วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 19:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2010, 18:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 13:20
โพสต์: 821


 ข้อมูลส่วนตัว


เล่มที่ ๒๘ ชื่อขุททกนิกาย ชาดก ภาคที่ ๒
( เป็นสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๐)

ในเล่มที่ในเล่มที่แล้วมีเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ รวมกันถึง ๕๒๕ เรื่อง แต่ในเล่มนี้มีเพียง ๒๒ เรื่อง เพราะเป็นเรื่องยาว ๆ ทั้งนั้น ๑๒ เรื่องแรกเป็นเรื่องที่มีคำฉันท์ เรื่องละ ๕๐ บท ๓ เรื่อง, ๖๐ บท ๒ เรื่อง, ๗๐ บท ๒ เรื่อง, ๘๐ บท ๕ เรื่อง. ส่วน ๑๐ เรื่องหลัง คือเรื่องที่เรียกว่า มหานิบาตชาดก แปลว่า ชาดกที่ชุมนุมเรื่องใหญ่ หรือที่โบราณเรียกว่า ทศชาติ คือเรื่อง ๑๐ ชาติ ซึ่งในที่นี้จะออกนาม พร้อมทั้งกล่าวใจความย่อทั้งสิบเรื่อง ดังต่อไปนี้ :-

๑. เตมิยชาดก

ชาดกเรื่องนี้แสดงถึงการบำเพ็ญเนกขัมมบารมี คือการออกบวชหรือออกจากกาม เล่า เรื่องเตมิยราชกุมารเกรงการที่จะได้ครองราชสมบัติ เพราะทรงสลดพระหฤทัยที่เห็นราชบุรุษลงโทษโจรตามพระราชดำรัสของพระราชา เช่น เฆี่ยนพันบางครั้งเอาหอกแทงบ้าง เอาหลาวเสียบบ้าง จึงใช้วิธีแสร้งทำเป็นง่อยเปลี้ย หูหนวก เป็นใบ้ไม่พูดจากับใคร แม้จะถูกทดลองต่าง ๆ ก็อดกลั้นไว้ ไม่ยอมแสดงอาการพิรุธให้ปรากฏ ทั้งนี้เพื่อจะเลี่ยงการครองราชสมบัติ พระราชาปรึกษาพวกพราหมณ์ ก็ได้รับคำแนะนำให้นำราชกุมารไปฝังเสีย. พระราชมารดาทรงคัดค้านไม่สำเร็จ ก็ทูลขอให้พระราชกุมารครองราชย์สัก ๗ วัน แต่พระราชกุมารก็ไม่ยอมพูด ต่อเมื่อ ๗ วันแล้ว สารถีนำราชกุมารขึ้นสู่รถไปเพื่อจะฝังตามรับสั่งของพระราชา ขณะที่ขุดหลุมอยู่พระราชกุมารก็เสด็จลงจากรถ ตรัสปราศรัยกับนายสารถี แจ้งความจริงใจให้ทราบว่า มีพระประสงค์จะออกบวช สารถีเลื่อมใสในคำสอนขอออกบวชด้วย จึงตรัสสั่งให้นำรถกลับไปคืนก่อน สารถีนำความไปเล่าถวายพระราชมารดา พระราชบิดาให้ทรงทราบ. ทั้งสองพระองค์พร้อมด้วยอำมาตย์ราชบริพารจึงเสด็จออกไปหา เชิญให้พระราชกุมารเสด็จกลับไปครองราชสมบัติ แต่พระราชกุมารกลับมาถวายหลักธรรมให้ยินดีในเนกขัมมะ คือ การออกจากกาม. พระชนกชนนีพร้อมด้วยบริวารทรงเลื่อมใสในคำสอน ก็เสด็จออกผนวชและบวชตาม. และได้มีพระราชาอื่นอีกเป็นอันมากสดับพระโอวาทขอออกผนวชตาม.

๒. มหาชนกชาดก

ชาดกเรื่องนี้แสดงถึงการบำเพ็ญวิริยบารมี คือ ความพากเพียร ใจความสำคัญ คือพระมหาชนกราชกุมารเดินทางไปกลางทะเล เรือแตก คนทั้งหลายจมน้ำตายบ้าง เป็นเหยื่อของสัตว์น้ำบ้าง แต่ไม่ทรงละความอุสาหะ ทรงว่ายน้ำโดยกำหนดทิศทางแห่งกรุงมิถิลา ในที่สุดก็ได้รอดชีวิตกลับไปถึงกรุงมิถิลาได้ครองราชสมบัติ. ชาดกเรื่องนี้เป็นที่มาแห่งภาษิตที่ว่า เป็นชายควรเพียรร่ำไปอย่าเบื่อหน่าย ( ความเพียร ) เสีย, เราเห็นตัวเองเป็นได้อย่างที่ปรารถนา, ขึ้นจากน้ำมาสู่บกได้.

๓. สุวัณณสามชาดก

ชาดกเเรื่องนี้แสดงถึงการบำเพ็ญเมตตาบารมี คือการแผ่ไมตรีจิตคิดจะให้สัตว์ทั้งปวงเป็นสุขทั่วหน้า มีเรื่องเล่าว่า สุวรรณสามเลี้ยงมารดาบิดาของตนซึ่งเสียจักษุในป่า และเนื่องจากเป็นผู้มีเมตตาปรารถนาดีต่อผู้อื่น หมู่เนื้อก็เดินตามแวดล้อมไปในที่ต่าง ๆ วันหนึ่งถูกพระเจ้ากรุงพาราณสีชื่อปิลยักษ์ยิงเอาด้วยธนู ด้วยเข้าพระทัยผิด ภายหลังเมื่อทราบว่าเป็นมาณพผู้เลี้ยงมารดาบิดา ก็สลดพระทัย จึงไปจูงมารดาบิดาของสุวรรณสามมา. มารดาบิดาของสุวรรณสามก็ตั้งสัจจกิริยา อ้างคุณความดีของสุวรรณสามขอให้พิษของศรหมดไป สุวรรณสามก็ฟื้นคืนสติ และได้สอนพระราชา แสดงคติธรรมว่า ผู้ใดเลี้ยงมารดาบิดาโดยธรรม แม้เทวดาก็ย่อมรักษาผู้นั้น ย่อมมีคนสรรเสริญในโลกนี้ ละโลกนี้ไปแล้วก็บันเทิงในสวรรค์ ต่อจากนั้นเมื่อพระราชาขอให้สั่งสอนต่อไปอีก ก็สอนให้ทรงปฏิบัติธรรมปฏิบัติชอบในบุคคลทั้งปวง.

๔. เนมิราชชาดก

ชาดกเรื่องนี้แสดงถึงการบำเพ็ญอธิฏฐานบารมี คือความตั้งใจมั่นคง. มี เรื่องเล่าว่า เนมิราชกุมาร ได้ครองราชย์สืบสันตติวงศ์ต่อจากพระราชบิดา ทรงบำเพ็ญคุณงามความดีเป็นที่รักของมหาชน และในที่สุด เมื่อทรงพระชราก็ทรงมอบราชสมบัติแก่พระราชโอรส เสด็จออกผนวชเช่นเดียวกับที่พระราชบิดาของพระองค์เคยทรงบำเพ็ญมา.

๕. มโหสธชาดก ๑

ชาดกเรื่องนี้แสดงถึงการบำเพ็ญปัญญาบารมี คือความรู้ทั่วถึงสิ่งที่ควรรู้. มี เรื่องเล่าว่า มโหสธบัณฑิตเป็นที่ปรึกษาหนุ่มของพระเจ้าวิเทหะแห่งกรุงมิถิลา ท่านมีความฉลาดรู้ สามารถแนะนำในปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องรอบคอบ เอาชนะที่ปรึกษาอื่น ๆ ที่ริษยาใส่ความ ด้วยความดีไม่พยาบาทอาฆาต ครั้งหลังใช้อุบายป้องกันพระราชาจากราชศัตรู และจับราชศัตรูซึ่งเป็นกษัตริย์พระนครอื่นได้.

๖. ภูริทัตตชาดก

ชาดกเรื่องนี้แสดงถึงการบำเพ็ญศีลบารมี คือการรักษาศีล. มี เรื่องเล่าว่า ภูริทัตตนาคราชไปจำศีลอยู่ริมฝั่ง แม่น้ำยมุนา. ยอมอดทนให้หมองูจับไปทรมานต่าง ๆ ทั้ง ๆ ที่สามารถจะทำลายหมองูได้ด้วยฤทธิ์ มีใจมั่นต่อศีลของตน ในที่สุดก็ได้อิสรภาพ.

๗. จันทกุมารชาดก

ชาดกเรื่องนี้แสดงถึงการบำเพ็ญขันติบารมี คือความอดทน. มี เรื่องเล่าว่า จันทกุมารเป็นโอรสของพระเจ้าเอกราช เคยช่วยประชาชนให้พ้นจากคดี ซึ่งกัณฑหาลพราหมณ์ ราชปุโรหิตาจารย์รับสินบนตัดสินไม่เป็นธรรม ประชาชนก็พากันเลื่อมใสเปล่งสาธุการ ทำให้กัณฑหาลพราหมณ์ผูกอาฆาตในพระราชกุมาร. เมื่อพระเจ้าเอกราชทรงพระราชสุบิน เห็นดาวดึงสเทวโลก เมื่อตื่นบรรทมทรงใคร่จะทราบทางไปสู่เทวโลก ตรัสถามกัณฑหาลพราหมณ์ จึงเป็นโอกาสให้พราหมณ์แก้แค้นด้วยการกราบทูลแนะให้ตัดพระเศียรพระโอรสธิดา เป็นต้นบูชายัญ. พระเจ้าเอกราชเป็นคนเขลา ก็สั่งจับพระราชโอรส ๔ พระองค์ พระราชธิดา ๔ พระองค์ ไปที่พระลานหลวง เพื่อเตรียมประหารบูชายัญ นอกจากนั้นยังสั่งจับพระมเหสี ๔ พระองค์ และคนอื่น ๆอีก เพื่อเตรียมประหารเช่นกัน แม้ใครจะทัดทานขอร้องก็ไม่ได้ผล. ร้อนถึงท้าวสักกะ ( พระอินทร์ ) ต้องมาข่มขู่และชี้แจงให้หายเข้าใจผิดว่า วิธีนี้ไม่ใช่ทางไปสวรรค์. มหาชนจึงรุมฆ่าพราหมณ์ปุโรหิตนั้นและเนรเทศพระเจ้าเอกราช แล้วกราบทูลเชิญจันทกุมารขึ้นครองราชย์.

๘. นารทชาดก

ชาดกเรื่องนี้แสดงถึงการบำเพ็ญอุเบกขาบารมี คือการวางเฉย. มี เรื่องเล่าว่า พรหมนารทะช่วยเปลื้องพระเจ้า อังคติราชให้กลับจากความเห็นผิด มามีความเห็นชอบตามเดิม ( ความเห็นผิดนั้น เป็นไปในทางว่าสุขทุกข์เกิดเองไม่มีเหตุ คนเราเวียนว่ายตาย เกิด หนักเข้าก็บริสุทธิ์ได้เอง ซึ่งเรียกว่าสังสารสุทธิ ).

๙. วิธุรชาดก

ชาดกเรื่องนี้แสดงถึงการบำเพ็ญสัจจบารมี คือความสัตย์. มี เรื่องเล่าถึงวิธุรบัณฑิต ซึ่งเป็นผู้ถวายคำแนะนำประจำราชสำนัก พระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะเป็นผู้ที่พระราชาและประชาชนรักใคร่เคารพนับถือมาก ครั้งหนึ่งปุณณกยักษ์มาท้าพระเจ้าธนัญชัยโกรัพยะเล่นสกา ถ้าตนแพ้จักถวายมณีรัตนะอันวิเศษ ถ้าพระราชาแพ้ ก็จะพระราชทานทุกสิ่งที่ต้องการ เว้นแต่พระกายของพระองค์ ราชสมบัติ และพระมเหสี ในที่สุดพระราชาแพ้ ปุณณกยักษ์จึงทูลขอตัววิธุรบัณฑิต พระราชาจะไม่พระราชทานก็เกรงเสียสัตย์ พระองค์ตีราคาวิธุรบัณฑิตยิ่งกว่าทรัพย์สินเงินทองใด ๆ ทรงหน่วงเหนี่ยวด้วยประการต่าง ๆ แต่ก็ตกลงกันไปไต่ถามให้วิธุรบัณฑิตตัดสิน วิธุรบัณฑิตก็ตัดสินให้รักษาสัตย์ คือตนเองยอมไปกับยักษ์ ความจริงยักษ์ต้องการเพียงเพื่อจะนำหัวใจของวิธุรบัณฑิตไปแลกกับธิดาพญานาค ซึ่งความจริงเป็นอุบายของภริยาพญานาคผู้ใคร่จะได้สดับธรรมของวิธุรบัณฑิต จึงตกลงกับสามีว่า ถ้าปุณณกยักษ์ต้องการธิดาของตน ก็ขอให้นำหัวใจของวิธุรบัณฑิตมา. แม้ยักษ์จะหาวิธีทำให้ตายก็ไม่ตาย วิธุรบัณฑิตกลับแสดงสาธุนธรรม ( ธรรมของคนดี ) ให้ยักษ์เลื่อมใสและได้แสดงธรรมแก่พญานาค ในที่สุดก็ได้กลับมาสู่กรุงอินทปัตถ์ มีการฉลองรับขวัญกันเป็นการใหญ่..

๑๐. เวสสันดรชาดก

ชาดกเรื่องนี้แสดงถึงการบำเพ็ญทานบารมี คือการบริจาคทาน. มี เรื่องเล่าถึงพระเวสสันดรผู้ใจดี บริจาค ทุกอย่างที่มีคนขอ ครั้งหนึ่งประทานช้างเผือกคู่บ้านคู่เมืองแก่พราหมณ์ชาวกาลิงคะ ซึ่งมาขอช้างไป เพื่อให้หายฝนแล้ง แต่ประชาชนโกรธขอให้เนรเทศ พระราชบิดาจึงจำพระทัยเนรเทศ ซึ่งพระนางมัทรีพร้อมด้วยพระโอรสธิดาได้ตามเสด็จไปด้วย เมื่อชูชกไปขอสองกุมารก็ประทานอีก ภายหลังพระเจ้าสญชัย พระราชบิดาทรงไถ่สองกุมารแล้วเสด็จไปรับกลับกรุง. ( เรื่องนี้แสดงการเสียสละส่วนน้อยเพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ คือการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า อันจะเป็นทางให้ได้บำเพ็ญประโยชน์ส่วนรวมได้ดียิ่ง มิใช่เสียสละโดยไม่มีจุดมุ่งหมายหรือเหตุผล).

จบเล่มที่ ๒๘ ขุททกนิกาย ชาดก ภาคที่ ๒

'๑' . ฉบับพม่าเป็นอุมังคชาดก. อรรถกถาเขียนว่า " มโหสถ " ตลอด


เล่มที่ ๒๙ ชื่อขุททกนิกาย มหานิทเทส
( เป็นสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๑)

เล่มนี้อรรถกถากล่าวว่า ชี้แจงว่า เป็นภาษิตของพระสาริบุตร ใจความทั้งหมดก็คือ ยกเอาสูตร ๑๖ สูตร ในสุตตนิบาต วรรคที่ ๔ คือตั้งแต่กามสูตร ถึงสาริปุตตสูตร ( ซึ่งในการย่อนี้เท่ากับสูตรที่ ๓๙ ถึงสูตรที่ ๕๔ ดูหน้า พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ ) จากหัวข้อเลขที่ ๓๙ - ๕๔ มา อธิบายอย่างละเอียดทีละตัวอักษร ถ้าจะกล่าวอีกอย่างหนึ่ง เล่มที่ ๒๙ นี้ ก็ไม่ต่างอะไรกับอรรถกถาสุตตนิบาต เพราะอธิบายพระสูตร ๑๖ สูตร ในสุตตนิบาต ให้ชัดเจนขึ้น แต่เพราะเหตุที่เป็นคำอธิบายของพระสาริบุตร จึงได้รับยกย่องให้เข้าอยู่ในพระไตรปิฎกด้วย ในที่นี้จะไม่ย่อ เพราะถือว่าได้ย่อพระสูตรทั้งสิบหกไว้แล้ว.

เล่มที่ ๓๐ ชื่อขุททกนิกาย จูฬนิทเทส
( เป็นสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๒)

เล่มนี้ก็เช่นเดียวกัน เป็นภาษิตของพระสาริบุตร อธิบายพระสูตรอีก ๑๖ สูตร ในสุตตนิบาต คือ อธิบายคำถามคำตอบเกี่ยวกับมาณพ ๑๖ คน ( ซึ่งย่อไว้เป็นสูตรที่ ๕๕ ถึง ๗๐ โปรดดูหน้าพระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ ) จบวรรคที่ ๔ ขึ้นวรรคที่ ๕ ซึ่งมี ๑๖ สูตร เป็นการอธิบายคำถามคำตอบอย่างละเอียดทุกตัวอักษรเช่นกัน. นอกจากนั้นยังอธิบายขัคควิสาณสูตรที่ ๓ ในสุตตนิบาต ( หน้าพระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ หน้าเดียวกัน ในหัวข้อเรื่องหมายเลข ๕. สุตตนิบาต ชุมนุมพระสูตร ) อีกโดยพิสดาร จึงรวมเป็น ๑๗ สูตร.

เล่มที่ ๓๑ ชื่อปฏิสัมภิทามรรค
( เป็นสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๓)
( ทางแห่งความแตกฉาน )

พระไตรปิฎกเล่มนี้ เป็นภาษิตของพระสาริบุตร อธิบายศัพท์ธรรมะต่าง ๆ อย่างวิจิตรพิสดารวิธีการอธิบาย คือถ้ามีพระพุทธภาษิตว่าด้วยเรื่องนั้น ก็นำมาตั้งไว้แล้วอธิบายขยายความอีกต่อหนึ่ง ถ้าไม่มีพระพุทธภาษิตอธิบายไว้โดยตรง ท่านผู้กล่าว ( คือพระสาริบุตร ) ก็ตั้งบทตั้งขึ้นเอง และอธิบายขยายความไปตามบทตั้งละเอียดต่อไป มีบางครั้งก็ตั้งภาษิตของพระอานนท์เป็นหัวข้อแล้วแจกอธิบายในภายหลัง.

เนื่องจากศัพท์ธรรมะที่เป็นบทตั้งในการอธิบายมีอยู่ ๓๐ ศัพท์ หรือ ๓๐ ข้อ จึงแบ่งเป็นวรรคได้ ๓ วรรค ๆ ละ ๑๐ ข้อ คือ :-

วรรคที่ ๑ ชื่อมหาวรรค แปลว่า หมวดใหญ่ มี ๑๐ เรื่อง คือ :- ๑. ญาณะ ( ความรู้ ) ๒. ทิฏฐิ ( ความเห็น ) ๓. อานาปานะ ( ลมหายใจเข้าออก ) ๔. อินทรีย์ ( ธรรมอันเป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน ) ๕. วิโมกข์ ( ความหลุดพ้น ) ๖. คติ ( ที่ไปหรือทางไป ) ๗. กัมมะ ( การกระทำ ) ๘. วิปัลลาสะ ( ความคลาดเคลื่อนวิปริต ) ๙. มัคคะ ( หนทาง ) ๑๐. มัณฑเปยยะ ( ของใส่ที่ควรดื่ม เทียบด้วยคุณธรรม ).

วรรคที่ ๒ ชื่อยุคนัท ธวรรค แปลว่า หมวดที่ขึ้นต้นด้วยธรรมที่เทียมคู่ คือธรรมที่แฝดกัน ได้แก่สมถะและวิปัสสนา มี ๑๐ เรื่อง คือ :- ๑๑. ยุคนัทธะ ( ธรรมที่เทียมคู่ ) ๑๒. สัจจะ (ความจริง ) ๑๓. โพชฌงค์ ( องค์แห่งการตรัสรู้ ) ๑๔. เมตตา ( ไมตรีจิตคิดให้เป็นสุข ) ๑๕. วิราคะ (ความคลายกำหนัด ) ๑๖.ปฏิสัมภิทา ( ความแตกฉาน ) ๑๗. ธัมมจักกะ ( ล้อรถคือพระธรรม ) ๑๘. โลกุตตระ ( ธรรมที่ข้ามพ้นจากโลก ) ๑๙. พละ ( ธรรมอันเป็นกำลัง ) ๒๐. สุญญะ ( ความว่างเปล่า ).

วรรคที่ ๓ ชื่อปัญญา วรรค แปลว่า หมวดที่ขึ้นต้นด้วยปัญญา มี ๑๐ เรื่อง คือ :- ๒๑. มหาปัญญา ( ปัญญาใหญ่ ) ๒๒. อิทธิ ( ฤทธิ์หรือความสำเร็จ ) ๒๓. อภิสมัย (การตรัสรู้ ) ๒๔. วิเวก ( ความสงัด ) ๒๕. จริยา ( ความประพฤติ ) ๒๖. ปาฏิหาริยะ ( ปาฏิหาริย์ = นำกิเลสไปเสีย ) ๒๗. สมสีสะ ( สิ่งที่สงบและสิ่งที่มีศีรษะ )๑ ๒๘. สติปัฏฐาน ( การตั้งสติ ) ๒๙. วัปัสสนา ( ความเห็นแจ้ง ) ๓๐.มาติกา ( แม่บท).

คำอธิบายศัพท์ในวรรคที่ ๑

๑. ญาณะ ( ความรู้ ) ข้อ นี้มีบทตั้งแสดงถึงญาณ ( ความรู้ ) อันได้แก่ปัญญา ๗๓ ประการ พร้อมทั้งกล่าวว่า ในญาณ ๗๓ ประการเหล่านี้ ๖๗ ข้อเป็นของทั่วไปแก่พระสาวก ส่วนอีก ๖ ข้อไม่ทั่วไปแก่พระสาวก. ในการอธิบายญาณต่าง ๆ นั้น บทตั้ง ( ซึ่งเป็นภาษิตของพระสาริบุตร มิใช่พระพุทธภาษิต ) อธิบายว่าปัญญาอย่างนั้น ๆ ชื่อว่าญาณ ขอยกตัวอย่างตั้งแต่ข้อที่ ๑ ไป รวม ๑๐ ดังนี้ :-

๑. ปัญญาในการเงี่ยโสต ( สดับ ) ชื่อว่าญาณอันสำเร็จด้วยการฟัง ๒. ครั้นฟังแล้ว ( เกิด ) ปัญญาในการสำรวม ชื่อว่าญาณอันสำเร็จด้วยศีล ๓. ครั้นสำรวมแล้ว ( เกิด ) ปัญญาในการตั้งจิตมั่น ชื่อว่าญาณอันสำเร็จด้วยการเจริญสมาธิ ๔. ปัญญาในการกำหนดรู้ปัจจัย ชื่อว่าญาณในความตั้งอยู่แห่งธรรม ( ธัมมัฏฐิติญาณ ) ๕. ปัญญาในการรวบรวมธรรมที่เป็นอดีต, อนาคต, ปัจจุบัน แล้วกำหนดรู้ ชื่อว่าญาณในการพิจารณา ( สัมมสเน ญาณ ) ๖. ปัญญาในการพิจารณาเห็นความปรวนแปรแห่งธรรมอันเป็นปัจจุบัน ชื่อว่าญาณในการพิจารณาความเกิด ความเสื่อม ( อุทยัพพยานุปัสสเน ญาณ ) ๗. ปัญญาในการพิจารณาอารมณ์แล้วพิจารณาเห็นความแตกดับ ชื่อว่าญาณในการเห็นแจ้ง ( วิปัสสเน ญาณ ) ๘. ปัญญาในความปรากฏเป็นของน่ากลัว ( แห่งสังขาร ) ชื่อว่าญาณ คือความรู้ในโทษ ( อาทีนเว ญาณ ) ๙. ปัญญาที่ทำให้เกิดการพิจารณาด้วยใคร่จะพ้นไปเสีย ชื่อว่าญาณในความวางเฉยในสังขาร ( สังขารุเปกขาสุ ญาณ ) ๑๐. ปัญญาในการออกในการหมุนกลับจากเครื่องหมายแห่งสังขารภายนอก ชื่อว่าโคตรภูญาณ ( ต่อจากนี้เป็นการแสดงมัคคญาณ, ผลญาณ, วิมุตติญาณ, ปัจจเวกขณญาณเป็นต้น มีญาณในอริยสัจจ์ ๔ และในปฏิสัมภิทา ๔ เป็นที่สุดรวม ๖๗ ญาณ เป็นญาณที่ทั่วไปแก่พระสาวก ).

ส่วนญาณอีก ๖ ประการที่มีเฉพาะแก่พระพุทธเจ้า ไม่ทั่วไปแก่พระสาวก คือ ๑. อินทริยปโรปริยัตตญาณ (ญาณหยั่งรู้อินทรีย์อันยิ่งหย่อนของสัตว์)๒ ๒.อาสยานุสยญาณ ( ญาณหยั่งรู้อาสัยคือความน้อมใจไปทั้งทางดีทางชั่ว และอนุสัยคือกิเลสที่นอนเนื่องในสันดานมีกามราคะ เป็นต้น มีอวิชชาเป็นที่สุด ) ๓. ยมกปาฏิหิรญาณ ( ญาณอันทำให้สามารถแสดงปาฏิหาริย์ได้ คือปาฏิหาริย์เนื่องด้วยธาตุน้ำและธาตุไฟ แสดงออกพร้อมกัน ) ๔. มหากรุณาสมาบัตติญาณ ( ญาณในการเข้าสมาบัติ มีมหากรุณาเป็นอารมณ์ ) ๕. สัพพัญญุตญาณ ( ญาณคือความเป็นผู้รู้สิ่งทั้งปวง ) ๖. อนาวรณญาณ ( ญาณอันไม่มีความข้องขัดไม่มีเครื่องกั้น ).

๒. ทิฏฐิ ( ความเห็น ) ในข้อนี้มีบทตั้งเป็นของพระสาริบุตรเอง โดย แสดงถึงที่ตั้งแห่งทิฏฐิ ๘ ประการ มีขันธ์, อวิชชา, ผัสสะ เป็นต้น, เครื่องรึงรัดคือทิฏฐิ ๑๘ ประการ แจกตามชื่อกิเลสพวกทิฏฐิ ตัวทิฏฐิเอง ๑๖ ประการ มีอัสสาททิฏฐิ ( ความเห็นด้วยความพอใจ ) เป็นต้น, ความยึดถือทิฏฐิต่าง ๆ ด้วยอาการมากน้อย ต่างกันตามประเภทของทิฏฐิ, โสดาปัตติมรรค เป็นการถอนขึ้นซึ่งที่ตั้งแห่งทิฏฐิ, การลูบคลำด้วยความยึดถือว่า ขันธ์ ๕ อายตนะภายในภายนอก เป็นต้น ว่าเป็นของเรา, เราเป็นนั่น, นั่นเป็นตัวตนของเรา จัดเป็นทิฏฐิ ในการอธิบายรายละเอียดนั้นได้ลงสุดท้ายด้วยนำพระพุทธภาษิตแสดงถึงบุคคลผู้สม บูรณ์ด้วยทิฏฐิ ๑๐ ประการ ( ดูหน้าพระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๖ หน้า ๒) หมายเลขหัวข้อที่ ๑ - ๒

๓. อานาปานะ ( ลมหายใจเข้าออก ) ในข้อนี้มีบทตั้งเป็นของพระ สาริบุตรเองเช่นกัน แสดงญาณความรู้ ๒๐๐ ประการ อันเกิดจากสมาธิว่า จะเกิดแก่ผู้เจริญสมาธิ คือสติกำหนดลมหายใจเข้าออก เช่น ญาณหยั่งรู้อันตรายของสมาธิ ๘ ประการ อุปการะของสมาธิ ๘ ประการ อันเป็นคู่ปรับกัน ( รวมเป็น ๑๖ ) คือความพอใจในกาม กับการออกจากกาม, ความพยาบาท กับความไม่พยาบาท, ความหดหู่ง่วงงุน กับความกำหนดหมายแสงสว่าง, ความฟุ้งสร้าน กับความไม่ฟุ้งสร้าน, ความลังเลสงสัย กับการกำหนดธรรมะ, ความไม่รู้ ( อวิชชา ) กับความรู้ ( ญาณะ ), ความไม่ยินดี กับความปราโมทย์, อกุศลธรรมทั้งปวง กับกุศลธรรมทั้งปวง เป็นต้น.

๔. อินทรีย์ ( ธรรมอันเป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน ) ในข้อนี้มีบทตั้งที่เป็นของพระพุทธภาษิต แสดงถึงธรรมอันเป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน ( อินทีรย์ ) ๕ ประการ คือ ศรัทธา ( ความเชื่อ ), วิริยะ ( ความเพียร ), สติ ( ความระลึกได้ ), สมาธิ ( ความตั้งใจมั่น ), และปัญญา ( ความรู้ทั่วถึงสิ่งที่ควรรู้ ). ครั้นแล้วแจกรายละเอียดออกไปอีก.

๕. วิโมกข์ ( ความหลุดพ้น ) บทตั้งในพระพุทธภาษิต แสดงถึงวิโมกข์ ๓ ประการ คือ วิโมกข์ที่ว่างเปล่า ( สุญญตวิโมกข์ ), วิโมกข์ที่ไม่มีนิมิต ( อนิมิตตวิโมกข์ ), วิโมกข์ที่ไม่มีที่ตั้ง( อัปปณิหิตวิโมกข์ ) ในรายละเอียด ได้แจกวิโมกข์ออกไป ๘๐ ประการ.

๖. คติ ( ที่ไปหรือทางไป ) บทตั้งเป็นของพระสาริบุตร แสดงว่าการที่จะถึงพร้อมด้วยคติ คือเกิดในที่ดี ๆ ตั้งแต่มนุษย์ขึ้นไปถึงเทพว่า แต่ละประการนั้นมีเหตุกี่อย่าง.

๗. กัมมะ ( การกระทำ ) บทตั้งเป็นของพระสาริบุตร แจกกรรมและผลของกรรมออกไปมากมาย เช่น กรรมได้มีได้เป็นแล้ว ผลของกรรมได้มีได้เป็นแล้ว, กรรมได้มีได้เป็นแล้ว แต่ผลของกรรมยังมิได้มีได้เป็น, กรรมได้มีได้เป็นแล้ว แต่ผลของกรรมกำลังมีกำลังเป็น เป็นต้น

๘. วิปัลลาสะ ( ความคลาดเคลื่อนวิปริต ) บทตั้งเป็นพระพุทธภาษิต แสดงวิปัลลาส ๔ ประการ คือความวิปัลลาสคลาดเคลื่อนแห่งสัญญา แห่งจิต แห่งความเห็น ๑. ในสิ่งไม่เที่ยง ว่าเที่ยง ๒. ในสิ่งเป็นทุกข์ ว่าเป็นสุข ๓. ในสิ่งมิใช่ตน ว่าเป็นตน ๔. ในสิ่งที่ไม่งาม ว่างาม และพระพุทธภาษิต แสดงความไม่วิปัลลาส คือที่ตรงกันข้าม.

๙. มัคคะ ( หนทาง ) บทตั้งเป็นของพระสาริบุตร แสดงเนื้อความของคำว่า มรรค และแจกรายละเอียดว่า ในขณะแห่งโสดาบัตติมรรค จนถึงอรหัตตมรรค สัมมาทิฎฐิ ( ความเห็นชอบ ) ทำหน้าที่อย่างไร เป็นมรรคเป็นเหตุอย่างไร.

๑๐. มัณฑเปยยะ ( ของใสที่ควรดื่ม เทียบด้วยคุณธรรม ) นำ เอาพระพุทธภาษิตในสังยุตตนิกายมาเป็นบทตั้ง แสดงของใสที่ควรดื่ม ๓ ประการ คือ ๑. เทศนา ( การแสดงธรรม ) ๒. ผู้รับทาน ( คือภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทพ มนุษย์ และใคร ๆ ก็ตามที่เป็นผู้รู้แจ้ง ) ๓. พรหมจรรย์ ( การประพฤติดังพรหม คือเว้นการเสพกาม ซึ่งอธิบายว่า ได้แก่อริยมรรคมีองค์ ๘ ). ในภาคอธิบายแสดงธรรมะ ฝ่ายดีฝ่ายเลวคู่กัน ให้เห็นว่าฝ่ายหนึ่งเป็นเสมือนของใสที่ควรดื่ม อีกฝ่ายหนึ่งเป็นเสมือนกากที่ควรทิ้ง เช่น ความเชื่อ ( สิ่งที่ควรเชื่อ ) เป็นฝ่ายดี ความไม่เชื่อเป็นฝ่ายที่ควรทิ้ง ความเพียรเป็นฝ่ายดี ความเกียจคร้านเป็นฝ่ายที่ควรทิ้ง เป็นต้น.

คำอธิบายศัพท์ในวรรคที่ ๒

๑๑. ยุคนัทธะ ( ธรรมที่เทียมคู่ ) บท ตั้งเป็นภาษิตของพระอานนท์ แสดงว่าภิกษุ ภิกษุณีจะพยากรณ์อรหัตตผลในสำนักของพระอานนท์ ก็มี ๔ ทาง คือ ๑. เจริญวิปัสสนา มีสมถะเป็นเบื้องต้น(เจริญปัญญาโดยเจริญสมาธิก่อน ) ๒. เจริญสมถะ มีวิปัสสนเป็นเบื้องต้น ( เจริญสมาธิโดยเจริญปัญญาก่อน ) ๓. เจริญทั้งสมถะและวิปัสสนาคู่กัน ๔. มีจิตแยกจากความฟุ้งสร้านในธรรม ( โปรดดูที่ย่อไว้แล้วในหน้าพระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๓ หน้า ๔ ด้วย ) หมายเลขหัวข้อที่ ๒ - ๓ ต่อจากนั้นเป็น คำอธิบายโดยละเอียด.

๑๒. สัจจะ ( ความจริง ) บทตั้งเป็นพระพุทธภาษิตแสดงความจริงคืออริยสัจจ์ ๔ ประการพร้อมด้วยคำอธิบายโดยละเอียด.

๑๓. สัจจะ ( ความจริง ) บท ตั้งเป็นพระพุทธภาษิต แสดงโพชฌงค์๗ ประการ คือคติ ( ความระลึกได้ ), ธัมมวิจยะ ( การเลือกเฟ้นธรรมะ ), วิริยะ ( ความเพียร ), ปีติ ( ความอิ่มใจ), ปัสสัทธิ์( ความสงบใจ ), สมาธิ ( ความตั้งใจมั่น ), อุเบกขา ( ความวางเฉย ). ในภาคอธิบาย ได้แสดงวิเคราะห์ศัพท์อย่างพิสดาร.

๑๔. เมตตา ( ไมตรีจิตคิดให้เป็นสุข ) บทตั้งเป็นพระพุทธภาษิต แสดงอานิสงส์ของเมตตา ๑๑ ประการ ( ดังที่ย่อไว้แล้วหน้าพระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๖ หน้า ๔ ด้วย ) ในข้อ เอกาทสกนิบาต (ชุมนุมธรรมะที่มี ๑๑ ข้อ) ในภาคอธิบายได้แสดงถึงเมตตาเจโตวิมุติ ที่แผ่ไปโดยไม่เจาะจงและโดยเจาะจงหลายวิธี.

๑๕. วิราคะ ( ความคลายกำหนัด ) บทตั้งเป็นของพระสาริบุตรแสดงว่าวิราคะเป็นมรรควิมุติ ( ความหลุดพ้น ) เป็นผล.

๑๖. ปฏิสัมภิทา ( ความแตกฉาน ) บทตั้งเป็นพระพุทธภาษิต แสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แล้วแสดงความแตกฉาน ๔ อย่างโดยละเอียด.

๑๗. ธัมมจักกะ ( ล้อรถคือพระธรรม ) บทตั้งเป็นพระพุทธภาษิตบางตอนในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เฉพาะที่ว่าด้วยฌานเห็นอริยสัจจ์ ๔ ประการ แล้ววิเคราะห์ศัพท์โดยพิสดาร.

๑๘. โลกุตตระ ( ธรรมที่ข้ามพ้นจากโลก ) บท ตั้งเป็นภาษิตของ พระสาริบุตร แสดงโลกุตตรธรรม คือ สติปัฏฐาน ( การตั้งสติ ) ๔, สัมมัปปธาน ( เพียรชอบ ) ๔, อิทธิบาท ( ธรรมที่ให้บรรลุความสำเร็จ ) ๔, อินทรีย์ ( ธรรมอันเป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน ) ๕, พละ ( ธรรมอันเป็นกำลัง ) ๕, โพชฌงค์ ( องค์แห่งการตรัสรู้ ) ๗, มรรค ( หนทางหรือข้อปฏิบัติ ) มีองค์ ๘, อริยมรรค ๔, สามัญญผล ๔, นิพพาน ( พึงสังเกตุว่า บทตั้งนี้แสดงโลกุตตรธรรม ด้วยชี้ไปที่โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ และมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ ) แล้วแสดงวิเคราะห์ศัพท์.

๑๙. พละ ( ธรรมอันเป็นกำลัง ) บท ตั้งเป็นพระพุทธภาษิตเรื่องพละคือธรรมอันเป็นกำลัง ๕ ได้แก่ศรัทธา, วิริยะ, สติ, สมาธิ, ปัญญา. แล้วได้แสดงพละตามนัยอื่นอีก รวม ๖๘ ประการ.

๒๐. สุญญะ ( ความว่างเปล่า ) บท ตั้งเป็นเรื่องแสดงว่าพระอานนท์ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลถามว่า ที่ว่าโลกสูญ ๆ นั้นด้วยเหตุเพียงเท่าไร ตรัสตอบว่า เพราะเหตุที่สูญจากตนและจากสิ่งที่เนื่องด้วยตน จึงชื่อว่าโลกสูญ แล้วได้ตรัสแจกอายตนะภายในมีตา เป็นต้น อายตนะภายนอกมีรูป เป็นต้น รวมทั้งวิญญาณ,ผัสสะ, เวทนา ว่าล้วนสูญจากตนและจากสิ่งที่เนื่องด้วยตน. ในภาคอธิบายได้กล่าวถึงความสูญ, ความสูญจากสังขาร, ความสูญเพราะปรวนแปร, ความสูญที่เลิศคือพระนิพพาน, ความสูญจากลักษณะ, ความสูญตามลักษณะวิมุติ ๕ เป็นต้น จนถึงความสูญโดยปรมัตถ์ คือสูญโดยประการทั้งปวง.

คำอธิบายศัพท์ในวรรคที่ ๓

๒๑. มหาปัญญา ( ปัญหาใหญ่ ) บท ตั้งเป็นของพระสาริบุตร แสดงว่าเจริญอนิจจานุปัสสนา ( การพิจารณาเห็นเป็นของไม่เที่ยง ) ทำให้ชวนปัญญา ( ปัญญาอันเหมือนฝีเท้า ) ให้บริบูรณ์, เจริญทุกขานุปัสสนา ( การพิจารณาเห็นเป็นทุกข์ ) ทำให้นิพเพธิกปัญญา ( ปัญญาอันชำแรกกิเลส ) ให้บริบูรณ์, เจริญอนัตตานุปัสสนา ( การพิจารณาเห็นว่าไม่ใช่ตน ) ทำให้มหาปัญญา ( ปัญญาใหญ่ ) บริบูรณ์ เป็นต้น.

๒๒. อิทธิ ( ฤทธิ์หรือความสำเร็จ ) บท ตั้งเป็นของพระสาริบุตร แสดงความหมายของคำว่า ฤทธิ์ ( คือความสำเร็จ ) แสดงฤทธิ์ ๑๐ อย่าง คือ ๑. ฤทธิ์อันเกิดจากการอธิฐาน ๒. ฤทธิ์เกิดจากการบันดาล ( วิกุมพพนา ) ๓. ฤทธิ์เกิดจากใจ ๔. ฤทธิ์เกิดจากการแผ่ญาณ ๕. ฤทธิ์เกิดจากการแผ่สมาธิ ๖. ฤทธิ์อันเป็นอริยะ ( ในการพิจารณาธรรมะ ) ๗. ฤทธิ์เกิดจากผลของกรรม ๘. ฤทธิ์ของผู้มีบุญ ๙. ฤทธิ์เกิดจากวิชชา ๑๐. ฤทธิ์มีการประกอบถูกส่วนเป็นปัจจัย. นอกจากนั้นยังแสดงภูมิของฤทธิ์ ๔ คือฌาน ๔ เป็นต้น.

๒๓. อภิสมยะ ( การตรัสรู้ ) บทตั้งเป็นพระสาริบุตร แสดงว่าการตรัสรู้ มีได้ด้วยจิตและด้วยญาณ เป็นต้น.

๒๔. วิเวกะ ( ความสงัด ) บท ตั้งเป็นพระพุทธภาษิต ที่ว่าการงานใด ๆ ก็ตาม ที่พึงทำด้วยกำลัง การงานนั้น ๆ ทั้งหมดต้องอาศัยแผ่นดิน ตั้งอยู่บนแผ่นดินฉันใด ภิกษุจะเจริญ ทำให้มากซึ่งอริยมรรค มีองค์ ๘ ก็ต้องอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลฉันนั้น แล้วตรัสแจกรายละเอียดออกไปถึงการเจริญมรรคมีองค์ ๘ มีความเห็นชอบ เป็นต้น อันอาศัยความสงัด อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ อาศัยการสละ แล้วแจกความสงัด, วิราคะ, นิโรธ, การสละ ออกไปอีกอย่างละ ๕ ข้อ คือ วิกขัมภนะ ( การข่มด้วยฌาน ), ตทังคะ ( องค์นั้นคือ สมาธิ ที่มีส่วนในการชำแรกหรือทำลายทิฏฐิ ),สมุจเฉท ( การตัดขาดด้วยมรรคอันเป็นโลกาตตระ ), ปฏิปัสสัทธิ ( การสงบระงับด้วยผล ) นิสสรณะ ( การแล่นออก คือนิโรธ หรือนิพพาน ).

๒๕. จริยา ( ความประพฤติ ) บท ตั้งเป็นของพระสาริบุตร แสดงจริยา ๘ ประการ คือ ๑. อิริยาปถจริยา ความประพฤติตามอิริยาบท คือ ยืน, เดิน, นั่ง, นอน, ๒. อายตนจริยา ความประพฤติตามอายตนะภายในภายนอก, ๓. สติจริยา ควาประพฤติในการตั้งสติ ๓ อย่าง, ๔. สมาธิจริยา ( ความประพฤติในฌาน ๔ ),๕. ญาณจริยา ความประพฤติในอริยสัจจ์ ๔, ๖. มัคคจริยา ความประพฤติในมรรค ๔, ๗. ปัตติจริยา ความประพฤติในผล ๔, ๘. โลกัตถจริยา ความประพฤติเพื่อประโยชน์แก่โลก บางส่วนเป็นของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บางส่วนเป็นของพระปัจเจกพุทธเจ้า บางส่วนเป็นของพระสาวก. นอกจากนั้นยังแสดงจริยา ๘ อีก ๒ นัย.

๒๖. ปาฏิหาริยะ ( ปาฏิหาริย์-การนำไปเสีย ) บท ตั้งเป็นพระพุทธภาษิต แสดงปาฏิหาริย์ ๓ คือ อิทธิปาฏิหาริย์ แสดงฤทธิ์ได้เป็นอัศจรรย์, อเทสนาปาฏิหาริย์ ดักใจ ทายได้เป็นอัศจรรย์, อนุสาสนีปาฏิหาริย์ สั่งสอนเป็นอัศจรรย์. พร้อมทั้งพระพุทธภาษิตอธิบายปาฏิหาริย์ ๓ โดยละเอียด. ในภาคอธิบาย วิเคราะห์ศัพท์ปาฏิหาริย์ว่า นำไปเสีย คือนำกิเลสต่าง ๆ ไปเสีย.

๒๗. สมสีสะ ( สิ่งที่สงบและสิ่งที่มีศีร์ษะ )๓ บทตั้งเป็นพระสาริบุตร ให้คำอธิบายเพียงสั้น ๆ ว่า ปัญญาที่เห็นความไม่ปรากฏแห่งกิเลสในการตัดขาดและในการดับแห่งธรรมทั้งปวง ชื่อว่าญาณ คือความรู้ในเนื้อความแห่งสมสีสะ. ในภาคอธิบาย แสดงธรรมฝ่ายดีตั้งแต่เนกขัมมะ ( การออกจากกาม ) จนถึงอรหัตตมรรค ว่าเป็นสมะ คือความสงบ และแสดงธรรมที่มีศีร์ษะรวม ๑๓ ประการ คือตัณหา มีความกังวลเป็นศีร์ษะ, มานะ มีความผูกพันเป็นศีร์ษะ, ทิฏฐิ มีความลูบคลำ ( ปรามาส ) เป็นศีร์ษะ, ความฟุ้งสร้าน มีความส่ายไปเป็นศีร์ษะ, อวิชชา มีกิเลสเป็นศีร์ษะ, ศรัทธา มีความน้อมใจเชื่อศีร์ษะ, วิริยะความเพียร มีความประคองเป็นศีร์ษะ, สติ มีความปรากฏเป็นศีร์ษะ, สมาธิ มีความไม่ส่ายไปเป็นศีร์ษะ, ปัญญามีการเห็นเป็นศีร์ษะ, ชีวิตินทรีย์ มีความเป็นไปเป็นศีร์ษะ, วิโมกข์ มีโคจรคืออารมณ์เป็นศีร์ษะ, นิโรธมีสังขารเป็นศีร์ษะ, ( คำว่า ศีร์ษะ น่าจะหมายความว่าเป็นส่วนสำคัญ ).

๒๘. สติปัฏฐาน ( การตั้งสติ ) บทตั้งเป็นพระพุทธภาษิต แสดงสติปัฏฐาน ๔ ประการ ( รายละเอียดโปรดดูหน้าพระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๕ หน้า ๒ ด้วย ) หมายเลขหัวข้อที่ ๒๔

๒๙. วิปัสสนา ( ความเห็นแจ้ง ) บท ตั้งเป็นพระพุทธภาษิต แสดงว่าเป็นไปไม่ได้ที่ภิกษุพิจารณาเห็นสังขารว่าเที่ยง, เป็นสุข, เป็นอัตตา จะทำให้แจ้งโสดาปัตติผล จนถึงอรหัตตผล ในทางดีคือที่ตรงกันข้าม

๓๐. มาติกา ( แม่บท ) บท ตั้งเป็นภาษิตของพระสาริบุตร แสดงเรื่องวิโมกข์, วิชชา ( ความรู้ ), วิมุติ ( ความหลุดพ้น ), อธิศีล, อธิจิต, อธิปัญญา, ปัสสัทธิ ( ความสงบระงับ ), ญาณ ( ความรู้ ),ทัสสนะ ( ความเห็น ), สุทธิ ( ความบริสุทธิ์ ), เนกขัมมะ ( การออกจากกาม ), นิสสรณะ ( ความพ้นไป ความแล่นออก ),ปวิเวกะ ( ความสงัด ), โวสสัคคะ ( ความสละ ), จริยา ( ความประพฤติ ), ฌานวิโมกข์ ( ความพ้นด้วยฌาน ), ภาวนาธิฏฐานชีวิต ( ความเป็นอยู่โดยการเจริญความดีโดยตั้งใจมั่น ) แล้วอธิบายทีละศัพท์โดยละเอียด.

สรูป

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๑ นี้ สมที่ตั้งชื่อว่าปฏิสัมภิทามรรค ( ทางแห่งความแตกฉาน ) เพราะอธิบายธรรมะข้อเดียว แจกรายละเอียดออกไปเป็นสิบเป็นร้อยข้อ ทำให้เข้าใจศัพท์ และความหมายแตกฉาน แต่ที่ย่อมาแสดงเพียงเท่านี้สำหรับประชาชนทั่วไป แม้เช่นนั้น ก็รู้สึกว่าจะยังยากที่จะเข้าใจ แต่ถ้านึกว่าธรรมะก็มีตั้งแต่อย่างต่ำเข้าใจง่าย จนถึงอย่างสูงเข้าใจยาก ก็คงทำให้เข้าใจความจริงเกี่ยวกับพระไตรปิฎกได้บ้าง.

จบเล่มที่ ๓๑ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค

'๑' . โปรดดูคำอธิบายในตอนที่ยกอธิบายทีละศัพท์ต่อไป

'๒' . ญาณข้อนี้ คือรู้ว่า มีกิเลสน้อยกิเลสมาก มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา อันเป็นอินทรีย์ คือธรรมที่เป็นใหญ่ กล้า หรืออ่อน มีอาการดี มีอาการเลว เป็นต้น

'๓' . คำนี้ตามที่เข้าใจกันทั่วไป หมายถึงดับกิเลส พร้อมด้วยดับชีวิต


เล่มที่ ๓๒ ชื่อขุททกนิกาย อุปทาน ภาคที่ ๑
( เป็นสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๔)

พระไตรปิฎกเล่มนี้แสดงถึงประวัติการบำเพ็ญคุณงามความดีของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระสาวกต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น ๔๑๒ เรื่อง เป็นประวัติการทำความดีของพระพุทธเจ้า ๑ เรื่อง ประวัติการทำชั่วที่เคยมีในอดีตก่อนตรัสรู้ ๑ เรื่อง อันแสดงว่าเป็นเหตุให้ได้รับผลร้ายอย่างไร เป็นประวัติพระปัจเจกพุทธเจ้า ๑ เรื่อง ประวัติพระสาวกต่าง ๆ ๔๐๙ เรื่อง. ทุกเรื่องเรียบเรียงเป็นคำฉันท์และบอกไว้ด้วยว่า เรื่องที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น ตรัสแสดงไว้แก่พระอานนท์ผู้เป็นเวเทหมุนี (มุนีผู้ฉลาด ) ลักษณะคำฉันท์ที่แต่งไว้ มิใช่มุ่งเพียงแสดงประวัติ แต่มุ่งให้มีความไพเราะทางวรรณคดีปนอยู่ด้วยเป็นอย่างมาก.

ในที่นี้จะย่อความเป็นตัวอย่างเพียงบางเรื่อง คือ :-

๑. พุทธาปทาน

(ข้ออ้างหรือประวัติของพระพุทธเจ้า )

ใจความว่า พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม พระอานนทเถระได้กราบทูลถาม ถึงเหตุให้บุคคลทั้งหลายได้เป็นพระพุทธเจ้าผู้รู้สิ่งทั้งปวง ตรัสตอบว่า ต้องเป็นผู้ได้ทำอธิการ ( คุณความดี ) ไว้ในพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แต่ยังมิได้บรรลุความหลุดพ้นในศาสนาของพระพุทธเจ้า ( นั้น ๆ ). ด้วยปัญญาที่ได้ตรัสรู้ออกหน้า ผู้มีปัญญาย่อมบรรลุความเป็นสัพพัญญูได้โดยลำดับ ด้วยอัธยศัย ด้วยธรรมะเป็นกำลังอันใหญ่ ด้วยปัญญาด้วยเดช. ครั้นแล้วตรัสเล่าว่า พระองค์เองได้ทรงปรารถนาความเป็นพระพุทธเจ้าในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ ผู้เป็นธรรมราชา ผู้สมบูรณ์ด้วยบารมี ๓๐ นับจำนวนไม่ได้, ได้ปรารถนาการตรัสรู้ต่อพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐทั้งหลาย ได้นมัสการ ๑๐ นิ้ว ซึ่งพระผู้เป็นนายกของโลกทั้งหลายพร้อม ด้วยภิกษุสงฆ์ได้อภิวาทด้วยเศียรเกล้า. นอกจากนั้นยังแสดงถึงการที่มีพระหฤทัยนึกน้อมถวายทาน มีความเลื่อมใสบูชาพระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้วแสดงการบำเพ็ญบารมีต่าง ๆ มีศีล เป็นต้น แล้วลงสุดท้ายเป็นคำสอนว่า " ท่านทั้งหลายเห็นความเกียจคร้านเป็นภัย เห็นความเพียรเป็นความเกษม ( ปลอดโปร่งจากภัย ) แล้ว ก็จงปรารภความเพียรเถิด. นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. เห็นการวิวาทกันเป็นภัย เห็นความไม่วิวาทกันเป็นความปลอดโปร่งจากภัยแล้ว ก็จงสมัครสมานเป็นมิตรกันเถิด. นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. เห็นความประมาทเป็นภัย เห็นความไม่ประมาทเป็นความปลอดโปร่งจากภัยแล้ว ก็จงเจริญมรรคาอันมีองค์ ๘ เถิด. นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย " ดังนี้เป็นต้น.

( หมายเหตุ : ข้อ ความที่พรรณนาในพุทธาปทานนี้ หนักไปในทางแสดงการบำเพ็ญบารมีทางใจมากกว่าอย่างอื่น และมีหลักสำคัญที่แสดงว่า ได้แสดงความปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้ามาแล้วในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ ส่วนรายการบำเพ็ญบารมีอื่นอีก จะมีแจ้งข้างหน้าในการย่อเล่มที่ ๓๓ อันว่าด้วยจริยาปิฎก ).

๒. ปัจเจกพุทธาปทาน

(ข้ออ้างของพระปัจเจกพุทธเจ้า )

ใจความในคำฉันท์แสดงว่า พระอานนท์ได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาค ถึงเหตุที่บุคคลจะได้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า, ตรัสตอบว่า ต้องเป็นผู้ได้ทำอธิการ ( คุณความดี ) ไว้ในพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แต่ยังมิได้บรรลุความหลุดพ้นในศาสนาของพระพุทธเจ้า ( นั้น ๆ ). ด้วยความสังเวชออกหน้า ผู้มีปัญญากล้าแม้เว้นจากพระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ได้บรรลุปัจเจกโพธิ ( การตรัสรู้เฉพาะตน ) ด้วยอารมณ์อันเล็กน้อย ( กว่าของพระพุทธเจ้า ). บุคคลที่จะเสมอพระปัจเจกพุทธเจ้า เว้นพระพุทธเจ้าเสียแล้ว ก็ไม่มีในโลกทั้งปวง. ครั้นแล้วตรัสแสดงคุณงามความดีต่าง ๆ ตามทำนองแห่งขัคควิสาณสูตร ( ที่กล่าวมาแล้วในหน้าพระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๗ ) ในอุรควรรคที่ ๑ มี ๑๒ สูตร ที่หมายเลข ๓.

๓. สาริปุตตเถราปทาน

( ข้ออ้างของพระสาริบุตร )

ข้าพเจ้า ( พระสาริบุตร ) ได้สร้างอาศรม สร้างบรรณศาลา ณ เวลัมพบรรพต ไม่ไกลหิมวันตประเทศ มีแม่น้ำฝั่งตื้น มีท่าอันดี น่ารื่นรมย์ มีเนินทรายอันบริสุทธิ์ดี ไม่ไกลอาศรม. ข้าพเจ้า ( พระสาริบุตร ) เป็นดาบสนามว่า สุรุจิ มีศีล สมบูรณ์ด้วยวัตร มักเข้าฌาน ยินดีในฌานเสมอ ถึงพร้อมด้วยกำลังคืออภิญญา ๕ ( แสดงฤทธิ์ได้,หูทิพย์, กำหนดรู้ใจผู้อื่น, ระลึกชาติได้, ตาทิพย์ ) มีศิษย์เป็นพราหมณ์ ผู้มีชาติ มียศ เป็นจำนวนมาก เป็นผู้รู้คัมภีร์พราหมณ์อุปฐากบำรุงข้าพเจ้า วันหนึ่งได้เห็นพระผู้มีพระภาคพระนามว่า อโนมทัสสี เมื่อได้สังเกตุดูพระพุทธลักษณะแล้ว ก็แน่ใจว่าเป็นพระพุทธเจ้า จึงปัดกวาดนำดอกไม้ ๘ กำมาบูชา แล้วกล่าวสรรเสริญพระญาณของพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า และได้รับพยากรณ์ ว่า จะเป็นผู้ชื่อว่าสาริบุตร มีปัญญากล้าได้เป็นอัครสาวกของพระโคดมพุทธเจ้า. ครั้นแล้วได้กล่าวถึงชาติปัจจุบันเล่าประวัติที่ได้ฟังธรรมจากพระอัสสชิและ ได้บวชร่วมกับสหายชื่อโกลิตะ ( พระมหาโมคคัลลานะ ) จนกระทั่งสิ้นอาสวะ ( กิเลสที่ดองสันดาน ).

๔. มหาโมคคัลลานเถราปทาน

( ข้ออ้างหรือประวัติของพระมหาโมคคัลลาเถระ )

ข้าพเจ้า ( พระมหาโมคคัลลานะ ) เป็นราชาแห่งนาค ชื่อว่าวรุณะ ได้เคยถวายอาหารแด่พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า พร้อมทั้งพระขีณาสวสาวก และได้รับพยากรณ์ว่าจะได้เป็นอัครสาวกนามว่า โกลิตะของพระโคดมพุทธเจ้า.

๕. มหากัสสปเถราปทาน

( ข้ออ้างหรือประวัติของพระมหากัสสปเถระ )

ข้าพเจ้า ( พระมหากัสสป ) ได้ชักชวนญาติมิตรให้ทำการบูชาพระปทุมุตตรพุทธเจ้า ผู้เสด็จดับขันธนิพพานแล้ว ได้ทำกุศลเป็นอันมาก ผลดีได้ส่งให้ได้ไปเกิดในสุคติ และในชาติสุดท้ายได้เกิดในสกุลพราหมณ์ ละสมบัติออกบวช ได้บรรลุปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖.

( หมายเหตุ : ใน คำฉันท์จริง ๆ พิสดารกว่านี้มาก ได้ย่อใจความที่สำคัญมาให้เห็นว่าแต่ละท่านได้บำเพ็ญความดี ในชั้นแรกก็ไม่มากอะไร แต่ได้บำเพ็ญความดีต่อ ๆกันมา จึงได้รับผลดีคือหมดกิเลส เวลาแสดงประวัติ ท่านก็ไม่ลืม ถือว่าความดีเล็ก ๆน้อย ๆ ที่ทำไว้เป็นครั้งแรกนั้น เป็นการเริ่มต้นที่สำคัญยิ่งในประวัติของท่าน ).

๖. พุทธาปทาน

( ข้ออ้างหรือประวัติของพระพุทธเจ้า )

( ในที่นี้จะนำพุทธาปทานอีกบทหนึ่ง ซึ่งอยู่ในหน้าพระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๖ หน้าพระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๖ อันมีชื่อว่าปุพพกัมมปิโลติกะ( ท่อนผ้าเก่าแห่งบุพพกรรม ) ส่วนใหญ่แสดงถึงกรรมชั่วที่พระผู้มีพระภาคเคยทรงทำไว้อันส่งผลร้ายแก่ พระองค์ แม้ในพระชาติสุดท้าย ซึ่งเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ ในการเปิดเผยพระประวัติทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่วอย่างตรงไปตรงมา ว่าเคยทรงทำไว้ทั้งกรรมดีกรรมชั่ว เฉพาะเรื่องนี้ จะพยายามถอกความให้ละเอียดเพื่อเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้สนใจทั่วไป).

เรื่องเล่าว่า พระผู้มีพระภาคอันพระภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่แวดล้อม ประทับเหนือพื้นศิลาอันน่ารื่นรมย์ใกล้สระอโนดาด ตรัสเล่าบุพพกรรม ( กรรมในกาลก่อน ) ของพระองค์ ดังนี้.

" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ท่านทั้งหลายจงฟังถึงกรรมที่เราได้ทำไว้แล้ว เราเห็นภิกษุผู้อยู่ป่ารูปหนึ่ง จึงได้ถวายผ้าท่อนเก่า ในกาลนั้นเราได้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก ผลแห่งกรรมอันเนื่องด้วยผ้าท่อนเก่านั้นได้สำเร็จแม้ในความเป็นพระพุทธเจ้า. "

" เราเคยเป็นนายโคบาลในชาติก่อน ๆ ต้อนแม่โคไปสู่ที่หากิน เห็นแม่โคดื่มน้ำขุ่นจึงห้ามไว้ด้วยผลแห่งกรรมนั้น ในภพสุดท้ายนี้ เรากระหายน้ำ จึงไม่ได้ดื่มตามต้องการ ( ใช้พระอานนท์ไปตักน้ำ พระอานนท์ไม่ตักกลับมากราบทูลว่า น้ำขุ่น ต้องตรัสย้ำให้ไปใหม่ พอพระอานนท์ไปตักครั้งที่ ๒ น้ำกลับใส-มหาปรินิพพาน-สูตร ).

" เราเคยเป็นนักเลงชื่อปุนาลิ ในชาติก่อน ๆ ได้กล่าวใส่ความพระปัจเจกพุทธเจ้าพระนามว่า สุรภิ ผู้มิได้ประทุษร้าย ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราจึงท่องเที่ยวไปในนรกสิ้นกาลนาน เสวยทุกขเวทนาสิ้นพันปีเป็นอันมากด้วยกรรมที่เหลือนั้น ในภพสุดท้ายนี้ ก็ถูกใส่ความ เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา ( คือนางสุนทริกาเป็นนักบวชหญิงถูกพวกเดียรถีย์ใช้ให้ทำเป็นบอกใครต่อใครว่าจะ ไปค้างคืนกับพระสมณโคดม แล้วไปค้างเสียที่อื่น รุ่งเช้าก็ทำเป็นเดินทางมาจากเชตวนารามที่ประทับ พออีก ๒-๓ วัน พวกเดียรถีย์ก็จ้างนักเลงไปฆ่านางสุนทริกาเป็นเชิงให้เห็นว่านางถูกฆ่า เพื่อจะปิดปาก คนก็สงสัยว่าอาจจะจริง แต่พระราชาส่งราชบุรุษสืบดูตามร้านสุรา ก็จับพวกนักเลงได้ และลงโทษผู้จ้างด้วยในที่สุด ).

" เพราะกล่าวใส่ความพระสาวกของพระสัพพาภิภูพุทธเจ้า มีนามว่านันทะ เราจึงท่องเที่ยวไปในนรก ตลอดกาลนานหลายหมื่นปี เมื่อได้เกิดเป็นมนุษย์ถูกใส่ความมาก. ด้วยกรรมที่เหลือนั้น นางจิญจมาณวิกา จึงได้ใส่ความเราด้วยคำไม่จริงต่อหน้าหมู่ชน ( นางจิญจมาณวิกาซึ่งเป็นนักบวชสตรี ถูกพวกเดียรถีย์ใช้ให้ทำอุบายเป็นว่ามีครรภ์กับพระพุทธเจ้า โดยเอาไม้ผูกไว้ที่ท้อง แกล้งด่าประจานพระผู้มีพระภาคในที่ประชุมชน แต่เผอิญไม้ที่ผูกไว้หลุดตกลงมา จึงถูกประชาทัณฑ์ และถึงแก่ความตายในที่สุด ซึค่งอรรถกถาธรรมบทใช้คำว่า ถูกธรณีสูบตาย ภายหลังที่ถูกประชาชนลงโทษแล้ว ).

" เราได้เคยเป็นพราหมณ์ผู้มีความรู้ ( ผู้ได้สดับ ) มีผู้เคารพสักการะ สอนมนต์แก่มาณพ ๕๐๐ ได้ใส่ความภิมฤษีผู้มีอภิญญา ๕ มีฤทธิ์มาก ผู้มาในที่นั้น โดยกล่าวกะศิษย์ทั้งหลายว่า ฤษีนี้เป็นผู้บริโภคกาม มาณพทั้งหลายก็พลอยชื่นชมไปกับเรา เมื่อไปภิกขาจารในสกุลก็เที่ยวกล่าวแก่มหาชนว่า ฤษีนี้เป็นผู้บริโภคกาม. ด้วยผลของกรรมนั้น ภิกษุ ๕๐๐ เหล่านี้ ทั้งหมด ก็พลอยถูกใส่ความไปด้วยเพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา ( เมื่อมีข่าวว่านางสุนทริกาถูกฆ่าตาย ชาวเมืองก็เข้าใจว่า พระภิกษุทั้งหลายมีส่วนในการฆ่าปิดปาก จึงพากันด่าว่าเมื่อแลเห็นภิกษุทั้งหลาย. เมื่อพระราชาทรงสืบทราบและให้ลงโทษผู้ฆ่าแล้ว เรื่องจึงได้สงบ ).

" ในกาลก่อน เราได้เคยฆ่าน้องชายต่างมารดาเพราะเหตุแห่งทรัพย์ ผลักลงไปในซอกเขา เอาหินทุ่ม ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เทวทัตจึงเอาหินทุ่มเรา สะเก็ดหินมาถูกหัวแม่เท้าเรา.

" ในกาลก่อน เราเป็นเด็กเล่นอยฅู่ในทางใหญ่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงเผาสิ่งต่าง ๆ ขวางทางไว้ ด้วยผลแห่งกรรมนั้น ในภพสุดท้ายนี้ เทวทัตจึงส่งคนเพื่อให้ฆ่าเรา.

"ในกาลก่อนเราได้เป็นนายควาญช้าง ไสช้างให้ไล่กวดพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้เที่ยวไปเพื่อบิณฑบาต ด้วยผลแห่งกรรมนั้น ช้างนาฬาคิริ ดุร้าย เมามัน จึงวิ่งเข้ามาหาเรา ( เพื่อทำร้าย ) ในนครอันประเสริฐ ซึ่งมีภูเขาเป็นคอก ( คือในกรุงราชคฤห์ ซึ่งมีภูเขา ๕ ลูกแวดล้อม จึงมีนามว่านครที่มีภูเขาล้อมเป็นคอก ),

"เราได้เคยเป็นพระราชา เป็นหัวหน้าทหารเดินเท้า ได้ฆ่าบุรุษหลายคนด้วยหอก ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราได้หมกไหม้อย่างหนักในนรก ด้วยผลที่เหลือแห่งกรรมนั้น สะเก็ดแผลที่เท้าของเราก็กลับกำเริบ เพราะกรรมยังไม่หมด.

"เราเคยเป็นเด็กชาวประมง ในหมู่บ้านชาวประมง เห็นชาวประมงฆ่าปลาก็มีความชื่นชม ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราจึงเกิดเจ็บที่ศีรษะ ในขณะที่วิฏฏภะ ( วิฑูฑภะ ) ฆ่าพวกศากยะ ( วิฑูฑภะฆ่าพวกศากยะ เพราะโกรธว่าดูหมิ่นเอาน้ำนมสดล้างที่นั่ง เมื่อคราวที่ตนไปเยี่ยมญาติ ณ กรุงกบิลพัสดุ์. วิฑูฑภะเป็นโอรสพระเจ้าปเสนทิโกศล และนางวาสภขัตติยาผู้เป็นบุตรี เกิดจากนางทาสีของมหานามศากยะ. คณะกษัตริย์ศากยะเลือกส่งมาถวายพระเจ้าปเสนทิเมื่อคราวทรงขออภิเสกกับนาง กษัตริย์ศากยะ ).

"เราได้เคยบริภาษ ( ด่าโดยอ้อม ) พระสาวกในพระธรรมวินัยของพระผุสสพุทธเจ้าว่า ท่านจงเคี้ยวจงกินข้าวเหนียวเถิด อย่ากินข้าวสาลีเลย. ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราเลยต้องบริโภคข้าวเหนียวอยู่ ๓ เดือน ในเมื่อพราหมณ์นิมนต์ไปอยู่ในเมืองเวรัญชรา ( พราหมณ์นิมนต์ไปจำพรรษาแล้วลืมถวายอาหาร ได้อาศัยพวกพ่อค้าม้าถวายข้าวแดง อาจเป็นข้าวเหนียวแดงที่สำหรับให้ม้ากิน ).

"ในสมัยที่ไม่มีพระพุทธเจ้า เราได้เคยทำร้าย๑บุตรแห่งนักมวยปล้ำ ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราจึงเกิดเจ็บที่หลัง.

"เราได้เคยเป็นหมอ ( แกล้ง ) ถ่ายยาบุตรแห่งเศรษฐี ( คงเป็นการถ่ายอย่างแรงถึงแก่ชีวิต ).ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราจึงลงโลหิต ( โรคปักขันทิกะ ).

"เราเป็นผู้ชื่อว่าโชติปาละ ได้เคยกล่าวกะพระสุตตพระนามว่ากัสสปะ การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก ท่านจะได้จากควงไม้โพธิที่ไหนกัน. ด้วยผลแห่งกรรมนั้น เราได้บำเพ็ญทุกกรกิริยาเป็นอันมากสิ้นเวลา ๖ ปี ต่อจากนั้นจึงได้บรรลุการตรัสรู้ เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น ได้แสวงหาโดยทางที่ผิด เพราะถูกกรรมเก่าทวงเอา.

"เราสิ้นบุญและบาปแล้ว เว้นแล้วจากความเดือดร้อนทั้งปวง ไม่มีความโศก ไม่มีความคับแค้น ปราศจากอาสวะ จักปรินิพพาน. "

( เป็นอันว่าได้แสดงตัวอย่างในอปทาน พอให้ท่านผู้อ่านได้เห็นว่า มีรายละเอียดอย่างไร ).

จบพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๒ ชื่อขุททกนิกาย

อปทาน ภาคที่ ๑

'๑' . มลฺลปฺต์ตํ นิเสธยึ โดยปกติคำว่า นิเสธ แปลว่า ห้าม, กั้น, กีดกัน, ผลัก, และแปลว่า ต่อสู้หรือทำ ให้แพ้ก็ได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ต.ค. 2010, 18:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 13:20
โพสต์: 821


 ข้อมูลส่วนตัว


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ ชื่อขุททกนิกาย
( เป็นสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๔)

อปทานภาคที่ ๒, พุทธวังสะ, จริยาปิฎก.

พระไตรปิฎกเล่มนี้เป็นเล่มสุดท้ายแห่งพระสุตตันตปิฎก มีข้อความเรื่อง อปทาน ต่อมาจากเล่มที่ ๓๒ กับมีหัวข้ออื่นอีก ๒ ข้อ คือ พุทธวังสะ ( วงค์แห่งพระพุทธเจ้า ) แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์ เริ่มต้นตั้งแต่พระทีปังกร จนถึงพระพุทธเจ้าของเรา คือพระสมณโคดม กับหัวข้อใหญ่อีกเรื่องหนึ่งคือ จริยาปิฎก ( คัมภีร์ว่าด้วยจริยา คือความประพฤติของพระพุทธเจ้า ) เรื่องนี้แสดงถึงการที่พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติบำเพ็ญบารมีต่าง ๆ, ต่อไปนี้จะขยายความทั้งสามหัวข้อนั้นเป็นลำดับไป.

๑. อปทาน ภาคที่ ๒

มีข้อที่ควรกล่าวก็คือ ในอปทานภาคที่ ๑ มีประวัติของพระพุทธเจ้า ๒ เรื่อง, ของพระปัจเจกพุทธเจ้า ๑ เรื่อง, ประวัติของพระสาวกต่าง ๆ ๔๐๙ เรื่อง รวม ๔๑๒ เรื่อง แต่ในอปทานภาคที่ ๒ นี้ มีประวัติของพระสาวกต่าง ๆ ที่เป็นพระเถระ ๑๔๐ รูป พระเถรี ๔๐ รูป. ในที่นี้จะแสดงตัวอย่างอปทาน คือข้ออ้างหรืออดีตประวัติของพระเถระ ๕ รูป ของพระเถรี ๕ รูป คือ :-

๑. มหากัจจายนเถราปทาน๑

(ข้ออ้างหรือประวัติของพระมหากัจจายนเถระ)

ในสมัยของพระปทุมุตตรพุทธเจ้า ข้าพเจ้า ( พระมหากัจจายนเถระ ) เป็นดาบส อยู่ ณ หิมวันตประเทศ เที่ยวไปผู้เดียว ขณะที่ไปยังถิ่นของมนุษย์ทางอากาศ ได้เห็นพระชินะจึงเข้าไปใกล้ ฟังพระธรรมเทศนาของพระองค์ผู้กำลังพรรณนาคุณอันยิ่งใหญ่ของพระสาวก และตั้งเป็นเอตทัคคะ ( เป็นยอดหรือเลิศ ) ในทางประกาศพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงไว้ย่อ ๆ ให้พิศดาร. ข้าพเจ้าได้ฟังก็รู้สึกพิศวงจึงไปยังหิมวันตประเทศ รวบรวมดอกไม้นำมาบูชาพระพุทธเจ้า แล้วปรารถนาฐานะเช่นกัน ( ตำแหน่งพระสาวกผู้เป็นเลิศทางแสดงธรรมให้พิสดาร ). พระผู้มีพระภาคก็ทรงพยากรณ์ว่าข้าพเจ้าจะได้เป็นสาวกของพระโคดมมหามุนี มีนามว่า กัจจานะ บรรลุฐานะ ( ที่ประสงค์ ) นั้น ก็ได้บรรลุในชาติสุดท้ายนี้สมตามที่ปรารถนา.

๒. มหากัปปินเถราปทาน

(ข้ออ้างหรือประวัติของพระมหากัปปินเถระ)

พระชินะทรงพระนามว่า ปทุมุตตร ผู้ถึงฝั่งแห่งธรรมทั้งปวง ทรงอุบัติขึ้น ดั่งดวงอาทิตย์อุทัยในอากาศอันปลอดโปร่งในท้องฟ้าฤดูสารท. พระนายกนั้น ทรงยังดอกปทุมคือเวไนยสัตว์ให้บานด้วยแสง คือคำสอน ทรงทำเปือกตมคือกิเลสให้แห่งด้วยรังสีคือความรู้.๒ ครั้งข้าพเจ้า ( พระมหากัปปินเถระ) เป็นอำมาตย์ผู้วินิจฉัยอรรถคดีในหังสนคร ( หังสวตี ) ได้สดับธรรมของพระตถาคตผู้ทรงประกาศคุณของพระสาวก นามว่า ชลชุตตมะ ผู้ให้โอวาทแก่ภิกษุทั้งหลาย ผู้มีสติ ยังใจของข้าพเจ้าให้ร่าเริง ครั้นสดับแล้วก็เกิดปีติโสมนัสนิมนต์พระตถาคตพร้อมด้วยทั้งศิษย์สาวกฉัน ภัตตาหาร แล้วปรารถนาฐานะนั้น ( ตำแหน่งพระสาวกผู้เลิศในทางสอนภิกษุทั้งหลาย ) พระตถาคตเจ้าก็ตรัสพยากรณ์ว่า จะได้เป็นผู้มีนามว่ากัปปินะ เป็นสาวกของพระโคดมศาสดา, ต่อมาก็ได้สำเร็จสมความประสงค์ พระชินะทรงตั้งข้าพเจ้าในเอตทัคคะทางให้โอวาทแก่ภิกษุทั้งหลาย.

๓. ทัพพมัลลปุตตเถราปทาน

(ข้ออ้างหรือประวัติของพระทัพพมัลลบุตรเถระ)

ในครั้งนั้นข้าพเจ้า ( พระทัพพมัลลบุตร ) เป็นบุตรเศรษฐี อยู่ในกรุงหังสวดี ได้ฟังคำของพระปทุมมุตตรศาสดา ผู้ทรงประกาศกิตติคุณพระสาวกของพระองค์ผู้จัดเสนาสนะ ( ที่อยู่อาศัย ) ของภิกษุทั้งหลาย ก็มีใจเบิกบานกระทำอธิการ ( คุณความดี ) แด่พระศาสดาพร้อมทั้งพระสงฆ์ ปรารถนาฐานะนั้น ( ตำแหน่งพระสาวกผู้เลิศในทางจัดเสนาสนะ)ก็ได้รับพยากรณ์ว่า จะได้เป็นผู้มีนามว่าทัพพะ เป็นสาวกของพระโคดมศาสดา เป็นผู้เลิศในทางจัดเสนาสนะ จำเนียรกาลล่วงมาก็เป็นไปสมตามที่ปรารถนานั้น.

๔. กุมารกัสสปเถราปทาน

(ข้ออ้างหรือประวัติของพระกุมารกัสสปเถระ)

ในครั้งนั้น ข้าพเจ้า ( พระกุมารกัสสป) เป็นพราหมณ์ผู้มีชื่อเสียง ถึงฝั่งแห่งพระเวท ขณะไปสู่ที่พักกลางวัน ได้เห็นพระปทุมุตตรพุทธเจ้า ผู้เป็นนายกแห่งโลกกำลังประกาศสัจจธรรม ๔ ประการ ยังโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลกให้ตื่นขึ้น ทรงพรรณนาคุณแห่งพระสาวกของพระองค์ผู้กล่าวธรรมอันวิจิตร ในท่ามกลางมหาชน ข้าพเจ้าก็มีจิตเบิกบานนิมนต์พระตถาคต พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ไปฉันโภชนะมีรสอันเลิศต่าง ๆ ครบ ๗ วัน แล้วปรารถนาฐานะนั้น ( ตำแหน่งพระสาวกผู้เลิศในทางกล่าวธรรมอันวิจิตร )๓ ซึ่งได้รับพยากรณ์ว่า จะเป็นผู้มีนามว่ากุมารกัสสป เป็นสาวกของพระโคดมศาสดา. จำเนียรกาลล่วงมาก็เป็นไปสมตามที่ปรารถนานั้น.

๕. มหาโกฏฐิตเถราปทาน

(ข้ออ้างหรือประวัติของพระมหาโกฏฐิตเถระ)๔

ในครั้งนั้น ข้าพเจ้า ( พระมหาโกฏฐิตะ) เป็นพราหมณ์ผู้ถึงฝั่งแห่งพระเวทในกรุงหังสวตี ได้เข้าไปเฝ้าพระปทุมุตตรศาสดา ฟังธรรม. ครั้งนั้น พระองค์ทรงตั้งพระสาวกผู้มีปฏิสัมภิทาแตกฉาน คือฉลาดในอรรถ ในธรรมในนิรุตติ ( ภาษาพูด ) และในปฏิภาณ ไว้ในตำแหน่งอันเลิศ ก็มีใจเบิกบาน จึงนิมนต์พระชินวร พร้อมด้วยพระสาวกไปฉันตลอด ๗ วัน แล้วปรารถนาฐานะนั้น ( ตำแหน่งพระสาวกผู้เลิศในปฏิสัมภิทาคือความแตกฉานในอรรถ, ธรรม, นิรุตติ,ปฏิภาณ ) ซึ่งได้รับพยากรณ์ว่า จะเป็นผู้มีนามว่า โกฏฐิตะเป็นสาวกของพระโคตมศาสดา จำเนียรกาลล่วงมาก็ได้เป็นไปสมตามที่ปรารถนานั้น.

ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างอปทานของพระเถรีอีก ๕ รูป

๑. มหาปชาบดีโคตมีเถริยาปทาน

(อปทานหรือประวัติของพระนางมหาปชาบดีเถรี )

พระผู้มีพระภาคประทับ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้กรุงเวสาลี พระนางมหาปชาบดี-โคตมี ก็ประทับอยู่ในสำนักนางภิกษุณี ใกล้นครนั้น พร้อมด้วยนางภิกษุณีทั้งหลายประมาณ ๕๐๐ รูป ผู้หลุดพ้นแล้วจากกิเลส. พระนางทรงพระดำริว่า จะมิได้เห็นการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า พระอัครสาวก พระราหุล พระอานนท์ พระนนทะ จึงทรงปลงอายุสังขารที่จะปรินิพพาน และจะไปกราบทูลขอพระพุทธานุญาต แม้นางภิกษุณีอื่น ๆ ๕๐๐ รูป มีพระนางเขมา เป็นต้น ก็นึกในทำนองเดียวกัน จึงพร้อมกันไปเฝ้ากราบทูลลาปรินิพพาน. เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสประทานอนุญาตแล้ว ก็มีผู้เลื่อมใสแสดงความโศก พระนางจึงแสดงธรรมสั่งสอน และเล่าพระประวัติที่ออกบรรพชาอุปสมบท กับได้ตรัสเล่าพระประวัติในอดีตกาลทั้งพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งพระนางเกิดเป็นบุตรีของมหาอำมาตย์ผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก ได้เข้าไปเฝ้าพระศาสดาพร้อมด้วยบิดาของตนและหมู่ทาสี ได้เห็นพระศาสดาทรงตั้งพระน้านางของพระองค์ในเอตทัคคะ จึงถวายทานและปรารถนาตำแหน่งนั้นบ้าง ก็ได้รับพยากรณ์ว่า จะได้เกิดมีนามว่าโคตมี เป็นสาวิกาของพระโคตมพุทธเจ้า ซึ่งก็สำเร็จสมตามปรารถนานั้น ในประวัตินั้นยังแสดงต่อไปจนถึงสมัยที่พระนางมหาปชาบดี โคตมี เสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ สำนักแห่งนางภิกษุณี ทรงเข้าอนุบุพพวิหาร ๙ โดยอนุโลมและปฏิโลม แล้วทรงกลับเข้ารูปฌานทั้งสี่ ออกจากฌานที่ ๔ ก็เสด็จปรินิพพาน.๕ ( อันเห็นได้ชัดว่าเรื่องอปทานนี้ มิใช่เจ้าของประวัติแต่งเอง แต่มีผู้รวบรวมเรื่องราวมาแต่งขึ้นในภายหลัง ซึ่งน่าจะเป็นสมัยทำสังคายนา ร้อยกรองพระธรรมวินัย ระหว่างครั้งที่ ๑ ถึงครั้งที่ ๒ นอกจากนั้นสำนวนภาษาบาลีก็ดี สำนวนกวีก็ดี แสดงสมัยว่าต่างจากภาษาบาลีสำนวน พระสูตรสมัยแรก แต่โดยเหตุที่เรื่องนี้ เป็นเพียงการรวบรวมประวัติที่ทรงจำกันด้วยปากให้เป็นตัวหนังสือขึ้น การจัดเข้าในสุตตันตปิฎกด้วย จึงเป็นการที่ทำให้ตำราทางพระพุทธศาสนาสมบูรณ์ขึ้น ).

๒. เขมาเถริยาปทาน

(ข้ออ้างหรือประวัติของพระนางเขมาเถรี )

ในกาลนั้น ข้าพเจ้า ( พระนางเขมาเถรี ) เกิดในสกุลเศรษฐี ในกรุงหังสวตี ในสมัยแห่งพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ฟังพระธรรมเทศนามีความเลื่อมใส ขอให้บิดานิมนต์พระผู้มีพระภาค พร้อมทั้งพระสาวก ฉันครบ ๗ วัน ได้สดับเรื่องที่พระผู้มีพระภาคทรงตั้งภิกษุรูปหนึ่งในตำแหน่งเอตทัคคะ ทางมีปัญญามาก มีความชื่นชม กระทำบุญแล้วปรารถนาตำแหน่งนั้นต่อพระผู้มีพระภาค ก็ได้พยากรณ์ว่า จะได้เป็นสาวกของพระโคตมสัมมาสัมพุทธเจ้า มีนามว่า เขมา ได้บรรลุตำแหน่งเอตทัคคะสมดังปรารถนา และในสมัยของพระผู้มีพระภาคพระองค์นี้ ก็ได้สำเร็จสมปรารถนาทุกประการ อนึ่งในสมัยพระวิปัสสี และพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ได้ทำเช่นเดียวกับพระนางอุปปลวัณณาซึ่งจะกล่าวต่อไป.

๓. อุปปลวัณณาเถริยาปทาน

(ข้ออ้างหรือประวัติของพระนางอุปปลวัณณาเถรี )

ในกาลนั้น ข้าพเจ้า ( พระนางอุปปสวัณณา ) เป็นนาคกัญญา นิมนต์พระปทุมุตตรสัมมา-สัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยพระสาวกเสวย ได้เห็นนางภิกษุณีองค์หนึ่งแสดงฤทธิ์ได้ต่าง ๆ จึงตั้งจิตปรารถนาฐานะเช่นนั้น ได้ถวายข้าวน้ำ และถวายดอกอุบลชื่ออรุณะ ปรารถนาให้ผิวกายดังดอกอุบล. ครั้นในศาสนาของพระปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เกิดเป็นธิดาเศรษฐีถวายมหาทานแด่พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์. ในสมัยแห่ง พระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เป็นพระธิดาองค์ที่ ๒ ของพระเจ้ากิกิ ราชาแห่งแคว้นกาสีผู้อุปฐากพระพุทธเจ้า ( พระนางเขมาเกิดเป็นพระราชธิดาองค์ที่ ๑ ) ฟังพระธรรมของบรรพชา แต่พระราชบิดาไม่ทรงอนุญาต จึงประพฤติพรหมจรรย์อยู่ในพระราชวังพร้อมด้วยพระภคินีอื่น ๆ รวม ๗ พระองค์ ทั้งพระองค์เอง. นอกจากนั้นในชาติอื่น ๆ อีก ยังได้ทำความดีในพระปัจเจกพุทธเจ้าหลายพระองค์. ในชาติสุดท้ายเกิดเป็นธิดาเศรษฐี ออกบวชตรัสรู้อริยสัจจ์ ๔ ละกิลาสาสวะได้ ( เป็นผู้เลิศในทางมีฤทธิ์ ).

๔. ปฏาจาราเถริยาปทาน

(ข้ออ้างหรือประวัติของพระนางปฏาจาราเถรี )

ในกาลนั้น ข้าพเจ้า ( พระนางปฏาจาราเถรี) เกิดในสกุลแห่งเศรษฐีในกรุงหังสวดี ในสมัยของพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้สดับพระธรรมเทศนา มีความเลื่อมใสถึงพระชินเจ้าเป็นสรณะ มีจิตชื่นบาน เมื่อเห็นพระผู้มีพระภาคทรงตั้งนางภิกษุณีในตำแหน่งเลิศทางทรงพระวินัย จึงปรารถนาฐานะนั้น นิมนต์พระทศพล พร้อมทั้งพระสงฆ์ฉันเป็นเวลา ๗ วัน แล้วได้กราบทูลแสดงความปรารถนา ก็ได้รับพยากรณ์ว่า จะได้มีนามว่าปฏาจารา เป็นสาวกของพระโคตมสัมมา-สัมพุทธเจ้า. อนึ่ง ในสมัยของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้เป็นธิดาองค์ที่ ๓ ของพระเจ้ากิกิ มีความเป็นไปเช่นเดียวกับพระนางอุปปลวัณณา.

๕. กุณฑลเกสีเถริยาปทาน

(ข้ออ้างหรือประวัติของพระนางกุณฑลเกสีเถรี )

ประวัติของพระนางกุณฑลเกสี ก็เช่นเดียวกับพระนางเขมา, พระนางอุปปลวัณณา, พระนางปฏาจารา ได้บำเพ็ญกุศลในสมัยพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้น ในทำนองเดียวกัน.ในสมัยแห่งพระโคตมสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ออกบวชสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ได้รับแต่งตั้งในตำแหน่งเลิศทางตรัสรู้ได้เร็ว.

(จบตัวอย่างอปทานฝ่ายพระเถรี )

๒. พุทธวังสะ ( วงค์แห่งพระพุทธเจ้า )

ในเรื่องพุทธวงค์นี้ แบ่งออกเป็น ๒๘ หัวข้อใหญ่ คือ หัวข้อแรกว่าด้วยรตนจงกรม คือที่จงกรมแก้ว อันเป็นที่เสด็จจงกรม ( เดินกลับไปมามีสติสัมปชัญญะ ) ส่วนหัวข้อที่ ๒ ถึงที่ ๒๖ ว่าด้วยพระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์ เริ่มตั้งแต่พระทีปังกร จนถึงพระโคดมเป็นที่สุด.หัวข้อที่ ๒๗ ว่าด้วยปกิณณกะ เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า. หัวข้อที่ ๒๘ ว่าด้วยการแจกพระสาริกธาตุ ซึ่งจะกล่าวตามลำดับหัวข้อต่อไปนี้โดยสังเขป.

๑. รตนจังกมนกัณฑ์ หมวดว่าด้วยที่จงกรมแก้ว เป็นคำฉันท์พรรณนาเหตุการณ์ เมื่อเสด็จไปโปรดพระพุทธบิดา ณ กรุงกบิลพัสดุ์ ตรัสแสดงธรรมเรื่องเวสสันดรชาดก เสร็จแล้วจึงทรงนิรมิตเรือนแก้วเสด็จจงกรม แสดงปาฏิหาริย์ให้เห็นว่าทรงบำเพ็ญบารมีต่าง ๆ มาในอดีตกาลอย่างไร.

( เรื่องนี้อาจถอดความได้ว่า ทรงแสดงธรรมได้ชัดเจนอย่างปาฏิหาริย์ เห็นจริงเห็นจังว่า ได้ทรงบรรลุผลดีมิใช่อย่างลอย ๆ แต่ต้องบำเพ็ญบารมีมาอย่างมากมาย อันแสดงหลักการที่สำคัญแห่งพระพุทธศาสนา ที่ว่ามิได้มีการได้ดีใด ๆ เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ).

๒. ทีปังกรพุทธวงศ์ ( ที่ ๑ ) วงศ์แห่งพระทีปังกรณ์พุทธเจ้า เล่าเรื่องเมื่อครั้งพระโคดมพุทธเจ้าเป็นสุเมธดาบส ช่วยชาวบ้านทำทางให้พระทีปังกรพุทธเจ้าเสด็จผ่าน มีที่เหลืออยู่อีกหน่อยยังทำทางไม่เสร็จด้วยศรัทธา สุเมธดาบสจึงลงนอนทับโคลนให้พระพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสาวกเสด็จและเดินเหยียบ ข้ามไปแล้วได้รับพยากรณ์ว่า จะได้เป็นพระพุทธเจ้าพระนามว่า โคดม. ต่อจากนั้นแสดงรายละเอียดเฉพาะพระทีปังกรพุทธเจ้า.

๓. โกณฑัญญพุทธวงศ์ ( ที่ ๒ ) วงศ์แห่งพระโกณฑัญญพุทธเจ้า, สมัยนั้นพระโคดมพุทธเจ้า ได้เคยเป็นกษัตริย์พระนามว่า วิชิตาวี ได้ถวายทานแด่พระโกณฑัญญพุทธเจ้า และได้รับพยากรณ์.ต่อจากนั้นแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับพระโกณฑัญญพุทธเจ้า.

๔. มังคลพุทธวงศ์ ( ที่ ๓ ) วงค์แห่งพระมังคลพุทธเจ้า, สมัยนั้นพระโคดมพุทธเจ้า เป็นพราหมณ์ มีนามว่า สุรุจิ ได้บูชาพระมังคลพุทธเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ และถวายน้ำนมโคให้ดื่ม ก็ได้รับพยากรณ์. ต่อจากนั้นแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับพระมังคลพุทธเจ้า.

๕. สุมนพุทธวงศ์ ( ที่ ๔ ) วงศ์แห่งพระสุมนพุทธเจ้า, สมัยนั้นพระโคดมพุทธเจ้า เป็นอตุลนาคราช ได้ถวายข้าวน้ำและผ้าคู่แด่พระสุมนพุทธเจ้า พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ และได้รับพยากรณ์. ต่อจากนั้นแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับพระสุมนพุทธเจ้า.

๖. เรวตพุทธวงศ์ ( ที่ ๕ ) วงศ์แห่งพระเรวตพุทธเจ้า, สมัยนั้นพระโคดมพุทธเจ้า เป็นพราหมณ์นามว่า อติเทวะ ได้ถึงพระเรวตพุทธเจ้าเป็นสรณะ ได้ชมเชยพระคุณ คือ ศีล สมาธิ ปัญญาของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น และได้ถวายทานอันยอดเยี่ยม ได้รับพยากรณ์. ต่อจากนั้นแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับพระเรวตพุทธเจ้า.

๗. โสภิตพุทธวงศ์ ( ที่ ๖ ) วงศ์แห่งพระโสภิตพุทธเจ้า, สมัยนั้นพระโคดมพุทธเจ้า เป็นพราหมณ์นามว่า สุชาตะ ได้ถวายข้าวน้ำแด่พระโสภิตพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระสาวก และได้รับพยากรณ์.( ข้อความเกี่ยวกับรายละเอียด เฉพาะพระองค์ของพระพุทธเจ้า ที่กล่าวพระนามนั้น มีกล่าวไว้ทุกแห่ง ต่อไปจะไม่กล่าวถึง เป็นอันทราบกันว่า มีรายละเอียดกล่าวไว้ทุกพระองค์ และพระโคดมพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญความดี พร้อมทั้งได้รับพยากรณ์ทุกครั้ง).

๘. อโนมทัสสิพุทธวงศ์ ( ที่ ๗ ) วงศ์แห่งพระอโนมทัสสี พุทธเจ้า.

๙. ปทุมพุทธวงศ์ ( ที่ ๘ ) วงศ์แห่งพระปทุมพุทธเจ้า.

๑๐. นารทพุทธวงศ์ ( ที่ ๙ ) วงศ์แห่งพระนารทพุทธเจ้า.

๑๑. ปทุมุตตรพุทธวงศ์ ( ที่ ๑๐ ) วงศ์แห่งพระปทุมุตตรพุทธเจ้า.

๑๒. สุเมธพุทธวงศ์ ( ที่ ๑๑ ) วงศ์แห่งพระสุเมธพุทธเจ้า.

๑๓. สุชาตพุทธวงศ์ ( ที่ ๑๒ ) วงศ์แห่งพระสุชาตพุทธเจ้า.

๑๔. ปิยทัสสิพุทธวงศ์ ( ที่ ๑๓ ) วงศ์แห่งพระปิยทัสสีพุทธเจ้า.

๑๕. อัตถทัสสิพุทธวงศ์ ( ที่ ๑๔ ) วงศ์แห่งพระอัตถทัสสีพุทธเจ้า.

๑๖. ธัมมทัสสิพุทธวงศ์ ( ที่ ๑๕ ) วงศ์แห่งพระธัมมทัสสีพุทธเจ้า.

๑๗. สิทธัตถพุทธวงศ์ ( ที่ ๑๖ ) วงศ์แห่งพระสิทธัตถพุทธเจ้า. ๖

๑๘. ติสสพุทธวงศ์ ( ที่ ๑๗ ) วงศ์แห่งพระติสสพุทธเจ้า.

๑๙. ปุสสพุทธวงศ์ ( ที่ ๑๘ ) วงศ์แห่งพระปุสสพุทธเจ้า.

๒๐. วิปัสสิพุทธวงศ์ ( ที่ ๑๙ ) วงศ์แห่งพระวิปัสสีพุทธเจ้า.

๒๑. สิขิพุทธวงศ์ ( ที่ ๒๐ ) วงศ์แห่งพระสิขีพุทธเจ้า.

๒๒. เวสสภูพุทธวงศ์ ( ที่ ๒๑ ) วงศ์แห่งพระเวสสภูพุทธเจ้า.

๒๓. กุกกุสันธพุทธวงศ์ ( ที่ ๒๒) วงศ์แห่งพระกุกกุสันธพุทธเจ้า(พระนามนี้ในที่อื่นใช้คำว่ากกุสันธะ).

๒๔. โกนาคมนพุทธวงศ์ ( ที่ ๒๓ ) วงศ์แห่งพระโกนาคมนพุทธเจ้า.

๒๕. กัสสปพุทธวงศ์ ( ที่ ๒๔ ) วงศ์แห่งพระกัสสปพุทธเจ้า.

๒๖. โคตมพุทธวงศ์ ( ที่ ๒๕ ) วงศ์แห่งพระโคดมพุทธเจ้า. มีข้อความแสดงธรรมการประชุมพระสาวก พระนามพระพุทธบิดา พระพุทธมารดา และพระนามพระสาวกที่สำคัญ.

๒๗. พุทธปกิณณกกัณฑ์ หมวดเบ็ดเตล็ดเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าแสดงว่าในกัปป์ไหน พระพุทธเจ้าพระองค์ไหน ทรงอุบัติบ้าง ในตอนต้นได้แสดงว่าในกัปป์เดียวกับพระทีปังกรพุทธเจ้า ( พระองค์ที่ ๑ ในพุทธวงศ์ ) นั้น ยังมีพระพุทธเจ้าอีก ๓ พระองค์ ( รวมเป็น ๔ ) คือ พระตัณหังกร, พระเมธังกร, พระสรณังกรต่อจากนั้นจึงถึงพระทีปังกรพุทธเจ้า. ( อันแสดงว่าทั้งสามพระองค์นั้น มีมาก่อนพระองค์แรกในพุทธวงศ์ ๒๕ พระองค์ ซึ่งความจริงตามหลักพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าในอดีตมีมากนับจำนวนไม่ได้ ในเล่มนี้แสดงพระนามไว้ ๒๘ พระองค์ ).

๒๘. ธาตุภาชนียกถา แสดงว่าเมื่อพระผู้มีพระภาคปรินิพพานแล้วได้มีการแจกพระธาตุไปไว้ในที่ต่าง ๆ คือ ๑. ในนครของพระเจ้าอชาตศัตรุ ( ราชคฤห์ ) ๒. ในกรุงเวสาลี ๓. ในกรุงกบิลพัสดุ์ ๔. ในแคว้นอัลลกัปปะ ๕. ในรามคาม ๖. ในแคว้นเวฏฐทีปกะ ๗. ในกรุงปาวาแห่งกษัตริย์มัลละ ๘. ในกรุงกุสินารา. ( รวมเป็นพระเจดีย์บรรจุพระอัฏฐิ ๘ แห่ง ). โทณพราหมณ์ได้นำทะนานสำหรับตักแบ่งพระบรมสารีริกธาตุไปบรรจุในสตูป เรียกว่าตุมพเจดีย์ ( พระเจดีย์ทะนาน ). โมริยกษัตริย์ได้ขอรับพระอังคาร ( เถ้าถ่าน ) ไปบรรจุเป็นอังคารสตูป. นอกจากนั้นยังแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับพระเขี้ยวแก้ว พระทนต์ พระเกศ พระโลมา และพระพุทธบริขารต่าง ๆ .

(จบพระพุทธวงศ์)

๓. จริยาปิฎก ( คัมภีร์ว่าด้วยพระพุทธจริยา )

( จริยาปิฎกหรือคัมภีร์ว่าด้วยพระพุทธจริยานี้ นับเป็นเรื่องใหญ่หัวข้อสุดท้ายในเล่มที่ ๓๓ ซึ่งเริ่มด้วยเรื่องอปทานกับเรื่องพุทธวงศ์มาแล้วโดยลำดับ. จริยาหรือความประพฤติในอดีตของพระพุทธเจ้า ที่นำมากล่าวไว้ในจริยาปิฎก มี ๓๕ เรื่อง โดยแยกแสดงว่า เป็นการบำเพ็ญทานบารมี ๑๐ เรื่อง, เป็นการบำเพ็ญศีลบารมี ๑๐ เรื่อง, เป็นการบำเพ็ญเนกขัมมบารมี ( การออกบวช ) ๖ เรื่อง, สัจจบารมี ๖ เรื่อง, เมตตาบารมี ๒ เรื่อง, อุเบกขาบารมี ๑ เรื่อง, รวมเป็น ๑๕ เรื่อง กับตอนสุดท้าย มีสโมธานกถา คือคำ สรูปว่า เรื่องไหนเป็นบารมี อะไรในบารมีมี ๑๐ ประการ. มีข้อที่ควรพิจารณาในเบื้องแรก คือไฉนจริยาปิฎกจึงแบ่งบารมีไว้เพียง ๖ แต่ใน สโมธานกถากล่าวว่า บารมีมี ๓๐ และใน สำนวนกวีที่เล่าไว้ในจริยา ๓๕ เรื่องนั้น แสดงเป็นสำนวนของพระผู้มีพระภาคว่า เราเป็นผู้นั้นผู้นี้ในชาตินั้นชาตินี้. ตามความเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้า ( ผู้จัดทำ ) สันนิษฐาน๗ ว่า มีผู้แต่งเป็นบทกวีขึ้นในชั้นหลังที่มีการสังคายนาพระธรรมวินัยแล้ว โดยรวบรวมเรื่องราวมาจัดระเบียบขึ้นให้ค้นง่าย ๆ หาง่าย. ทั้ง ๆ ที่ปรากฏว่ามีคำกล่าวว่า พระพุทธเจ้าเคยเสวยพระชาติ เฉพาะที่ปรากฏในชาดกนับจำนวนหลายร้อย แต่กลับนำมาแสดงในจริยาปิฎกเพียง ๓๕ เรื่อง เพียง ๖ บารมี ไม่ครบ ๑๐ บารมี ในสโมธานกถา หรือคำสรูปแสดงบารมี ๑๐ แจกเป็น ๓๐ คือบารมี หรือคุณธรรมที่ให้ถึงฝั่งแห่งความสำเร็จอย่างธรรมดา ๑ สูงขึ้นมากกว่านั้น เรียกอุปบารมี ๑ สูงสุด เรียกปรมัตถบารมี ๑ บารมี ๓ ขั้นนี้ เป็น ไปในคุณธรรม ๑๐ ข้อ จึงเป็นบารมี ๓๐. คุณธรรม ๑๐ ข้อ คือ ๑. ทาน การให้ ๒. ศีล การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย ๓. เนกขัมมะ การออกบวช หรือออกจากกาม ๔. ปัญญา ๕. วิริยะ ความเพียร ๖. ขันติ ความอดทน ๗. สัจจะ ความจริงใจ ๘. อธิฏฐาน ความตั้งใจมั่น ๙. เมตตา ไมตรีจิตคิดจะให้สัตว์ทั้งปวงเป็นสุข ๑๐.อุเบกขา วางใจเป็นกลาง ในสโมธานกถาได้แสดงไว้ด้วยว่า เรื่องอะไรบ้างเป็นบารมีเฉย ๆ เป็นอุปบารมี และเป็นปรมัตถบารมี แต่ก็แสดงไว้พอเป็นตัวอย่าง ไม่ถึงร้อยเรื่องต่อไปนี้จะกล่าวตามลำดับจริยาตามที่ปรากฏในบาลีเป็นลำดับไป ).

๑. ทานบารมี ๑๐ เรื่อง

๑. อกิตติจริยา

ความประพฤติหรือประวัติครั้งเป็นอกิตติดาบส

ในสมัยที่เรา ( พระผู้มีพระภาค ) เป็นอกิตติดาบส อยู่ในป่าใหญ่ ท้าวสักกะปลอมตัวเป็นพราหมณ์มาขอภิกษายืนอยู่ที่ประตู จึงให้ใบไม้ที่นำมาจากป่า อันไม่มีน้ำมัน ไม่มีรสเค็ม เกลี่ยลง ( ในภาชนะของท้าวสักกะ ) ด้วยภาชนะของตน. ครั้นให้ใบไม้ ( ที่ใช้เป็นอาหาร ) แล้วก็คว่ำภาชนะ ไม่แสวงหา ( ใบไม้มาใช้เป็นอาหารสำหรับตน ) อีกเข้าสู่บรรณศาลา. แม้ในวันที่ ๒ วันที่ ๓ ( เมื่อเราแสวงหาอาหารคือใบไม้มาได้แล้ว ) ท้าวสักกะก็มาขออีก เราก็ให้ไปเช่นเดิมโดยไม่หวั่นไหว ไม่ติดข้อง ( แล้วก็ไม่หามาบริโภคเองอีกด้วย ). ความเปลี่ยนแปลงในสรีระของเราเป็นเพราะเหตุนั้นไม่มี. เราได้ยังวันและคืนนั้นให้ล่วงไปด้วยปีติและสุข ( ในฌาน ). ถ้าเราจะพึงได้ผู้ควรแก่ทักษิณา แม้เดือนหนึ่งหรือสองเดือนเราก็จะให้ทานอันอุดม โดยไม่หวั่นไหว ไม่ติดข้อง. เมื่อเราให้ทานแก่พราหมณ์นั้น มิได้ปรารถนายศและลาภ หากปรารถนาพระสัพพัญญุ-ตญาณ ( ญาณหยั่งรู้สิ่งทั้งปวง คือการได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า บำเพ็ญประโยชน์แก่สัตว์โลกได้เต็มที่ ).

๒. สังขพราหมณจริยา

ประวัติครั้งเป็นสังขพราหมณ์

ในกาลเมื่อเรา ( พระผู้มีพระภาค ) เป็นพราหมณ์ชื่อสังขะ ใคร่จะข้ามสมุทร จึงไปที่ท่าน้ำ ณ ที่นั้นได้เห็นพระผู้มีพระภาคผู้เสด็จเดินทางกันดารมาบนพื้นดินอันแข็งและ ร้อนสวนทางมา จึงคิดว่า ( บัดนี้ ) นาของผู้ต้องการบุญมาถึงที่นี่แล้ว จึงถอดรองเท้า ถวายร่มและรองเท้า เพราะเหตุนั้น เราจึงเป็นผู้สุขุมาล ( ละเอียดอ่อน ) โดยคุณตั้งร้อย ได้รับความสุข. เราได้บำเพ็ญทาน ถวายทานแด่พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ด้วยประการอย่างนี้.

๓. กุรุธัมมจริยา

ประวัติเนื่องด้วยธรรมของชาวกุรุ

ในสมัยเมื่อเรา ( พระผู้มีพระภาค ) เป็นพระเจ้าธนัญชัย ประกอบด้วยกุศล ๑๐ ประการ ( ทศพิธราชธรรม ) ในกรุงอินทปัตถ์. มีพราหมณ์ชาวกาลิงครัฏฐ์มาขอพญาช้าง อันควรสงวนนับถือกันว่าเป็นมงคล อ้างว่าชนบทของตนฝนไม่ตก ทำให้เกิดทุพภิกขภัย และฉาตกภัย ( ภัยคือข้าวยากและอดอยากหิวโหย ) อันยิ่งใหญ่. จึงใคร่ขอช้างตัวประเสริฐมีสีเขียว มีนามว่า อัญชัน ก็ได้พระราชทานช้างไป เมื่อชาวเมืองคัดค้าน จึงตรัสตอบว่า เราย่อมให้แม้ราชสมบัติ แม้ร่างกายของเราทั้งสิ้น พระสัพพัญญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เราจึงให้ช้างเพราะเหตุ๘ นั้น.

๔. มหาสุทัสสนจริยา

ประวัติครั้งเป็นพระเจ้ามหาสุทัสสนะ

ในสมัยเมื่อเรา เป็นพระเจ้ามหาสุทัสสนจักรพรรดิ์ ในกรุงกุสาวดี ได้ประกาศให้ทานทุกอย่างที่มี ผู้ต้องการวันละ ๓ เวลา ไม่มีอาลัย ไม่หวังสิ่งตอบแทน ( อย่างอื่น ) นอกจากเพื่อบรรลุพระโพธิญาณ.

๕. มหาโควินทจริยา

ประวัติครั้งเป็นมหาโควินทพราหมณ์

ในสมัยเมื่อเราเป็นมหาโควินทพราหมณ์ เป็นปุโรหิตของพระราชา ๗ พระองค์ ได้ถวายมหาทาน ไม่ใช่เกลียดทรัพย์และข้าวเปลือก ไม่ใช่สะสมทรัพย์ไม่เป็น แต่พระสัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรา เพราะเหตุนั้นเราจึงให้ทรัพย์อันประเสริฐ.

๖. เนมิราชจริยา

ประวัติครั้งเป็นพระเจ้าเนมิ

ในสมัยเมื่อเราเป็นมหาราชนามว่า เนมิ ในกรุงมิถิลา ได้สร้างศาลา ๔ หลัง มี ๔ หน้า ได้ให้ทานทั้งคนและสัตว์ ทำสัตว์ทั้งหลายให้เอิบอิ่มด้วยทาน เพราะเราปรารถนาพระโพธิญาณอันอุดม.

๗. จันทกุมารจริยา

ประวัติครั้งเป็นจันทกุมาร

ในสมัยเมื่อเราเป็นจันทกุมาร ราชโอรสของพระเจ้าเอกราช ในกรุงบุปผวดี ได้พ้นจากการถูกบูชายัญ รู้สึกสลดใจ จึงจัดให้มีมหาทาน ได้ให้ทานตลอด ๔-๖ วัน อย่างไม่เป็นอันดื่ม ไม่เป็นอันกิน เราไม่ถอยจาก การให้ทานเพื่อบรรลุพระโพธิญาณ.

๘. สิวิราชจริยา

ประวัติครั้งเป็นพระเจ้าสีพี

ในสมัยเมื่อเราเป็นกษัตริย์นามว่า สิวิ๙ ในกรุงอริฏฐะ วันหนึ่งดำริว่า ทานที่เป็นของมนุษย์ใด ๆ ที่เราไม่เคยให้ ไม่มี แม้ผู้ใดจะขอดวงตา เราก็จะให้โดยมิหวั่นไหว. ท้าวสักกะทราบความดำริของเรา จึงปลอมตัวเป็นพราหมณ์แก่ตาบอดมาขอตาข้างหนึ่ง แต่เรากลับให้สองข้าง. ( ในที่สุดด้วยสัจจกริยา ก็หายเป็นปกติ เห็นได้ตามเดิม ). ดวงตาทั้งสองของตนเองมิได้เป็นที่เกลียดชังของเรา. แต่พระสัพพัญญุตญาณ เป็นที่รักของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงให้ดวงตา.

๙. เวสสันตรจริยา

ประวัติครั้งเป็นพระเวสสันดร

ในสมัยเมื่อเราเป็นพระเวสสันดร ราชโอรสของพระเจ้าสัญชัยและพระนางผุสสดี ได้ให้ช้างชื่อปัจจยนาค เป็นเหตุให้ชาวสีพีโกรธขับไล่ เราจึงบำเพ็ญมหาทานก่อนจากไปอยู่ป่า. เมื่อไปอยู่ในป่าแล้ว ก็มีผู้ต้องการไปขอ ชาลีกัณหาผู้เป็นบุตรน้อยของเรา เราก็ให้ไป. ท้าวสักกะปลอมตัวเป็นพราหมณ์มาขอมัทรี ( พระชายา ) เราก็ให้ไปอีก ( แต่ในที่สุดก็ได้กลับอยูร่วมกันทั้งหมดทุกพระองค์ ).

๑๐. สสปัณฑตจริยา

ประวัติครั้งเป็นสสบัณฑิต

ในสมัยเมื่อเราเป็นกระต่าย กินหญ้า กินใบไม้ และผลไม้เป็นอาหาร เว้นจากการเบียดเบียนผู้อื่น มีสหายอีก ๓ อยู่ร่วมกัน คือลิง สุนัขจิ้งจอก และนาก เราสั่งสอนสหายให้เว้นความชั่ว ประพฤติความดี. ท้าวสักกะปลอมเป็นพราหมณ์มาขออาหาร เพื่อจะทดลองเรา, เราจึงให้ก่อไฟขึ้น แล้วกระโดดเข้าไปในไฟ เพื่อให้เป็นอาหารของพราหมณ์นั้น ( แต่กลับเย็นสบายไม่รู้สึกร้อนเลย ในที่สุดท้าวสักกะก็แสดงตน และให้ความสุขแก่สัตว์ทั้งสี่นั้นด้วยเทวานุภาพ ).

๒. ศีลบารมี ๑๐ เรื่อง

๑. สีลวนาคจริยา

ประวัติครั้งเป็นช้างผู้มีศีล

ในสมัยที่เราเป็นช้างผู้เลี้ยงมารดาอยู่ในป่า พรานคนหนึ่งเห็นเข้าก็ไปกราบทูลแด่พระราชา พระราชาจึงทรงส่งควาญช้างไปจับเรา พรานช้างสังเกตเห็นเราถอนรากเหง้าบัวเพื่อเลี้ยงมารดา ก็เข้ามาจับงวง เรียกเราว่า ลูกเอ๋ยจงมา เพื่อที่จะรักษาศีลไว้ เราแม้จะมีกำลังมาก ก็มิได้ทำให้จิตปรวนแปรผิดปกติ.

๒. ภูริทัตตจริยา

ประวัติครั้งเป็นภูริทัตตนาคราช

เรื่องของภูริทัตตนาคราช มีเล่าไว้ในหน้าพระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ ) หมายเลขที่ ๖.ภูริทัตตชาดก

๓. จัมเปยยจริยา

ประวัติครั้งเป็นจัมเปยยนาคราช

ในสมัยที่เราเป็นจัมเปยยกนาคราชผู้ตั้งอยู่ในธรรม ถึงพร้อมด้วยศีลและวัตร ขณะจำศีลรักษาอุโบสถ ได้ถูกหมองูจับไปเล่น ( เพื่อขอเงินชาวบ้าน ) แลเราก็อนุโลมตามจิตของหมองูนั้น ถ้าเราโกรธก็อาจทำให้หมองูนั้นเป็นเถ้าถ่านได้ทันที แต่เราก็มิได้ทำลายศีล.

๔. จูฬโพธิจริยา

ประวัติครั้งเป็นจูฬโพธิพราหมณ์

ในสมัยที่เราเป็นจูฬโพธิพราหมณ์ เห็นภัยในภพออกบวช พราหมณีผู้เป็นภริยานามว่า กนกสันนิภา ก็ออกบวชด้วย ต่างถือเพศบรรพชิต เดินทางไปในที่ต่าง ๆ ไม่คลุกคลีในสกุล ในหมู่คณะ เมื่อไปถึงกรุงพาราณสีเห็นพระราชอุทยาน ไม่พลุกพล่าน มีเสียงน้อย จึงอยู่ในราชอุทยานนั้นทั้งสองคน พระราชาเสด็จไปยังราชอุทยาน ทอดพระเนตรเห็น ตรัสถามทราบความ เกิดความพอพระทัยในนางปริพพาชิกา จึงสั่งให้อำมาตย์ฉุดเข้าไปไว้ในพระราชวัง เรารู้สึกโกรธแล้วก็ระงับได้ ไม่ยอมทำลายศีล เพราะเหตุ ( ที่ปรารถนา ) พระโพธิญาณ. ( เรื่องพิศดารในชาดกกล่าวต่อไปอีกว่า แม้จะพูดจาหว่านล้อมอย่างไร ก็ไม่สามารถทำนางปริพพาชิกาให้กลับใจครองฆราวาสวิสัยได้ พระราชาก็เลยไม่กล้าล่วงเกินผู้มีศีล เสด็จไปหา พระโพธิสัตว์ ได้ฟังธรรมทรงเลื่อมใสและคืนนางปริพพาชิกาให้ ).

๕. มหิสราชจริยา

ประวัติครั้งเป็นพญากระบือ

ในสมัยที่เราเป็นกระบือใหญ่ เที่ยวไปในป่า มีลิงตัวหนึ่งมาถ่ายปัสสาวะรดบ้าง ถ่ายอุจจาระรดบ้าง วันละ ๑ ครั้งบ้าง ๒ ครั้งบ้าง ๓ ครั้ง ๔ ครั้งบ้าง ประทุษร้ายเราตลอดกาล ยักษ์ตนหนึ่งเห็นเช่นนั้น จึงกล่าวยุเราให้ประหารเสียด้วยเขาหรือเท้า เราจึงตอบว่า ถ้าเราโกรธลิง เราก็จะเลวกว่าลิงนั้น ศีลก็จะทำลายวิญญูชนก็จะติเตียนได้.

๖. รุรุมิคจริยา

ประวัติครั้งเป็นพญาเนื้อชื่อรุรุ

ในสมัยที่เราเป็นพญาเนื้อชื่อรุรุ ผู้ประกอบด้วยศีลอย่างยอดเยี่ยม. ชายผู้หนึ่งหนีเจ้าหนี้โดดแม่น้ำคงคา ถูกกระแสน้ำเชี่ยวพัดไป และร้องขอความช่วยเหลือ เราจึงช่วยชีวิตไว้ แต่ได้ขอไว้อย่างหนึ่งว่า อย่าบอกแก่ใครเกี่ยวกับตัวเรา ( ว่าเป็นเนื้อซึ่งมีสีเหมือนทอง ) แต่ผู้นั้นก็เห็นแก่ทรัพย์ จึงไปพาพระราชาจะมาจับเรา. แต่เมื่อพระราชาทรงทราบว่าเขาผู้นั้นเป็นผู้ประทุษร้ายมิตร จึงจะฆ่าเสีย แต่เราได้ห้ามไว้ การที่มีศีลในครั้งนั้นก็เพื่อพระโพธิญาณ.

๗. มาตังคจริยา

ประวัติครั้งเป็นชฎิลชื่อมาตังคะ

ในสมัยที่เราเป็นชฎิลชื่อมาตังคะ เป็นผู้มีศีล มีจิตตั้งมั่นด้วยดี ได้ตั้งอาศรมอยู่ริมแม่น้ำคงคากับพราหมณ์ผู้หนึ่ง เราอยู่เหนือน้ำ พราหมณ์อยู่ใต้น้ำ ( คือน้ำที่ไหลนั้นผ่านอาศรมของมาตังคฤษีก่อน แล้วจึงจะถึงอาศรมของพราหมณ์ ) ครั้งหนึ่งพราหมณ์นั้นเดินมาตามฝั่งน้ำ เห็นอาศรมของตั้งอยู่เหนือน้ำ ก็ปริภาษเราและสาปให้ศีรษะแตก ๗ เสี่ยงถ้าเราจะโกรธตอบ ไม่รักษาศีลของเราเพียงจ้องดูเท่านั้น เขาก็จะเป็นถ่านเถ้าไป พราหมณ์นั้นโกรธมีจิตใจประทุษร้ายสาปเราคำสาปก็ตกแก่เขาเอง เราได้เปลื้องพราหมณ์นั้น ( จากคำสาป ) ด้วยโยคะ เรารักษาศีล มิได้รักษาชีวิตของเรา ที่รักษาศีลในกาลนั้น ก็เพราะเหตุแห่งพระโพธิญาณเท่านั้น.

( หมายเหตุ : ความจริงมาตังคจริยานี้ มิใช่เพียงแสดงเรื่องศีลบารมีเท่านั้น หากเป็น เรื่องที่ต้องการชี้ให้เห็นความเย่อหยิ่งถือตัวเพราะเหตุถือชั้นวรรณะอย่าง รุนแรงของคนโบราณด้วย. ในที่นี้จะนำเรื่องบางตอนมากล่าวไว้ เพื่อให้เห็นว่า พระโพธิสัตว์ ( ซึ่งเกิดเป็นคนจันฑาล ) ช่างทรมานคนที่ถือตัวเพราะชาติอย่างไร เป็นเรื่องน่าขันพอใช้.

พราหมณ์คนที่อยู่ใต้น้ำ หรืออยู่ในทิศทางที่กระแสน้ำจะไหลมาถึงทีหลังนั้น เป็นคนถือชาติมีมานะจัด. วันหนึ่งมาตังคดาบส ( พระโพธิสัตว์ ) เคี้ยวไม้สีฟัน แล้วก็อธิฐานให้ไม้สีฟันลอยน้ำไปติดที่มวยผมของดาบสผู้ถือตัวแล้วก็ทิ้งลงไป ตามกระแสน้ำ ไม้สีฟันก็ลอยไปติดที่มวยผมของดาบสนั้นผู้กำลังอาบน้ำอยู่ ดาบสก็โกรธเคืองมาก จึงเที่ยวเดินดูไปทางต้นน้ำ พอมาพบมาตังคดาบส ก็ถามก่อนทีเดียวว่า ท่านเป็นคนชาติอะไร ( กษัตริย์ หรือพราหมณ์ ) พอรู้ว่าเป็นคนจัณฑาล และเป็นคนทิ้งไม้สีฟันให้ลอยน้ำไป ก็ยิ่งโกรธเคืองอย่างบอกไม่ถูก เพราะพราหมณ์ถือว่าคนจัณฑาลเป็นเสนียดมากจึงสั่งการทันทีว่า เจ้าคนถ่อย เจ้าอยู่ที่นี่ไม่ได้ ต้องไปอยู่ใต้น้ำ. ครั้นอพยพไปตั้งอาศรมอยู่ใต้น้ำแล้ว เคียวไม้สีฟันทิ้งลงไป ไม้สีฟันก็ลอยทวนน้ำไปติดที่มวยผมของดาบสผู้ถือชาติอีก ทำให้ดาบสนั้นมีความโกรธเคืองเป็นทวีคูณ สาปให้ศีรษะแตก ๗ เสี่ยงแต่คำสาป ไม่ตกแก่มาตังคดาบสผู้มีฤทธิ์เหนือกว่า. ดาบสผู้ถือตัว กลับถูกประชาชนบังคับให้ไปขอขมาต่อมาตังคดาบสอีก ในภายหลัง ).

๘. ธัมมเทวปุตตจริยา

ประวัติครั้งเป็นธัมมเทพบุตร

ในสมัยที่เราเป็นมหายักษ์๑๐ ชื่อธรรมะ ( ธรรมเทพบุตร ) ชักชวนมหาชนให้ประพฤติกุศลกรรมบถ ๑๐ ส่วนยักษ์ฝ่ายชั่ว ( อธรรมเทพบุตร ) ชักชวนให้ประพฤติความชั่ว ๑๐ ประการ ต่างเป็นศัตรูกัน ครั้งหนึ่งขับรถมาสวนทางกันจึงเกิดสงครามขึ้น เพื่อจะให้อีกฝ่ายหนึ่งหลีกทางให้ ตกลงเราทำใจให้สงบ ( ไม่โกรธเคือง ) หลีกทางให้เพื่อรักษาศีล แต่พอเราหลีกทางให้ ทำจิตของเราให้สงบ เทพบุตรฝ่ายชั่วก็ถูกธรณีสูบ ( คือรถบ่ายหัวลงตกลงสู่พื้นโลก ).

( หมายเหตุ : เรื่องนี้เป็นที่มาแห่งพระราชนิพนธ์ เรื่องธรรมาธรรมสงคราม ซึ่งพระ บาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงพระราชนิพนธ์.

๙. ชยทิสจริยา

ประวัติครั้งเป็นโอรสพระเจ้าชยทิศะ

ในสมัยที่เราเป็นผู้มีนามว่า อลีนสัตตะ๑๑ เป็นโอรสของพระเจ้าชยทิศะ ในกรุงกัปปิลา ( บางแห่งเรียก กัมปิลละ ) แห่งแคว้นปัญจาละผู้ประกอบด้วยคุณคือศีล. ครั้งหนึ่งบิดาไปล่าเนื้อถูกมนุษย์กินคน ( โปริสาท=ปุริส+อท=กินคน ) จับได้ ปล่อยให้กลับด้วยมีสัญญาว่าจะไปให้กินในภายหลัง. เราได้ไปแทนแต่ก็มิได้ทำอันตรายมนุษย์กินคน เพราะเกรงศีลขาด ( ได้เจราจากัน ในที่สุด พูดเกลี้ยกล่อมให้มนุษย์กินคนรู้สึกผิดชอบออกบวชเป็นดาบส ).

๑๐. สังขปาลจริยา

ประวัติครั้งเป็นพญานาคชื่อสังขปาละ

ในสมัยที่เราเป็นพญานาคชื่อสังขปาละ ได้อธิษฐานจำอุโบสถในทางใหญ่สี่แพร่ง ปลงใจว่าใครจะต้องการหนัง, เนื้อ, เอ็น, กระดูกของเรา ก็จงเอาไปเถิด ได้ถูกพวกพรานร้ายเข้าไปหาแทงที่จมูก ที่หาง กึ่งกลางหลัง( อรรถกถาชาดกว่า แทง ๘ แห่ง ) แล้วเอาหวายร้อย ใส่หาบ หาบไป ถ้าเราปรารถนาก็อาจทำลายให้เผาไหม้ไปได้ด้วยลมจมูกแม้เมื่อถูกแทงด้วยหลาว ถูกสักด้วยหอก ก็มิได้โกรธคนเหล่านั้น นี้เป็นศีลบารมีของเรา.

๓. เนกขัมมบารมี เป็นต้น

( ในหมวดเรื่องนี้มี ๑๕ เรื่อง เป็นเนกขัมมบารมี ๖ เรื่อง สัจจบารมี ๖ เรื่อง
เป็นเมตตาบารมี ๒ เรื่อง อุเบกขาบารมี ๑ เรื่อง )

๑. ยุธัญชยจริยา

ประวัติครั้งเป็นราชบุตรชื่อยุธัญชัย

ในสมัยที่เราเป็นราชบุตรชื่อยุธัญชัย ได้กราบทูลลามารดาบิดาออกบวช แม้ท่านจะห้าม และคร่ำครวญก็ออกบวชจนได้. เรามิได้เกลียดมารดาบิดา มิได้เกลียดยศใหญ่ แต่เราสละราชสมบัติเพราะรักโพธิญาณ ( เรื่องนี้เป็นเนกขัมมบารมี ).

๒. โสมนัสสจริยา

ประวัติครั้งเป็นโสมนัสสราชกุมาร

ในสมัยที่เราเป็นกุมารนามว่า โสมนัส ในกรุงอินทปัตถ์ มีศีล มีคุณธรรม มีดาบสผู้ปราศจากคุณธรรมอยู่ผู้หนึ่ง ซึ่งพระราชบิดาทรงนับถือ ครั้งหนึ่งมีกิจที่ต้องเสด็จปราบชนบทชายแดน พระราชบิดาจึงตรัสสั่งให้เราดูแลดาบส จัดถวายสิ่งซึ่งประสงค์ เพราะทรงเชื่อว่าดาบสเป็นผู้อำนวยสิ่งทั้งปวงได้ เราได้ไปหาดาบส ( ได้เห็นพฤติกรรมที่ไม่สมแก่ความเป็นสมณะ ) จึงใช้ถ้อยคำเรียกดาบสว่า ผู้ครองเรือน ( คฤหบดีเจ้าเรือน ). เมื่อพระราชบิดาเสด็จกลับ ดาบสก็ฟ้องใส่ความ( หาว่าเราทำร้าย โดยดาบสแกล้งทุบหม้อน้ำ รื้อหญ้ามุงหลังคาเตรียมไว้ล่วงหน้า ) พระราชบิดาทรงพระพิโรธสั่งให้ราชบุรุษจับเรา เพื่อจะประหารชีวิตแต่เราทำให้เข้าใจถูกต้องได้ ( ได้อ้างพยานพิสูจน์ว่าดาบสนั้นเก็บใบไม้ผลไม้ใช้คนไปขาย และค้นได้ห่อ เงินที่ขายใบไม้ได้มากมายในบรรณศาลา ต่อพระพักตร์พระราชา ทั้งคนที่รับไปขายหลายคนก็ยืนยันเป็นหลักฐาน ). พระราชาก็ทรงขออภัยเราและพระราชทานราชสมบัติ แต่เราออกบวชมิใช่เกลียดราชสมบัติ มิใช่เกลียดการบริโภคกาม ที่สละราชสมบัติก็เพราะรักพระโพธิญาณ. ( ดาบสโกงถูกประชาชนรุมทำร้ายถึงตาย และเรื่องนี้เป็นเนกขัมมบารมี ).

๓. อโยมฆรจริยา

ประวัติครั้งเป็นอโยฆรราชกุมาร

ในสมัยที่เราเป็นกุมารนามว่า อโยฆระ เป็นโอรสของพระเจ้ากาสี เจริญขึ้นในเรือนเหล็ก ( อโยฆร=เรือนเหล็ก มีการสร้างเรือนเหล็ก เพื่อเอาเคล็ดป้องกันนางยักษิณี ด้วยเชื่อว่าพระราชบุตรสองพระองค์สิ้นพระชนม์แต่เล็ก เพราะถูกยักษิณีกิน ) เห็นโทษทุกข์ จึงไม่ต้องการราชสมบัติ แสวงหาความดับเย็น ในขณะที่มหาชนร้องให้อยู่ เราได้ตัดเครื่องผูกเข้าสู่ป่า เหมือนพญาช้าง มิใช่เกลียดพระราชมารดาพระราชบิดา มิใช่เกลียดยศใหญ่ ที่สละราชสมบัติก็เพราะรักพระโพธิญาณ ( เรื่องนี้เป็นเนกขัมมบารมี ).

๔. ภิงสจริยา

ประวัติครั้งเป็นดาบสกินเหง้าบัว

เราและพี่น้องชายหญิงรวม ๗ คน เกิดในสกุลโสตถิยะ ( ซึ่งเป็นสกุลพราหมณ์ ) ในพระนครหลวง แห่งแคว้นกาสี เราผู้เป็นพี่ประกอบด้วยความละอายใจ ( ในการทำความชั่ว ) และธรรมอันขาว ( กุศลธรรม ) เห็นภัยในภพ จึงยินดีในการออกบวช มีสหายร่วมใจหลายคน ซึ่งท่านมารดาบิดาส่งมาเกลี้ยกล่อมให้พอใจในกาม แต่ก็ไม่สำเร็จ ในที่สุดทุกคน คือมารดาบิดา และพี่น้องทั้งเจ็ด ก็สละทรัพย์จำนวนมาก เข้าสู่ป่าใหญ่ (ถือเพศเป็นนักบวช ) ( เรื่องนี้เป็นเนกขัมมบารมี ).

๕. โสณนันทบัณฑิตจริยา

ประวัติครั้งเป็นโสณบัณฑิตคู่กับนันทบัณฑิต

ในสมัยที่เราเกิดในสกุลมหาศาล มั่งคั่ง ในนครชื่อพรหมวัฒนะ เราเห็นโลกเป็นของมืดมนเห็นบาปมีประการต่าง ๆ จึงออกเรือนเข้าสู่ป่า แม้จะมีพวกญาติมาชวนให้อยู่บริโภคกาม แต่เราก็แจ้งความพอใจ ( ในการบวช )ให้ทราบ น้องชายของเราเป็นบัณฑิตนามว่า นันทะ ก็สั่งสอนเราให้พอใจการบวช พวกเราคือเรา (โสณะ ) กับนันทะ ( น้องชาย )พร้อมด้วยมารดาบิดา ได้ทิ้งโภคทรัพย์เข้าไปสู่ป่าใหญ่ (เรื่องนี้เป็นเนกขัมบารมี)

๖. มูคผักขจริยา

ประวัติครั้งเป็นเตมิยราชกุมารผู้เป็นใบ้และเป็นง่อย

ประวัติเมื่อครั้งเป็นเตมิยราชกุมาร มีเล่าไว้แล้วในหน้าพระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐) หมายเลขที่ ๑.เตมิยชาดก ( เรื่องนี้เป็นเนกขัมมบารมี ).

๗. กปิลราชจริยา

ประวัติครั้งเป็นพญาลิง

พญาลิงกระโดดเหยียบศีรษะจระเข้ ข้ามฝั่งน้ำไปได้ โดยไม่ยอมหลงกลให้จระเข้ฆ่ากินเป็นอาหาร ไม่ยอมพูดปดพล่อย ๆ เหมือนจระเข้ และลงสุดท้ายว่า นี่เป็นสัจจบารมีของเรา.

๘. สัจจสัวหยปัณฑิตจริยา

ประวัติครั้งเป็นดาบสชื่อสัจจะ

สมัยที่เราเป็นดาบสชื่อว่าสัจจะ ได้คุ้มครองโลกด้วยสัจจะ ทำให้คนสามัคคีกัน ( เรื่องนี้เป็นเนกขัมมบารมี ).

๙. วัฏฏกโปตกจริยา

ประวัติครั้งเป็นลูกนกกระจาบ

ในสมัยที่เราเป็นลูกนกกระจาบน้อย ขนาดเท่าก้อนเนื้อยังไม่มีปีกงอก อยู่ในรัง มารดาหาอาหารมาเลี้ยงด้วยจงอยปาก เป็นอยู่ได้ด้วยผัสสะของมารดา ไม่มีกำลังกาย. มีไฟป่าเกิดขึ้นในฤดูร้อน ลามเข้ามา. มารดาบิดาของเราตกใจกลัวไฟ จึงทิ้งเราไว้ในรัง เอาตัวรอด เราจึงทำสัจจกริยา อ้างคุณของศีล ระลึกถึงกำลังคือธรรมะ และพระชินะในกาลก่อน ไฟป่าก็หยุดอยู่ เว้นเนื้อที่ ๑๖ กรีส ( ๑ กรีสมากกว่า ๑ ไร่ ) นี้เป็นสัจจบารมีของเรา.

๑๐. มัจฉราชจริยา

ประวัติครั้งเป็นพญาปลา

ในสมัยเมื่อเราเป็นพญาปลาในสระใหญ่ ถึงฤดูร้อน น้ำในสระแห้งเพราะแสงแดด. กา, แร้ง, นกกระสา และเหยี่ยว ก็พากันมาหากินปลาทั้งกลางวันกลางคืน เราคิดหาทางเปลื้องญาติทั้งหลายจากความทุกข์ จึงระลึกธรรมของสัตบุรุษ ทำสัจจกิริยา ฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมา เพราะอาศัยกำลังเดชแห่งสัจจะ นี้เป็นสัจจบารมีของเรา.

๑๑. กัณหทีปายนจริยา

ประวัติครั้งเป็นกัณหทีปายนฤษี

ในสมัยที่เราเป็นกัณหทีปายนฤษี ประพฤติพรตอย่างไม่มีความยินดี ( ฝืนใจ ) เป็นเวลากว่า ๕๐ ปี ไม่มีใครรู้ความในใจของเรา และเราก็มิได้บอกแก่ใคร ๆ สหายของเรานามว่า มัณฑัพยะ เป็นมหาฤษี ผู้ร่วมประพฤติพรหมจรรย์ ประกอบด้วยกรรมอันทำไว้ในกาลก่อน ต้องถูกเสียบด้วยหลาว. เราได้พยาบาลสหายนั้นจนหายแล้ว จึงลามาสู่อาศรมของเรา. สหาย ( อีกคนหนึ่ง ) ซึ่งเป็นพราหมณ์ ได้พาภริยาและบุตร รวมกัน ๓ คน มาเยี่ยมเรา. เด็กน้อยโยนลูกกลม( วัฏฏะ แต่ในอรรถกถาชาดกว่า เคณฑุกะ คือลูกคลีหนัง ) ทำให้งูโกรธ ( เพราะลูกคลีหนังนั้นตกลงไปในโพรงที่งูอยู่ ). เด็กตามไปเอามือล่วงในโพรง งูจึงกัดล้มลงบนพื้นดิน เราจึงได้ทำสัจจกิริยาว่า เราประพฤติพรหมจรรย์ด้วยความเลื่อมใสเพียง ๗วันเท่านั้น ต่อจากนั้นอีก ๕๐ ปีเศษ มิได้มีความพอใจ ( หรือเต็มใจ ) ประพฤติเลย ด้วยความสัตย์นี้ ขอให้พิษจงหมดไป ขอกุมารผู้มีนามว่ายัญญทัตจงฟื้นขึ้น. พร้อมกับที่ได้ทำสัจจะ เด็กน้อยก็หาย ฟื้นลุกขึ้นได้. สิ่งที่เสมอด้วยสัจจะของเราไม่มี. นี้เป็นสัจจบารมีของเรา. ( แม้ความสัตย์นั้นจะเป็นการนำเรื่องที่ไม่ใช่ดีเลิศอะไรมากล่าว ถ้าเป็นการเปิดเผยความจริงก็ใช้ได้ ).

๑๒. สุตโสมจริยา

ประวัติครั้งเป็นพระเจ้าสุตโสม

ในสมัยที่เราเป็นผู้ปกครองแผ่นดินนามว่า สุตโสม ถูกมนุษย์กินคนจับได้ ระลึกถึงการนัดหมายไว้กับพราหมณ์ จึงขอตัวไปพบกับพราหมณ์ ฟังธรรม ( จากพราหมณ์ ) ให้ทรัพย์แล้ว จึงเข้าไปหามนุษย์กินคน โดยไม่ลังเลใจว่าเขาจะฆ่าหรือไม่ เรารักษาสัจจวาจา อุทิศชีวิต นี้คือสัจจบารมีของเรา. ( เมื่อเข้าไปหามนุษย์กินคนตามสัจจวาจา และได้พูดแนะนำจนมนุษย์กินคนยอมงดเว้นความประพฤตินั้นกลับตัวเป็นคนดี เพราะมนุษย์กินคนนั้น เดิมก็เป็นกษัตริย์มนุษย์ธรรมดา ภายหลังมีความคิดเห็นวิปริตไป จึงกลายเป็นประหนึ่งโจรหรือปีศาจ ) ( เรื่องนี้เป็นสัจจบารมี ).

๑๓. สุวัณณสามจริยา

ประวัติครั้งเป็นสุวรรณสาม

เรื่องสุวรรณสาม ได้กล่าวไว้แล้วในหน้าพระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒๐ ) หมายเลขที่ ๓.สุวัณณสามชาดก แต่ในคำกล่าวตอนนี้เล่าเพียงที่อยู่ในป่า โดยไม่หวาดระแวงภัยใด ๆ เพราะกำลังแห่งเมตตา. ( เรื่องนี้เป็นเมตตาบารมี ).

๑๔. เอกราชจริยา

ประวัติครั้งเป็นพระเจ้าเอกราช

ในสมัยที่เราเป็นพระเจ้าเอกราช ได้ตั้งใจรักษาศีลอย่างยอดเยี่ยม ปกครองมหาปฐพี ยังกุศลกรรมบถ ๑๐ ให้เป็นไปโดยไม่เหลือ ( ประพฤติครบทั้งสิบข้อ ) สงเคราะห์มหาชนด้วยสังคหวัตถุ ๔ ประการ. พระเจ้าทัพพเสนะชิงบุรีได้สำเร็จ จึงขุดหลุมฝังเรา ( เราได้แผ่เมตตา ) นี้เป็นเมตตาบารมีของเรา. (ในเรื่องนั้นด้วยอำนาจแห่งเมตตาพระเจ้าทัพพเสนะกลับล้มดิ้นไปดิ้นมาบนพื้น ร้องว่าร้อนเหลือเกิน ต่อเมื่อขอขมาพระเจ้าเอกราชแล้ว จึงหายเป็นปกติ ).

๑๕. มหาโลมหังสจริยา

ประวัติครั้งเป็นนักบวช มีความเป็นอยู่อย่างน่ากลัว

ในสมัยที่เรา ( เป็นนักบวช ) นอนหนุนซากศพในป่าช้า เป็นผู้มีใจสม่ำเสมอในบุคคลทั้งปวงทั้งผู้นำทุกข์มาให้ทั้งผู้ให้สุขแก่เรา ไม่มีความรักหรือความโกรธ เป็นผู้เสมอ ( มีใจเป็นตาชั่ง ) ในสุขทุกข์ ในยศและมิใช่ยศ นี้เป็นอุเบกขาบารมีของเรา.

สโมธานกถา กล่าวคำสรูป ( ท้ายเล่มที่ ๓๓ )

บารมี มี ๑๐,๑๒ อุปบารมี มี ๑๐, ปรมัตถบารมี มี ๑๐ เป็นเครื่องบ่มการตรัสรู้ให้สุก ( คือให้สำเร็จ ). เมื่อเป็นพระเจ้าสิวิราชผู้ประเสริฐ เป็นทานบารมี ; เมื่อเป็นพระเวสสันดร,เป็นเวลามพราหมณ์ และอกิตติฤษี เป็นทานอุปบารมี ; เมื่อเป็นไก่, เป็นพญาช้างชื่อสีลวนาค, เป็นกระต่าย ; เป็นทานปรมัตถบารมี ; เมื่อเป็นพญาลิง, เป็นพญาช้างชื่อฉัททันต์ และเป็นพญาช้างผู้เลี้ยงมารดา เป็นศีลบารมี. เมื่อเป็นพญานาคชื่อจัมเปยยกะและเป็นพญานาคชื่อภูริทัตต์ เป็นศีลอุปบารมี. เมื่อเป็นพญานาคชื่อสังขปาละ เป็นศีลปรมัตถบารมี. เมื่อเป็นยุธัญชยราชบุตร, เป็นมหาโควินทพราหมณ์, เป็นคนเลี้ยงช้าง, เป็นราชกุมารชื่ออโยฆระ, เป็นพระราชาพระนามว่า ภัลลาติ, เป็นสุวรรณสาม ( ข้อความตกหายไป ๑ บาทคาถา ) เป็นพระราชาพระนามว่า มฆเทวะ และเป็นราชกุมารชื่อนิมิ ( หรือเนมิ ) เป็นอุปบารมี ฯลฯ ( โดยนัยนี้ได้แสดงว่า เมื่อเสวยพระชาติเป็นอะไร เป็นศีลบารมี, ศีลอุปบารมี, ศีลปรมัตถบารมี เป็นต้น จนถึงอุเบกขาบารมี ).

จบจริยาปิฎก

จบพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓

และจบพระสุตตันตปิฎก รวม ๒๕ เล่มเพียงนี้

'๑' . จากต้นฉบับหน้าพระวินัยปิฎก เล่มที่ ๒ ) พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๒ คำว่า กัจจายนะ หรือ กัจจานะ ใช้แทนกันได้

'๒' . ได้ลองถอดข้อความในตอนนี้ออกมาทุกตัวอักษร ให้เห็นความไพเราะในคำฉันท์ ความจริงคำฉันท์ตลอดเล่มที่ ๓๒ และ ๓๓ มีสำนวนไพเราะเช่นนี้โดยมาก

'๓' . คือวิจิตรด้วยอุปมา พระกุมารกัสสปรูปนี้ กล่าวธรรมวิจิตรอย่างไร พึงย้อนไปดูปายาสิราชัญญสูตรที่ย่อไว้แล้วในหน้าพระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒ หน้า ๔) ปายาสิราชัญญสูตร

'๔' . ในอปทานว่า พระมหาโมคคัลลานะเป็นอาจารย์ พระสาริบุตรเป็นอุปัชฌายะของท่าน

'๕' . ดูเรื่องอนุบุพพวิหารนี้ ในหน้าพระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๒ หน้า ๒ ) อนุบุพพวิหารเรื่องลีลาในการปรินิพพาน พึงสังเกตว่า ผู้ปรินิพพานแบบนี้ มีพระพุทธเจ้า พระสาริบุตร (ดูกองทัพธรรมภาค ๓ หน้าพระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๓ ) ๖. ปาสาทิกสูตรและศาสดา, หลักธรรม, สาวก กับพระนางมหาปชาบดี โคตมี นี้

'๖' . ไม่ใช่พระองค์เดียวกับพระโคดมพุทธเจ้า

'๗' . ในอรรถกถาชาดก เล่มที่ ๗ หน้าเอกสารทางประวัติศาสตร์) หน้าเอกสารทางประวัติศาสตร์ กล่าวว่าจริยาปิฎกนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสแสดงแก่พระสาริบุตร ปัญหาจึงมีอยู่เพียงว่า ตรัสแสดงอย่างพูดกันธรรมดา หรือแสดงเป็นบทกวีอย่างที่ปรากฏอยู่ในจริยาปิฎกนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่าตรัสแสดงด้วยคำพูดธรรมดา แต่มารวบรวมเป็นบทกวีขึ้นภายหลัง. เพราะถ้าจะกล่าวไปแล้วที่เป็นพระไตรปิฎกขึ้นได้ ก็เพราะการรวบรวมขึ้น จากที่จำได้ ท่องได้ทั้งสิ้น. ข้อสำคัญนั้นมิใช่อยู่ที่สำนวนแบบนั้นแบบนี้ แต่อยู่ที่ธรรมะ หรือตัวอย่างแห่งคุณความดี

'๘' . ช้างนั้น ในอรรถกถาชาดกกล่าวว่า ชื่อว่าอัญชนสันนิภะบ้าง อัญชนวสภะบ้าง เมื่อพราหมณ์ได้ช้างไปแล้ว ฝนก็ยังไม่ตก จึงได้นำช้างมาคืน ขอจารึกกุรุธรรมลงในแผ่นทอง เพื่อไปประพฤติปฏิบัติ. กุรุธรรมที่จารึกไป คือศีล ๕ เมื่อนำไปประพฤติปฏิบัติแล้ว ฝนก็ตกต้องตามฤดูกาลตามเดิม

'๙' . สำเนียงไทยนิยมเรียกเป็นสีพี

'๑๐' . คำว่า ยักษ์ ในที่นี้ หมายถึงเทพบุตร จึงแสดงที่มาให้เห็นชัด เพื่อว่าเห็นคำว่า ยักษ์ในที่อื่น จะได้ไม่ด่วนทึกทักว่า ว่าเป็นพวกดุร้าย มีเขี้ยวออกนอกปากเสมอไป

'๑๑' . อรรถกถาชาดก เล่มที่ ๗ได้กล่าวไว้ว่า ชื่อว่า " อลีนสัตตุ " ไม่ใช่อลีนสันตะ

'๑๒' . บารมี ๑๐ คือ ทาน, ศีล, เนกขัมมะ ( การออกบวช ), ปัญญา, วิริยะ, ขันติ, สัจจะ, อธิษฐาน( ตั้งใจมั่น ), เมตตาและอุเบกขา บารมีที่สูงกว่าธรรมดาเรียกว่าอุปบารมี ที่สูงสุดหรือทำได้ยากที่สุดเรียกปรมัตถบารมี


ที่มา : http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/p ... a/k25.html


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 32 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 20 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร