วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 23:55  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


“อภิธรรม (สันสกฤต: abhidharma) หรืออภิธัมมะ (บาลี: abhidhamma) เป็นชื่อปิฎกศาสนาพุทธฉบับหนึ่งในปิฎกทั้งสามฉบับที่รวมเรียก "พระไตรปิฎก" อภิธรรมแปลว่าธรรมอันยิ่ง ปิฎกฉบับอภิธรรมนั้นเรียก "พระอภิธรรมปิฎก" ซึ่งว่าด้วยประมวลหลักธรรมและคำอธิบายที่เป็นหลักวิชาล้วนๆ ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์และบุคคลเลย”



กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2010, 14:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


อบายภูมิ มาจากคำว่าอป(ปราศจาก) + อย(กุสลธรรม) + ภูมิ(ที่อยู่ที่อาศัย) ดังนั้นอบายภูมิจึงแปลว่า ที่อยู่ที่อาศัยที่ปราศจากกุสลธรรม มีความหมายว่า สัตว์ ในอบายภูมินั้น มีโอกาสกระทำกุสลได้น้อยเหลือเกินจนแทบจะกล่าวได้ว่า ไม่มี โอกาสทำกุสล

อีกนัยหนึ่ง อบายภูมินี้ บางทีก็เรียกว่า ทุคคติภูมิ มาจากคำว่า ทุ (ชั่ว-ไม่ดี) + คติ(เกิด) + ภูมิ (ที่อยู่ที่อาศัย) ดังนั้นทุคคติภูมิจึงแปลว่าเกิดในที่ที่ไม่ดี ที่ที่ชั่ว ลำบาก ทนได้ยาก

ในเนตติอรรถกถา แสดงไว้ว่า นรก เปรต อสุรกาย เรียกว่าเป็นทุคคติ โดยตรง ส่วนสัตว์เดรัจฉาน ที่เรียกว่าเป็นทุคคตินั้น เป็นการเรียกได้โดยอ้อม เพราะ สัตว์ดิรัจฉานบางจำพวก เช่น พระยานาค พระยาช้างฉัททันต์ เป็นต้น ล้วนแต่มี ความสุข บางทีก็มีฤทธิด้วย

อบายภูมินี้มี ๔ ภูมิ ด้วยกันคือ

๑. นิรยภูมิ ภูมิของสัตว์นรก

๒. ดิรัจฉานภูมิ ภูมิของสัตว์ดิรัจฉาน

๓. เปรตภูมิ ภูมิของเปรต

๔. อสุรกายภูมิ ภูมิของอสุรกาย

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2010, 14:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


๑. ภูมิของสัตว์นรก

นรก หมายความว่า เดือดร้อน ไม่มีความสุข เพราะต้องถูกทรมานอยู่เป็นนิจ ภูมิของสัตว์นรกนี้ชื่อนิรยภูมิ เป็นภูมิที่สัตว์ต้องถูกทรมานจนหาความสุขไม่ได้เลย

นรกขุมใหญ่ ๆ เรียกว่า มหานรก นั้น มี ๘ ขุม คือ

๑. สัญชีวะนรก เป็นที่อยู่ของสัตว์ที่ต้องถูกประหารด้วยดาบฟาดฟันให้ตาย แล้วก็กลับเป็นขึ้นมาอีก และถูกฟันให้ตายอีก เป็นเช่นนี้ตลอดเวลา

๒. กาฬสุตตะนรก เป็นที่อยู่ของสัตว์ที่ต้องถูกตีเส้น ด้วยเชือกดำทำด้วย เหล็กแล้วก็ถาก หรือตัดออกด้วยเครื่องประหารมีขวาน มีด เลื่อยเป็นต้น อยู่เสมอ

๓. สังฆาตะนรก เป็นที่อยู่ของสัตว์ที่ถูกภูเขาเหล็กที่สูงใหญ่ มีเปลวไฟอัน ลุกโพลง บดให้ละเอียดเป็นจุณไป

๔. โรรุวนรก บ้างก็เรียกว่า จูฬโรรุวะนรก หรือธูมะโรรุวะนรก เป็นที่อยู่ของ สัตว์ที่ต้องถูกทรมานด้วยควันไฟ ให้เข้าไปสู่ทวารทั้ง ๙ ทำให้ร้องด้วยเสียงอันดัง

๕. มหาโรรุวะนรก บางทีก็เรียกว่า ชาลโรรุวนรก เป็นที่อยู่ของสัตว์ที่ต้อง ถูกไฟเผาตามทวารทั้ง ๙ ทำให้ต้องร้องครวญครางด้วยเสียงอันดังมาก

๖. ตาปนนรก บางทีก็เรียกว่า จูฬตาปนะนรก เป็นที่อยู่ของสัตว์ที่ต้องถูก ตรึงด้วยหลาวเหล็กอันร้อนแดง และถูกไฟเผาอีกด้วย

๗. มหาตาปนะนรก บางทีก็เรียกว่า ปตาปนะนรก เป็นที่อยู่ของสัตว์ที่ต้อง ไต่ขึ้นไปบนภูเขาเหล็กที่กำลังร้อนแดง แล้วตกลงไปสู่หลาวที่อยู่ข้างล่าง ทั้งถูกไฟ เผาอีกด้วย

๘. อเวจีนรก บางทีก็เรียก อวีจินรก เป็นที่อยู่ของสัตว์ที่ต้องถูกตรึงอยู่ด้วย หลาวเหล็กอันร้อนแดงทั้ง ๔ ด้าน และต้องถูกไฟเผาอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย

มหานรกทั้ง ๘ ขุมนี้แต่ละขุมตั้งอยู่ห่างกัน ๑๕,๐๐๐ โยชน์ และแต่ละขุมก็มี ประตูทั้ง ๔ ทิศ ทิศละ ๑ ประตู รวม ๘ ขุมเป็น ๓๒ ประตูแต่ละประตูมีพระยา ยมราชประจำอยู่ประตูละ ๑ จึงมีพระยายมราช รวม ๓๒

เมื่อสัตว์นรกได้เสวยทุกข์อยู่ในมหานรกตามควรแก่กรรมแล้ว ก็ยังไม่พ้นจาก นรก ต้องมาเสวยทุกข์ในอุสสทะนรก หรือจูฬนรก คือนรกขุมย่อยต่อไปอีก จนกว่า จะหมดกรรม

อุสสทะนรก หรือ จูฬนรก คือนรกขุมย่อยนั้น ตั้งอยู่ตามประตูของมหานรก ทุกประตู ประตูละ ๔ ขุมย่อยประตูมี ๓๒ ประตู ดังนั้นอุสสทะนรก จึงมีรวม ๑๒๘ ขุมย่อย

อุสสทะนรก ๔ ขุม คือ

    ๑. คูถะนรก เป็นนรกขุมย่อยที่เต็มไปด้วยอุจจาระอันเน่าเหม็น
    ๒. กุกกุละนรก เป็นนรกขุมย่อยที่เป็นหลุมขี้เถ้า
    ๓. สิมพลีวนะนรก เป็นนรกขุมย่อยที่เป็นป่าไม้งิ้ว อสิปัตตะวนะนรก เป็นนรกขุมย่อยที่เป็นป่าไม้ใบดาบ ป่าไม้ทั้ง ๒ นี้ รวมนับเป็นนรกขุมเดียวกัน
    ๔. เวตตรณีนรก เป็นนรกขุมย่อยที่เป็นแม่น้ำเค็มอันเต็มไปด้วยหนามหวาย

อนึ่งในคัมภีร์โลกบัญญัตติปกรณ์แสดงว่าอุสสทะนรก หรือจูฬนรกนี้มี ๘ ขุม อันเป็นการแยกโดยละเอียดพิสดารออกไป เมื่อคำนวณตามนัยนี้ ประตูแห่งมหานรก มีรวมทั้งหมด ๓๒ ประตู แต่ละประตูมีอุสสทะนรก (อย่างพิสดาร) ประตูละ ๘ ขุมย่อย ดังนั้นจึงมีอุสสทะนรก รวม ๒๕๖ ขุมด้วยกัน

อุสสทะนรก ตามคัมภีร์โลกบัญญัตติปกรณ์ ๘ ขุมนั้น คือ

    ๑. อังคารกาสุนีรย เป็นนรกขุมย่อยที่เป็น ถ่านเพลิง
    ๒. โลหรสะนิยะ เป็นนรกขุมย่อยที่เป็น น้ำเหล็ก
    ๓. กุกกุละนิรยะ เป็นนรกขุมย่อยที่เป็น ขี้เถ้า
    ๔. อัคคิสโมทกะนิรยะ เป็นนรกขุมย่อยที่เป็น น้ำร้อน
    ๕. โลหกุมภีนิรยะ เป็นนรกขุมย่อยที่เป็น น้ำทองแดง
    ๖. คูถะนิรย เป็นนรกขุมย่อยที่เป็น อุจจาระเน่า
    ๗. สิมพลีวนะนิรย เป็นนรกขุมย่อยที่เป็น ป่าไม้งิ้ว
    ๘. เวตตรณีนิรย เป็นนรกขุมย่อยที่เป็น แม่น้ำเค็มที่มีหนามหวาย

โทษที่ให้ไปนรก

    ๑. ฆ่ามนุษย์ ไป สัญชีวะนรก กาฬสุตตะนรก
    ๒. ฆ่าสัตว์ ไป สังฆาตะนรก จูฬโรรุวะนรก
    ๓. ลักทรัพย์ ไป มหาโรรุวนรก
    ๔. เผาบ้านเรือน ไป จูฬตาปนะนรก
    ๕. มิจฉาทิฏฐิ ไป มหาตาปนะนรก
    ๖. อนันตริยกรรม ไป อเวจีนรก

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2010, 14:09 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


๒. ภูมิของสัตว์ดิรัจฉาน

ภูมิของสัตว์ดิรัจฉาน มีชื่อว่า ดิรัจฉานภูมิ สัตว์ดิรัจฉาน มีความหมายว่า เป็น สัตว์ที่ไปโดยส่วนขวาง หรืออีกนัยหนึ่งว่า เป็นสัตว์ที่เป็นไปขวางจากมัคคผล

ดิรัจฉานนี้ จัดเป็นภูมิหนึ่งต่างหากก็จริง แต่ว่าไม่มีที่อยู่ที่อาศัยของตนเอง เป็นส่วนเป็นสัดโดยเฉพาะ คงอาศัยอยู่ในมนุษย์โลก ส่วนในเทวโลกและพรหมโลก นั้น ไม่มีสัตว์ดิรัจฉานไปอยู่ร่วมด้วยเลย

สัตว์ดิรัจฉาน มีสัญญาที่ปรากฏหรือมีความเป็นอยู่และเป็นไปเพียง ๓ อย่าง เท่านั้น คือ

๑. กามสัญญา รู้เสวยกามคุณ

๒. โคจรสัญญา รู้จักกิน (รวมทั้งรู้จักนอนด้วย)

๓. มรณสัญญา รู้จักกลัวตาย

ส่วนอีกอย่างหนึ่ง คือ ธัมมสัญญา ความรู้จักผิดชอบ ชั่ว ดี หรือรู้จักกุสล อกุสลนั้น สัตว์ดิรัจฉานทั้งหลายไม่มี เว้นแต่สัตว์ดิรัจฉานบางจำพวก เช่น โพธิสัตว์ จึงมี ธัมมสัญญา ปรากฏได้

สัตว์ดิรัจฉานมีจำนวนมากมายเหลือประมาณ มากกว่ามนุษย์มากกว่ามากนัก อยู่บนบกเหมือนมนุษย์ก็มี อยู่ในน้ำก็มี และมีมากกว่าอยู่บนบกหลายเท่า รูปร่างก็ แตกต่างกันจนสุดจะพรรณนา ส่วนขนาดใหญ่โตมากก็มี เล็กจนแทบจะมองไม่เห็น ก็มี ในที่สุดท่านจึงแยกประเภทของสัตว์ดิรัจฉานออกเป็น ๔ อย่างเท่านั้น คือ

๑. อปทติรจฺฉาน จำพวกดิรัจฉานที่ไม่มีขาเลยเช่น ปลา งู ไส้เดือน เป็นต้น

๒. ทฺวิปทติรจฺฉาน จำพวกดิรัจฉานที่มี ๒ ขา ได้แก่ นก เป็ด ไก่ เป็นต้น

๓. จตุปฺปทติรจฺฉาน จำพวกดิรัจฉานที่มี ๔ ขา ได้แก่ ช้าง ม้า โค กระบือ เป็นต้น

๔. พทุปฺปทติรจฺฉาน จำพวกดิรัจฉานที่มีขามาก ได้แก่ กุ้ง ปู แมลงมุม ตะขาบ กิ้งกือ เป็นต้น

อนึ่งบรรดาพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย นับตั้งแต่ได้รับพุทธพยากรณ์ เป็นต้นไป แม้จะต้องไปเกิดเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ก็จะไม่เกิดเป็นสัตว์ที่เล็กกว่า นกกระจาบ และ ไม่เกิดเป็นสัตว์ที่ใหญ่กว่าช้าง

สัตว์ดิรัจฉานที่อดอยากก็มี ที่อ้วนพีก็มีมาก ที่เดือดร้อนน้อยก็มีความสุขมากก็มี เหมือนกันแต่มีจำนวนน้อย ส่วนมากมักจะเดือดร้อนมาก มีความสุขน้อยเหลือเกิน

สัตว์ดิรัจานมีโอกาสทำกุสลบ้าง แต่มีโอกาสก่ออกุสลได้มากมายเหลือเกิน ส่วน สัตว์นรกแทบจะไม่มีโอกาสทำกุสลเลย แต่ก็ยากที่จะมีโอกาสก่ออกุสลเหมือนกัน เพราะมัวแต่ถูกทรมานอยู่

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2010, 14:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


๓. ภูมิของเปรต

ภูมิของเปรตมีชื่อว่า เปตภูมิ สัตว์ที่ชื่อว่าเปรตนั้นเป็นสัตว์ที่มีความเดือดร้อน เพราะมีความเป็นอยู่อย่างหิวโหยอดอยาก ซึ่งต่างกับสัตว์นรก ที่มีความเดือดร้อน เหมือนกัน แต่ว่าเดือดร้อนเพราะถูกทรมาน

เปรต ส่วนมากอยู่ที่ป่า วิชฌาฏวี มี มหิทธิกเปรต เป็นเจ้าปกครอง ดูแลเปรตทั้งหลาย แต่ว่าเปรตที่ไม่มีที่อยู่ที่อาศัยโดยเฉพาะ เที่ยวอยู่ทั่ว ๆ ไป เช่น ตามป่า ตามภูเขา เหว เกาะ ทะเล ป่าช้า ก็มีมากเหมือนกัน

เปรตมีหลายจำพวก เล็กก็มี ใหญ่ก็มี และสามารถเนรมิตให้เป็น อิฏฐารมณ์ และอนิฏฐารมณ์ได้ ฝ่ายอิฏฐารมณ์ก็เนรมิตให้เห็นเป็นเทวดา เป็นมนุษย์ เป็นดาบส พระ เณร ชี เป็นต้น ฝ่ายอนิฏฐารมณ์ก็ให้เห็นเป็นสัตว์ต่าง ๆ ทำท่าทาง หรือ มีรูปร่างอันน่าเกลียดน่ากลัว

เปรต ๔ จำพวก คือ

๑. ปรทัตตุปชีวิกเปรต เป็นเปรตที่เลี้ยงชีวิตอยู่โดยอาศัยอาหารที่ผู้อื่นให้โดย การเซ่นไหว้ เป็นต้น

๒. ขุปปีปาสิกเปรต เป็นเปรตที่อดอยาก หิวข้าว หิวน้ำ อยู่เป็นนิจ

๓. นิชฌามตัณหิกเปรต เป็นเปรตที่ถูกไฟเผาให้เร่าร้อนอยู่เสมอ

๔. กาลกัญจิกเปรต เป็นเปรตในจำพวกอสุรกาย หรือ เป็นชื่อของอสุราที่ เป็นเปรต

เปรตที่สามารถจะได้รับส่วนกุสลที่มีผู้อุทิศให้นั้น ได้แก่ ปรทัตตุปชีวิกเปรต จำพวกเดียวเท่านั้น เพราะเปรตจำพวกนี้โดยมากอยู่ในบริเวณใกล้ ๆ กับมนุษย์ ถึง กระนั้นก็จะต้องรู้ว่าเขาแผ่ส่วนกุสลให้ จึงจะสามารถรับได้ด้วยการอนุโมทนา ถ้า ไม่รู้ไม่ได้อนุโมทนา ก็ไม่ได้รับส่วนกุสลนั้นเหมือนกัน

ในอปาทานอรรถกถา สุตตนิบาตอรรถกถา และพุทธวังสะอรรถกถาแสดงว่า บรรดาพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย นับตั้งแต่ได้รับพุทธพยากรณ์ เป็นต้นไป จะไม่เกิดเป็น ขุปปีปาสิกเปรต นิชฌามตัณหิกเปรต หรือ กาลกัญจิกเปรต ถ้าจะต้องไปเกิดเป็น เปรต ก็จะเกิดเป็นปรทัตตุปชีวิกเปรต ประเภทเดียวเท่านั้น

เปรต ๑๒ จำพวก ในคัมภีร์โลกบัญญัตติปกรณ์ และ ฉคติทีปนีปกรณ์ แสดง เปรต ๑๒ จำพวก คือ

    ๑. วันตาสเปรต เปรตที่กินน้ำลาย เสมหะ อาเจียร เป็นอาหาร
    ๒. กุณปาสเปรต เปรตที่กินซากศพคน หรือสัตว์ เป็นอาหาร
    ๓. คูถขาทกเปรต เปรตที่กินอุจจาระต่าง ๆ เป็นอาหาร
    ๔. อัคคิชาลมุขเปรต เปรตที่มีเปลวไฟลุกอยู่ในปากเสมอ
    ๕. สุจิมุขเปรต เปรตที่มีปากเท่ารูเข็ม
    ๖. ตัณหัฏฏิตเปรต เปรตที่ถูกตัณหาเบียดเบียฬให้หิวข้าวหิวน้ำอยู่เสมอ
    ๗. สุนิชฌามกเปรต เปรตที่มีตัวดำเหมือนตอไม้ที่เผา
    ๘. สุตตังคเปรต เปรตที่มีเล็บมือเล็บเท้ายาวคมเหมือนมีด
    ๙. ปัพพตังคเปรต เปรตที่มีร่างกายสูงใหญ่เท่าภูเขา
    ๑๐. อชครังคเปรต เปรตที่มีร่างกายเหมือนงูเหลือม
    ๑๑. เวมานิกเปรต เปรตที่ต้องเสวยทุกข์ในเวลากลางวัน แต่กลางคืนได้ ไปเสวยสุขในวิมาน
    ๑๒. มหิทธิกเปรต เปรตที่มีฤทธิ์มาก

เปรต ๒๑ จำพวกในวินัยและลักขณสังยุตตพระบาลีแสดงเปรต ๒๑ จำพวก คือ

    ๑. อัฏฐีสังขสิกเปรต เปรตที่มีกระดูกติดกันเป็นท่อน ๆ แต่ไม่มีเนื้อ
    ๒. มังสเปสิกเปรต เปรตที่มีเนื้อเป็นชิ้น ๆ แต่ไม่มีกระดูก
    ๓. มังสปิณฑเปรต เปรตที่มีเนื้อเป็นก้อน
    ๔. นิจฉวิปริสเปรต เปรตที่ไม่มีหนัง
    ๕. อสิโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นพระขรรค์
    ๖. สัตติโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นหอก
    ๗. อุสุโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นลูกธนู
    ๘. สูจิโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นเข็ม
    ๙. ทุติยสูจิโลมเปรต เปรตที่มีขนเป็นเข็มชนิดที่ ๒
    ๑๐. กุมภัณฑเปรต เปรตที่มีอัณฑะใหญ่โตมาก
    ๑๑. คูถกูปนิมุคคเปรต เปรตที่จมอยู่ในอุจจาระ
    ๑๒. คูถขาทกเปรต เปรตที่กินอุจจาระ
    ๑๓. นิจฉวิตกิเปรต เปรตหญิงที่ไม่มีหนัง
    ๑๔. ทุคคันธเปรต เปรตที่มีกลิ่นเหม็นเน่า
    ๑๕. โอคิลินีเปรต เปรตที่มีร่างกายเป็นถ่านไฟ
    ๑๖. อลิสเปรต เปรตที่ไม่มีศีรษะ
    ๑๗. ภิกขุเปรต เปรตที่มีรูปร่างสัณฐานเหมือน พระ
    ๑๘. ภิกขุณีเปรต เปรตที่มีรูปร่างสัณฐานเหมือน ภิกษุณี
    ๑๙. สิกขมานเปรต เปรตที่มีรูปร่างสัณฐานเหมือน สิกขมานา (สามเณรีที่ได้รับการอบรมเป็นเวลา ๒ ปี เพื่อบวชเป็นภิกษุณี)
    ๒๐. สามเณรเปรต เปรตที่มีรูปร่างสัณฐานเหมือน สามเณร
    ๒๑. สามเณรีเปรต เปรตที่มีรูปร่างสัณฐานเหมือน สามเณรี

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ธ.ค. 2010, 14:16 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 ก.ค. 2009, 09:26
โพสต์: 1517

แนวปฏิบัติ: วิปัสสนาภาวนา
อายุ: 39
ที่อยู่: ลำพูน

 ข้อมูลส่วนตัว


๔. ภูมิของอสุรกาย

ภูมิของอสุรกาย มีชื่อว่า อสุรภูมิ หรือ อสุรกายภูมิ อสุรกายเป็นหมู่สัตว์ จำพวกหนึ่ง ซึ่งไม่สว่างรุ่งโรจน์โดยความเป็นอิสสระ และสนุกรื่นเริง

คำว่า “สว่างรุ่งโรจน์” ไม่ได้หมายถึง รัศมีสีแสงที่ออกจากร่างกาย แต่หมาย ความว่า “มีความเป็นอยู่อย่างฝืดเคือง เครื่องบริโภคก็แร้นแค้น เครื่องอุปโภคก็ขาด แคลน” ทุกข์ยากลำบากกายเช่นนี้ ใจคอก็ไม่สนุกสนานรื่นเริง เข้าทำนองที่ว่า หน้าชื่นอกตรม

หมู่สัตว์ที่เป็นอสุรา ที่เรียกว่า อสุรกาย นั้น มี ๓ อย่าง คือ

    ก. เทวอสุรา ได้แก่ อสุรกายที่เป็นเทวดา
    ข. เปตติอสุรา ได้แก่ อสุรกายที่เป็นพวกเปรต
    ค. นิรยอสุรา ได้แก่ อสุรกายที่เป็นสัตว์นรก

เทวอสุรกาย มี ๖ คือ

    ๑. เวปจิตตอสุรกาย
    ๒. ราหุอสุรกาย
    ๓. สุพลิอสุรกาย
    ๔. ปหารอสุรกาย
    ๕. สัมพรตีอสุรกาย
    ๖. วินิปาติกอสุรกาย มีรูปร่างก็เล็กกว่า อำนาจก็น้อยกว่าเทวดาชั้นดาว ดึงส์ ที่อยู่ก็อาศัยอยู่ในมนุษย์โลก เช่น ตามป่า ตามเขา ตามต้นไม้ และตามศาลที่ เขาปลูกไว้ สงเคราะห์เข้าในจำพวกเทวดาชั้นจาตุมมหาราชิกา

    ที่เรียกว่า อสุรกาย เพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อเทวดาชั้นดาวดึงส์ เทวอสุรกายทั้ง ๕ นี้ อยู่ใต้ภูเขาสิเนรุ แต่สงเคราะห์เข้าในจำพวก เทวดาชั้นดาวดึงส์

เปตติอสุรกายมี ๓ คือ

    ๑. กาลกัญจิกเปรตอสุรกาย มีร่างกายใหญ่โต แต่ไม่ใคร่มีแรง เพราะมีเลือด เนื้อน้อย มีสีสรรคล้ายใบไม้แห้ง ตาโปนออกมาคล้ายกับตาของปู มีปากเท่ารูเข็ม และตั้งอยู่กลางศีรษะ ที่เรียกเปรตจำพวกนี้ว่าอสรุกาย เพราะไม่สว่างรุ่งโรจน์

    ๒. เวมานิกเปรตอสุรกาย เสวยทุกข์ในเวลากลางวัน แต่กลางคืนได้เสวยสุข เหมือนกับความสุขในชั้นดาวดึงส์ และเพราะเหตุว่าเปรตจำพวกนี้ได้เสวยสุขในเวลา กลางคืนเหมือนกับเทวดาชั้นดาวดึงส์นี้แหละ จึงได้เรียกว่า อสุรา

    ๓. อาวุธิกเปรตอสุรกาย เป็นจำพวกเปรตที่ประหัตประหารซึ่งกันและกัน ด้วยอาวุธต่าง ๆ ที่เรียกเปรตจำพวกนี้ว่าเป็นอสุรกาย เพราะมีความเป็นอยู่ตรงข้าม กับเทวดาชั้นดาวดึงส์ กล่าวคือ เทวดาชั้นดาวดึงส์มีความรักใคร่ซึ่งกันและกัน ส่วน อาวุธิกเปรตนี้ มีแต่การประหัตประหารซึ่งกันและกัน

นิรยอสุรกาย มี ๑ เท่านั้น

    นิรยอสุรกาย มีอย่างเดียว เป็นสัตว์นรกจำพวกหนึ่ง ซึ่งมีความเป็นอยู่ เหมือนค้างคาว เกาะอยู่ตามขอบจักรวาฬ หิวกระหายเป็นกำลัง เกาะไปพลาง ไต่ไป พลาง ไปพบพวกเดียวกัน โผเข้าไปจะจิกกินเป็นอาหาร ก็พลัดตกลงไปในน้ำกรด ข้างล่างละลายไปทันทีแล้วเกิดขึ้นมาใหม่ ตกตายไปอีกวนเวียนอยู่อย่างนี้ จนกว่าจะ หมดกรรม

ที่เรียกสัตว์นรกจำพวกนี้เป็นอสุรกาย ก็เพราะว่ามีอารมณ์ตรงกันข้ามกับ เทวดาชั้นดาวดึงส์ กล่าวคือ เทวดาชั้นดาวดึงส์มีอารมณ์ล้วนแต่ที่เป็นอิฏฐารมณ์ ส่วนนิรยอสุรกายนี้มีแต่อนิฏฐารมณ์ทั้งสิ้น

รวมความว่า อสุรภูมิ หรืออสุรกายภูมินี้ ถ้าจะสงเคราะห์ก็สงเคราะห์เข้าใน เปตภูมิ แต่เป็นเปรตจำพวกที่มีความเป็นอยู่เป็นพิเศษ เปรตพิเศษนี่แหละที่เรียกว่า อสุรกาย

.....................................................
"ธรรมและวินัยอันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา..."
"... ไม่เที่ยง เกิดดับ ..."


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร