนุษย์ได้

ในวัฎสงสารนี้ จิตมักไหลต่ำลงไปเรื่อยๆ ที่ขึ้นไปนั้นมีน้อย... มืดมาก็มักจะมืดไป สว่างมาแต่มืดไปก็มีมาก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 21:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จุฬาภินันท์ขอออกความเห็นค่ะ

สัตว์เดรัจฉาน ทำบุญทำบาปได้มั้ย

โดยธรรมชาติของสัตว์นั้น เขามาเพื่อใช้กรรมที่เหลือก่อนจะมาเป็นคนค่ะ เขาไม่ได้เกิดมาเพื่อทำบาป แต่ที่เราเข้าใจกันว่าสัตว์โหดร้าย ทำบาป มีจิตอกุศล เหตุผลที่เป็นแบบนั้น เพราะคนต่างหากที่ไปทำให้มันต้องทำบาป ธรรมชาติสร้างให้สัตว์และมนุษย์อยู่ด้วยกันอย่างสงบค่ะ

สัตว์มาเพื่อทำบุญ มาเป็นอาหารคน มาเป็นเพื่อนเล่น ฯลฯ และสัตว์ที่กินเนื้อเป็นอาหาร นั่นก็เป็นธรรมชาติของเขา เหมือนที่คนกินเนื้อ มันไม่ใช่บาป

กรณีที่สัตว์ทำบาปก็มีได้ เพราะคนยุแหย่ เช่น คนเอาไฟไปลนรังต่อ ต่อมันโมโห มันต่อยจนคนตาย นั่นก็คือต่อบาปเพราะเจตนาฆ่าด้วยความโกรธ แต่คนบาปกว่าที่เป็นคนริเริ่ม เป็นต้น


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 ม.ค. 2010, 21:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออนุญาตตอบคำถามของคุณ aswakos ด้วยค่ะ


อ้างคำพูด:
1.ควายไถนา ช่วยคนให้มีข้าวกิน ควายมันจะได้บุญมั๊ย (คือไม่รู้ว่าควายมันดีใจ หรือเสียใจ)


มันทำหน้าที่ของมันค่ะ มันได้บุญแน่นอน อย่างที่จุฬาภินันท์ตอบในความเห็นก่อนหน้านี้ สัตว์เกิดมาเพื่อใช้กรรมที่เหลือก่อนไปเป็นมนุษย์ ในเมื่อไปในภพภูมิที่ดีกว่า เขาจึงเกิดมาเพื่อทำบุญ


อ้างคำพูด:
2.คนเลี้ยงควายไว้ไถนา จะได้บุญ หรือได้บาบ


เลี้ยงดีก็ได้บุญ เลี้ยงไม่ดีก็ได้บาปค่ะ


อ้างคำพูด:
3.คนกะควาย จะถือว่าเป็นผู้มีพระคุณต่อกัน ได้รึปล่าว คนได้ข้าว ควายได้บุญ ประมาณนั้น


คนเลี้ยงควายดี คนก็ได้บุญ ช่วยความยที่น่าสงสาร ไม่ใช้งานมันหนัก ดูแลมันยามเจ็บป่วย มันก็เป็นหนี้บุญคุณคน ชาติหน้ามันก็มาใช้หนี้คน แต่การใช้กนี้ก็จะเป็นไปในทางที่ดีค่ะ

ความทำงานให้คนได้ประสิทธิภาพดี ความช่วยเตือนขโมยขึ้นบ้าน ฯลฯ คนก็เป็นหนี้ควายค่ะ การชดใช้หนี้ก็หลักการเดียวกัน

อะไรประมาณนั้นค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ม.ค. 2010, 12:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2007, 11:39
โพสต์: 85

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


................
ขอบพระคุณทุกท่านครับที่เมตตาให้ความกระจ่าง

ได้ความรู้มากเลยครับ
.....................

อยากถามต่อ ไม่ตอบก็ได้นะครับ เกรงใจ ว่าง ๆ ค่อยตอบ ขอบคุณครับ


คือ เราเลี้ยงควายไว้ใช้งานตามปกติ มักจะมีคนมาหาซื้อควาย

เราไม่รู้ว่าเขาซื้อไปทำอะไร บางทีเราก็พอรู้ ว่าเขาซื้อไปชำแหละ

เราขายควายเราให้เขาไป ลักษณะนี้ คนขายจะบาปหรือปล่าวครับ

ถ้าบาป บาปมากมั๊ย จะมีวิธีแก้ยังไง


ขอบคุณครับ

.. :b55: :b55:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 ม.ค. 2010, 23:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 ธ.ค. 2009, 22:46
โพสต์: 167

แนวปฏิบัติ: buddhism
อายุ: 0
ที่อยู่: nontaburi

 ข้อมูลส่วนตัว


aswakos เขียน:
................
ขอบพระคุณทุกท่านครับที่เมตตาให้ความกระจ่าง

ได้ความรู้มากเลยครับ
.....................

อยากถามต่อ ไม่ตอบก็ได้นะครับ เกรงใจ ว่าง ๆ ค่อยตอบ ขอบคุณครับ


คือ เราเลี้ยงควายไว้ใช้งานตามปกติ มักจะมีคนมาหาซื้อควาย

เราไม่รู้ว่าเขาซื้อไปทำอะไร บางทีเราก็พอรู้ ว่าเขาซื้อไปชำแหละ

เราขายควายเราให้เขาไป ลักษณะนี้ คนขายจะบาปหรือปล่าวครับ

ถ้าบาป บาปมากมั๊ย จะมีวิธีแก้ยังไง


ขอบคุณครับ

.. :b55: :b55:


มีพุทธภาษิตว่า

มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา

มนสา เจ ปทุฏฺเฐน ภาสติ วา กโรติ วา

ตโต นํ ทุกฺขมเนฺวติ จกฺกํว วหโต ปทํ.

“ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่

สำเร็จแล้วด้วยใจ, ถ้าบุคคลมีใจร้าย พูดอยู่ก็ดี

ทำอยู่ก็ดี, ทุกข์ย่อมไปตามเขา เพราะเหตุนั้น

ดุจล้อหมุนไปตามรอยเท้าโค ผู้นำแอกไปอยู่ฉะนั้น


อยู่ที่ใจครับ ถ้ารู้ว่าเขาจะเอาไปฆ่า ยังขาย ก็บาปแน่นอน มีผลไม่มากก็น้อย

วิธีแก้ ก็คือ อย่าทำอีก อย่างส่งเสริมให้เขาทำ ทั้งทางตรงและทางอ้อม

ถ้าทำแล้ว วิธีแก้ คือ

- รับกรรม ปล่อยตามยถากรรม ใช้หนี้หมด ก็หมด (ผมไม่เลือกทางนี้ครับ)

- หนีกรรม ทำบุญโกยหนีละครับ วิปัสสนา ปล่อยสัตว์ ทำบุญ ทาน ศีล ให้ผลแห่งกรรมดีมีโอกาสให้ผล

มากกว่า ถ้าผลกรรมชั่วให้ผล ลงนานครับ กว่าจะโงหัวขึ้น


อนุโมทนาด้วยครับ

:b47: :b47: :b47:


แก้ไขล่าสุดโดย ไวโรจนมุเนนทระ เมื่อ 23 ม.ค. 2010, 23:27, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2010, 08:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 พ.ค. 2009, 09:34
โพสต์: 1478

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไวโรจนมุเนนทระ เขียน:
อยู่ที่ใจครับ ถ้ารู้ว่าเขาจะเอาไปฆ่า ยังขาย ก็บาปแน่นอน มีผลไม่มากก็น้อย

วิธีแก้ ก็คือ อย่าทำอีก อย่างส่งเสริมให้เขาทำ ทั้งทางตรงและทางอ้อม

ถ้าทำแล้ว วิธีแก้ คือ

- รับกรรม ปล่อยตามยถากรรม ใช้หนี้หมด ก็หมด (ผมไม่เลือกทางนี้ครับ)

- หนีกรรม ทำบุญโกยหนีละครับ วิปัสสนา ปล่อยสัตว์ ทำบุญ ทาน ศีล ให้ผลแห่งกรรมดีมีโอกาสให้ผล

มากกว่า ถ้าผลกรรมชั่วให้ผล ลงนานครับ กว่าจะโงหัวขึ้น


:b47: :b47: :b47:


:b8: :b8:

เป็นคำแนะนำที่ดีมาก ๆ เลยเจ้าค่ะ...

จริง ๆ นะ...ไม่รู้ข้าน้อย...จะเป็นพวกฉลาดแกมโกงแต่เด็กรึเปล่า...อุ๋ย..อิ อิ :b9: :b9:

คือแบบว่า...เพื่อนข้างบ้านข้าน้อยมีแต่ผู้ชาย...ซึ่งจะค่อนข้างเกเร ดื้อ ก้าวร้าว... :b14: :b5:
ซึ่งข้าน้อยก็ถูกเพื่อนแกล้ง...เป็นประจำ...
จะไปสู้กับเขาก็สู้ไม่ไหว...เถียงก็เถียงไม่ทัน...เพราะฝีปากเขาหลุดออกมามีแต่.. :b21: :b21:
ก็เลยต้อง...อาศัยวิชา...
:b17: :b17: :b17: อิ อิ ... หลวงพ่อโกย...โกยหนีด้วยการทำบุญ ...
อิ อิ ...

- หนีกรรม ทำบุญโกยหนีละครับ วิปัสสนา ปล่อยสัตว์ ทำบุญ ทาน ศีล ให้ผลแห่งกรรมดีมีโอกาสให้ผลมากกว่า ถ้าผลกรรมชั่วให้ผล ลงนานครับ กว่าจะโงหัวขึ้น

:b8: :b16: :b8: :b16:

เทคนิค แบบนี้ นำมาเสนออีกนะคะ...
แล้วมีแบบโกยแบบติดเทอร์โบ...มั๊ยเจ้าคะ...
แบบว่า...กำลังจะว่ายน้ำหนีตะเข้...หน่ะค่ะ... :b9: :b9:

อิ อิ ตอนนี้ขอโกยขึ้นไปอยู่บนเรือกับเพื่อนงมงายก่อนดีกว่า...
ในระหว่างรอฟังเทคนิค...ดี ๆ จากท่านอีก... อุ อุ...

:b8: :b9: :b8: :b9:

:b32: :b4: :b32: :b4:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ม.ค. 2010, 00:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ภิกษุพึงเป็นผู้สำรวมจักษุ
ไม่พึงเป็นผู้โลเลเพราะเท้า
พึงเป็นผู้ขวนขวายในฌาน
พึงเป็นผู้ตื่นอยู่มาก
พึงเป็นผู้ปรารภอุเบกขา มีจิตตั้งมั่น
พึงเข้าไปตัดความตรึก
และตัดธรรมที่อาศัยอยู่แห่งความตรึกและความรำคาญ





ตัณหาเป็นกระแสแห่งเหตุให้เกิดทุกข์
กระแสแห่งเหตุให้เกิดทุกข์เหล่าใดในโลก

สติ เป็นเครื่องกั้นกระแสเหล่านั้น.
เรากล่าวธรรมเป็นเครื่องกั้นกระแสทั้งหลาย
กระแสแห่งเหตุให้เกิดทุกข์เหล่านี้อันปัญญาย่อมปิดกั้นได้.



เจริญในธรรมครับ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 19 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 12 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร